ขอต้อนรับสู่โลกของนิยายยูริ เรื่องจากประสบการณ์ และทำนายดวงชะตา โดย นิ้วนาง-เดียนา-ลำดวนพยากรณ์
 
มีนาคม 2562
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มีนาคม 2562
 
 

จุมพิตรัตติกาล My Sweet Vampire บทที่ 2 (Yuri)


 
เรื่องแวมไพร์ที่โด่งดังมาก คือเรื่องแดรกคูลา โดยนักเขียนที่ชื่อ บราม สโตกเกอร์ในปี ค.ศ. ๑๘๙๗ ซึ่งเกวลินเคยอ่าน และดูภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นในหลายเวอร์ชั่น ชวนตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่ว่าหลังจากเธอได้แอบอ่านบันทึกเก่าในห้องลับของบ้าน เลยรู้ข้อมูลลึกกว่านั้น   
บันทึกเขียนว่า แวมไพร์มีตั้งแต่ก่อนคริสตกาล อันเกิดจากความเชื่อที่ค้านในพระเจ้า และเลือกที่จะอยู่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งในยุคนั้นมีพวกนอกรีตหลายกลุ่ม อาทิ แม่มด มนุษย์หมาป่า และผีดูดเลือดหรือแวมไพร์  
โดยชาวยุโรปในยุคกลางหวาดกลัวแวมไพร์มากที่สุด เพราะหากกลายเป็นเหยื่อ ก็อาจจะกลายเป็นผีดูดเลือด ส่งผลให้วิญญาณตกนรกไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วนิรันดร์ ฐานะเป็นขบถต่อพระเจ้า
ในบันทึกไม่ได้เขียนถึงต้นกำเนิดแท้จริงของแวมไพร์ว่า มาจากไหน หรือเกิดขึ้นมาได้อย่างไร บอกเล่าแต่มีตระกูลเก่าแก่ที่ชื่อ ‘Ashely’ ที่นับเป็นเชื้อพระวงศ์เก่าแก่ มีผู้นำเป็นอิสตรี ปกครองอาณาจักรแวมไพร์ที่ชื่อ อาณาจักรรัตติกาล จากรุ่นสู่รุ่น สุขสงบยาวนานกว่าสองพันปี 
จนกระทั่งมีคำทำนายว่า ‘จันทราสองดวง ไม่อาจอยู่ร่วม แผ่นดินจะฉิบหาย’ 
ต่อมาไม่นานราชินีองค์ที่สิบเอ็ดได้ให้กำเนิดลูกแฝดหญิง นำไปสู่สงครามใหญ่เพื่อแย่งอำนาจของสองพี่น้อง อาณาจักรแวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่ล่มสลาย เพราะแฝดผู้พี่ได้ร่วมมือกับกลุ่มนักล่า ซึ่งไม่ต่างจากการชักศึกเข้าบ้าน แม้ชนะโค่นล้มได้บัลลังก์สำเร็จ แต่เหล่าแวมไพร์ก็เหลือรอดไม่มาก สุดท้ายโดนพวกฮันเตอร์ตลบหลัง เพื่อหวังกวาดล้างผีดิบให้สิ้นซาก เหล่าผีดูดเลือดจึงกระจัดกระจายหลบซ่อนไปคนละทิศละทาง  
ไม่มีบันทึกว่า เชื้อสายเลือดบริสุทธิ์ของ ‘Ashely’ ยังหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ รวมถึงไม่รู้ว่า ผู้นำปัจจุบันเป็นใคร หรือกบดานอยู่ที่ใด
ต่อมาควินน์ ผู้ทรยศซึ่งราชินีแฝดผู้น้อง ได้ตั้งตัวขึ้นเป็นราชาแวมไพร์ พยายามรวบรวมผีดิบขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้รับการยอมรับเช่นเชื้อพระวงศ์เก่า เหล่าผีดูดเลือดแตกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ไม่อาจเป็นปึกแผ่นเหมือนในอดีต     
ห้าสิบกว่าปีก่อน ได้มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เรียกตัวเองว่า ‘กลุ่มไครอน’ ตามชื่อของอาจารย์ของเหล่าวีรบุรุษในเทพปกรณัม ได้นำเลือดและเซลล์ของผีดูดเลือดไปศึกษาค้นคว้า เพื่อพัฒนายาอายุวัฒนะ โดยเชื่อว่า จะสามารถยืดอายุมนุษย์ให้ยาวนานกว่าเดิม หรือเป็นอมตะ...
