Amadeus (1984):Theophilus ,"Gottlieb". ,Amadeus translate"beloved of God" or "God-lover"
Amadeus ใช้เล่นละครเวทีครั้งแรก ปี 1979โดย Peter Shafferเกี่ยวกะชีวิตหลวมๆของผู้ประพันธ์เพลง, Wolfgang Amadeus Mozart กะโมสาส และ Antonio Salieriอานโตนิโอ ซาลิเอรี ที่นำมาเล่นละครสั้นๆๆ ในหลายๆ บทละคร Shaffer's ชาวอังกฤษ ที่เคยเอามาเป็นภาพยนต์ได้แก่ Five Finger Exercise (1962), The Royal Hunt of the Sun (1969), Equus (1977), and Amadeus (1984), which won eight Academy Awards including Best Picture.
Amadeus และเป็นบทประพันธ์ของ Aleksandr Pushkin นักประพันธ์ บทกวีนวนิยาย ชาวรัสเซีย ในปี1830 ใช้ชื่อว่า Motsart i Salyeri (Моцарт и Сальери); English translation: Mozart and Salieri
หลังจากนั้น กะมาเป็นโอเปร่าโดย Nikolay Rimsky-Korsakov ชาวรัสเซีย และกะมาเป็ฯภาพยนต์ กะคือ Amadeus ปี 1984
ชื่อหนังเรื่อง Amadeus ภาษาลาติน กะคือชื่อกลางของโมสาสที่ใช้เป็นนามปากกา และชื่อเต็มของโมสาสกะตอนรับศีลล้างบาปมีชื่อนักบุณนำหน้าอะ Johannes Chrysostomus Wolfgangus Theophilus Mozart
พ่อของเค้าประกาศต่อหน้าสาธาณะชนตอนโมสาสเกิดรับศีลล้างบาป "...the boy is called Joannes Chrisostomus, Wolfgang, Gottlieb", in German: "der Bub heißt Joannes Chrisostomus, Wolfgang, Gottlieb" (sic) - "Gottlieb" being yet another translation (German) of "Theophilus".
"Theophilus" มาจากภาษากรีก "Gottlieb". เยอรมัน All three names translate to "beloved of God" or "God-lover"
โดยโมสาสไม่รู้เลยว่า ปีศาจในคราบนักบุณ "patron saint of mediocrity." ที่ต่อหน้าดูแสนดี ที่แท้คือคนที่สังหารเค้าด้วยบทเพลง requiem บทเพลงแห่งความตายใช้ในพิธีงานศพ
บาทหลวงคุณพ่อบอก ซาลิเอรี "All men are equal in God's eyes." เราทุกๆๆคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระเจ้า เท่านั้นแหละ ซาลิเอรี สารภาพสิ่งที่เค้าทำกับโมสาสออกมากับบาทหลวงคุณพ่อ
ปีค.ศ. 1782เป็นปีที่ดีสำหรับโมซาร์ต โอเปร่าเรื่อง Die Entführung aus dem Serail ประสบความสำเร็จอย่างมาก และโมซาร์ตก็ได้แสดงคอนเสิร์ตชุดที่เขาเล่นในเปียโนคอนแซร์โตของเขาเอง
ระหว่างปีค.ศ. 1782 - ค.ศ. 1783 โมซาร์ตได้รับอิทธิพลจากผลงานของบราค และแฮนเดลผ่านบารอนก็อตตเฟร็ด วอน สวีเทน(Baron Gottfried van Swieten) แนวเพลงของโมซาร์ทจึงได้รับอิทธิพลจากยุคบารอคตั้งแต่นั้นมา อย่างที่เห็นได้ชัดในท่อนฟิวก์ของ ขลุ่ยวิเศษ และซิมโฟนี หมายเลข 41
โมซาร์ตใช้ชีวิตในช่วงปีค.ศ. 1786 ที่กรุงเวียนนาในอพาร์ตเมนท์ที่จนถึงวันนี้ยังสามารถเข้าชมได้ที่ดอมกาส 5 (Domgasse 5)หลังโบสถ์เซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Cathedral) โมซาร์ตประพันธ์ Le nozze di Figaro และ Don Giovanni ณ ที่แห่งนี้
จึงเป็นว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของ Mozart คงไม่มีใครรู้แน่ชัด เพราะหลักฐานต่างๆ ก็สูญสลายหายไปหมดแล้ว เมื่อไม่มีทางพิสูจน์ ได้เช่นนี้ การสันนิษฐานว่าเพราะพระเจ้าต้องการนักดนตรีอัจฉริยะเช่น Mozart บนสวรรค์อย่างเร่งด่วน ก็เป็นเรื่องที่คนบางคนคิด เหมือนกัน ดังที่ Karl Barth ได้เคยกล่าวว่า When the angels sing for god, they sing Bach; When they sing en, famille they sing Mozart and God eavesdrops.
