มึนไปตามใจฝัน
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
20 มกราคม 2553

ท่องเที่ยวปีใหม่คนเดียว จังหวัดน่าน ตอนที่ 3 จากขุนน่าน ไป ปัว


เช้า 31 ธันวา 2009

"มื้อเช้้าที่ อุทยานขุนน่าน"

สำหรับวันนี้ผมหลับสบายกว่าเมื่อคืนที่ภูแว
อาจจะด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลด้วยละมั้ง :)

สำหรับเช้านี้ผมตื่นมาเกือบๆ 6 โมง ฟ้ายังมืดอยู่
เริ่มได้ยินเสียงรถ ขับออกไป ณ จุดชมวิว
ส่วนผม คิดว่าจะกินข้าวก่อน ไปตอนนี้ก็ต้องกลับมากินข้าว แล้วออกไปน้ำตกอีก
ไม่อยากเดินหลายรอบ
กะว่า เดินจากจุดชมวิวไปน้ำตกสะปัน และหมู่บ้านสะปัน

[ลืมเล่า เมื่อคืนผมถามทางจากเจ้าหน้าที่มาแล้วละ
จากจุดชมวิว ตรงจุดที่มีป้ายว่า พืชพรรณสำหรับสัตว์ป่า(ประมาณๆเนี่ยนะ)
ตรงนี้จะมีทางถางทางไว้ ด้านซ้ายมือ
ซึ่งยังไม่มีป้ายติดไว้ว่าไปน้ำตก เขากำลังของบอยู่ (แล้วทำไมมีป้าย พืชพรรณอาหารสัตว์ฟะ มันอ่านออกไหมนั่น)
เจ้าหน้าที่บอกกับผมว่า ไม่หลงแน่นอน
เส้นทางชัดเจน สบายมาก แต่เดินไกลเหมือนกัน
จากน้ำตก เดินไปหมู่บ้านสะปันได้ด้วยนะ

ส่วนคุณทิม เจ้าหน้าที่บอกว่า เขามาติดต่อให้ไปน้ำตกอีกจุดนึง ซึ่งต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง
เดินไปเป็นวันเหมือนกัน แถมทากตรึม -_-' คุณทิมเขาจะรู้ไหมเนี่ย]

แน่นอนว่าผมคงต้องมีพลังเต็มเปี่ยม
ผมจึงไม่รีบออกไปชมทะเลหมอกเหมือนคนอื่นๆ
ผมเลือกที่จะแปรงฟัน ล้างหน้า (ยังไม่อาบน้ำอะ มันหนาว)
แล้วก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ ขอน้ำร้อนจากเขา T_T

อุณหภูมิวันนี้ 13 องศา อากาศดีโคดๆ (เมื่อคืนน่าจะหนาวถึงเลข ตัวเดียวนะ ขนาด เกือบ 7 โมงยัง 13 องศาเนี่ย)
อากาศดีๆ กับมาม่าอินโด (ฮา) และ ไมโลชง (เพื่อนผมบอกว่า ไมโลอร่อยกว่าโอวัลติน แต่จากครั้ังนี้ผมว่า โอวัลตินอร่อยกว่าแฮะ)
สำหรับมาม่าอินโด มื้อนี้อร่อยกว่าวันนั้น
คงเพราะน้ำร้อนได้ท่ี
แล้วไม่ต้องห่วงว่า น้ำมันจะพอหรือไม่
คือมาม่าอินโดอันนี้เป็นบะหมี่แห้ง
มันเลยใช้น้ำเยอะ เพื่อลวกเส้น แล้วต้องเทน้ำทิ้งไป
มื้อนี้เลยค่อนข้างโอเค
กินไปเกือบหมด สองซอง ตบท้ายด้วยไมโล อย่างอิ่ม
พลังเต็มเปี่ยม
ผมก็ขอบคุณเจ้าหน้าที่ แล้วก็กลับไปเตรียมตัวกับถ่ายภาพ


"ไม่เจอทะเลหมอก แต่เจอบึงหมอก?"

ตอนที่ผมเริ่มเดิน ตอนนั้นก็เช้ามากๆ แล้วละ
รถส่วนใหญ่ก็กลับมาที่พักกันหมดแล้ว
แต่ก็มีรถอยู่คันนึงขับออกมาเป็นคนสุดท้าย เขาจอดทักผมว่า
"โหย เพิ่งตื่นเหรอ"

ผมบอกไปว่า ป่าวครับ พอดีผมกินข้าว กะว่าจะไปเดินน้ำตกด้วย
เขาก็ อ่อๆๆ โชคดีๆๆ

จากคำพูดเขา ผมก็เลยไม่แน่ใจว่า ตอนนี้จุดชมวิวมันไม่สวยแล้วเหรอ?
แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้แคร์หรอกนะ
เพราะจริงๆคือเหมือนกับแค่แวะไปมากกว่า เพราะเป้าหมายหลักเราคือน้ำตก

แต่พอไปถึงจุดชมวิว ผมก็ประหลาดใจ








ก็เพราะว่า มันก็สวยนี่
ผมว่ามันกำลังดีเลยด้วยซ้ำ
ส่วนตัวผมชอบมากเลยละ :)












แม้จะได้เจอกับทะเลหมอก แต่ผมคิดว่า บึงหมอกที่ผมเห็นก็มีความสวยนะ :)



"เส้นทางสู่น้ำตกสะปัน"

เช้าดีๆแบบนี้ ผมอิ่มเอมกับมันมาก
มาเลย ลุยกัน กับน้ำตกสะปัน


ผมเดินย้อนจากจุดชมวิวไปนิดนึง แล้วก็ไปทางขวามือ(ตอนมาจะอยู่ทางซ้าย ตอนกลับเลยอยู่ทางขวาครับ)
ก็จะเจอทางถางหญ้าไว้ แบบที่พี่เขาบอก
เดินไปได้สักพักก็เจอกับบรรไดขึ้นและลงตัดทางมา
บันไดขึ้นก็คือทางจากเส้นทางศึกษาธรรมชาตินั่นเอง
ส่วนบันไดลงก็คือทางไปน้ำตก
ทางเดินค่อนข้างชัดเจนอย่างที่เจ้าหน้าที่บอก
ทางส่วนใหญ่เป็นทางลง
แต่สำหรับผมในตอนนี้ก็ไม่ใช่ทางที่ง่ายนัก
ลงแต่ละทีเจ็บแปร๊บๆ ท่ีหัวเข่า
ผมเดินไปได้สักพัก ผมก็ได้ยินเสียงทางน้ำ
แอบดีใจว่า ทางมันใกล้กว่าที่เราคิด
แต่พอไปถึง....