เป็นอมตะ?
เธอรีบพลิกหน้าถัดไป แต่กระดาษหน้าต่อไปว่างเปล่า จึงถอนใจเบาๆ ออกมา
แล้วจะไปค้นข้อมูลต่อที่ไหนล่ะเนี่ย กลุ่มไครอนอะไรนี่ ดีไม่ดีกลุ่มนี้อาจจะล้มไปแล้วก็ได้      
เกวลินถอนใจ แล้วเก็บสมุดบันทึกเก่าไว้ที่เดิม ไม่พบข้อมูลที่น่าสนใจอีก
แต่แล้วขณะวาง มือไปโดนม้วนภาพวาดหล่นลงพื้น จึงรีบคว้าขึ้นมาปัดฝุ่น และคลี่ออกดูอย่างสนใจ เป็นรูปวาดผู้หญิงสองคนในชุดสูงศักดิ์ทางยุโรป คนหนึ่งนั่งอีกคนยืน ทั้งสองมีใบหน้าพิมพ์เดียวกัน หากไม่ใช่พี่น้องก็แม่ลูก ภาพมีร่องรอยเปื่อยขาดหลายแห่ง เดาว่าน่าจะวาดขึ้นนานมากแล้ว
สวยจัง
เธอชื่นชมอย่างหลงใหล โดยเฉพาะคนอายุน้อยกว่าในภาพ ที่ดูคุ้นเคยเหลือเกิน ผ่านไปหลายนาทีจึงม้วนภาพเก็บลงตามเดิม รีบออกจากห้องใต้ดินก่อนที่ปู่หรือย่าจะมาเห็นเข้า ปิดห้องล็อกกุญแจ ก่อนเดินกลับไปด้านบน
หญิงสาวคืนกุญแจให้พี่ชาย  
“ขอบคุณค่ะ”
“มีอะไรน่าสนใจไหม?” ดิเรกถาม ยื่นมือคว้ากุญแจเก็บใส่ลิ้นชัก ขณะนั่งเฝ้าเคาน์เตอร์ของร้าน
เขาอายุมากกว่าเธอสองปีเศษ ใบหน้าคลับคล้ายน้องสาว แต่มีรูปร่างบึกบึนแข็งแรง ผิวคล้ำกว่าเล็กน้อย ชายหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีแล้ว จึงมาช่วยเฝ้าร้านขายของเก่าของปู่เต็มตัว   
ใจจริงดิเรกอยากทำงานอย่างอื่น แต่ความกตัญญูทำให้ตัดสินใจเลือกที่จะแบ่งเบาภาระของญาติผู้ใหญ่ที่แก่ชราลงไปทุกวัน
เขามาช่วยงานที่ร้าน ‘วีแอนติค’ ซึ่งเป็นตึกแถวเก่าๆ สองคูหาอยู่หัวมุมของตึกเจ็ดคูหา อยู่ไม่ไกลจากตลาดสดของเมืองพัทยา โดยในย่านนี้เป็นย่านขายแต่ของเก่าของหายากทั้งสิ้น  
สินค้าภายในร้านวีแอนติค เน้นไปทางรูปเขียนรูปวาดเก่าๆ จานชามแจกันหายาก รวมถึงหนังสือผุๆ ที่ดูไม่น่าจะมีราคา แต่สินค้าในร้านกลับติดป้ายราคาหลักหมื่นปลายๆ ไปจนถึงแสนบาท นอกจากขายของทางร้านยังมีบริการหาของตามสั่งด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มีกระเป๋าหนักมากกว่าคนไทย
“ไม่เจออะไรเลย” เกวลินส่ายหน้า
หลังเลิกเรียนเธอรีบตรงดิ่งมาที่ร้าน เพราะรู้ว่าปู่ไม่อยู่ เพื่อจะได้ลงไปหาข้อมูลในห้องลับ ที่พี่ชายถือกุญแจร้านชั่วคราว และจะต้องคืนปู่ทุกครั้งหลังอีกฝ่ายกลับมา
สาวผมยาวทรุดตัวนั่งเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ หยิบกล่องป๊อกกี้ที่อีกคนวางไว้มาทาน เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยไปหลายแท่ง ก่อนถามขึ้น 
“ว่าแต่พี่รู้เรื่องคนตายที่โดนดูดเลือดหมดตัวหรือเปล่า?” 
