Bloggang.com : : Bernadette :

The Da Vinci Treasure (2006):Shroud Turin, Medici Family and Davinci

หนังดูเอาสนุก ไม่คิดอะไรมากค่ะ ชอบตรงที่ได้มีเกร็ดความรู้ดีงะ

London England

คฤหาสถ์ ดีโคเต Dr.ไมเคิลกะพวก ได้เข้าไปจารกรรม หนังสือลายมือ ระหัสปริศนาของดาร์วินชี่ เค้าเจอ Davinchi optics (ปี1499)แว่นตาดาร์วินชี่

Notes on optics
c.1485-90 Leonardo da Vinci (1452-1519)
Probably acquired by Charles II, Royal Collection by 1690

The other fields of research to which Leonardo applied his efforts during the years in Milan were optics and perspective. His optical projector and perspective frame, a model of which built here, are examples of his work

The da Vinci 3D Camera แว่นตาสามมิติตั้งชื่อเป็ฯเกียรติแก่ดาวินชี

Leonardo believed that the eye was a geometrical body, comprised of two concentric spheres. The outer he referred to as the “albugineous sphere” and the inner as the “vitreous” or “crystalline sphere”. At the back of the eye opposite the pupil is an opening into the optic nerve by which images were sent to the imprensiva in the brain, where all sensory information was collated.

เค้าหาสิ่งที่เป็น อิตาเลียน โรมาเนียน และกะเจอ เป็ฯภาษา ลิกูเรียน เป็นประเทศหนึ่งติดอิตาลี แต่ไมเคิลต้องการที่เป็นภาษา อิตาเลียน

ในหนังสื่อ เค้าเจอ Lost Davinchi Codex ปี1518 โคตของดาวินชี่ที่หายไป

กลมกลมคล้ายๆๆแบบนี้อะ กะดูเองในหนังอะ อันนี้คล้ายๆๆกานน
สมบัติของจักรพรรดิ์ที่ครอบครองเมื่อ2000ปีมาแล้ว ของตะกูล The Medici
เมื่อ500ปีมาแล้วมันได้หายไปจากโลก

และกะโดนผู้ร้าย มาแย่งไป จูเรีย นางเอกกะมารับไมเคิลเกือบไม่ทันและกะหาระหัสสมบัติดาวินชี่ต่อ

ที่Parma Italy
ภาพวาดของดาวินชี่ส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐานของฟิสิกกะดาราศาสตร์
ไม่ใช่ภาษาอิตาเลียน ไมเคิลหันกระดาษกลับและอ่านย้อนกลับดู
การเขียนกลับหลังมันของดาวินชี่ชัดๆๆ
เป็นเค้าร่างทางศาสนา "I C QUS"ถูกแกะสลัก ที่ the Grand Theatre ประเทศกรีก ความหมายคือ I C QUS = Christ , Son of God Savior

Well" God commaned the light the shine out ot the darkness
Shined in our heart ...Someting....Someting...in The Face of Christ Jesus" 2 Corinthians:4:6

นั้นคือ 2 โครินทร์ 4:6
พระเจ้าผู้ตรัสว่า"ให้แสง สว่างส่องออกมาจากความืด"ก็เป็นผู้ ทรางฉายแสงเข้าสู่จิตใจเรา เพื่อส่องสว่างให้เรามีความรู้ถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์นี้ปรากฎอยู่บนพระพักตร์ของพระคริสตเจ้า

ในหนังตีความว่า ใช้อ้างถึงผ้าห่อพระศพพระเยซู ของเมืองตูริน
The Turin Shroud อยู่ที่ เซ็นต์จอร์น ปับติสตา ที่ตูริน

St. John the Baptist, Turin เซ็นต์จอร์น ปับติสตา ที่ตูริน
เมื่อปี ค.ศ. 1988 เรื่องราวชวนพิศวงดูเหมือนจะคลี่คลายถึงบทสรุปแล้ว จากผลการตรวจสอบหาอายุของผ้าห่อศพปริศนา โดยวิธีการทำคาร์บอน เคตติง ของคณะนักวิทยาศาสตร์อย่างน้อยสามคณะ และสรุปออกมาว่า ผ้าห่อศพปริศนา เป็นของปลอม ในประเด็นว่า มิใช่ผ้าห่อพระศพของพระเยซูคริสต์อย่างแน่นอน เนื่องจากอายุของผ้าห่อศพปริศนา ตกเพียง 700 ถึง 800 ปีเท่านั้น มิใช่ย้อนหลังไปไกลถึงวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คือ เมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว

และการตรวจสอบยังไม่สิ้นสุดกะมีการตรวจสอบถกเถียงต่อไป เพราะตอนทดสอบดันตัดขอบผ้า ผ้าเคยได้รับการซ่อมแซมมาครั้งหนึ่งหลังจากผ้าถูกไฟไหม้ และผ้าได้รับการซ่อมแซมอยู่เรื่อยตอนนี้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมอีก หรือทดสอบด้วยเอ็กซเรย์แต่ละจุดของเนื้อผ้าไม่เท่ากันเพราะซ่อมอยู่เรื่อย หรือทดสอบจากวานิลลิดูอายุ ถ้าเกิน 2000ปีย่อยสลายไปหมดแล้ว .......กะถกเถียงกันต่อไป

แต่กะยังมีผู้ศรัทธาอยู่ ไม่ได้ศรัทธาที่ผ่าพระห่อศพ แต่เค้ามีศรัทธาในความเชื่อพระเยซู

ในหนังสื่อ ที่โบส์ถเซ็นต์จอร์น ปับติสตา มีผ้าห่อศพจริงแต่เป็นของปลอม
ขุมทรัพย์ชื่อ Sfoza เป็นชื่อท้ายผู้มีอุปการะคุณดาวินชี่ เป็นสมบัติของครอบครัว เมดิชี่Medici มันถูกขโมยมาจากอาณาจักรอ๊อตโตมาน Ottoman Emprie ถ้าเจอเป็ฯการค้นพบทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่

มันเกี่ยวอะไรกับผ้าห่อพระศพตูริน มีคนบอกว่าก่อนถอนกำลังปี1499 Sfozaผูกมิตรกับอ๊อตโตมาน เข้าตี Selim เค้าอนุญาติให้เอาสมบัติไปซ่อนที่อาณาจักรอ๊อตโตมาน Selimตกลง แต่ไม่เปิดเผยเรื่องตำแหน่งที่ฝังที่ฝังศพ Sfoza ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
และผ้าห่อพระศพหละ ....นี้คือสิ่งที่เราค้นหา เห็นได้ชัดที่ฝังศพเป็นห้องลับที่ฝังโดยอัศวินแทมพลา ระหว่างสงครามคูรเสด สมบัติที่หาค่าไม่ได้นั้นคือ ผ้าห่อพระศพ

ไมเคิลและจูเลียได้ผ้าห่อศพไป แต่คนร้าย กะมาแย่งผ้าห่อศพอีกแหละ หลักฐานที่เหลือคือ รูปถ่ายผ้าห่อพระศพทั้งหมด เอามาต่อกานน ไขปริศนา

ในหนังสื่อ
เป็นภาพ negativeที่เคยเห็นมาก่อน คล้ายๆๆภาพ สามมิติ Isometric illusion 3Dต้นๆๆมันเหมือสร้างภาพปลอม ยุ่งเหยิงไปหมด มันเป็นการรับรู้ทางโบราณของสมัยกรีกโบราณ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เราเพิ่งเรียนรู้มันแค่ศตวรรษที่แล้ว

