ผมกับกรุงเทพฯ เราห่างๆ กันมาหลายเดือนแล้ว นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา ผมก็ไม่ได้แวะเวียนเข้าเมืองกรุงเลย จนมาถึงตอนนี้ความวุ่นวายทางการเมืองก็คลี่คลายลงไปบ้างแล้ว ผมกับกรุงเทพฯ ก็เลยได้กลับมาเจอกันอีกครั้งเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ..... ผมแวะเข้ากรุงเทพฯ ไปทำธุระแถวๆ ห้างมาบุญครอง หลังเสร็จภารกิจแล้วก็ต้องมองหาที่เที่ยวให้หายคิดถึงเมืองกรุงกันซักหน่อยตามประสาคนไม่ได้เจอหน้ากันมานาน บังเอิญวันนั้นผมเกิดอารมณ์ติสต์ วิญญาณศิลปินเข้าแทรก สองเท้าของผมก็เลยพาเดินเตร็ดเตร่มาจนถึงหน้า "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre)" ซึ่งตั้งอยู่ที่สี่แยกปทุมวันตรงกันข้ามกับห้างมาบุญครองนั่นเอง .....+++ สัญลักษณ์ของหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร +++ กว่าที่กรุงเทพฯ เมืองหลวงของเราจะมีหอศิลป์สำหรับแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย ทัดเทียมกับเมืองใหญ่ๆ ของต่างประเทศกับเขาบ้าง ก็ต้องผ่านการเรียกร้องผลักดันจากกลุ่มศิลปินและประชาชนกันมายาวนานนับตั้งแต่ พศ. 2537 เลยล่ะครับ จนในที่สุดก็เริ่มมีนโยบายเกี่ยวกับหอศิลป์กรุงเทพฯ ออกมาให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างเมื่อสมัย ดร.พิจิตต รัตตกุลได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่า กทม. ..... ต่อมามีชะงักไปในช่วงที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่า กทม. คนต่อมา ซึ่งในช่วงนั้น "โครงการหอศิลป์กรุงเทพมหานคร" ถูกรื้อโครงการความคืบหน้าเดิมทิ้งทั้งหมด โดยเปลี่ยนเป็นพื้นที่การค้าตามรูปแบบการใช้พื้นที่แถบนั้น และมีส่วนแสดงศิลปะไว้เล็กน้อย ซึ่งบรรดาศิลปินและคนทำงานศิลปะในหลายแขนงต่างไม่พอใจในการยุบโครงการนี้เป็นอย่างมาก และได้เคลื่อนไหวเรียกร้องมาตลอดสมัยของนายสมัคร .....+++ อาคารหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สีขาวสะอาดตารูปทรงทันสมัย ตั้งอยู่หัวมุมสี่แยกปทุมวัน +++ จากการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อสู้เพื่อให้มีหอศิลป์โดยเครือข่ายประชาชนและกลุ่มศิลปินอย่างยาวนาน จนกระทั่งกรุงเทพมหานคร โดยผู้ว่าราชการฯ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้เล็งเห็นความสำคัญของศิลปวัฒนธรรม และได้วางนโยบายด้านศิลปวัฒนธรรมเป็นนโยบายหลัก โดยมุ่งเน้นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ของเด็ก เยาวชน และประชาชนในสังคม ให้ตระหนักถึงคุณค่าของศิลปวัฒนธรรม สภาแห่งกรุงเทพมหานครจึงได้อนุมัติงบประมาณดำเนินการก่อสร้างหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 509 ล้านบาท เพื่อผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม ซึ่ง "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bangkok Art and Culture Centre)" ได้เริ่มก่อสร้างในที่ดินของกรุงเทพมหานคร บริเวณสี่แยกปทุมวัน และได้มีการเปิดโครงการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการ เมื่อวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2548 .....