“อือ” เขาตอบเสียงต่ำ หันไปอ่านหนังสือในมือต่อ
“คิดว่าเป็นฝีมือคนเหรอ?”
“ไม่แน่ใจ”
หืม?
สาวหน้าคมชะงักมือที่กำลังจ่อขนมจะเข้าปาก
“แปลว่าพี่สงสัยว่าเป็นฝีมือพวกนั้น”  
ฉลาดไปนะ น้องใครเนี่ย เฮ้อ!
พี่ชายเงยหน้าขึ้น สบตาคู่คมที่จ้องเขม็งเหมือนจะจับผิด ก่อนถอนใจเบาๆ ตั้งใจจะปิดบังน้องสาว แต่ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?
เกวลินกลอกตาไปมา ก่อนถามต่อ
“แล้วพวกเพื่อนพี่ว่ายังไง?”
หญิงสาวถามไปถึงกลุ่มเพื่อนของเขา ที่เป็นทายาทตระกูลนักล่ากลุ่มกริช ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หนึ่งในนั้นชื่อภากร เป็นลูกชายของเชนหัวหน้ากลุ่มฮันเตอร์กริช ชอบทำตัววางก้าม ตั้งตัวเป็นว่าที่ผู้นำกลุ่มคนต่อไป แต่ที่จริงนับเป็นมือสมัครเล่น เพราะแถบนี้ไม่มีปีศาจร้ายปรากฏตัวมานานมาก  
สาวหน้าคมไม่ค่อยถูกชะตากับภากรนัก ไม่ชอบที่อีกฝ่ายมาตามเกาะแกะ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของออกนอกหน้า ทำเหมือนเธอเป็นแฟนเป็นคู่รัก ทั้งที่หญิงสาวไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขาเลยสักนิด  
“กำลังตามติดที่ประชุมกลุ่มอยู่ ว่าจะลงมือล่าเมื่อไหร่?” เขาตอบตามตรงไม่คิดปกปิด
ล่า?
คนฟังทำตาโต ขมวดคิ้วมุ่น
“พี่คิดจะออกไปด้วยเหรอ?”
ไม่ยักรู้ว่าน้องสาวฉันมีโทรจิตด้วย
เขาอดประหลาดใจไม่ได้กับความเฉลียวฉลาดของอีกคน ยักไหล่แล้วทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
“แน่นอน โอกาสแบบนี้มีบ่อยซะที่ไหน”
“แต่ปู่-” เธอพูดไม่ทันจบประโยค
พี่ชายรีบยกมือห้าม
“พวกเราเกิดในตระกูลฮันเตอร์นะลิน ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ” พี่ชายกล่าวเสียงเข้ม ใบหน้าจริงจัง
ฉันกับพวกมันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้...ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
เขายังคงแค้นฝังใจเรื่องพ่อแม่ที่ตายเพราะฝีมือปีศาจ ตั้งใจว่าโตขึ้นจะเข้ากลุ่มฮันเตอร์เพื่อแก้แค้น แต่ติดตรงที่ปู่ไม่อนุญาต จึงคิดแอบลงมือแบบลับๆ กับพวกภากร เพื่อสร้างผลงาน ถึงตอนนั้นเชื่อว่าปู่ดอนก็คงไม่ห้ามเขาอีก  
คิดจะแก้แค้น แต่ฝีมือแบบพี่จะทำอะไรได้
น้องสาวทอดถอนใจเบาๆ
แม้รู้ว่าพี่ชายคิดทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย แต่เกวลินไม่มีปัญญาจะเตือน ขนาดปู่กับย่ายังห้ามไม่ได้ นับประสาอะไรกับเธอที่เป็นน้อง พูดไปก็จะโกรธกันเปล่าๆ จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
“พวกผู้ใหญ่นัดประชุมกันเมื่อไหร่?”