ในศตวรรษที่ 18 นักธรรมชาติวิทยาชาวสวิซเซอร์แลนด์ L.A.Necker
เค้าอธิบายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนวาดเป็น 3 D มองตรงๆๆในทางลึก เค้าจะเขียนว่า การเปลี่ยนของกาซในตาสามารถเปลี่ยนการรับรู้
Where is the green side ? On the front of the cube or at the back ? Keep looking at the cube and you'll find that it switches a few times. First described by professor L. Necker who noticed this while studying drawings of crystals.
ลูกบาศก์เนกเกอร์ (Necker cube) เป็นภาพลวงตาชนิดหนึ่ง คิดค้นโดย ลุยส์ อัลเบิร์ต เนกเกอร์ นักผลิกศาสตร์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ใน พ.ศ. 2375 เป็นภาพโครงสร้างของลูกบาศก์ ภาพนี้สามารถมองให้ด้านหน้าของลูกบาศก์เป็นด้านหน้าหรือด้านหลังของภาพก็ได้
Created by : L.A. Necker

และดาวินชี่สร้างแว่นตา เวอร์ชั่น 3 D อย่างคร่าวๆๆ และไมเคิลกลับไปคฤหาสถ์ ดีโคเต อีกครั้งเพื่อจารกรรมแว่นตา และกะได้มา ไขปริศนาต่อ

เค้านำรูปห่อพระศพมาเรียงต่อกัน และใส่แว่นตาของดาวินชี่ ภาพที่เค้ามองเห็นคือ มีคนยืนตรงกลาง เทพเจ้าอียิปต์คนมีหัวเป็นสุนัข สัตว์ งู มันคือแผนที่ Monoscelli in Asia มงกุฎ คืออังกฤษ คันศร และถอดระหัส ตัวอักษร กลับด้าน II morso finale ลากแผนที่สัญญาลักษณ์ดู คือ อัฟกานิสสถาน
Santa Maria delle Grazie ที่อยู่ของภาพ The last Supper

เซ็นโทมัส คนที่ชี้มือขึ้นไปข้างบนอะ
และสัญญาลักณ์ที่เค้าเห็นลูกศรอีกอัน II morso finale ตัดคำสุดท้ายออก คือ Thomas อัครสาวกพระเยซู อาหารค่ำมื้อสุดท้าย The last supper

Milan Italy
ในหนังสื่อ ไมเคิลแสดงให้เห็นถึงการทำเลนต์กลับหัวในยุคเรเนซองส์ที่พวกศิลปินเห็นและเอามาเป็นแรงบันดาลใจจินตานาการ

ในเรื่องของผ้าห่อพระศพ ต้องเป็นเคมีที่ไวต่อแสง จะช่วยเค้าจับภาพได้ ซิลเวอร์ไนเตรทกะใช้ได้แล้ว ศิลปินใช้มันมาเป็นพันปีไม่ใช่ผ้านั้น
ดาวินชี่เชี่ยวชาญด้านแสงสายตาและเคมี เค้าชำนาญด้านกายวิภาค ดูนี่สิ ไมเคิลเอาภาพหน้าพระเยซูรูปห่อพระศพ มาเทียบกับรอยสัก Leonado Self portrait ปี 1512 ไมเคิลสักไว้ที่แขน

มันคือภาพหน้าตาเดียวกัน

และไมเคิลจูเรีย กะมาถึงอาฟกานิสถาน เค้าพบทางเข้าขุมทรัพย์ไมเคิลถึงกับโมโห ทุบอิฐที่ได้จากข้างบนภาพ The last supper และเค้ากะเจอกุณแจทางเข้า

เมื่อเข้าไปเจอกลไก และกลไกอีกอันคือ
ข้อความใน Codex เลขเก้าหลัก และอีกสามช่องว่าง
สามเหลี่ยมล้อมรอบพระอาทิตย์กะพระจันทร์
มันคือ.........โมนาลิซ่า ทฤษฎีโมนาลิซ่า
The Theory Monalisa It's anagram For Sol anima-right
นั้นคือพลังตรงกันข้ามพระอาทิตย์กะพระจันทร์ และสามหลักคืออะไร
Pytagorean triangle สามเหลี่ยมพิทาโกเรียน
กับอัตราส่วนของด้านที่ สาม สี่ห้า

A circle, that is the compositional module, is therefore 1 palm in radius. Every metrical system is 'modular', which means that smaller units are always a simple fractions of the larger, as an example: 1 cubit equals 1.5 ft, 6 palm, or 12 oncia. The width of the painting measuring three circles is 1 cubit = 6 palm = 18 oncia, while the height of the figure is 8 palm or 24 oncia. These numbers defining the composition are conveying an important message.

หนังจบลงด้วยการเจอขุมทรัพย์ และภัยพิบัติของการเจอสมบัติ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผ้าห่อพระศพของพระเยซู จะจริงไม่จริงใช่ไม่ใช่ แต่จูเรียมีความเชื่อในพระ เค้าและไมเคิลกะรอด ด้วยผ้าห่อพระศพพระเยซูอะ

และกะเจอขุมทรัพย์อะ ทำไมต้องเป็นอาฟานิสถาน น้านนมานเอเซียน๊ะ คนละโลกเลย อ่า เข้าใจกันก่อน อเล็กซานเดอร์มหาราชบุกจากเปอร์เซีย อินเดีย ไปจนถึงอาฟกานิสถานอ่า ดูสารคดีอะ อาฟกานิสถานนี้สมัยก่อนเจริญรุ่งเรือง ติดเดิ้นๆๆของเส้นทางค้าขายโบราณเลยอะ

อาฟกานิสถานเห็นแบบนี้อะ มีสมบัติมากมาย ตอนเปลี่ยนแปลงการปกครองทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถเอาทรัพย์สมบัติทองคำของชาติเค้าออกไปได้อะ เพราะ เค้าทำระหัสไว้ และกุณแจเจ็ดดอกอ่า ต้องมีเจ็คคนที่มีกุณแจถึงสามารถ เข้าไปเอาสมบัติของเค้าได้อะ และก็ จากการขุดพบทางโบราณคดี
เจอเหรียญ หรือซากตึกโบราณที่กรีกโรมันมาอาศัยอยู่ และทำการขุดค้นโดยนักโบราณคดีชาวรัสเซีย ตอนนั้น อาฟกานิสถานขึ้นตรงกะรัสเซีย และกะตอนนี้ตาลีบันครองอยู่ไม่สามารถ ดำเนินการขุดค้นโบราณคดีได้อะ
กะหาดู เนชั่นแนลจิโอกราฟิค ดิสคอฟเวอรี่ ฮิสทรีชาแนลเอาแหละกานน

อันนี้ของ แนชั่นแนลจิโอกราฟิคอ่า
Bactrian Gold

Although virtually unknown to the world public, Afghanistan's cultural heritage is one of the world's richest. Afghanistan was for a long time a cultural crossroads. The lost treasure represents a Silk Road melting pot of precious objects from China, India, Egypt, Greece, Rome, and ancient Afghanistan

//boards.historychannel.com/thread.jspa?threadID=300033150&messageID=800576682
//news.nationalgeographic.com/news/2004/11/1117_041117_afghan_treasure.html
Source ://www.universalleonardo.org/essays.php?id=550
//www.leonardodavincimilano.com/
//www.royalcollection.org.uk/egallery/object.asp?category=DADRAWINGS+WATERCOLOURS+AND+PASTELS&object=919147%5F48r&row=18
//www.urology.medsch.ucla.edu/robot-the%20robot.htm
//www.aiwaz.net/a1

Create Date : 17 เมษายน 2551

31 comments

Last Update : 19 เมษายน 2551 14:54:23 น.

Counter : 6632 Pageviews.

บทความของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
430 ปีผ้าห่อศพแห่งตูริน กับการค้นพบใหม่ของศรัทธา [24 ก.พ. 51 - 20:19]

ระหว่างวันที่ 14-17 สิงหาคมปีนี้ มีการประชุมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพื่อ “ถก” หาข้อสรุปเกี่ยวกับปริศนาที่มีมานาน หลายร้อยปี เกี่ยวกับผ้าผืนหนึ่ง ผ้าที่มีความพิเศษที่สุดในโลก...“ผ้าห่อศพแห่งตูริน”

ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานต่วย'ตูน จึงไม่ยอมให้แฟนานุแฟนต้องตกกระแสเรื่องฮอตแบบนี้ต้องรีบสรรหามา นำเสนอต่อท่านผู้อ่านเป็นการด่วน

การประชุมนานาชาติว่าด้วยผ้าห่อศพแห่งตูริน : หลากหลายมุมมองของปริศนา หรือ The Shroud of Turin : Perspectives on A Multifaceted Enigma นี้ จะจัดขึ้นที่โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ภายใต้การสนับ สนุนของกลุ่มวิทยาศาสตร์ผ้าห่อศพ และด้วยเทคโนโลยีทัน สมัยในยุคปัจจุบัน ทำให้คาดการณ์กันว่าน่าจะมีคำตอบใหม่ๆ ออกมาจากการประชุมครั้งนี้

ผ้าปริศนาผืนนี้ ปรากฏขึ้นมาให้แตกตื่นกันตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่เมืองลิเรย์ ฝรั่งเศส ภายใต้การดูแลของจอฟฟรีย์ เดอ ชาร์บี ก่อนจะถูกเปลี่ยนมือไปหลายครั้ง และในที่สุด ก็มาประดิษฐานอยู่ ณ เมืองตูริน อิตาลี ใน ค.ศ.1578 จวบจนวันนี้ก็นับได้ 430 ปี ล่วงมาแล้ว ด้วยความเชื่อที่ว่า นี่คือผ้าห่อพระศพพระเยซู

ผ้าผืนนี้ ปรากฏ “ภาพ” ของชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะตรงกับรูปลักษณ์ของพระคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รอยแผลต่างๆ เหมือนกับรอยที่เกิดขึ้นจากการกระทำทารุณต่อพระองค์ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ ไม่ว่าจะเป็นรอยจากการถูกเฆี่ยนตี หรือการถูกตรึงกางเขน ทำให้ผ้าห่อศพผืนนี้ ได้รับการนับถือในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ศาสนิกชนมาเป็นเวลานาน

ความศรัทธาหลั่งไหลมาสู่ผ้าห่อพระศพมากขึ้น หลังจาก ค.ศ.1898 เพราะช่างภาพชาวอิตาลีชื่อเชคอนโด เปีย ได้มีโอกาสถ่ายภาพผืนผ้า และทันทีที่ล้างฟิล์มออกมา ก็พบว่าภาพบนแผ่นฟิล์ม ซึ่งควรจะเกิดภาพในลักษณะเนกาทีฟ กลับได้ภาพใบหน้าของชายคนหนึ่งในลักษณะภาพโพสิทีฟแสดงให้เห็นว่า รอยที่เกิดในผ้า เป็นเนกาทีฟอยู่แต่แรกแล้ว ซึ่งไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย สำหรับผ้าที่ผ่านมาจากอดีต

อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่เชื่อมั่นก็มีอยู่ เช่น ยูลีส เชวาเลียร์ นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ได้ออกมาประกาศเสียงดังฟังชัดว่า หลังจากศึกษาอย่างละเอียดแล้ว พบว่าผ้าผืนนี้เป็นของปลอม ทำขึ้นมาในยุคกลางไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง

นับจากนั้น การโต้แย้งระหว่างสองฝ่ายก็เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน จนมาถึงจุดพลิกผันในเดือนมีนาคม ค.ศ.1977 เมื่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้นัดพบกัน และตกลงที่จะทำโครงการทดลองผ้าอย่างจริงจัง ซึ่งนำมาสู่การทดสอบครั้งมโหฬารใน ค.ศ.1978 ซึ่งเป็นเวลาแห่งการฉลองครบรอบ 400 ปี ที่ผ้าได้มาถึงตูริน

การทดสอบครั้งนั้น ทำให้พบว่าภาพชายหนุ่มที่ปรากฏบนผ้านั้น ไม่ได้เกิดจากการวาด เนื่องจากไม่มีเม็ดสี ไม่มีการลงแปรง แต่ภาพเกิดขึ้นมาเอง และติดอยู่เพียงผิวด้านบนของเส้นด้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่สุดก็คือ ผ้าผืนนี้มีอายุเท่าไหร่ ซึ่งยังไม่มีคำตอบ จนกระทั่งล่วงเลยมาถึง ค.ศ.1988 ที่มีการขลิบผ้าออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปตรวจสอบด้วยเทคนิคการกำหนดอายุด้วยคาร์บอน 14 ก็ทำเอาคนจำนวนมากฝันสลาย เพราะผลปรากฏออกมาว่า ผ้าผืนนี้ถือกำเนิดขึ้นราวๆ ค.ศ.1260-1390 เท่านั้น ไม่ได้เก่าแก่จนสามารถอ้างได้ว่าเป็นผ้าห่อพระศพ

แต่ความศรัทธาไม่เคยจางหาย เรย์�มอนด์ โรเจอร์ส หนึ่งในอัศวินผู้พิทักษ์ผ้าห่อพระศพประกาศลั่นว่า การทดสอบครั้งนั้นไม่ถูกต้อง เพราะผ้าจุดที่ตัดไปตรวจสอบนั้น เป็นจุดที่ไม่ใช่ผืนผ้าดั้งเดิม แต่เป็นส่วนที่เกิดการทอขึ้นมาใหม่ เพื่อซ่อมแซมโดยเหล่า แม่ชีชาวฮอลแลนด์ เนื่องจากผ้าได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ในปี 1532

ไม่เพียงเท่านั้น เรย์มอนด์ยังบอกว่า การตรวจสอบสารเคมีชื่อวานิลลิน ซึ่งเป็นสารที่ได้จากการย่อยสลายเส้นใย พบว่าผ้าผืนนี้อาจจะมีอายุได้ตั้งแต่ 1,300-3,000 ปี

อันว่าสารวานิลลินนั้น จะมีจำนวนลดลงไปเรื่อยๆตามอัตราการย่อยสลายของเส้นใย ซึ่งผ้าที่ทำขึ้นในช่วง ค.ศ.1260 อันเป็นปีที่ฝ่ายคาร์บอนแถลงผลออกมานั้น น่าจะมีวานิลลินอยู่ราว 37% และเมื่อเรย์มอนด์ตรวจผ้าบริเวณเดียวกับที่มีการตัดไปตรวจด้วยกรรมวิธีคาร์บอน ก็พบวานิลลินในปริมาณดังที่ว่านั้น แต่เมื่อตรวจจุดอื่นๆ โดยเฉพาะตรงกลางผืนผ้า กลับไม่พบว่ามีวานิลลินเลย แสดงให้เห็นว่า วานิลลินได้ย่อยสลายไปหมดแล้ว อันเนื่องมาจากความยาวนานของกาลเวลา

เรย์มอนด์ โรเจอร์ส ซึ่งเคยเป็นทีมงานในการตรวจสอบผ้าช่วงปี ค.ศ. 1978 ด้วยบอกว่า ในการตัดผ้าไปตรวจสอบคาร์บอนนั้น ได้มีการตัดผ้าจากบริเวณขอบ ซึ่งคาดว่าเป็นจุดที่เกิดการทำใหม่ เห็นได้ชัดจากการที่เคยถ่ายภาพผ้าด้วยแสงฟลูออเรสเซนส์ แล้วพบว่าบริเวณที่มี “ภาพปริศนา” เป็นจุดที่ถ่ายติด เป็นสีน้ำตาล ส่วนบริเวณอื่นๆเป็นสีอ่อน ทว่า ตรงขอบกลับมีสีเข้มกว่า แสดงให้เห็นว่า คุณสมบัติทางเคมีของผ้าในแต่ละจุดไม่เหมือนกัน เรย์มอนด์ จึงฟันธงว่า การตรวจด้วยคาร์บอน 14 ในคราวนั้นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่