สมๅธิอ่านอีกรอบ แต่ก็ต้องอ่านใหม่อีก Opey ..เคยเรียนวรรณกรรมอังกฤษและเมกๅ มาเจอเรืองในบล็อก คุณเหมื่อนทบทวนความรู้ ... Francis Bacon's "Some books are be tasted ,others to be swallowed,and some few to be chewed and digested...Reading maked a full man conference a ready man;and writing an exact man.
สมๅธิอ่านอีกรอบ แต่ก็ต้องอ่านใหม่อีก Opey ..เคยเรียนวรรณกรรมอังกฤษและเมกๅ มาเจอเรืองในบล็อก คุณเหมื่อนทบทวนความรู้ ... Francis Bacon's "Some books are be tasted ,others to be swallowed,and some few to be chewed and digested...Reading maked a full man conference a ready man;and writing an exact man.
Orchestra and four vocal Choir - *Latin* Recorded for the Anniversary of the Pope Benedict XVI April 19 This is the Anthem of the Vatican City. The Songs are called Inno e Marcia Pontificale ...
วอล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ต (Wolfgang Amadeus Mozart) 27 มกราคม พ.ศ. 2299 - 5 ธันวาคม พ.ศ. 2334 (ค.ศ. 1756-1791) นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียง เกิดที่เมืองซัลสบูร์ก มีงานประพันธ์เพลง 700 ชิ้นรวมทั้งโอเปร่า (ดนตรีซึ่งมีเนื้อเรื่อง) ชื่อ ดอน จิโอแวนนี (Don Giovanni) และ ขลุ่ยวิเศษ (Die Zauberflöte)
ประวัติ
วัยเด็ก (ค.ศ. 1756 - ค.ศ. 1772)
โมซาร์ตเป็นบุตรของนักประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน เลโอโปลด์ โมซาร์ต (ค.ศ. 1719 - ค.ศ. 1787) รองประธานโบสถ์ในความอุปถ้มภ์ของเจ้าชายอาร์คบิชอปแห่งซัลสบูร์ก (Salzbourg) กับแอนนา มาเรีย เพิร์ต (Anna Maria Pert) (ค.ศ. 1720 - ค.ศ. 1778) วอล์ฟกัง อมาเด (ที่ไม่เคยถูกเรียกว่า อมาเดอุส ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่แม้กระทั่งในรายการบันทึกของพิธีศีลจุ่ม) ได้แสดงได้เห็นอัจฉริยภาพทางดนตรีก่อนวัยอันควรตั้งแต่อายุสามขวบ เขามีหูที่ยอดเยี่ยมและความจำที่แม่นยำความสามารถพิเศษยิ่งยวดทำให้เป็นที่น่าฉงนแก่ผู้คนรอบข้าง และเป็นแรงกระตุ้นให้บิดาของเขาให้สอนฮาร์ปซิคอร์ดแก่เขาตั้งแต่อายุห้าขวบ โมซาร์ตน้อยเรียนไวโอลินและออร์แกนเป็นเครื่องดนตรีชิ้นต่อมา ตามด้วยวิชาเรียบเรียงเสียงประสาน เขารู้จักการแกะโน้ตจากบทเพลงที่ได้ยินและเล่นทวนได้อย่างถูกต้องตั้งแต่วัยยังไม่รู้จักอ่านเขียนและนับเลข เมื่ออายุหกขวบ (ค.ศ. 1762) เขาก็แต่งเพลงชิ้นแรกได้แล้ว (เมนูเอ็ต KV.2, 4 และ 5 และ อัลเลโกร KV.3)