“น่าจะคืนนี้” ดิเรกตอบ
เขารู้ข่าวผ่านกลุ่มไลน์ของภากร ที่เอาข่าววงในของกลุ่มคิลเลอร์กริชมาเล่าสู่กันฟังบ่อยๆ ซึ่งก็คือการโอ้อวดกลายๆ ว่ารอบรู้ทุกเรื่อง     
ส่วนใหญ่กลุ่มฮันเตอร์จะนัดประชุมกันในช่วงดึก ประมาณสี่ทุ่มถึงตีสอง ที่บ้านเชนพ่อของภากร หัวหน้ากลุ่มคนปัจจุบัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสิบกิโลเมตรกับสมาชิกที่ร่วมประชุม เป็นพวกฮันเตอร์ระดับอาวุโสไม่เกินสิบคน   
ส่วนปู่ดอนวางมือจากวงการนี้ไปกว่าสิบปี แต่ยังจัดเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ จึงได้รับเชิญไปร่วมประชุมบ่อยครั้งในเรื่องสำคัญ ในฐานะอดีตวีรบุรุษของกลุ่มนักล่า
“หวังว่าอาทิตย์นี้จะไม่มีคนตายอีก” เธอเปรยขึ้นลอยๆ ไม่อยากให้มีใครต้องเคราะห์ร้ายอีก
“ก็อยากให้เป็นแบบนั้น” เขาพูดเสียงเย็นติดประชดประชัน ในใจกระเหี้ยนกระหือรืออยากออกไปล่าพวกปีศาจร้ายเต็มแก่ หวังแสดงฝีมือที่แอบซุ่มซ้อมอยู่นานหลายปี ไม่ว่าจะเป็นการยิงหน้าไม้ ยิงปืน หรือการฟันดาบกะปลิดชีพผีดูดเลือดแบบเดียวกับที่ปู่กับพ่อ และเหล่าบรรพบุรุษเคยทำ…เพียงแต่ฝีมือของเขาไม่จัดว่าเข้าขั้นนัก
ฉันจะทำให้ปู่และทุกคนยอมรับฉันในฐานะนักล่าให้ได้
กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งที่ห้อยหน้าประตูร้านดังขึ้น
สองพี่น้องหันไปมองพร้อมเพรียง แล้วทักทายอย่างสุภาพแบบเดียวกับพนักงานในร้านสะดวกซื้อ
“เชิญค่ะ” / “เชิญครับ”
แซมนักล่าวัยเฉียดสี่สิบปรากฏตัวขึ้นอย่างร้อนรน เหงื่อชุ่มโชกหายใจหนักหอบ คาดว่าคงจะวิ่งมา
“อาแซม” ชายหนุ่มทักทายแขกอย่างคุ้นเคย
“ปะ ปู่อยู่ไหม?” แขกถามเสียงหอบๆ
“อยู่บ้านครับ กลับไปสักพักแล้ว” ดิเรกตอบ แล้วอดถามต่อไม่ได้ “อาแซมมีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“มีเรื่องด่วนน่ะ คนของเราโดนเล่นงานเมื่อคืน ตายหนึ่ง สาหัสสอง”
“หา!” สองพี่น้องอุทานออกมาพร้อมๆ กัน
 
เกวลินพาแซมไปหาปู่ที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากร้านไม่มาก ส่วนดิเรกขอปิดร้านก่อน แล้วจะตามไปทีหลัง   
ดอนทำหน้าประหลาดใจที่เห็นแขกไม่ได้รับเชิญ ซึ่งเป็นลูกชายของเพื่อนสนิท แต่เดาว่าน่าจะนำข่าวร้ายมามากกว่าข่าวดี จึงรีบเชิญแซมไปนั่งที่ห้องรับแขก สาวหน้าคมยกน้ำมาให้แขก ส่วนลิเลียนภรรยาสูงวัยมานั่งฟังด้วย ไม่นานดิเรกก็ตามมาสมทบ
หลังทุกคนนั่งพร้อมเพรียง ดอนก็ถามขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อคืนหน่วยลาดตระเวนของเราห้าคน ปะทะกับพวกมัน ตายหนึ่ง สาหัสสอง แถวโรงงานร้างชานเมืองทางเหนือ”
มีปีศาจอยู่ในเมืองนี้จริงเหรอเนี่ย?