โรนัลด์ แฮตฟิลด์ ผู้เชี่ยวชาญซึ่งทำงานด้านการตรวจสอบอายุด้วยกรรมวิธีคาร์บอนอีกรายหนึ่งบอกว่า ผ้าน่าจะมีอายุราวสองพันปี และการถ่ายภาพด้วยแสงอัลตราไวโอเลต และเอกซเรย์ ก็เห็นชัดเหมือนกันว่าบริเวณของผ้าที่ถูกตัดไปตรวจคาร์บอน 14 มีคุณสมบัติทางเคมีที่แตกต่างกับผ้าทั้งผืน ซึ่ง ศ.อลัน แอดเลอร์ นักเคมีจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐคอนเนกติกัตตะวันตก ก็ย้ำอีกว่า ในการตรวจตัวอย่างที่ถูกตัดไปทดสอบคาร์บอนนั้น พบว่ามีสารจำพวกอะลูมิเนียมอยู่ในเส้นใย แต่กลับไม่พบที่บริเวณอื่นเลย และคาดว่าอะลูมิเนียมที่พบเป็นสารที่เกิดจากการย้อมผ้า ซึ่งชัดเจนว่าเป็นผ้าที่นำมาชุนเพิ่มใหม่

นานาทัศนะเหล่านี้ ช่วยพลิกฟื้นคืนศรัทธาในผืนผ้าให้ กลับมาได้อย่างสดใส แต่กลุ่มโต้แย้งก็ยังไม่ยอมรับ นักวิชาการหลายคนดาหน้าออกมาบอกว่า การตัดผ้าไปตรวจสอบเมื่อ 20 ปีก่อนไม่น่าจะผิดพลาดได้ และที่สำคัญ วิธีการตรวจสอบ ของเรย์มอนด์ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีที่ตรวจสอบหาอายุผ้าได้อย่างแน่นอน เนื่องจากวานิลลินย่อยสลายไปหมดแล้ว จึงสรุปได้แค่ว่า ผ้าผืนนี้เก่ามากเท่านั้น แต่จะเก่าเท่าไหร่ ยังบอกให้ชัดลงไปไม่ได้

เจอแย้งเข้าอย่างนี้ เรย์มอนด์ โรเจอร์ส น่าจะออกมาตอบโต้ให้หงายเงิบกันไปอีกรอบ แต่เปล่า พี่แกชิงลาโลกไปเสียก่อน หลังจากประกาศผลงานอันลือลั่นที่สุดในชีวิตเพียงไม่ถึง 3 เดือนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ผู้เลื่อมใสในผ้าห่อพระศพนี้เซ็ง มากที่สุด กลับเป็นการจัดการดูแลผ้านี้ต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปี 2002 ที่มีการซ่อมแซมผ้าครั้งใหญ่ ดันทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง เพราะผ้ากลับมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเก่าไปหลายเซนติเมตร แต่จะบอกว่ามีแต่ผลร้ายก็ไม่ได้ เพราะช่วงที่ซ่อมนั้น มีการเลาะผ้าที่รองอยู่ด้านหลังซึ่งเหล่าแม่ชีเย็บปิดทับรอยไหม้ออกมา เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี ก็เลยมีการถ่ายภาพด้านหลังนี้ไว้ด้วย และในอีก 2 ปีต่อมา ศ.กุยลิโอ แฟนดิ และโรเบอโต แมกกิโอโล นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปาดัว อิตาลี ได้ร่วมกันศึกษาภาพถ่ายนั้น แล้วก็พบว่าสิ่งที่ทำให้ตะลึงงันอีกรอบ

ด้านหลังของผ้าก็มีรอยร่างจางๆของ “ชายคนหนึ่ง” อยู่ด้วย เป็นรอยที่ตรงกับด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นจมูก ตา ผม หนวดเครา เรียกว่าครบถ้วน ส่วนมือก็เจอนิดหน่อย แต่ไม่มีบริเวณไหล่และหลัง

การเกิดภาพด้านหลัง สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการที่ไอจากศพได้ระเหยออกมา แล้วทำปฏิกิริยากับผืนผ้าที่มีการลงแป้งไว้ ทำให้เกิดภาพด้านหน้าที่ติดกับศพก่อน แล้วไอที่ว่ายังระเหยผ่านเส้นใยผ้าออกมาโผล่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเจอะแป้งที่เคลือบผิวนอกของผ้าอยู่อีกด้าน ก็เกิดปฏิกิริยาจนเป็นภาพจางๆขึ้นมาอีก การค้นพบครั้งใหม่นี้ก็นำมาสู่การฟันธงโชะให้ใจชื้นอีกครั้งว่า “ปลอมยาก” นะนายจ๋า แต่กลุ่มที่ยังไม่เชื่อก็ยังคงไม่เชื่ออยู่ดี จนกว่าจะมีข้อสรุปที่แน่ชัดกว่า

ถ้าหากอยากจะชมผ้าห่อศพของแท้ ต้องรออีกเกือบ 20 ปี เพราะมีกำหนดที่จะเปิดให้เข้าชมได้อีกครั้งใน ค.ศ.2025 หลังจากครั้งล่าสุด ที่เปิดให้ชมไปแล้วในปี 2000 และหากต้องการฟังการวิจารณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ก็ต้องรอการประชุมที่สหรัฐอเมริกาในปีนี้

Source ://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=79994

โดย: Bernadette 17 เมษายน 2551 18:10:48 น.

ตระกูลเมดิชิ (ภาษาอังกฤษ: Medici)
ตราประจำตะกูล

ตระกูลเมดิชิ (ภาษาอังกฤษ: Medici) เป็นตระกูลที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของฟลอเรนซ์ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 สมาชิกจากตระกูลนี้ 3 คนได้เป็น พระสันตะปาปา (สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10, สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7, และ สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 11) และนักปกครองของฟลอเรนซ์เองโดยเฉพาะลอเรนโซ เดอ เมดิชิ ก็เป็นผู้อุปถัมภ์งานชิ้นสำคัญๆ ในสมัยเรอเนซองส์ ต่อมาตระกูลเมดิชิก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของฝรั่งเศสและอังกฤษ

ความมีอิทธิพลของตระกูลเมดิชิสามารถทำให้ฟลอเรนซ์กลายมามีบทบาทสำคัญต่อความรุ่งเรืองของศิลปะและสถาปัตยกรรม ตระกูลเมดิชิและตระกูลสำคัญอื่นๆของประเทศอิตาลีในสมัยนั้นเช่น ตระกูล (Visconti) ตระกูลสฟอร์เซ (Sforza) ตระกูลต่างๆ จากมิลาน ตระกูลเอสเตแห่งเฟอร์รารา (Este of Ferrara) ตระกูลกอนซากาจากมานตัว (Gonzaga of Mantua) และตระกูลอื่นๆ ต่างก็มีส่วนสำคัญในความเจริญของศิลปะเรอเนซองส์ และ สถาปัตยกรรมเรอเนซองส์

ธนาคารเมดิชิเป็นธนาคารที่มั่งคั่งที่สุดในทวีปยุโรป กล่าวกันว่าตระกูลเมดิชิเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปสมัยนั้น จึงสามารถสร้างอำนาจทางการเมืองโดยเริ่มจากฟลอเรนซ์ และอิตาลี จนในที่สุดก็ขยายไปทั่วยุโรป สิ่งที่ตระกูลเมดิชิเป็นต้นตำรับทางการบัญชีคือการปรับปรุงวิธีทำบัญชีโดยการลงหลักฐานที่สามารถทำให้ติดตามเงินเข้าเงินออกได้ง่ายขึ้น (double-entry bookkeeping system

ครอบครัวเปียโร ดิ โคสิโม เดอ เมดิชิ (Piero di Cosimo de Medici) โดย ซานโดร บอตติเซลลี ในภาพ “Madonna del Magnificat”
ประวัติ