มันเป็นทางน้ำธรรมดา และก็ไม่ได้มีป้ายบอกว่าน้ำตกสะปัน
ผมว่ามันคงไม่ใช่
เลยดินไปตามทางต่อ
เดินๆๆๆ และเดิน
ผมรู้สึกเอ่อ... ทำไมมันไกลจังวะ
ไม่รู้ว่าเพราะมันไกลจริงๆ หรือเพราะร่างกายเราไม่ค่อยจะไหวแน่
รู้สึกเหนื่อยและล้าๆ ชอบกล

เดินหอบๆ แห่กๆ ไปหลายรอบ
ผมก็มาถึงเสียงน้ำอีกรอบ
เห็นอยู่ไกลๆ ในที่สุดก็ถึงแล้ว :D




ภาพน้ำตกสะปัน ดูเหมือนเล็กๆ แต่จริงๆ ไม่เล็กเลยนะ ไม่เชื่อใช่ไหม มาดูใกล้ๆ








เห็นน้ำตกแบบนี้ แม้จะดูน้ำไม่เยอะนัก
แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ ผมคิดว่าโอเคแล้วละ
ยังมีความสวยงามนะ เห็นแล้วก็ชื่นใจ


แน่นอนว่าผมอดไม่ได้ที่จะถ่ายตัวเอง
คราวนี้ผมตั้งกล้อง แล้วตรวจความเรียบร้อยว่ามันวางได้แน่ๆ
จากนั้นก็ตั้งเวลา แล้วก็มานั่งเก็กอย่างที่เห็น






ที่ผมไม่มองกล้องเพราะทำหน้าไม่ถูกอะครับ
-_-' เลยขอเก็กๆ ก้มหน้าดีกว่า




น้ำตกสองสายที่เราเห็นนั้น นับเป็นชั้นที่ 3 ครับ
เดินไปอีกสักพักก็จะเจอกับน้ำตกชั้นที่ 2






(น้ำตกชั้นที่ 2 ครับ)


จากชั้น 2 ก็จะเจอกับชั้นที่ 1 อยู่ใกล้ๆกัน






สายเล็กๆข้างหลังก็คือชั้นที่ 2 แหละครับ แต่เลนส์ที่ผมใช้มันกว้าง
ทำให้น้ำตกมันดูเล็กๆ แต่จริงๆ มันไม่เล็กนะ

การถ่ายสถานที่ใหญ่ๆที่ดี ถึงควรจะมีคนด้วย เพื่อให้เห็นสัดส่วนความอลังการของสิ่งนั้น
แต่มาคนเดียวไม่มีแบบ จะเป็นแบบเองก็ไม่ถูกใจ ฮ่าๆ
ก็ถ่ายเท่าที่ทำได้ครับ :)






อันนี้เป็นแอ่งน้ำ แต่ผมชอบนะครับ เลยลองถ่ายแบบเอียงๆ แบบนี้ดู


จากจุดนี้ ผมยังเห็นทางไปต่อ
ตอนแรกก็คิดอยู่ว่า เราจะกลับทางเดิม
หรือเดินไปต่อดี
แต่คิดๆ แล้ว ลองเดินต่อละกัน ไปให้ถึงหมู่บ้านแล้วลองขอเราติดรถกลับดีกว่า (ฮ่าๆ)


จากน้ำตก จะมีทางเหมือนสะพานไม้เดินไปต่อครับ
เดินไปไม่ไกลนักก็จะเจอกับสะพานอันนี้







"สู่หมู่บ้านสะปันกับงานบุญประจำปี"

เมื่อเดินไปอีกหน่อยก็จะเจอกับสิ่งปลูกสร้างมากขึ้น
เป็นสะพานเหล็กขึ้นไปครับ
จากนั้นก็มาเป็นทางปูน
แล้วผมก็เริ่มได้ยินเสียงประกาศจากทางวัด เกี่ยวกับงานอะไรสักอย่าง

ทำให้ผมรู้ว่า ผมมาถึงแล้วหมู่บ้านสะปัน

ผมเดินงงๆ ไปทักกับเจ้าหน้าที่ที่กำลังกวาดขยะอยู่หน้าห้องน้ำ
ผมก็ถามเขาว่า จากหมู่บ้านมีรถกลับไปอุทยานไหม
เขาบอกว่าไม่มี ถ้าเดิน เดินกลับทางเดิมจะใกล้กว่า
ทางถนนจะไกลกว่า ประมาณ 5 กิโลได้
แต่ผมดูตัวเองแล้วคงกลับทางเดิมไม่ไหวแน่ๆ
ยังไงก็ต้องเสี่ยงหารถกลับทางถนนดีกว่า


หลังจากนั้นผมก็เดินต่อ เพื่อถ่ายภาพหมู่บ้าน และหาทางกลับโดยรถด้วย ;p














(โรงเรียนประจำหมู่บ้าน)





(ถนนหัวมุม ทางด้านซ้าย จะไม่มีทางไปต่อครับ)


ที่หมู่บ้านสะปัน ค่อนข้างเจริญเหมือนกัน ถนนค่อนข้างดีมาก
แต่ที่นี่ DTAC ไม่มีสัญญาณ นะ ;p
[จะบอกว่าขุนน่าน DTAC ก็ไม่มีสัญญาณ แย่จัง]







อันนี้คือประจำหมู่บ้าน
เสียงประกาศที่ผมได้ยินก็มาจากที่นี่แหละครับ


จากนั้นผมก็เข้าไปไหว้พระ






รูปเอียง เพราะเอากล้องวางบนกระเป๋าแล้วถ่ายครับ
จริงๆ มีขาตั้ง แต่กลัวจะดูวุ่นวาย ถ้าเอาขาตั้งมาใช้ในวัด
เลยวางบนกระเป๋าแล้วถ่าย



หลังจากไหว้พระเสร็จ ผมก็กำลังกลับ
ก็มีผู้ใหญ่ท่านนึงเข้ามาทักทาย
แล้วเขาก็บอกว่า เดี๋ยวกำลังจะมีงานประจำปีนะ
อยู่ถ่ายรูปสิ
ผมก็ยินดีเลย ชอบอยู่แล้ว
กล้อง FM10 ฟิล์มหมดไปแล้ว
ผมคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้ฟิล์มขาวดำ
ตอนนี้ก็เลยจะแยกได้ชัดเจนนะ
ภาพสีก็มาจากกล้อง F90x
ส่วนขาวดำ ผมใช้ FM10 กับฟิล์ม ILford400 (มันจะมีความหยาบอยู่ ผมว่ามันมีเสน่ห์ดี)

รออีกสักพัก ก็ได้ยินเสียงแห่ครับ
แล้วผมก็ห้อยกล้องสองตัวออกไปลุย :)



























ช่วงนี้ผมก็สลับใช้กล้องไปมา
ปกติเวลาไปไหนคนก็ชอบมองอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าหล่อหรือไรนะครับ ^^'
แต่เพราะคนมักจะมองคนที่ถือกล้องถ่ายรูปน่ะ
แต่คราวนี้ยิ่งห้อยกล้องสองตัว ก็ยิ่งถูกมอง แต่ก็ไม่มีใครว่าไรนะ
หลายคนก็ยิ้มให้ :D

มีเด็กคนนึงผมพยายามจะไปถ่ายรูป แต่น้องเขาก็เขิน วิ่งหนีไปเลย ^^'

แต่ก็มีเด็กที่สู้กล้องเหมือนกันนะครับ








ช่วงนี้เป็นช่วงที่เดินแห่รอบวัดครับ น่าจะสามรอบได้มัั้ง





ผมชอบรอยยิ้มของผู้คนครับ :)







หลังจากแห่รอบวัด ทุกคนก็เริ่มเข้าไปที่วัดครับ
แล้วก็มีโฆษก ออกมาเชิญชวน
คนนี้แหละครับ ที่ชวนให้ผมอยู่ถ่ายรูป :)













นอกจากคนจะเริ่มเข้าวัดแล้ว
แต่ก็มีบางส่วนท่ีอยู่ไหว้ทำพิธีบางสิ่งอยู่ด้านนอกเหมือนกันครับ

