ระหว่าง ค.ศ. 1762 ถึง ค.ศ. 1766 เขาได้เดินทางออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ตกับบิดา (ที่เป็นลูกจ้างของเจ้าชายอาร์คบิชอปแห่งแชรตเตนบาค (Schrattenbach) และมาเรีย-อานนา พี่สาวคนโต (มีชื่อเล่นว่า "แนนเนิร์น" เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1751) พวกเขาเปิดการแสดงในนครมิวนิคเป็นแห่งแรก ตามมาด้วยกรุงเวียนนา ก่อนที่จะออกเดินสายครั้งใหญ่ทั่วทวีปยุโรป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ มิวนิค ออกสบูร์ก มันน์ไฮม์ แฟรงค์เฟิร์ต บรัสเซล ปารีส ลอนดอน เฮก อัมสเตอดัม ดิจง ลียง เจนีวา โลซาน) การแสดงของเขาประทับใจผู้ชมเป็นอย่างมาก และยังทำให้เขาได้พบกับแนวดนตรีใหม่ๆอีกด้วย เขาได้พบกับนักดนตรีสามคนที่ต้องจดจำเขาไปตลอดชีวิต อันได้โยฮัน โชเบิร์ต ที่กรุงปารีส โยฮันน์ คริสเตียน บราค (บุตรชายคนรองของ โยฮันน์ เซบาสเทียน บราค) ที่กรุงลอนดอน และเบอร์นัว แมร์ล็องผู้ซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก ที่เมืองปาดู แมร์ล็องนี่เองที่ทำให้โมซาร์ทได้ค้นพบ เปียโนฟอร์ท ที่ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ต้นคริสตศตวรรษที่ 18 และโอเปร่าในแบบของชาวอิตาเลียน แมร์ล็องยังได้สอนให้เขาแต่งซิมโฟนีอีกด้วย
เมื่อปี ค.ศ. 1767โมซาร์ทได้ประพันธ์โอเปร่าเรื่องแรกตั้งแต่อายุได้ 11 ปี ชื่อเรื่อง อพอลโล กับ ไฮยาซิน (K.38) เป็นบันเทิงคดีภาษาละตินที่แต่งให้เปิดแสดงโดยคณะนักเรียนของโรงเรียนมัธยมที่ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยแห่งเมืองซัลสบูร์ก เมื่อเขาเดินทางกลับถึงประเทศออสเตรีย เขาได้เดินทางไปยังกรุงเวียนนาบ่อยครั้ง และได้แต่งโอเปร่าสองเรื่องแรก ได้แก่ นายบาสเตียน กับ นางบาสเตียน และ ลา ฟินตา ซ็อมปลิซ ตลอดช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1768 เมื่อมีอายุได้ 12 ปี ในปีถัดมา เขาได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าชายอาร์คบิชอปให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการคอนเสิร์ต บิดาของเขาได้ขอลาพักงานโดยไม่รับเงินเดือนเพื่อพาเขาไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1769 ถึง ค.ศ. 1773 โมซาร์ทได้เดินทางไปประเทศอิตาลีหลายครั้งเพื่อไปศึกษาเกี่ยวกับโอเปร่า อันเป็นรูปแบบดนตรีที่เขาใช้ประพันธ์ การแต่งงานของฟิกาโร (Les Noces de Figaro) ดอนจิโอแวนนี โคสิ แฟน ตุตเต้ ขลุ่ยวิเศษ (Die Zauberflöte) ฯลฯ) เขาสามารถนำเสียงดนตรีอันสูงส่งเหล่านี้ออกมาสู่โลกได้ จากใส่ใจในความกลมกลืนของเสียงร้อง และ ความสามารถในการควบคุมเสียงอันเกิดจากเครื่องดนตรีหลากชิ้น