ครอบครัวเปียโร ดิ โคสิโม เดอ เมดิชิ (Piero di Cosimo de Medici) โดย ซานโดร บอตติเซลลี ในภาพ “Madonna del Magnificat”ตระกูลเมดิชิเดิมมาจากชาวกสิกรในบริเวณมูเกลโล (Mugello) ทางตอนเหนือของฟลอเรนซ์ หลักฐานครั้งแรกที่กล่าวถึงครอบครัวนี้ก็มาจากเอกสารที่เขียนเมื่อปี ค.ศ. 1260

ที่มาของชื่อ “เมดิชิ” ไม่เป็นที่ทราบแน่นอนแต่คำว่า “เมดิชิ” ในภาษาอิตาลีหมายถึง “หมอยา” สมาชิกตระกูลเมดิชิเริ่มมามีตำแหน่งสำคัญๆ เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในกิจการค้าขายขนแกะ โดยเฉพาะกับประเทศฝรั่งเศส และ ประเทศสเปน ถึงแม้ว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงทางการปกครองในบางเมืองแต่ก็ยังไม่มีความสำคัญมากเท่าตระกูลใหญ่ๆ อย่าง อัลบิซซิ (Albizzi) หรือ สโตรซซิ (Strozzi) สมาชิกที่สำคัญคนหนึ่งที่น่าจะกล่าวถึงในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 ก็คือซาลเวสโตร เดอ เมดิชิ (Salvestro de Medici) ผู้เป็นวาทกรของ สมาคมพ่อค้าขนแกะระหว่างการปฏิวัติชิออมปิ (Ciompi) จนถูกเนรเทศเมื่อปี ค.ศ. 1382 การที่ตระกูลเมดิชิเข้าไปมีส่วนในการปฏิวัติอึกครั้งหนึ่งเมื่อปีค.ศ. 1400 ทำให้ทั้งตระกูลถูกห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและการปกครองของเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาราว 20 ปี ยกเว้นเมื่ออาเวราร์โด (Averardo (Bicci) de Medici) ก่อตั้งวงศ์เมดิชิ (Medici dynasty)

จิโอวานนี ดิ บิชชิ (Giovanni di Bicci de Medici) ผู้เป็นลูกชายของอาเวราร์โด สร้างความร่ำรวยให้แก่ครอบครัวเมดิชิเพิ่มขึ้นอีกโดยการก่อตั้ง “ธนาคารเมดิชิ” และกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในฟลอเรนซ์ ถึงแม้ว่าจิโอวานนี ดิ บิชชิจะไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแต่ก็ได้รับการสนับสนุนเมื่อเขาเสนอวิธีเก็บภาษีแบบสัดส่วน (proportional taxing system) โคสิโม เดอ เมดิชิ (Cosimo de Medici) หรือที่รู้จักกันในนาม “โคสิโมผู้พ่อ” ผู้เป็นลูกชายของจิโอวานนี ดิ บิชชิดำเนินกิจการต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1434 ในฐานะ “gran maestro” หรือ “grand master” ในภาษาอังกฤษและได้รับตำแหน่งประมุขของรัฐฟลอเรนซ์อย่างไม่เป็นทางการ

ตระกูลเมดิชิ สาย “อาวุโส” ที่สืบสายมาจาก “โคสิโมผู้พ่อ” ปกครองรัฐฟลอเรนซ์มาจนเมื่อ อเลสซานโดร เดอ เมดิชิผู้เป็นดยุคคนแรกของฟลอเรนซ์ถูกลอบสังหารเมื่อปี ค.ศ. 1537 การปกครองของตระกูลเมดิชิถูกขัดจังหวะสองหน (ระหว่างปี ค.ศ. 1494 ถึงปี ค.ศ. 1512 และ ระหว่างปี ค.ศ. 1527 ถึงปี ค.ศ. 1530) เมื่อมีการปฏิวัติจากประชาชนขับตระกูลเมดิชิออกจากเมือง

อำนาจของตระกูลเมดิชิจึงผ่านไปยังสาย “เล็ก” ที่สืบสายมาจากลอเร็นโซ ดิ โคสิโม (Lorenzo di Cosimo de Medici) หรือที่รู้จักกันในนาม “ลอเร็นโซผู้พ่อ” ผู้เป็นลูกคนเล็กของจิโอวานนี ดิ บิชชิ โดยเริ่มจากโคสิโมที่ 1 เดอ เมดิชิ (Cosimo I de' Medici) หรือ “Cosimo the Great” การขยายอำนาจของตระกูลเมดิชิบรรยายไว้อย่างละเอียดโดยเบเนเด็ตโต เดอื (Benedetto Dei)

โคสิโมที่ 1 และพ่อเริ่มวางรากฐานตระกูลเมดิชิในทางการธนาคาร การผลิต (รวมทั้งการให้สัมปทานทางธุรกิจ) ทางฐานะทางการเงิน ทางศิลปะ ทางการอุปถัมภ์ศิลปิน และทางศาสนาเพื่อที่จะให้ตระกูลนี้มีอำนาจเป็นเวลานานหลายชั่วคนต่อมา ว่ากันว่าในสมัยของโคสิโม ครึ่งหนี่งของประชากรชาวฟลอเรนซ์เองก็ทำงานให้กับตระกูลเมดิชิในกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง

ภาพเหมือน ลอเรนโซ เดอ เมดิชิ โดย จิโรลาโม มาชิเอตตี (Girolamo Macchietti)

คริสต์ศตวรรษที่ 15

ภาพเหมือน ลอเรนโซ เดอ เมดิชิ โดย จิโรลาโม มาชิเอตตี (Girolamo Macchietti)
ภาพสมาชิกตระกูลเมดิชิภายในขบวนแมไจ 3 คนที่เดินทางมาถวายของขวัญให้พระเยซูเมื่อทรงสมภพ โดยมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ของแคว้นทัสเคนี เป็นจิตรกรรมฝาผนังโดยเบนนอซโซ กอซโซลิ ปี ค. ศ. 1459เปียโร ดิ โคสิโม เดอ เมดิชิ (Piero di Cosimo de Medici) (ค.ศ. 1416-ค.ศ. 1469) ผู้เป็นลูกชายของโคสิโมที่ 1 มีอำนาจอยู่เพียง 5 ปี (ค.ศ. 1464-ค.ศ. 1469) จนลอเรนโซ เดอ เมดิชิ ผู้เป็นหลานปู่ที่จักกันในนาม “Lorenzo the Magnificent”--ลอเร็นโซผู้ปรีชา (ค.ศ. 1449-ค.ศ. 1492) มาดำเนินกิจการและการปกครองอย่างมีความสามารถต่อ แต่ความจริงแล้วตำแหน่ง “the Magnificent” เป็นตำแหน่งท้ายชื่อที่ใช้กันบ่อยและมิได้มีความหมายสมกับความหมายของคำ

ลอเร็นโซ เดอ เมดิชิก็เช่นเดียวกับสมาชิกตระกูลเมดิชิคนอื่นที่พยายามรักษาความสำคัญของตระกูลไว้โดยการวางอนาคตและอาชีพให้ลูกๆ ลอเร็นโซสอนให้ เปียโรที่ 2 มีความแข็งแกร่ง ให้จิโอวานนี เป็นผู้คงแก่เรียน และจุยเลียโน (คนละคนกัยจุยเลียโนผู้เป็นพี่ของลอเร็นโซ) เป็นคนดี จุยเลียโนผู้เป็นพี่ของลอเร็นโซถูกลอบสังหารในวัดเมื่อวันอีสเตอร์เมื่อปีค.ศ. 1478 ลอเร็นโซจึงรับเลี้ยง จุยลิโอ ลูกชายของจุยเลียโนเป็นบุตรบุญธรรม ผู้ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 (ค.ศ. 1478-ค.ศ. 1535) เปียโรที่ 2 ผู้เป็นลูกของลอเร็นโซ เดอ เมดิชิเองได้เป็นประมุขของฟลอเรนซ์ต่อมาหลังจากที่ลอเร็นโซเสียชีวิตแต่เปียโรไม่มีความสามารถเหมือนพ่อ จึงมีส่วนที่ทำให้ครอบครัวเมดิชิถูกไล่ออกจากเมือง