+++ พื้นที่ด้านหน้าของหอศิลป์กรุงเทพฯ มีงานศิลปะกลางแจ้งให้ชมกันด้วย ++++++ ส่วนหนึ่งของศิลปะกลางแจ้งที่นำมาจัดแสดงให้ชมกัน ชิ้นนี้ชื่อ "เจ็ดมหัศจรรย์" โดย จักรพันธ์ วิลาสินีกุล ++++++ งานศิลป์ชิ้นนี้ขนาดใหญ่มาก ลองเทียบขนาดกับนักท่องเที่ยวที่ยืนข้างๆ ดูสิครับ ++++++ ประติมากรรมในรูปแบบสตรีทอาร์ทแนวใหม่ "เสือสยาม" โดย พีระพงศ์ ลิ้มธรรมรงค์ สีสันสดใสสะดุดตามาก +++ ในกำหนดการเดิม หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จะสร้างเสร็จช่วงปลายปี 2549 แต่การก่อสร้างได้ล่าช้าออกไปจากเดิม แล้วเสร็จเปิดใช้งานเมื่อ พ.ศ. 2551 โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดหอศิลปฯ ประติมากรรมช้างเอราวัณ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ชุด "บารมีแห่งแผ่นดิน" และนิทรรศการโขนพรหมมาศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 4 ปี นับตั้งแต่การเปิดโครงการหอศิลปฯ แห่งนี้อีกด้วย .....+++ มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับผลงานศิลปะสีสวยสดกันอยู่เรื่อยๆ เลยล่ะครับ++++++ แพะน้อยเหล่านี้เป็น Mascots ของกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองกว่างโจว ประเทศจีนปลายปีนี้ น่ารักดีนะครับ+++ ตัวอาคาร "หอศิลป์กรุงเทพฯ" สูง 9 ชั้น (บวกอีก 2 ชั้นใต้ดิน) โดยในตัวอาคารถูกออกแบบมาให้เป็นทรงกระบอก ซึ่งสามารถเชื่อมต่อระหว่างอาคารได้ด้วยทางเดินวน เป็นแนวเอียงขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้คนที่เข้ามาชมผลงาน สามารถชมได้ต่อเนื่องในแต่ละชั้น นอกจากนี้ตัวอาคารยังออกแบบมาให้สามารถรับแสงสว่างจากภายนอกได้ โดยที่แสงไม่แรงพอจะที่เข้ามาถึงขนาดทำลายผลงานศิลปะที่แสดงอยู่ข้างในได้ นอกจากห้องนิทรรศการที่มีอยู่หลายส่วนแล้ว ภายในยังมีส่วนที่เป็นห้องสมุดประชาชน, ห้องปฏิบัติการศิลปะ, ห้องอเนกประสงค์ 300 ที่นั่ง, ร้านค้า รวมไปถึงโรงภาพยนตร์-โรงละครขนาด 222 ที่นั่งอีกด้วย .....+++ ช่วงที่ผมไปเที่ยว มีการจัดแสดงงานศิลปะอยู่หลายงาน เข้าไปชมด้านในกันเลยดีกว่า ++++++ ที่ด้านข้างของประตูหน้ามีสองสาวร่างยักษ์ยืนคุมเชิงอยู่ด้วย ++++++ หนึ่งในสองสาวร่างยักษ์ซึ่งเป็นหุ่นไฟเบอร์กลาสขนาดใหญ่ ผลงานของ ทวีศักดิ์ ศรีทองดี ++++++ ภายในหอศิลป์กรุงเทพฯ ดูทันสมัย ไม่แพ้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เลยล่ะครับ ++++++ ทางเดินทรงกลมภายในอาคาร บางช่วงก็จะมีงานศิลปะมาจัดแสดงด้วย แต่ตอนที่ผมไปมีแต่ผนังเปล่าๆ ++++++ ลีลาของเส้นสายและรูปทรงที่สวยงามล้ำสมัยภายในอาคารหอศิลป์ +++ บริเวณชั้นหนึ่งถึงสี่ เป็นส่วนที่เรียกว่า "Art-rium@bacc" มีการออกร้านจากสถาบันการศึกษาทางศิลปะและดนตรีชั้นนำ และยังมีร้านค้าเอกชน ทั้งร้านขายโปสการ์ดและภาพวาดสวยๆ ร้านกาแฟสไตล์อาร์ตๆ ห้องจัดแสดงศิลปะแบบ Commercial Art ของสตูดิโอหลายแห่ง นอกจากนี้ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุกรมประชาสัมพันธ์ จัดแสดงนิทรรศการอยู่ในห้องเล็กๆ ให้ได้ชมกันด้วย ใครที่เดินทางมาเหนื่อยๆ แวะพักดื่มกาแฟกันแถวนี้ก่อนก็ดูจะได้อารมณ์และบรรยากาศแบบศิลป์ๆ ดีนะครับ ส่วนบริเวณชั้นห้า จะใช้สำหรับการประชุม ฉายภาพยนตร์ การแสดงดนตรี ละครเวที อบรม เสวนา และการแสดงต่างๆ .....