(โดยส่วนตัว ภาพนี้ออกมาถูกใจตัวผมเองมากครับ)




"น้ำใจจากชาวบ้านสะปัน"

ผมอยู่สวดมนต์ กับชาวบ้านอยู่สักพัก ก็กังวลเกี่ยวกับตอนกลับ
เลยปลีกตัวออกมา เพื่อกลับขุนน่าน


เดินมาออกมาถนนค่อนข้างเงียบมาก
ก็เพราะส่วนใหญ่ชาวบ้านก็มางานบุญนี้แหละ


ผมถามเด็กๆ ที่กำลังเล่นอยู่ว่า ถ้าจะออกไปถนนใหญ่เดินไปทางไหน
เดินไปสักพัก ผมเห็นมอไซค์วิ่งมา ผมก็โบกทันที ^^'
พี่เขาก็ใจดีจอดให้
ผมถามพี่เขาว่า ออกถนนใหญ่หรือเปล่าครับ
พี่เขาตอบสั้นๆ ว่า "เดี๋ยวไปส่งให้"

พี่เขาก็ขี่มาส่งตรงถนนใหญ๋ ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณพี่เขา
แล้วพี่เขาก็ขับรถกลับ!
ง่ะ.. แสดงว่าพี่เขาจริงๆไม่ได้จะออกถนนใหญ่
แต่ตั้งใจมาส่งเรา ยิ่งรู้สึกซึ้งในน้ำใจของพี่เขามากๆ
ขอบคุณพี่เขาอีกครั้ง มา ณ ที่นี้ด้วยครับ




"น้ำใจจากผู้คนถนนใหญ่"

ผมเดินออกมาสู่ถนนใหญ๋
เห็นวิวหมู่บ้าน ตรงเชิงเขา ซึ่งอยู่ตรงกับทางเข้าหมู่บ้านสะปัน
เลยถ่ายไว้





จากนั้น ก็เดินไปตามถนน
โดยกะว่ามันต้องมีสักคันแหละน่าที่ใจดี
เดินได้สักพักนึง ก็มีรถกะบะสีขาว ขับผ่านมา
พอผมโบก พี่เขาก็จอดทันที ผมก็วิ่งไปบอกเขาว่า รบกวนส่งด้วยครับ ลงตรงอุทยานขุนน่าน
พี่เขาก็ขึ้นมาเลยๆๆ :D


ขับรถไม่ถึง 5 นาที ก็มาถึงอุทยานขุนน่าน
ผมลงจากรถ แล้วก็ลงไปไหว้ขอบคุณพี่เขา
ผมชอบเดินทางแบบนี้ก็ตรงนี้แหละ
ได้เจอผู้คนมากมาย และรับน้ำใจดีๆ จากพวกเขา
ทำให้รู้สึกดี เติมเต็มการเดินทางดีนะ




"เขินอะ"

มาถึงอุทยาน ผมก็เดินขึ้นเพื่อไปที่กางเต๊นท์ของเรา
ตอนเดิน ได้เจอกับพี่คนที่ชวนผมไปตำหนักภูฟ้า
กำลังเดินทางต่อพอดี
ก็เลยทักทายกัน
พอดีเขากำลังถ่ายรูปคู่กับป้ายอุทยานด้วย
ผมจึงอาสาถ่ายให้ พวกเขาจะได้มีรูปครอบครัวครบคน
ปรากฏว่า พี่ผู้ชายขอถ่ายรูปผมไว้ด้วย
เขาให้ผมถ่ายรูปคู่กับครอบครัวเขา ^^'
พ่ีเขาบอก ประทับใจ(ความบ้า)ของผม แบบว่าเดินทางคนเดียวเจ๋งดี

ใจนึงผมอยากจะไปภูฟ้ากับพวกเขา
แต่เกรงใจ คือเขากำลังจะไป แต่เราเพิ่งจะมา ยังไม่ได้อาบน้ำ เก็บของใดๆ
จะให้เขารอก็ดูเลวเกิน
เลยได้แต่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า "โชคดีครับพี่ เดินทางสวัสดิภาพครับ :D"

หลังจากกลับมาที่เต๊นท์ผมก็อาบน้ำ(สดชื่นโคดๆ) และก็ตากเต๊นท์
รู้สึกสนุกกับวันนี้มากเลยครับ
รู้สึกเขินๆ ที่มีคนมาขอถ่ายรูปด้วย ฮ่าๆ แปลกๆดีครับ ปกติชอบถ่ายรูปคนอื่น พอโดนถ่ายเองเลยแปลกๆหน่อย
เสียดายไม่ได้ขอเมล์พี่เขาไว้ จะได้ขอรูปคู่นั้นไว้ ^^




"เพื่อนใหม่จากภูแว"

หลังจากอาบน้ำ เก็บของ ทุกอย่างพร้อม
ผมก็แบกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นหลังแล้วเดิน
ไหว้อำลาพี่ๆ เจ้าหน้าที่ ผมหวังว่าจะได้มาเจอพวกพี่เขาอีก(อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ T_T)
ผมเดินมาได้สักพัก ก็มีกลุ่มโฟร์วิล บีบแตร บอกให้ขึ้นมาๆๆๆ
เขาไปส่งตรงปากทางให้
รถโฟร์วิลของพี่เขา ขึ้นยากโคตครับ-_-'
คืออยากให้นึกภาพ คนตัวเล็กแบกเป้ใหญ่ แล้วต้องกระโดดขึ้นรถคันใหญ่ในขณะที่กำลังเคลื่อนตัว
ทุลักทุเล สุดๆครับ ^^'

พอมาถึงปากทาง ผมก็ขอบคุณพี่ๆ เขา
พวกพี่เขาขับรถไปทางเฉลิมพระเกียรติต่อ ส่วนผมมีที่ที่คิดไว้แล้ว
ผมกะว่าจะไปนอนที่ปัว สักคืน แล้วค่อยกลับไปตัวเมืองน่าน แล้วหาที่เท่ียวต่อ

ออกมาอยู่หน้าอุทยานขุนน่าน
ผมก็ยืนโบกรถ เพื่อจะไปปัว
ผมกะว่า น่าจะไม่ยาก เพราะยังไงรถก็ต้องผ่าน
อย่างน้อยไปลงบ่อเกลือก็ยังดี อาจจะได้ที่เที่ยวใหม่ๆด้วย

แต่ครั้งนี้ยากกว่าที่คิดไว้
รถส่วนใหญ่ขับขึ้นไปทางเฉลิมพระเกียรติ
ไม่ได้ไปทางบ่อเกลือเลย ;p

พอมีรถไปทางบ่อเกลือ ก็มาด้วยความเร็วจนเราไม่กล้าโบก
แต่มีคันนึงแอบเคือง
วิ่งมาไม่เร็ว
แต่ก็ขับผ่านไปไม่สนใจเรา > <

สักพักใหญ่ๆ เหมือนกัน ก็มีรถสองแถว สาย บ้านด่าน-บ่อเกลือ (ค่ารถ 20 บาทเองครับ)
วิ่งมา ผมก็รีบขึ้นไปทันที