ตระกูลเมดิชิมีอำนาจมากที่สุดในอิตาลีในสมัยนั้นจากการที่มีสมาชิกในตระกูลได้เป็นพระสันตะปาปาสององค์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 -- สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 และ สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 -- ซึ่งทำให้เมดิชิกลายเป็นผู้ปกครองโรม และ ฟลอเรนซ์โดยปริยาย พระสันตะปาปาทั้งสององค์เป็นผู้มีบทบาทในการอุปถัมภ์ศิลปะ ตระกูลเมดิชิอึกคนหนึ่งที่ได้เป็นพระสันตะปาคืออเลสซานโดร อ็อตาวิอาโน (Alessandro Ottaviano de' Medici) ผู้ต่อมาเป็น สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 11

สมาชิกที่สำคัญที่สุดในตระกูลเมดิชิ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 คือ โคสิโมที่ 1 (Cosimo I de Medici) ผู้ที่กลับมาจากการปลดเกษียณที่มูเกลโลมาเป็นประมุขสูงสุดของแคว้นทัสเคนี ได้ชัยชนะในการรบกับรัฐเซึยนนาเมืองคู่ปรับ และเป็นผู้ก่อตั้ง ราชอาณาจักรฟลอเรนซ์ (Grand Duchy of Tuscany)

ภาพสมาชิกตระกูลเมดิชิภายในขบวนแมไจ 3 คนที่เดินทางมาถวายของขวัญให้พระเยซูเมื่อทรงสมภพ โดยมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ของแคว้นทัสเคนี เป็นจิตรกรรมฝาผนังโดยเบนนอซโซ กอซโซลิ ปี ค. ศ. 1459

ศิลปะและสถาปัตยกรรม
สิ่งที่ประสพความสำเร็จมากที่สุดของตระกูลเมดิชิคือการอุปถัมภ์ศิลปะและสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะในสมัยศิลปะและสถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยา ตอนต้นและตอนที่รุ่งเรืองที่สุด งานศิลปะของฟลอเรนซ์เกือบทั้งหมดในสมัยนั้นเป็นอิทธิพลของครอบครัวนี้ ฉะนั้นงบประมาณที่ใช้ก็คงเป็นจำนวนมหาศาลเพราะศิลปินยุคนั้นจะทำงานก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาและเงินล่วงหน้า

จิโอวานนี ดิ บิชชิผู้เป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะคนแรกของตระกูลเมดิชิช่วย มาซาชิโอ (Masaccio) และจ้างฟีลิปโป บรูเนลเลสกีให้บูรณะบาซิลิกาซานลอเร็นโซ (Basilica of San Lorenzo) ที่ฟลอเรนซ์เมื่อปี ค. ศ. 1419 โคสิโม เดอ เมดิชิเป็นผู้อุปถัมภ์งานของ โดนาเทลโล และ ฟราแอนเจลิโค แต่ศิลปินคนที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเมดิชิคือมีเกลันเจโล บัวนาร์โรตี ซึ่งทำงานให้กับสมาชิกในตระกูลนี้หลายคนเริ่มด้วย ลอเร็นโซผู้ปรีชา ตั้งแต่ลอเร็นโซยังเป็นเด็ก ลอเร็นโซจ้างเลโอนาร์โด ดา วินชี่ทั้งหมดด้วยกัน 7ปี ลอเร็นโซเองก็เป็นนักกวีและแต่งเพลง ต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10ก็อุปถัมภ์ราฟาเอล ผู้ที่เรียกกันว่า “Prince of Painters” สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 จ้างมีเกลันเจโลเขียนผนังหลังแท่นบูชาของชาเปลซิสติน ตระกูลเมดิชิเองก็มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างชาเปลซิสทีนด้วย

เมื่อจิโรลาโม ซาโวนาโรลา (Girolamo Savonarola) ผู้เป็นพระลัทธิโดมินิคันพยายามปฏิรูปศาสนาโดยการเทศนาให้ทำลายหนังสือและภาพเขียนที่ท่านเชื่อว่าขาดคุณธรรมโดยการเผาสิ่งของเหล่านี้ที่เรียกว่า “Bonfire of the Vanities” เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค. ศ. 1497 อึกปีหนึ่งต่อมา เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค. ศ. 1498 ซาโวนาโรลากับลูกศิษย์อึกสองคนก็ถูกแขวนคอที่จตุรัสกลางเมืองที่เดียวกับที่เป็นที่ใช้เผาหนังสือ

นอกจากจะให้การสนับสนุนทางศิลปะและสถาปัตยกรรมแล้วตระกูลเมดิชิยังเป็นนักสะสมอีกด้วย ปัจจุบันเราจะเห็นสิ่งที่ตระกูลเมดิชิสะสมไว้ได้ที่พิพิธภัณฑ์อูฟิซิ (Uffizi museum) ที่ฟลอเรนซ์

ทางสถาปัตยกรรมตระกูลเมดิชิมีอิทธิพลต่อสิ่งก่อสร้างหลายแห่งในฟลอเรนซ์รวมทั้งพิพิธภัณฑ์อูฟิซิ วังพิตติ (Pitti Palace) สวนโบโบลิ (Boboli Gardens) ป้อมเบลเวเดเร (Belvedere) และวังเมดิชิเอง

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครในตระกูลเมดิชิที่เป็นนักวิทยาศาสตร์แต่ตระกูลเมดิชิมีชื่อเสียงในการเป็นผู้อุปถัมภ์นักดาราศาสตร์คนสำคัญคือ กาลิเลโอ กาลิเลอีผู้เป็นครูลูกหลานในตระกูลเมดิชิหลายคน แต่มาหยุดการสนับสนุนเอาในสมัยเฟอร์ดินานโดที่ 2 (Ferdinando II de Medici) เมื่อกาลิเลโอถูกกล่าวหาโดยศาลศาสนาโรมัน (Roman Inquisition) ว่าคำสอนของกาลิเลโอเป็นคำสอนนอกรีต แต่ตระกูลเมดิชิก็ปกป้องกาลิเลโออยู่หลายปีจนกาลิเลโอตั้งชื่อพระจันทร์สี่ดวงของดาวพฤหัสบดีตามชื่อของลูกหลานตระกูลเมดิชิ

เกร็ดย่อย

เอเลโนราแห่งโทลิโด (Eleonora of Toledo) เจ้าหญิงจากสเปนชายาของโคสิโมที่ 1 ซื้อวังพิตติ จาก บูนาคอร์โซ พิตติ เมื่อปี ค. ศ. 1550
โคสิโมที่ 1อุปถัมภ์ จอร์โจ วาซารี ผู้สร้างพิพิธภัณฑ์อูฟิซิ และก่อตั้งสถาบันการออกแบบ (Accademia di Belle Arti Firenze) เมื่อปี ค. ศ. 1562
มารี เดอ เมดิชิ (Marie de' Medici) พระราชินีม่ายของพระเจ้าเฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส และพระราชมารดาของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 เป็นแบบให้วาดรูปต่อเนื่องที่เรียกว่า “Marie de' Medici cycle” วาดเพื่อตกแต่งพระราชวังลักเซมเบิร์ก (Luxembourg Palace) โดยปีเตอร์ พอล รูเบนส์ผู้เป็นจิตรกรประจำราชสำนักระหว่างปี ค. ศ. 1622 ถึงปี ค. ศ. 1623

