(เขาว่า
อัลลอฮฺควบคุมจักรวาลดังคนควบคุมโดรน ความหมายคือ
อัลลอฮฺควบคุมกฎธรรมชาติไว้ในพระหัตถ์)
โดรนที่ดูเหมือนเป็นอิสระ ไม่เห็นมีใครมาหิ้วมันให้ลอยบนฟ้า ความจริงแล้วมันถูกควบคุมในสภาพที่ผู้ควบคุมไม่ต้องเข้าไปสัมผัสมันโดยตรง ซึ่ง
ถ้าคนสมัยโบราณได้เห็นโดรนบินอยู่ ก็คงจะคิดว่ามันมีอำนาจในตัวเองตามธรรมชาติ ไม่ต่างจาก นก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ นั่นเพราะคนสมัยโบราณไม่เข้าใจสภาพการบังคับโดรน
เช่นเดียวกัน อัลลอฮ์ควบคุมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ชั้นฟ้าทั้งหลาย และ
แผ่นดินให้ดำเนินกิจการไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์ เพียง
แต่มนุษย์ไม่เข้าใจวิธีการที่อัลลอฮ์ควบคุมสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเอง
ตกว่า มนุษย์ได้ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของพระเจ้าไปเรียบร้อย ตามนั้น มนุษย์ก็เป็นอิสระไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง จะปรับปรุงตนเองจะฝึกหัดพัฒนาตนเองก็ไม่ได้ ชีวิตอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ก็แล้วแต่ท่านจะเมตตา หากเขาต้องการให้พระเจ้ารักอยากให้พระเจ้าโปรดปราน กลัวท่านจะกริ้ว เขาก็ต้องเอาอกเอาใจท่าน ด้วยการสวดอ้อนวอนร้องขอ เซ่นสรวง เป็นอาทิ
เทียบให้เห็นกว้างอีก ก็แล้วแต่พระพรหม ก็แล้วแต่พระศิวะ ก๋แล้วแต่พระอิศวร ก็แล้วแต่... แล้วแต่ท่านประทานอะไรให้ ประทานอะไรมานั่นคือบททดสอบเรา ซึ่งท่านรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า เราจะผ่านมันไปได้ (มองแง่นี้ สงครามรัสเซียยูเครนก็เป็นโจทก์หนึ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้แล้วทั้งขีปนาวุธทั้งระเบิดทั้งลูกตะกั่วพรั่งพรูลงมาจากฟากฟ้า)
ส่วนที่ว่า ถ้าคนสมัยโบราณได้เห็นโดรนบินอยู่ ก็คงจะคิดว่ามันมีอำนาจในตัวเองตามธรรมชาติ ไม่ต่างจาก นก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ นั่นเพราะคนสมัยโบราณไม่เข้าใจสภาพการบังคับโดรน.(มองย้อน) เพราะคนสมัยเมื่อพันๆปีโน่น ไม่รู้ไม่เข้าใจ
กฎธรรมชาติแล้วเมื่อเขาได้ประสบกับภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า เป็นต้น ก็หวาดกลัว ... ไม่รู้ที่มาที่ไปแห่งกฎธรรมดาการโคจรของดวงดาวดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นอาทิ ก็คิดว่าโลกแบน ... คิดว่าเบื้องหลังปรากฏการณ์เช่นนั้นคงมีพระเจ้า มีเทพเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป เมื่อปักใจเชื่อเช่นนั้น ก็พากัน
คิดประดิษฐ์
ชื่อเรียกสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์นั้นต่างๆ เกิดการบูชายัญสวดอ้อนวอนกันต่างๆ เพื่อให้...เมตตากรุณา ทั้งหมดนั่นเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจเหตุเกิดของสรรพสิ่งด้วยประการฉะนี้.
ถ้าจัดเป็นขั้น นี่เรียกว่าขั้นศรัทธา