ชายสูงวัยทำหน้าขรึม
“แล้วอีกสองคนที่เหลือ?” เอ่ยถามถึงสมาชิกคนอื่นอย่างเป็นห่วง เขามองสมาชิกทุกคนเป็นลูกหลานเป็นครอบครัว
“ไม่ทราบครับ” แซมส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา
เกวลินสบตากับดิเรกอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหันกลับมามองคนพูด แล้วเงี่ยหูฟังต่อ
“แปลว่าอะไร?” ดอนอยากได้คำอธิบายที่ชัดเจนกว่านี้
“พอรู้เรื่องผมก็รีบไปที่เกิดเหตุ มีร่องรอยโดนลากขึ้นรถ แต่ไม่ทราบว่าไปที่ไหน”
“ลากขึ้นรถ?” ดิเรกทวนคำอย่างงงๆ
“ปกติพวกมันไม่ลักพาตัว มีแต่ฆ่ากับฆ่าเท่านั้น แบบนี้มันพิลึกมากนะ” ลิเลียนเปรยขึ้นลอยๆ
นั่นสิแปลกมาก
หลานสาวเห็นพ้องกับผู้เป็นย่า
“นั่นแหละครับ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” แซมพึมพำ เขาเป็นนักล่าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี เคยกำจัดพวกปีศาจในหลายประเทศ ก่อนที่พวกมันจะหายเงียบไปหลายปี แล้วจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวที่พัทยา   
หรือมันจะเป็นเหมือนพวกนกอพยพ ย้ายถิ่นไปเรื่อยๆ
ดอนทำหน้าไม่เข้าใจ  
“แล้วตอนนี้พวกบาดเจ็บสาหัสอยู่ที่ไหน?”
“อยู่โรงพยาบาลในอำเภอครับ แต่อาการดูไม่ดีเลย” แซมกล่าวอย่างกังวล ไม่แน่ใจว่าคนเจ็บทั้งคู่จะรอดชีวิตพ้นคืนนี้ไปได้ไหม หลังหมอบอกให้ญาติคนไข้ทำใจ
ถึงจะทำงานกันคนละทีมกับสองคนนั้น แต่เขาก็รู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากันพอสมควร จึงเป็นอะไรไม่ง่ายที่จะปล่อยวาง
ฉันต้องจัดการกับพวกมัน แก้แค้นให้พวกนายให้ได้ ฉันสัญญา
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ในใจเต็มไปด้วยความแค้นเคือง        
“เราทำอะไรไม่ได้หรอกนะแซม พวกเขาเสียสละตัวเองอย่างกล้าหาญแล้ว” ลิเลียนกล่าวเตือนในฐานะที่ผ่านโลกมามาก  
“ครับอาหญิง” แขกหนุ่มรับคำเสียงแผ่ว  
ภารกิจของฮันเตอร์กลุ่มกริชคือ การทำลายพวกปีศาจร้ายให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยินดี   
“คิดว่าพวกมันมีสักกี่ตัว?” ดิเรกถามบ้าง
“จากรอยเท้าที่เห็น คิดว่ามากกว่าสอง”
“หา!” เสียงอุทานประหลาดใจดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนทำหน้าเครียดราวกับพรุ่งนี้โลกจะถึงกาลอวสาน
“เยอะไปนะ” เกวลินหลุดพึมพำออกมา   
“นั่นสิ” พี่ชายผงกหัว หัวใจเริ่มหวั่นไหวหวาดผวาไม่น้อย
“แล้วจะทำยังไงดีคะคุณ?” ลิเลียนหันไปถามสามี
ดอนไม่ตอบคำถามนั้น หันไปถามแซม
“รายงานเชนหรือยัง?”