ในรถมีผู้โดยสารคนเดียว เป็นชายใส่แว่น ลักษณะคล้ายๆ ผมเหมือนกันนะ^^'
คือมาคนเดียว แล้วแบกของเยอะๆ ใส่แว่นเหมือนกันอีก
ก็เลยทักทายกัน ทราบว่าชื่อคุณตั้ม
คุณตั้ม แกเพิ่งมาจากภูแว
ผมก็เฮ้ยย ผมเพิ่งไปมา คุณขึ้นไปวันไหน
คุณตั้มบอกว่าเพิ่งขึ้นวันที่ 30 แต่เขาขึ้นไปช้า
คุยกันได้นิดนึง รถก็มาถึงบ่อเกลือ
ลงจากบ่อเกลือ เราก็ถามถึงรถ เข้าปัว ซึ่งอีก 1 ชั่วโมงจะออก
เราก็เลยนั่งกินข้าวที่ร้านตรงท่ารถ แล้วก็สนทนากันต่อ

คุณตั้มเล่าว่าเขาขึ้นภูแวเมื่อวาน(วันที่ 30) แต่กว่าจะถึงภูแวก็บ่ายได้
เขาไปเสียเวลาที่ดอยภูคา
คือตอนเขาโทรไปถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่อุทยานแนะนำให้เขามาทีี่อุทยานก่อน
ผมก็เฮ้ย ไม่ใช่นะ ของเราเขาให้ไปที่ภูแวได้เลย ไปลงชื่อที่นั่น เพราะโทรไปลงชื่อไว้ก่อนจะมาแล้ว
คุณตั้มบอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน เขาก็ทำตาม นั่งรถจากปัว มาลงดอยภูคา
แล้วก็ต้องต่อมอไซค์ไปด้วยราคา 600 !

เขาบอกว่านี่ต่อแล้วนะ
ผมบอกว่าจริงๆ นั่งรถสองแถวก็ได้
ฟังแล้วเสียดายเงินแทน
แต่ข้อดีของการเหมารถของคุณตั้มก็คือ แวะจอดถ่ายรูปตามทางได้
มองในแง่ดี ก็โอเคอะ (แต่ก็อดเสียดายเงินแทนไม่ได้อะ แพงนะนั่น)

จากนั้นก็คุยกันว่า ได้เจอกับกลุมผู้หญิงที่ขึ้นไปวันนั้นหรือเปล่า
คุณตั้มบอกว่าเจอ เขาก็พูดเหมือนกันว่า เมื่อวานก็มีคนขึ้นภูคนเดียว
ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่

สำหรับผมมันมหัศจรรย์เหมือนกันนะ
คนท่ีเจอที่เดียวกัน ณ ภูแว ได้มาเจอกัน ณ อีกสถานที่
มันดูเชื่อมต่อกันอย่างประหลาด
ผมเจอคุณ ทิม และ เจอกลุ่มคุณก่าแป๊ง
แล้วผมติดรถคุณทิมมาขุนน่าน
คุณตั้มไปเจอคุณก่าแป๊ง ที่พูดถึงผม ที่ภูแว
ผมมาออกจากคุณน่ามาเจอคุณตั้ม ที่เพิ่งลงจากภูแว
แล้วตบท้ายผมไปเจอบล็อคคุณก่าแป๊งในเว็บนี้ เพราะลองเซิรท์คำว่าภูแว
อยากดูว่ามีใครไปมาเหมือนเราบ้าง
ก็ได้มาเจอกันอีก
เป็นเรื่องที่ฟังแล้วเหมือนโม้แฮะ มันไม่น่าเชื่อว่าทุกอย่างจะเชื่อมต่อกันเจอได้
[ยังมีเรื่องที่ไม่น่าเชื่อกว่านั้นอีกคือ
พอได้คุยกับคุณก่าแป๊ง ปรากฏว่า คุณก่าแป๊ง รู้จัก พี่กุ่ยช่าย ซึ่งผมเคยเจอพี่เขาตอนทริปทีลอซู-ทีลอเล
พี่กุ่ยช่ายเป็นเพื่อนของเพื่อนคุณก่าแป๊งอีกที มันน่าเหลือเชื่อไหมละ]


หลังจากกินข้าวและคุยกับคุณต้ัมอย่างออกรส
(อาหารที่บ่อเกลือรสชาติอร่อยและถูกด้วย 30 บาท เยอะมากกกกกกกกกก อิ่มโคตร แนะนำครับ)
ผมก็แลกเบอร์และ e-mailไว้ เผื่อในโอกาสหน้าจะมีโอกาสได้ผจญภัยร่วมกัน
จากนั้น รถก็ไปปัวก็มา
เราก็ขึ้นไปคุยกันต่อบนรถ

ผมก็ถามเขาว่า จะไปที่ไหนต่อ
คุณตั้มก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ต้องไปดอยภูคาก่อน เพราะยืมเต๊นท์จากอุทยานมา
จริงๆ ดอยภูคา ผมเองก็ยังไม่เคยไป(ผ่านตอนมาเฉยๆ)
แต่ยังไม่อยากไปตอนนี้ เพราะวันที่มาเห็นคนเยอะมาก
คิดว่าคงไม่สนุกเท่าไหร่

ส่วนผมเองคงจะไปหาที่นอนที่ปัว ผมกะว่าถ้าหาที่นอนไม่ได้จะไปกางเต๊นท์นอนที่ข้างป้อมตำรวจ -_-'
ก็อยากลองเที่ยวเมืองที่เขาว่าจะเป็นปาย2 (เขาเรียกกันแบบนั้นจริงๆ)

คุยกันสักพัก รถก็ผ่านลานดูดาวของภูคา
ซึ่งคนเยอะมาก เยอะถึงขนาดที่ว่ามีเต๊นท์มากางริมถนนเลย (มันล้นมากจริงๆครับ)
แต่ถามว่าสวยไหม มันก็สวยจริงๆครับ
เพราะตอนนี้ ต้นซากูระเมืองไทย พญาเสือโคร่ง ได้บานแล้วที่ดอยภูคา
แค่รถผ่านเรายังรู้สึกว่ามันสวยเลย
แต่สำหรับผมคงไว้โอกาสหน้า ไม่นิยมไปนอนเบียดๆแย่งพื้นที่กับใครอะครับ
(เคยเจอประสบการณ์นี้ที่เขาใหญ่ รู้สึกเข็ดไปเลยแย่งกันกิน แย่งกันใช้ เที่ยวไม่สนุกเลย)
จากนั้นรถก็มาถึงดอยภูคา
ผมกับคุณตั้ม ก็แยกย้ายกันไป (ค่ารถจากบ่อเกลือไปดอยภูคา 50 บาทครับ)

ส่วนผมก็มุ่งหน้าไปปัวต่อครับ (ค่ารถไปปัว 70 บาทครับ)



"กลับมาที่ปัว จังหวัดน่าน"

เส้นทางระหว่าง ปัวกับบ่อเกลือ มีจุดที่ผมชอบมากช่วงนึง
ตอนมาผมถ่ายรูปไว้ไม่ทัน
ขากลับ ช่วงที่รถใกล้จะถึงจุดนั้น
ผมก็เตรียมกล้องถ่ายไว้
แม้ภาพจะไม่สวยนัก แต่ผมก็อยากอวดนะ











จะอธิบายไงดีละ
ผมชอบตรงที่ทางมันเป็นทางขึ้นแล้วก็ต่อด้วยเลี้ยวซ้ายขวา สลับไปมา
มันดูสวยมากเลยนะ ชอบมากๆ


รถมา ปัว ประมาณ 3 โมงกว่าๆได้
ตอนนั่งรถมา เราผ่านวัดพระธาตุเบ็งสกัด ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งของอำเภอปัว
ผมกะว่าจะไปถ่ายรูป
แต่สิ่งที่สำคัญที่ผมควรจะทำก่อนคือ หาที่นอนคืนนี้!