โชคไม่ดีที่ ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1771 เจ้าชายอาร์คบิชอปแห่งแชรตเตนบาคได้สิ้นชีพิตักษัย เจ้าชายอาร์คบิชอปแห่งโคลโลเรโดได้กลายมาเป็นนายจ้างคนใหม่ของเขา
[แก้] รับใช้เจ้าชายอาร์คบิชอปแห่งโคลโลเรโด (ค.ศ. 1773 - ค.ศ. 1781)
โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ทโมซาร์ทไม่มีความสุขที่บ้านเกิดของเขา เนื่องจากนายจ้างใหม่ไม่ชอบให้เขาออกไปเดินทางท่องเที่ยว และยังบังคับรูปแบบทางดนตรีที่เขาได้ประพันธ์ให้กับพิธีทางศาสนา เมื่อมีอายุได้ 17 ปี เขาไม่ยินดีที่จะยอมรับข้อบังคับนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาร์คบิชอปเสื่อมถอยลงในอีกสามปีต่อมา โชคดีที่เขาได้รู้จักกับ โยเซฟ เฮย์เด้นซึ่งก็ได้มาเป็นเพื่อนโต้ตอบทางจดหมายและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดชีวิต
"ข้าต้องการพูดต่อหน้าพระเจ้า ในฐานะชายผู้ซื่อสัตย์ บุตรชายของท่านเป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักเป็นการส่วนตัวหรือรู้จักเพียงในนาม เขามีรสนิยม และนอกเหนือจากนั้น เป็นศาสตร์ทางการประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"
ในจดหมายที่ โยเซฟ เฮย์เด้น เขียนถึง เลโอโปลด์ โมซาร์ท
"มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักเคล็ดลับที่จะทำให้ข้าหัวเราะ และสัมผัสจิตวิญญาณส่วนที่อยู่ลึกสุดของข้าเอง"
วอล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ต กล่าวถึงโยเซฟ เฮย์เด้น
ในปีค.ศ. 1776 โมซาร์ตมีอายุได้ 20 ปี และได้ตัดสินใจเิดินทางออกจากเมืองซัลสบูร์ก อย่างไรก็ดี เจ้าชายอาร์คบิชอป ได้ปฏิเสธไม่ให้บิดาของเขาไปด้วย และบังคับให้เขาลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการคอนเสิร์ต หลังจากการเตรียมการเป็นเวลาหนึ่งปี โมซาร์ตได้จากไปพร้อมกับมารดา โดยเดินทางไปยังนครมิวนิคเป็นแห่งแรก ที่ซึ่งเขาหาตำแหน่งงานไม่ได้ จากนั้นจึงไปที่เมืองออกสบูร์ก และท้ายสุดที่มันน์ไฮม์ ที่ซึ่งเขาได้ทำความรู้จักกับนักดนตรีมากมาย อย่างไรก็ดี แผนการที่จะหาตำแหน่งงานของเขาไม่เป็นผลสำเร็จ ในระหว่างนั้นเองที่เขาได้ตกหลุมรักอลอยเซีย วีเบอร์ นักเต้นระบำแคนตาตาสาวอย่างหัวปักหัวปำ ที่ทำให้บิดาของเขาโกรธมาก และขอให้เขาอย่าลืมอาชีพนักดนตรี โมซาร์ตมีหนี้สินล้นพ้นตัว เขาเริ่มเข้าใจว่าจะต้องออกหางานทำต่อไปและออกเดินทางไปยังกรุงปารีสในเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1778