“พ่อไปรายงานแล้วครับ” นักล่าหนุ่มตอบ ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ “มีอีกเรื่องครับอา”
“อะไร?”
“มีคำทำนายใหม่ครับ แต่ไม่รู้แหล่งที่มาชัดเจน”
คำทำนาย?
เกวลินทำหน้าแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่ไม่กล้าถามขัดจังหวะขึ้น กะว่าค่อยสอบถามจากพี่ชายภายหลัง
“คราวนี้อะไรอีก?” หญิงอาวุโสพูดเสียงแผ่ว อดวิตกไม่ได้ ด้วยคำทำนายที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นข่าวร้ายมากกว่าดี
“สายเลือดเก่าแก่ จะกลับมาทวงอำนาจคืน” แซมกล่าวข้อความออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เลวร้ายกว่าที่คิด...เฮ้อ!
ดอนถอนใจยาวเหยียด
“เวรกรรม สงบสุขไม่เท่าไหร่ คิดจะฆ่ากันเองอีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างหรือไงกัน คราวก่อนก็เกือบสูญพันธ์ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ปัญญาอ่อนแท้ๆ”
เขาไม่รู้ว่า ปัจจุบันใครหรือตระกูลไหนเป็นผู้นำแวมไพร์ แต่เดาว่าคงไม่ใช่เชื้อสาย ‘Ashely’ ที่สืบทอดกันมายาวนานนับพันปี
...อาจจะเป็นควินน์ผู้ทรยศที่ตั้งตนเป็นราชา หรือเป็นใครก็ได้
แม้สงครามผีดูดเลือดจะไม่ใช่เรื่องที่คนตัวน้อยๆ ควรสอดมือเข้าไปก้าวก่าย แต่การอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน มนุษย์จึงได้รับผลกระทบเต็มๆ แบบไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
...ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ    
“สายเลือดเก่า?” เกวลินทวนคำอย่างสงสัย
“คำทำนายอาจหมายถึงพวกผีดูดเลือดน่ะลูก” ลิเลียนอธิบาย   
“แล้วเราจะรับมืออย่างไรดีครับปู่?” ดิเรกอดร้อนใจไม่ได้
“ปู่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายสูงวัยส่ายหน้าอับจนหนทาง
บรรยากาศภายในห้องเงียบงัน เยือกเย็นสั่นสะท้านราวกับเข้าสู่ฤดูหนาว ไม่กล้าจินตนาการถึงผีดิบหลายร้อยตัว เดินขวักไขว่กลางเมือง ตะปบคนเป็นๆ แล้วกัดคอดูดเลือดอย่างหิวกระหาย แค่คิดก็ชวนขนพองสยองเกล้า สะพรึงกลัวเสียยิ่งกว่านรกแตกในหนัง ไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้จะมีมนุษย์สังเวยชีวิตอีกเท่าไหร่
หรือนี่จะถึงคราวอวสานของโลกจริงๆ
เกวลินครางในใจ
“ผมไม่เชื่อหรอกว่า พวกมันจะเก่งกว่าคน” ดิเรกกล่าวทะลุกลางปล้องออกมา ตามประสาคนหนุ่มเลือดร้อน
ฉันไม่งอมืองอเท้านอนรอความตายเฉยๆ แน่
อวดเก่งไปไหมเด็กน้อย
แซมเลิกคิ้วหนาขึ้นเล็กน้อย หันมาจ้องหน้าคนพูด  
“แล้วนายมีแผนรับมือยังไง หากมันเกิดขึ้นจริงๆ?”