จากการสอบถามพี่ๆ ตรงท่ารถ
ที่พักจะมีหลักๆ สองโซน
คือตรงริมถนนหลัก
กับตรงตลาดล่าง
ผมไม่รู้นึกไง ไปทางตลาดล่าง
ก็เดินไปเรื่อยๆ
เจอแมนชั่นนึง ก็เต็ม
เดินๆไปตรงตลาดล่าง ถามแม่ค้าแถวนั้น
เขาบอกว่ามีอีกที่คือ ปรางค์ทองแมนชั่น

ผมไปถึงปรางค์ทอง ผู้ดูแลก็บอกว่าเต็ม
ผมก็ถามเขาตรงๆว่าๆ "เอ่อ... มีที่อื่นแนะนำไหมครับ"
เขาก็ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า (ส่วนเราก็คอตกสิ)

จังหวะที่ผมกำลังเดินออกมา
ก็มีผู้ชายวัยรุ่น น่าตาดีคนนึงเข้ามาทักทาย
เขาบอกว่า ผมมีเต๊นท์มาใช่ไหม
สนใจกางตรงลานนี้ไหม
เขาคิด 100 บาท ค่าใช้ห้องน้ำ
ตอนแรกผมโลเล ไม่ใช่ว่า งกเงิน 100 นะครับ^^'
แต่ใจผม คืนนี้อยากจะนอนสบายๆสักหน่อย
หลังจากนอนไม่หลับสนิทนักมาสองคืน
แต่มาคิดแล้ว ถ้ามัวแต่หาที่พัก ก็อดเที่ยวพอดี
"โอเค ตกลงเลยครับ"
มาทราบภายหลังว่า ชายคนนี้เป็นลูกเจ้าของครับ
ทำงานที่กรุงเทพฯ อยู่โตโยต้า ประชาชื่น แต่....
ผมจำชื่อเขาไม่ได้แล้วครับ O_o (จำได้ว่าทำงานที่ไหน แต่ลืมชื่อไปเฉยเลย)


หลังจากกางเต๊นท์เสร็จ
ผมเก็บของแล้วออกไปถ่ายรูปทันที




(ที่นอนผมคืนนี้ครับ กางเต๊นท์นอนหน้าปรางทองแมนชั่น)




"เดินเที่ยวเมืองปัว"




(ตลาดล่างเมืองปัว)

จากปรางค์ทองแมนชั่น ผมเดินขึ้นมาที่ตลาดล่าง
ซึ่งจะพบกับวัดปรางค์
อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของปัวครับ






ที่วัดปรางค์ มีต้นไม้ที่มีชื่อเสียงว่า "ต้นดิกเดียม"
เขาว่าต้นไม้นี้ ถ้าคนอารมณ์ดีไปลูบเบาๆ มันจะขยับได้
แต่ผมลองลูบแล้วไม่ขยับ
อะไรกัน! ผมออกจะอารมณ์ดีสุดๆ

อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่ออะครับ :)


จากน้ันผมก็ตระเวนถ่ายรูปเดินขึ้นไปครับ





(วิวข้างวัดปรางค์)





(ทุ่งตรงแถวๆ วัดปรางค์)






(ขอบใจที่ถ่ายให้นะ คุณวัวคงจะบอกผมแบบนั้น...)



ผมกลับมาที่ถนนใหญ่
เดินข้ามไปทางตลาดบน
เพื่อไป วัดพระธาตุเบ็งสกัด



(วัดพระธาตุเบ็งสกัด)







หลังจากได้เที่ยวสองวัดที่มีชื่อเสียงของปัวแล้ว
ผมก็ชักไม่แน่ใจว่า ปัวจะมีอะไรรอเราอีกนะ
เริ่มคิดว่า พรุ่งนี้เราจะวางแผนเที่ยวยังไงดี
ผมยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจจะไปลำปาง แช่น้ำร้อนที่อุทยานแจ้ซ้อน
เลยโทรไปเช็คกับทางรถน่าน
เขาบอกว่า จากน่านไปลำปาง
ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
เท่านั้นแหละครับ ผมเลิกเลย -_-'
รู้สึกว่า 5 ชั่วโมงมันเยอะเกินไปสำหรับที่จะเที่ยวอีกที่
ไว้โอกาสหน้าเราไปจากกรุงเทพฯเลยดีกว่า

เมื่อไม่รู้จะไปไหนต่อ
ผมก็เดินเล่นที่ปัวอีกรอบ
โดยกลับไปท่ีตลาดล่าง กะว่าจะหาของกินด้วย



(ปัวรามา เข้าใจว่าโรงหนังนี้คงปิดแล้วมั้ง เห็นเงียบๆ)

ผมชอบโรงหนังตามต่างจังหวัดนะ มันจะมีลักษณะคล้ายๆกันเลย
คือดูเป็นตึกทรงแบบเนี่ย เกือบทุกจังหวัด ที่เจอเลย
แต่หลายๆ ที่ก็ค่อยๆ ปิดตัวลงไปอะนะ เศร้าๆ
;p


ที่ตลาดล่าง ผมซื้อโรตีมากิน
อร่อยดีเหมือนกันครับ
เดินไปกินไป ถ่ายรูปไป ดูเลอะๆ เทอะๆ ดี -_-'





(ร้านที่ปิดอยู่นี้ ผมเคยอ่านเจอในเว็บเขาบอกว่า
โอวัลตินที่นี่อร่อยมาก หวังว่าคราวหน้าจะได้มาชิม)






(ต้นไม้ใหญ่มากครับ อลังการโคดๆ จริงๆผมอยากถ่ายคนกับต้นไม้
แต่รถคันนี้จอดแช่นานมาก ก็เลยถ่ายมันซะเลย ฮ่าๆ)


ผมกลับมาที่พักอีกทีก็เกือบค่ำ
ทางเจ้าของอพาท์เมนท์บอกว่า คืนนี้เสียงจะดังหน่อยนะ
มีปาร์ตี้ แต่เราสามารถมาแจมได้นะ (ว้าว ฮ่าๆ)


"ท่องราตรี ณ ปัว กับมิตรภาพดีๆ ที่ได้จากเพื่อนใหม่"

ผมอาบน้ำ แล้วก็กลับมานอนเล่นในเต๊นท์ฟังเพลง สบายๆอารมณ์
แล้วก็นึกสนุก อยากไปถ่ายรูปงานสิ้นปีของปัว
ผมคิดว่าทางอำเภอน่าจะจัดแหละ
ก็เลยออกไปถ่ายรูป
แต่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องไปด้วย
เพราะคิดว่า เดี๋ยวจะไปเกะกะคนอื่น
ซึ่งผมคิดผิดมหันต์เลยครับ
เพราะที่นี่เขาไม่มีงานไรเลยครับ!
เวลายังไม่ถึงสองทุ่ม
แต่ร้านค้าต่างๆ เก็บกันเกือบหมด
ผมเหวอเลย
ยังไม่ได้กินไรเลยอะ