โคสิโม เดอ เมดิชิ หรือ“โคสิโมผู้พ่อ”
คนสำคัญในตระกูลเมดิชิ

โคสิโม เดอ เมดิชิ หรือ
“โคสิโมผู้พ่อ”
แคทเธอรีน เดอ เมดิชิ พระราชินีแห่งฝรั่งเศส
แอนนา มาเรีย หลุยซา เดอ เมดิชิซาลเวสโตร เดอ เมดิชิ (ค.ศ. 1331-ค.ศ. 1388) นำการปฏิวัติชิออมปิและมาเป็นผู้เผด็จการของฟลอเรนซ์ก่อนที่จะถูกเนรเทศเมื่อ ปี ค.ศ. 1382
จิโอวานนี ดิ บิชชิ (ค.ศ. 1360-ค.ศ. 1429) สร้างฐานะตระกูลเมดิชิจนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรป
โคสิโม เดอ เมดิชิ หรือ “โคสิโมผู้พ่อ” (ค.ศ. 1389-ค.ศ. 1464) วางรากฐานทางการเมือง
ลอเร็นโซผู้ปรีชา (ค.ศ. 1449-ค.ศ. 1492) ประมุขระหว่างยุคทองของ ฟลอเรนซ์ -- ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10 (ค.ศ. 1475-ค.ศ. 1523)
สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7 (ค.ศ. 1478-ค.ศ. 1534)
โคสิโมที่ 1 หรือ “Cosimo I the Great” (ค.ศ. 1519-ค.ศ. 1574) เป็นดยุคคนแรกของแคว้นทัสเคนี
แคทเธอรีน เดอ เมดิชิ (Catherine de Medici) (ค.ศ. 1519-ค.ศ. 1589) พระราชินีแห่งฝรั่งเศส
สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 11 (ค.ศ. 1535-ค.ศ. 1605)
มารี เดอ เมดิชิ (Catherine de Medici) (ค.ศ. 1575-ค.ศ. 1642) พระราชินีแห่งฝรั่งเศส พระราชินีผู้สำเร็จราชการแห่งฝรั่งเศส
แอนนา มาเรีย หลุยซา เดอ เมดิชิ (Anna Maria Luisa de Medici) (ค.ศ. 1667-ค.ศ. 1743) ลูกของโคสิโมที่ 3 เป็นสมาชิกสำคัญของตระกูลเมดิชิคนสุดท้าย

แคทเธอรีน เดอ เมดิชิ พระราชินีแห่งฝรั่งเศส

แอนนา มาเรีย หลุยซา เดอ เมดิชิ

Church The Medici Family

House The Medici Family

ที่เก็บศพตะกูลMedici ดูสารคดี เค้าเปิดสุสานออกมา ไม่มีสมบัติอะ นักวิจัยบอกว่า สมบัติหายไปตั้งแต่ฝังศพใหม่ๆๆแล้วพวกที่สร้างสุสานเอาไป เหมือนสมัยอียิปต์ที่สร้างปิระมิดอะ

Source ://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B4

โดย: Bernadette 17 เมษายน 2551 18:39:37 น.

******

^^ภๅพของทะเลสๅปสุพีเรียอีกด้านหนึ่ง ภๅพนี้ตอนหน้าร้อน
ส่วนโค๊ต copy" ไปลงในหน้าของรายละเอียดได้เลยเป็น
ในเรืองที ฤ เอาไปทดลอง ในบล็อบทีไม่ใช้ดูก่อนก็"ได้ความแน่ใจ
หมายเหตุให้ลบ ** ออกก่อนทั้งหน้าและหลังอย่าลืมละ

โดย: Opey 18 เมษายน 2551 9:02:37 น.

ตๅยละโคตกลๅยเป็นภๅพ เด๋วนะหาวิทีก่อน^....

โดย: Opey 18 เมษายน 2551 9:09:06 น.

^^ภๅพของทะเลสๅปสุพีเรียอีกด้านหนึ่ง ภๅพนี้ตอนหน้าร้อน
ส่วนโค๊ต copy" ไปลงในหน้าของรายละเอียดได้เลยเป็น
ในเรืองที ฤ เอาไปทดลอง ในบล็อบทีไม่ใช้ดูก่อนก็"ได้ความแน่ใจ
หมายเหตุให้ลบ ** ออกก่อนทั้งหน้าและหลังอย่าลืมละ

โดย: Opey วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:9:02:37 น.

ตอบ งะสวยเจงเจงๆๆชอบๆๆๆ

โดย: Bernadette 18 เมษายน 2551 10:34:26 น.

พรุ่งเจอกานนะ ทีนี้ ๕ทุ่มแล้วจ๊ะ เลิกงๅนเร็วจะรีบมารอนิดนะ

โดย: Opey 18 เมษายน 2551 11:17:37 น.

พรุ่งเจอกานนะ ทีนี้ ๕ทุ่มแล้วจ๊ะ เลิกงๅนเร็วจะรีบมารอนิดนะ

โดย: Opey วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:11:17:37 น.

ตอบ งั๊บ ขอให้พระคุ้มครอง นอนหลับฝันดีจ๊ะ

โดย: Bernadette 18 เมษายน 2551 12:11:56 น.

น่าสนใจค่ะ เรื่องราวความรู้มากมายจริงๆ
แต่เรายังอ่านไม่ครบหน้าอ่ะ...จะทยอยอ่านนะ

โดย: renton_renton 18 เมษายน 2551 13:32:47 น.

น่าสนใจค่ะ เรื่องราวความรู้มากมายจริงๆ
แต่เรายังอ่านไม่ครบหน้าอ่ะ...จะทยอยอ่านนะ

โดย: renton_renton วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:13:32:47 น.

ตอบ เห็นใบปิดกะชื่อหนัง คนอาจจาเบือหน้าหนีอ่า
จริงๆๆแล้วหนังใช้ได้เลยอะ

อีกอย่าหนึ่ง คนคิดว่า แนวแนวกะดาวินชี่โค๊ตด้วยอ่า คนเลยมะซื้ออ่า

ตอนนี้ขายเป็น DVDตริม มะแพงด้วยยยย

โดย: Bernadette 18 เมษายน 2551 13:40:33 น.

แวะมาดูเอาสนุกเหมือนกันนนนน

Hosted by MyCoolTags.com

โดย: เริงฤดีนะ 18 เมษายน 2551 18:32:34 น.

แวะมาดูเอาสนุกเหมือนกันนนนน

Hosted by MyCoolTags.com

โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:18:32:34 น.

ตอบ ดอกกุหลาบบบหย่ายยยจังเล๊ยยยยยยยยพี่นางฟ้าฮิ้ววววววว

โดย: Bernadette 18 เมษายน 2551 19:11:01 น.

ดาวินซี่ แกขายได้เสมอเลยนะครับ แบร์

เรื่องนี้ยังไม่ได้ดู แต่แบร์เล่ามาน่าสนุกตามเคยละนะ

กะลังเขียนหนังไทยสักเรื่อง อัฟแล้วจะมาบอกนะฮะ

โดย: mr.cozy 18 เมษายน 2551 21:23:39 น.

เราเม้นต์ GoodFellas ไว้ด้วย ลองไปอ่านนะ (หนังอันดับหนึ่งในดวงใจ)

โดย: mr.cozy 18 เมษายน 2551 21:29:05 น.

ดาวินซี่ แกขายได้เสมอเลยนะครับ แบร์

เรื่องนี้ยังไม่ได้ดู แต่แบร์เล่ามาน่าสนุกตามเคยละนะ

กะลังเขียนหนังไทยสักเรื่อง อัฟแล้วจะมาบอกนะฮะ

โดย: mr.cozy วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:21:23:39 น.

ตอบ ได้ได้ ส่งปายยให้ดู หนังมะแพงเล๊ยย ใครใครกะคิดว่าเป็นหนังนอกสายตาอ่า

โดย: Bernadette 19 เมษายน 2551 8:33:05 น.