ฉึก!
พี่ชายของเธออึ้งไป สมองคิดหาคำตอบอย่างเร็ว แต่ช้าเกินกว่าใครอีกคนที่นั่งข้างๆ 
“ก่อนอื่น เราไม่ควรสนใจเรื่องคำทำนายอะไรนั่น” เกวลินกล่าวความเห็นออกมาอย่างเป็นการเป็นงาน
คนอื่นในห้องเบนสายตามองไปยังสาวน้อยอย่างแปลกใจ แต่ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากหญิงอาวุโส
“แล้วไงต่อลูก?” ลิเลียนอยากฟังความเห็นของหลานสาว ด้วยรู้ว่าสาวหน้าคมฉลาดหลักแหลม เพียงแต่ไม่ค่อยจะแสดงออกเท่านั้น  
“เราควรจัดการปีศาจที่อยู่ในเมืองนี้ให้ได้ก่อนค่ะ” หญิงสาวกล่าวอย่างแช่มช้า “อีกไม่นาน พวกมันต้องออกหาอาหารอีกแน่ ถ้าเราตีกรอบจุดเกิดเหตุทั้งหมด น่าจะประมาณได้ว่าพวกมันซ่อนตัวแถวไหน”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ” แซมส่ายหน้า
“ทำไมล่ะครับ?” ดิเรกย้อนถาม
“จุดเกิดเหตุก่อนหน้าเกิดแถวสวนสาธารณะหลายครั้ง แต่ล่าสุดที่ปะทะกับพวกของเรา อยู่คนละด้านของเมืองเลยนะ” นักล่าหนุ่มอธิบาย
แปลว่าอะไร?
ชายหนุ่มทำหน้าสับสน คิดตามคำพูดของแซมไม่ทัน   
“แถวสวนสาธารณะ เชนให้คนค้นอย่างละเอียดไปแล้วไม่ต่ำกว่าสามรอบ แต่ไม่เจออะไรเลย แล้วไม่กี่วันต่อมาพวกนั้นดันไปโผล่อีกด้านของเมือง ไม่แปลกหรือไง” ดอนพูดเสริม
ทุกคนยกเว้นแซม ใบ้รับประทานไปกับปัญหาโลกแตก ที่ยังคงคิดไม่ตก
“จุดเกิดเหตุห่างกันเกินห้าสิบกิโลเมตรเชียวนะ มันมีเวทมนตร์หรือไง?” ลิเลียนพึมพำเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง
ปกติปีศาจพวกนี้จะไม่เดินทางไปไหนไกล เว้นแต่ถูกไล่ต้อน ซึ่งไม่น่าเข้าเงื่อนไขตอนนี้ 
“ไม่ใช่เวทมนตร์ค่ะย่า อีกเหตุผลที่เป็นไปได้คือ พวกมันน่าจะมีสองกลุ่ม หรือมากกว่านั้น” สาวหน้าคมคาดเดา  
“เฮ้ย!” / “บ้าน่า!”
หลายเสียงอุทานออกมาอย่างแตกตื่นขวัญผวากันอีกรอบ
...หากข้อสมมติฐานของสาวน้อยเป็นจริง แปลว่าหายนะกำลังมาเยือนพัทยาที่สงบสุขในไม่ช้า
OoXoO

 




 

Create Date : 25 มีนาคม 2562
0 comments
Last Update : 25 มีนาคม 2562 17:39:58 น.
Counter : 535 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

นิ้วนาง-เดียนา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี


[Add นิ้วนาง-เดียนา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com