ผมต้องเดินออกมาถนนใหญ่ ไปถึงตลาดบน
ก็เห็นมีร้านผัดไทกับร้านนมสดอยู่ริมถนนที่ยังเปิดร้าน
ร้านอื่นๆในตลาดบน ปิดกันหมด
เอาวะ กินผัดไทก็ได้




(ผัดไทหน้าตลาดบนของปัว)


สำหรับผัดไทเจ้านี้ ก็พอทานได้ครับ แต่ออกหวานไปหน่อย
ไม่ถูกใจผมเท่าไหร่ แต่ก็โอเคนะ พออยู่ท้องครับ

จากผัดไท ผมก็มากินนมสด
ซึ่งร้านนี้จะวางเบาะบนถนน ก็ดูแปลกๆ น่ารักดีเหมือนกันนะ



(ร้านนมสด ของ เจ ริมถนนปัว)

อากาศที่ปัวคืนนี้ไม่หนาวเท่าไหร่
ตอนแรกผมใส่เสื้อหนาวมา ถึงกับต้องถอดเลยล่ะ


ระหว่างที่ผมนั่งชิวๆ ดูรถผ่านไปผ่านมา
เจ้าของร้าน ก็เข้ามาทักทาย
ซึ่งก็คือ คุณเจ นักศึกษาปี 2 ที่วิทยาลัยการช่าง ที่ปัวนี่แหละครับ
เจเปิดร้านนี้มาได้สองเดือนแล้ว
ถ้าใครไปที่ปัว อย่าลืมนั่งเล่น ดื่มนมสดร้านเขานะครับ :)


เจอัธยาศัยดี แนะนำสถานที่ต่างๆ ในปัวให้ผม
ผมถึงทราบว่าจริงๆ แล้ว แหล่งที่พัก ของกินน่ะ อยู่ริมถนนไปทางสวนสาธารณะ
ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ กิโลกว่าๆ
เขาบอกว่าท่ีตลาดล่างน่ะ มันไกลมากเลยนะ เดินมาถึงนี่เลยเหรอ
ผมบอกว่า วันนี้ผมเดินขึ้นลงไปสองรอบละ T_T
เจ มีเพื่อนอีกคน (ผมลืมถามชื่ออะ) ที่มาเปิดร้านด้วยกัน
ส่วนเพื่อนอีกคนที่ตามมาสมทบ คนนึงเป็นอาจารย์พิเศษ ชื่อ อิท (ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนอิทอีกที)
อิท เล่าว่า เขาเป็นอาจารย์สอน เด็กชาวเขาที่บ่อเกลือ
ผมก็เลยได้รู้อะไรเพิ่มเติมเรื่องบ่อเกลือ และปัว จากเจและอิท
เขาบอกว่า ที่ปัวน่ะ คืนนี้เงียบอยู่แล้ว
เพราะหลายๆ คนก็ขึ้นไปภูคานั่นแหละ

ตอนนี้นมหมดไปแล้ว อิทเลยเอาเหล้าปั่นมาให้กิน
รสชาติดีทีเดียว เห็นบอกว่าผสมไปหลายช็อต
ฮ่าๆ แต่สำหรับผมแล้วไม่เท่าไหร่หรอก เจอเหล้าเถื่อนมาแล้ว :D


จากนั้นผมก็ถามถึงงานเคาท์ดาวของที่นี่
เจก็บอกว่าไม่แน่ใจว่ามีหรือเปล่า แต่ถ้ามี คงจัดที่สวนสาธารณะมั้ง
ผมก็เลยเดินไป กะว่าเดี๋ยวแวะกลับมาใหม่

จ่ายค่านมสดไป 15 บาท
นมอร่อย ได้มิตรดีๆ และเหล้าเยี่ยมๆ รู้สึกดีจังครับ :)


ผมเดินไปทางสถานีตำรวจ จุดที่กำลังจะถึงสถานี
ระหว่างทางมีชายคนนึงขี่มอไซค์มาทักทาย
เขาบอกว่า "จะไปลานเบียร์หรือเปล่า เนี่ยผมหาเพื่อนดื่มอยู่" .... -_-'
ผมก็งงๆ เป็นคำชวนที่ เอ่อ.. เขาอาจจะจริงใจนะ แต่มันแปลกๆ ครับ
ก็ปฏิเสธไป (แต่ถ้าเป็นผู้หญิงเราคงไป อ้าว! ฮ่าๆ)

ผมเดินมาถึงสถานีตำรวจ ซึ่งค่อนข้างเงียบมาก
ผมถามเจ้าหน้าที่อีกทีว่าสวนสาธารณะไปทางไหน
ซึ่งก็เดินในซอยด้านหลังสถานีก็จะถึง
เดินไปได้นิดเดียวก็มีมอไซค์มาทักทาย คราวน้ีไม่ใช่คนแปลกหน้า
แต่เป็น เจ เจ้าของร้านนม
เขาบอกว่า เดี๋ยวเขาไปส่งดีกว่า เดี๋ยวพาเที่ยวเมืองปัว



"ฉลองปีใหม่ ที่ปัว มิตรภาพดีๆจาก ชาวปัว"

เจ บอกผมว่า ที่บ้านเก็ต จะมีงานประจำปี เป็นงานชาวบ้านๆ
แต่ผมบอกว่า ผมชอบ และสนใจ
คุณเจก็เลยขี่ไป
ทางค่อนข้าง งงๆ วกไปวนมาในซอย
ขี่มาได้สักพัก เราก็ได้ยินเสียงดังก้องๆมา
แล้วเราก็มาถึงงานฉลองปีใหม่ของบ้านเก็ต
เป็นงานวัด มีเวทีประกวดร้องเพลง
มีซุ้มรำวงย้อนยุค
ดูภาพกันดีกว่า :)




(งานฉลองส่งท้ายปีของ บ้านเก็ต ตอนนี้กำลังประกวดร้องเพลง)





(ใช้ฟิล์มขาวดำบ้าง แม้จะมองรายละเอียดในส่วนบนเวทีจะสว่างเกิน แต่รายละเอียดอันน้อยนิดด้านล่างเวที มันเสน่ห์ดีนะ)




(งานรำวงย้อนยุค กำลังแดนซ์เพลง "จังซี่มันต้องถอน" เราฮามากเลย)


นึกแล้วเสียดายมากๆ ที่ไม่เอาขาตั้งกล้องมาด้วย
ไม่งั้นคงได้ถ่ายภาพเยอะกว่านี้ ผมชอบงานแบบนี้นะ น่ารักดี

จากนั้นเจก็พาผมไปที่สวนสาธารณะ ที่ที่เราคิดว่าจะมีงานปีใหม่
แต่ปรากฏว่าไม่มีงานใดๆ เลยครับ
เจเลยพาไปที่ โรงแรมอูปแก้วรีสอร์ท
เขาบอกว่าท่ีนี่สวย
ซึ่งที่นี่สวยน่าพักจริงๆ
มีเต๊นท์ไว้บริการด้วย ซึ่งตรงนี้จะได้วิวดีกว่าตรงตลาดล่างนะ
เพราะอยู่ด้านบนแถมยังอยู่บนสวนสาธารณะอีกต่างหาก