+++ ร้านไอศครีมตกแต่งแนวโมเดิร์น ดูแล้วน่านั่งพักทานไอศครีมแบบชิลล์ๆ ++++++ ร้านนี้ดูแล้วคิดว่าน่าจะเป็นร้านขายผลงานศิลปะ ++++++ ห้องนี้จัดแสดงผลงานแนว Commercial Art ++++++ พิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุกรมประชาสัมพันธ์ ++++++ ส่วนหนึ่งของนิทรรศการที่จัดแสดงอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ ++++++ นักท่องเที่ยวกำลังยืนชมผลงานศิลปะอย่างตั้งใจ ++++++ มีงานศิลป์แนวเท่ห์ๆ อย่างนี้ให้ชมเยอะเลยล่ะครับ +++ บริเวณชั้นเจ็ดถึงชั้นเก้า จะเป็นส่วนที่ใช้จัดแสดงนิทรรศการศิลปะแบบหมุนเวียน โดยจะเปลี่ยนหัวข้อจัดแสดงไปเรื่อยๆ ก่อนจะขึ้นไปชมนิทรรศการตั้งแต่ชั้นเจ็ดขึ้นไป เราต้องฝากกระเป๋าไว้ที่เคาน์เตอร์รับฝากของที่ชั้นหกกันก่อน แม้แต่กระเป๋ากล้องของผมก็ยังเอาขึ้นไปไม่ได้เลย คิดว่าคงเป็นหนึ่งในมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ เพราะยุคนี้มีข่าวระเบิดกันอยู่เรื่อยๆ ยังไงๆ ก็ต้องเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ตั้งแต่ชั้นเจ็ดถึงชั้นเก้าจะไม่มีบันไดเลื่อนแล้วนะครับ แต่จะทำเป็นทางเดินลาดเอียงโค้งเป็นวงกลมเป็นตัวเชื่อมระหว่างชั้น รถเข็นผู้พิการก็สามารถเข็นขึ้นไปตามทางเดินนี้ได้ .....+++ ทางเดินขึ้นชั้นแปดและเก้า เป็นทางโค้งลาดเอียงขึ้นไปด้านบน +++ ช่วงที่ผมไปนั้นที่ ชั้นเจ็ด กำลังจัดนิทรรศการ "ไอคอนดีไซน์สไตล์ฝรั่งเศส" เป็นการรวบรวมผลงานการออกแบบของฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 20 กว่าสามสิบชิ้น ของฟิลลิป สตาร์ค, ฌอง พรูเว่, ปิแยร์ โปแลง, โรนอง บูรูเลค และ เลอ กอร์บูซิเย ผลงานการออกแบบฝรั่งเศสแต่ละชิ้นสะท้อนถึงพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่โดดเด่นในแต่ละยุคสมัย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญทางด้านอุตสาหกรรม โดยผลงานโดดเด่นที่นำมาจัดแสดงให้ชมก็ได้แก่ รถยนต์ DS Citroën จนถึงเครื่องบิน Concorde จำลอง ตลอดจนเก้าอี้ยาว LC4 ของ Le Corbusier .....+++ นิทรรศการ "ไอคอนดีไซน์สไตล์ฝรั่งเศส" จัดแสดงอยู่ที่ชั้นเจ็ด ++++++ ส่วนหนึ่งของงานดีไซน์ที่นำมาจัดแสดง ++++++ ผลงานการออกแบบเฟอร์นิเจอร์สวยๆ สไตล์โมเดิร์นของนักออกแบบชาวฝรั่งเศส ++++++ รถยนต์ Citroën DS 19 สิ่งประดิษฐ์ของวิศวกร อังเดร เลเฟบ และฟลามิโน เบอร์โทนี่ เปิดตัวในปี 1955 ++++++ รูปทรงสวยคลาสสิกมากๆ สมกับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน icon ของวงการดีไซน์ ++++++ Self Portrait จากกระทะล้อรถ Citroën ในอารมณ์แบบติสต์ๆ +++ ส่วนที่ ชั้นแปด จัดนิทรรศการรวบรวมผลงานภาพถ่าย "ภูมินิทัศน์ วัฒนธรรม" ซึ่งจะมีการจัดแสดงภาพถ่ายกว่า 200 ภาพ เป็นภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ และภาพถ่ายที่เข้ารอบจากภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ในโครงการประกวดภาพถ่ายศิลปวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ ภูมินิทัศน์ วัฒนธรรม จัดโดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผลงานแต่ละภาพนำเสนอภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมที่หลากหลายตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทยครับ ใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ คงจะเพลิดเพลินกับชั้นนี้เป็นพิเศษ เพราะภาพถ่ายแต่ละภาพล้วนแล้วแต่งามหยด คัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดีทั้งนั้น .....