เราเม้นต์ GoodFellas ไว้ด้วย ลองไปอ่านนะ (หนังอันดับหนึ่งในดวงใจ)

โดย: mr.cozy วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:21:29:05 น.

ตอบ ขอบพระคุณค่ะ

เรายังรอบทความGoodFellas ของMr.cozyอยู่ค่ะ เขียนได้ลึกดี ของเราพื้นๆๆอะ

เพราะมาร์ติน สกอร์เซซี่ แก่สื่อได้ลึกม๊ากกหนังของแกปรัชญาเชิงลึก ที่มานอยู่ในวิถีเยอะเจงเจง

โดย: Bernadette 19 เมษายน 2551 8:34:42 น.

อะโห เพื่อนบล็อคทำอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย โดนนั่งเล็คเชอร์อีกแล้ว

แบร์น่าจะเขียนส่งสำนักพิมพ์เลยน่ะ แบบว่าเป็นความรู้ให้กับเยาวชน และผู้สนใจเป็นอย่างดีเลย

แบร์เคยไปอิตาลีป่าวเนี่ย ถ้าไปคงสนุกดีเนอะ ตามล่าแบบจริงๆเลยด้วยไง

โดย: BloodyMonday วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:21:56:19 น.

ตอบ งะ ขออยู่เงียบเงียบอะ

การเขียนบทความลงที่ต่างๆๆ เค้าจะมี หัวข้อ คอนเซ็บมาให้เรา ทำให้เรามะเป็งอิสระอะ

อีกอย่างภาษาไทยกะเขียนผิดๆๆถูกๆๆ ภาษาอังกฤษ กะเขียนผิดๆๆถูกๆๆ เพราะตอนเรียนดันเล่นใช้ดิ๊ก ประกอบ
ผลตามมานี้คือ .........ข้อเสียอะ

คนที่เขียนบทความลึกๆๆเราว่าเค้ากดดันน๊ะ ไม่เป็นอิสระ
บางที่เจอหัวข้อ จั่วมา เอ้าไม่ใช่เรื่องไม่ถนัด เป็นไปไม่ได้ หรือ หัวข้อใหม่ม๊ากก ........และท้ายสุด.......ตันติ๊บ.......แป๊กสนิท

เราชอบแนวการเขียนของฝรั่งก่อนจะเขียนแต่ละเรื่องที โหท่านเจ้าประคุณ ศึกษา ยังกะเรียนเอง เกิดขึ้นกะตัวเอง เรากะชอบแนวแนวๆๆนี้อะ งานเค้ากะเลยออกมาดีอ่า

ยังมะเคยไปอิตาลี ไปแต่ยุโรปแถวอังกฤษ เบลเยี่ยม อัมสเตอร์ดัม สวิช ฝรั่งเศส เยอรมันอ่า งานทั้งน้านนอ่า

อิตาลี กำลังคิดจาปายย สวดอยู่ ขอให้มะตรงกะงานนอ่า

โดย: Bernadette 19 เมษายน 2551 8:42:09 น.

ทำไรอยู่เงียบไปเลย เป็นห่วงนะหลังไมค์ด้วย.........

โดย: Opey 19 เมษายน 2551 8:50:48 น.

แวะมาทักทายจ้า

โดย: Charlotte Russe 19 เมษายน 2551 9:09:20 น.

ทำไรอยู่เงียบไปเลย เป็นห่วงนะหลังไมค์ด้วย.........

โดย: Opey วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:8:50:48 น.

ตอบ ปายยแล้วเดี๊ยวเย็นๆๆๆมาทำจ้าคุงคูร

โดย: Bernadette 19 เมษายน 2551 11:01:45 น.

แวะมาทักทายจ้า

โดย: Charlotte Russe วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:9:09:20 น.

ตอบ God Bless you ka

โดย: Bernadette 19 เมษายน 2551 11:02:11 น.

ได้รับหนังแล้วนะจ๊ะ...ขอบคุณมากๆ

...อยากมีอารมณ์ขยันอัพบล็อกอย่างแบร์จัง...ช่วงนี้ง่อยๆ

โดย: DKRY 19 เมษายน 2551 15:56:46 น.

ได้รับหนังแล้วนะจ๊ะ...ขอบคุณมากๆ

...อยากมีอารมณ์ขยันอัพบล็อกอย่างแบร์จัง...ช่วงนี้ง่อยๆ

โดย: DKRY วันที่: 19 เมษายน 2551 เวลา:15:56:46 น.

ตอบ หาฟิวส์เหรอ ก๊ากกกก กะเขียนเขียนจากฟามรู้สึกงะ
หงอยๆๆกะหาหนังหงอยๆๆเขียน ฮิ้วววววววว

โดย: Bernadette 19 เมษายน 2551 19:33:36 น.

Good morning.....ตื่นยังจ๊ะ ! Keep smiling.

โดย: Opey 20 เมษายน 2551 6:26:29 น.

Good morning.....ตื่นยังจ๊ะ ! Keep smiling.

โดย: Opey วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:6:26:29 น.

ตอบ ทำได้เท่านี้งะ ดูรกตาอะปะงะ วิจารณ์ด้วยจ๊ะ

โดย: Bernadette 20 เมษายน 2551 8:31:14 น.

comments hi5 ฮิต!
หวัดดีวันอาทิตย์ค่ะ
บายดีนะจ๊ะ..ร้อนไหมแถวบ้าน..

โดย: เริงฤดีนะ 20 เมษายน 2551 9:29:36 น.

แสดงว่าเริ่มเข้าจัยแล้ว ดูดีขึ้นเยอะ โอพี อยากให้คุณเอา บีจี ออกมาวางในรายละเอียดของแต่ละเรืองนะจ๊ะ
มันจะทำให้คุณเก่ง ชำนาน เอามาแล้วต้องลบตัวที่วางใน Script area ถ้าไม่ลบ มันจะไม่เห็นผล

โดย: Opey วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:9:06:41 น.

ตอบ ขอบพระคุณที่สอน จะพยายามต่อไปเรื่อยๆๆงะ

เข้าใจเค้าหน่อยตะเอง โง่อะเรื่องตกแต่ง

เดี๊ยวค่อยๆๆกะศึกษา

เรามองว่ายังรกๆๆอยู่อ่า เรื่องของเรื่องๆๆ เราอ่านตัวหนังสือแล้วววมานนนรกรก แฮะแฮะ

ทำเองวิจารณ์เองงะ

โดย: Bernadette 20 เมษายน 2551 10:31:08 น.

comments hi5 ฮิต!
หวัดดีวันอาทิตย์ค่ะ
บายดีนะจ๊ะ..ร้อนไหมแถวบ้าน..

โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:9:29:36 น.

ตอบ บ่อร้อนนจ้า แง๊ววววววววววว อิจฉาคนแต่งบล๊อคเป็นวุ๊ยยยยยยยยยยย

โดย: Bernadette 20 เมษายน 2551 10:31:52 น.

คุณนิตลก คุณเป็นแล้วนะ แต่ช่วงนี้มีสติหน่อย โอพี พยายามเข้าหลังไมค์
แต่วันนี้ พันทิพ เป็นบ้า คนใช้เยอะ จะบอกความลับ หลังแมว

โดย: Opey 20 เมษายน 2551 11:20:08 น.

คุณนิตลก คุณเป็นแล้วนะ แต่ช่วงนี้มีสติหน่อย โอพี พยายามเข้าหลังไมค์
แต่วันนี้ พันทิพ เป็นบ้า คนใช้เยอะ จะบอกความลับ หลังแมว

โดย: Opey วันที่: 20 เมษายน 2551 เวลา:11:20:08 น.

ตอบ เราว่ามานกะดีแล้วววว แต่ส่วนตัวเราเอง เราอ่าหนังสือมานลำบากกก ก๊ากกก

ขออภัยเรื่องมากกปายยหน่อยงะ

โดย: Bernadette 20 เมษายน 2551 16:58:08 น.