หลังจากนั้นเจก็พาผมทัวร์ตลาดล่าง จะพาไปวัดอีกแห่งที่ผมยังไม่ได้ไป
"วัดต้นแหลง" ซึ่งเป็นอีกวัดที่สำคัญของ อำเภอปัว

ระหว่างทางขับผ่าน ร้านสเต็ก IMF เจบอกว่า ร้านนี้อร่อยและถูก
ผมกะว่าตอนเช้าต้องมาชิมแน่ๆ

ขับรถมาไกลอยู่เหมือนกัน ก็ถึงวัดต้นแหลง
วัดนี้เป็นวัดไทยล้านนา
ผมได้แต่ดู ไม่ได้ถ่ายรูปมา
ผมกะว่าตอนเช้านั่งมอไซค์ คงไม่กี่ตังค์มั้ง
หลังจากนั้นเจก็พาผมกลับมาที่ร้าน




(กลับมาที่ร้านของเจ ตอนนี้เก็บนมสดแล้ว แต่ดันมีขวดนี้มาแทน)

ซึ่งขวดนี้คนเอามาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอิทนั่นเอง

อิทถามผมว่าได้ไปไหนมาบ้าง
ผมก็ว่าได้ไปทั้ง บ้านเก็ต สวนสาธารณะ รีสอทอูปแก้ว และ วัดต้นแหลง
อิทบอกว่า ไปวัดต้นแหลงกลางคืนเนี่ยนะ
ผมบอกว่ายังไม่เคยไป เจเลยขับพาไปดูทาง
กะว่าตอนเช้าจะนั่งมอไซค์รับจ้าง ไปถ่ายรูป
อิทว่า ถ้านั่งมอไซค์ไป เขาคิด 40 บาทนะ
ผมก็งงเลย มันไม่น่าจะแพงขนาดนั้นนะ
คือมันก็ไกลอยู่ แต่ก็ไม่น่าจะไกลขนาดค่ารถ 40 บาท
สงสัยผมปัวคราวหน้า ผมคงต้องฝึกขี่มอไซค์ละ
ดูท่าเช่าน่าจะคุ้มกว่า ;p

คุยกันสักพัก ผมคิดว่าจะกลับไปที่พัก
อิทเลยอาสาไปส่ง
ก่อนไปส่ง อิท ก็พาทัวร์โซนร้านเหล้าของปัว
จากนั้นก็พากลับไปที่ ปรางค์ทองแมนชั่น


ที่ปรางค์ทองแมนชั่น ไม่ได้มีเต๊นท์ผมคนเดียวแล้ว
มีเต๊นท์อีก 4 หลังผุดขึ้นมา
แล้วก็กลุ่มปาร์ตี้ก๊งเหล้าร้องเพลงอย่างสนุกสนาน

ลูกชายเจ้าของปรางค์ทอง ก็ชวนผมมาสังสรรค์
มีรึเราจะปฏิเสธ :D

ค่ำคืนนี้เรามีทั้งเหล้า เบียร์ หมูกะทะ ผู้คน และเสียงเพลง
ได้คุยกับผู้คนมากมาย
ได้คุยกับเพื่อนของลูกเจ้าของอีกคน(ลืมชื่ออะ T_T)
ซึ่งเขาก็เรียนอยู่กรุงเทพ
ตอนแรกคุยกันไว้เดี๋ยวแลกเบอร์กันผื่อไว้นัดเจอกันที่กรุงเทพฯ
แต่ด้วยฤทธิ์แอลกรอฮอล ลืมครับ -_-'

มีเหตุการณ์เล็กๆท่ีอยากเล่าในวงเหล้านี้คือ
มีลุงคนนึง เป็นเพื่อนของเจ้าของ
ลุงแกเมาค่อนข้างมาก จะพูดจาห้วนๆ
ตอนแกมาถึง แกก็พูดแค่ว่า "เอ้า กิน"
"กินสิ หมู่ย่างเมืองตรัง"
แกเอาหมูย่างมาฝากวงเหล้าครับ
รสชาติดีทีเดียว
แกมาได้สักพัก แกก็หายไปพักใหญ่ๆ
กลับมาอีกที คราวนี้มาพร้อมไก่
แกก็พูดห้วนๆ เหมือนเดิม "เอ้า กิน"
"ต้องใช้มือด้วย ถึงจะอร่อย"
ซึ่งไก่ที่แกนำมานั้น อร่อยมากๆ เลยละ
หลังจากนั้นแกก็ขับรถกลับไป
มารู้ทีหลังว่า เห็นแกเมาๆ มึนๆ แบบน้ี
แกไม่ธรรมดาเลยละ เป็นเจ้าของฟาร์มเชียวนะ

คืนนั้นเราดื่มรอเวลาจนผ่านสู่วันใหม่
เมื่อสู่วันใหม่ ก็ปล่อยโคมลอยกัน





(ปล่อยโคมลอย ต้อนรับปีใหม่ ที่หน้า ปรางค์ทองแมนชั่น)



สำหรับวันนี้นอกจากผมจะอิ่มท้องแล้ว
ผมยังอิ่มเอบกับมิตรภาพที่ได้รับจากคุณเจ คุณอิท และเพื่อนๆ เจ้าของปรางค์ทองแมนชั่นด้วย
ขอบคุณมากๆ ครับ ชาวปัว :)

(การเที่ยวครั้งนี้ของผมยังไม่จบนะครับ :D ยังมีอีกตอน
คาดว่าจะอีกสองวันคงจะเขียนเสร็จครับ)


Create Date : 20 มกราคม 2553
Last Update : 20 มกราคม 2553 0:01:49 น. 14 comments
Counter : 3765 Pageviews.  

 


โดย: นาฬิกาสีชมพู วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:0:20:49 น.  

 
ต้องบอกว่ากล้าหาญมากกะการเดินทางคนเดียวสมัยนี้

ภาพสวยครับแต่คำบรรยายนี่งดงาม เล่าได้ละเอียดเหมือนว่าเราได้ไปด้วยเลย เห็นภาพชัดเจน เยี่ยมมากครับ



โดย: วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:1:09:17 น.  

 


โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:2:38:07 น.  

 
โหว์.. ละเอียดยิบๆ เลยค่ะ แต่ก็อ่านยิบๆ เหมือนกัน แหะๆๆ


โดย: ผู้หญิงมากฝัน (maesnake ) วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:10:17:14 น.  

 
เวลาเราไปเที่ยวคนเดียว
จะได้รับมิตรภาพกลับมามากมายเลยนะคะ

สนใจอยากไปเที่ยวน่านบ้างแล้วสิ


โดย: chenyuye วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:13:08:24 น.  

 
เคยไปน่าน แต่ยังไม่เคยได้เที่ยว หวังว่าคงมีโอกาสได้ไปเที่ยวแบบนี้บ้าง คงเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก


โดย: execute IP: 124.120.163.110 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:14:29:36 น.  

 
แหม..อ่านสนุกจังเลยนะคะ แอบอิจฉาที่เกิดมาเป็นผู้ชาย ได้ไปเที่ยวคนเดียวด้วย ...น่าสนุกจังค่ะ


โดย: noinanai วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:15:21:44 น.  

 
ขอตามไปเที่ยวด้วยคร่า ^^

อ่านเพลินเลยค่ะ ชอบ ๆ ไปเที่ยวแบบนี้ก็ดีเนอะ

ที่นี่สวยจังค่ะ บรรยากาศดีเชียว


โดย: phety talon วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:16:34:13 น.  