+++ นิทรรศการรวบรวมผลงานภาพถ่าย "ภูมินิทัศน์ วัฒนธรรม" จัดแสดงอยู่ที่ชั้นแปด ++++++ นักท่องเที่ยวกำลังชื่นชมภาพถ่ายสวยๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ ++++++ มีผลงานภาพถ่ายมาจัดแสดงให้ชมกันกว่า 200 ภาพ ++++++ ส่วนหนึ่งของภาพถ่ายสวยๆ ที่ทำเอาผมเดินดูเพลินจนแทบลืมถ่ายภาพไปเลย +++ ส่วนที่ ชั้นเก้า ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ก็กำลังจัดนิทรรศการศิลปะ "ฝันถึงสันติภาพ" ซึ่งเป็นนิทรรศการที่รวมพลังจากศิลปินหลากหลายแขนง ร่วมสร้างสรรค์ผลงานภายใต้แนวคิดในการเยียวยาจิตใจของคนในชาติ การกอบกู้ภาพลักษณ์ และการฟื้นฟูประเทศ ด้วยการแสดงออกถึงความต้องการสันติภาพในสังคมตามมุมมองของศิลปิน นักคิดสร้างสรรค์ นักร้อง นักแสดง สถาปนิก นักออกแบบ และนักวิชาการ กว่า ๑๐๐ ท่านเลยล่ะครับ .....+++ นิทรรศการศิลปะ "ฝันถึงสันติภาพ" จัดแสดงอยู่ที่ชั้นเก้า ++++++ ผลงาน "ระคายเคืองตา อย่าระคายเคืองใจ" โดย กนกนุช ศิลปวิศวกุล ++++++ ผลงาน "สันติภาพ คือ" โดย เคลวิน หว่อง ชิ้นนี้ดูเหมือนง่ายๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งให้ขบคิด ++++++ นกพิราบ สัญลักษณ์ของสันติภาพ จากผลงาน "รักและคิดถึงสันติธรรม" โดย รศ.กัญญา เจริญศุภกุล ++++++ ประติมากรรม "สมาธิ" โดย นนทิวรรธน์ จันทะนะผะลิน ดูแล้วให้ความรู้สึกสงบสมชื่อ ++++++ ผลงาน "Please Peace Me : อย่าท้อถอย" โดย ยุรี เกนสาคู สีสันสดใส สื่อความหมายในเชิงให้กำลังใจ ++++++ ผลงานของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ สะท้อนถึงเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา +++ ผมใช้เวลาเดินชมงานศิลปะภายใน "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร" อย่างเพลิดเพลิน จนเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้เข้าถึงงานศิลปะต่างๆ ที่ได้ชมอย่างเต็มที่เท่าไหร่นัก ทั้งนี้เพราะข้อจำกัดเรื่องเวลาเป็นอุปสรรคที่สำคัญเลยครับ เพราะการจะเข้าถึงงานศิลปะแต่ละชิ้น จะต้องใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ถึงความงามและความหมายที่ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานต้องการสื่อให้เราได้รับทราบด้วย การไปชมงานศิลปะแบบด่วนๆ อย่างผมนั้นก็คงเป็นการชมแบบผิวเผินเท่านั้น ถ้ามีโอกาสผมคงต้องหาเวลาไปเที่ยวชมใหม่แบบเต็มที่กว่านี้ สำหรับทริปในบรรยากาศแบบติสต์ๆ ของผมก็ต้องขอจบลงเพียงเท่านี้ ไว้พบกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ ..... สถานที่ตั้ง : "หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร" ตั้งอยู่ที่สี่แยกปทุมวัน หัวมุมถนนพระราม 1 และถนนพญาไท ตรงข้ามห้างมาบุญครอง และสยามดิสคัฟเวอรี่ เวลาเปิดบริการ : วันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-21.00 น. (หยุดวันจันทร์)ค่าเข้าชม : ไม่มีค่าเข้าชม ยกเว้นการจัดกิจกรรม และการแสดงเป็นกรณีพิเศษ
แบบนี้เด็กดื้อทั้ง2 น่าจะชอบนะคะ มีของให้ดูเยอะดี