 
ติดตามทุกตอนเลยอ่ะค่ะ.ที่ที่คุณพูดถึงก็เคยไปมาแล้วเหมือนกัน....อยากรู้จังจากเมืองปัวแล้วจะไปไหนต่อ..


โดย: น่านน่าอยู่ IP: 112.142.5.231 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:21:53:29 น.  

 
อ่านเรื่องราวของคุณวัชแล้ว รู้สึกว่าได้ไปหลายที่จัง ได้ไปเที่ยวมากกว่าเราซะอีก
ทั้งๆที่ไปน่านเหมือนกันแท้ๆ ทำไมของเราเหมือนได้ไปไม่กี่ที่เอง แค่ขึ้นดอยก็หมดเวลาแล้ว
สงสัย..คงต้องให้คุณก่าแป๊งจัดไปใหม่ซะแล้ว อิอิ..

ป.ล. รูปสวยมากค่ะ ทริปนี้เราไปไม่เจอหมอกเลย ดูรูปคุณวัชแทนละกัน สวยเหมือนได้ไปเห็นกับตาแหนะ


โดย: Benze' IP: 203.121.151.218 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:21:53:31 น.  

 
ตามมาอ่านต่อจ้า

ภาพชุดนี้ชอบภาพงานบุญที่เป็นขาว-ดำอ่ะจ้า ดูแล้วรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ของงานนี้และหมู่บ้านนี้ดี ชอบๆๆๆๆ

ปล.คิดไปคิดมาโลกเราก็กลมจริงๆเนอะ ไม่แน่นะถ้าลองไล่ไปเรื่อยอาจเป็นเพื่อนกันหมดก็ได้ อิอิ


โดย: ก่าแป๊ง วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:0:19:15 น.  

 
สุดยอดครับ คุณคือผู้พิชิตคนหนึ่งเลยทีเดียว ภูแวได้ยินมาว่าขึ้นเหนื่อยเอาการเลยใช่มั๊ยครับ เคยไปเที่ยวดอยภูคาหนนึง จนท.บอกว่าไงจำไม่ค่อยได้นานแล้ว แต่คือฟังแล้วเปลี่ยนใจไม่ขึ้นเลย
เที่ยวคนเดียวเป็นประสบการณ์ที่ดี เป็นประสบการณ์ที่น่าอิจฉา เป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในตัวตนของเราได้ ยินดีด้วยครับ เยี่ยมมาก
นาน ๆ จะเห็นภาพจากกล้องฟิล์มมาโลดแล่นบนจอดิจิตอลสักที จขบ.ขยันสแกนมาก ก็เป็นกำไรที่แบ่งปันให้ผู้อื่นได้เสพภาพด้วย ชอบหลาย ๆ ภาพเลยนะครับ โดยเฉพาะภาพน้ำตก แล้วก็ภาพถนนที่บอกว่าอยากจะอวดภาพนั้น จำเนินนั้นขึ้นมาได้ทันทีเลย ตอนนั้นเป็นคนขับเลยไม่สามารถจะถ่ายได้ อยากถ่ายเหมือนกันแต่อด ได้รับของฝากจากคุณจขบ.เลย Cool
ไว้จะแวะไปอ่านเรื่องราวการเดินทางช่วงก่อนหน้านะครับ เพิ่งเห็นบล๊อคของคุณ ถือเป็นบ้านที่น่าสนใจอีกหลัง ขอadd นะครับ


โดย: น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:16:19:52 น.  

 

คุณ วันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
- ขอบคุณสำหรับคำชมครับ :D


คุณ ผู้หญิงมากฝัน (maesnake)
- ขอบคุณครับ ฮ่าๆ


คุณ chenyuye
- ควรไปครับ :D ที่น่านมีอะไรให้เที่ยวเยอะเลยครับ ปัว บ่อเกลือ ขุนน่าน ศรีน่าน หรือกระทั่งตัวเมืองน่านเอง


คุณ execute
- การท่องเที่ยว ไม่ว่าที่ไหน เป็นประสบการณ์ที่ดีแน่นอนครับ ไปแล้วมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ :D


คุณ noinanai
- ผู้หญิงเที่ยวคนเดียวได้ครับ แต่อาจจะลำบากกว่าผู้ชาย​(ต้องระมัดระวังตัวกว่าผู้ชาย) ถ้าให้ดี หาเพื่อนสักคน แล้วลุยเลย

คุณ phety talon
- ขอบคุณครับ :)

คุณ น่านน่าอยู่
- :D ผมลงตอนจบแล้วครับผม


คุณ Benze'
- ถ้าไปน่านอีก ต้องไปกันหลายที่เลยนะ :)
ตอนนี้ คุณเจ บอกว่าที่ปัวดอกไม้ที่เกาะกลางกำลังบาน สวยเชียวละ
แล้วดอกชมพูภูคา ก็น่าจะกำลังบานแล้วด้วย
ไหนจะอุทยานศรีน่าน ดอยเสมอดาวอีก ผมก็ไม่เคยไป
ไว้จัดทริปไปกัน แต่คงปีหน้านะ ฮ่าๆ ปีนี้ของบไปเที่ยวที่อื่นต่อ :)


คุณ ก่าแป๊ง
- โลกกลมจนน่าตกใจ ฮ่าๆ :D
ผมไปอ่านตอนล่าสุดที่ไปเชียงคานแล้วนะ
เล่นเอาผมต้องจัดทริปไปบ้างเลยเนี่ย ฮ่าๆ


คุณ น้ำ-ฟ้า-ป่า-เขา
- ผมอ่านบล็อกพี่แล้ว อึ้งไปเลยครับ อลังการงานสร้างมากครับพ่ี ชอบครับ
ไว้ผมขอติดรถไปเที่ยวบ้างได้ไหม (ฮาๆ)
ส่วนภาพที่ผมลง ผมไม่ได้สแกนเองครับ
คือให้ร้านทำครับ เป็นวิธี ล้างฟิล์มและสแกนจากฟิล์มครับ
[ถ้าฟิล์มสีราคาม้วนละ 60 บาท
ถ้าขาวดำจะล้างสแกนม้วนละ 120]
เราจะได้ภาพดิจิตอลขนาด 1200 x 1600 ซึ่งเพียงพอกับการมาลงเว็บแล้วครับ
ไม่ต้องเสียเงินอัดภาพ (เพราะจ่ายไม่ไหวด้วยครับ ฮิๆ)
อีกอย่างถ้าอัดภาพแล้วมาสแกนภาพ
คุณภาพก็จะไม่ดีด้วย เพราะถ้าเครื่องสแกนไม่ดีจริง
คุณภาพด้านสีและความคมลดไปเยอะเลยครับ
สแกนจากฟิล์ม(ให้ร้านทำ) เป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ
เพราะเครื่องที่ร้านจะปรับสีออกมาดีมาก


โดย: วัชเจียเหว่ย วันที่: 22 มกราคม 2553 เวลา:2:01:32 น.  

 
นับถือครับ เดินทางไกลๆ คนเดียวแบบนี่ ไม่เปล่าเปลี่ยวหัวใจบ้างหรือไร


โดย: ไอฟายน้อย (Ces ) วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:12:17:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วัชเจียเหว่ย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add วัชเจียเหว่ย's blog to your web]