ผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้ว เวลาที่เราคิดจะพักผ่อนด้วยการท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่างๆ ก็มักจะผุดขึ้นมาในความคิดของเรามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นสถานที่ไกลตัวที่มีความแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย แต่น้อยครั้งนักที่เราจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆ ตัวโดยเฉพาะในจังหวัดที่ตัวเองพำนักอยู่ ผมเองก็เช่นกันหลังจากเดินทางท่องเที่ยวมาก็มากทั้งเหนือสุดในสยาม ตะวันตกสุดหรือตะวันออกสุด ก็ไปมาแล้ว แต่หลายๆ ที่ในจังหวัดปราจีนบุรีที่ผมอยู่นั้น ผมกลับยังไม่เคยไปเยี่ยมชมเลยซักครั้ง ด้วยเหตุนี้วันนี้ผมจึงขอเสนอทริปแถวบ้าน ด้วยการพาไปเยี่ยมชม "วัดแก้วพิจิตร" ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ตรงที่ "อุโบสถศิลปะลูกผสม 4 ชาติ" ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย นับว่าน่าสนใจมากๆ เลยทีเดียวครับวันนี้ขอเชิญไปเที่ยวชม "วัดแก้วพิจิตร" ด้วยกันนะครับเอกลักษณ์โดดเด่นของที่นี่ คืออุโบสถลูกผสมแห่งนี้ประวัติ "วัดแก้วพิจิตร" เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2422 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ในเขตหมู่ 4 ตำบลบางบริบูรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี บนริมฝั่งขวาของแม่น้ำปราจีนบุรี ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันออกประมาณ 2 กิโลเมตร สร้างขึ้นโดยนางประมูลโภคา (แก้ว ประสังสิต) ซึ่งเป็นภรรยาของขุนประมูลภักดี เพื่อใช้ในการทำบุญตักบาตร ถือศีลฟังธรรมโดยมีผู้ร่วมกันบริจาคที่ดิน แรงงานและทุนทรัพย์ในการก่อสร้าง สิ่งก่อสร้างในระยะแรก ประกอบด้วย ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ กุฎิ พระอุโบสถ ศาลาท่าน้ำและเรือนแพ ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2456 "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์)" ได้บูรณะวัดแห่งนี้ และสร้างศาสนสถานต่าง ๆ ภายในวัด เช่น โบสถ์ อาคาร รร. อภัยพิทยาคาร และ รร. พระไตรปิฎกและวินัย ซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ของวัด เป็นต้นด้านหน้าอุโบสถมุมนี้เป็นด้านหลังอุโบสถมาถึงวัดทั้งทีแล้ว ก่อนจะไปเยี่ยมชมสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดแก้วพิจิตร ก็ต้องพาไปไหว้พระเพื่อความเป็นศิริมงคลกันก่อนครับ สามารถไหว้พระได้ทั้งบริเวณด้านหน้าโบสถ์ หรือที่ศาลาริมน้ำก็ได้ครับ ไหว้พระเสร็จแล้วค่อยไปเที่ยวชมวัดกันนะครับไปไหว้พระเพื่อความเป็นศิริมงคลกันก่อน หยิบธูปเทียนตามมาเลยครับดื้อใหญ่ตั้งใจไหว้พระมาก มีแอบอฐิษฐานขอพรพระด้วยปิดทองหลังพระมีเสี่ยงเซียมซีด้วยครับ เสี่ยงเสร็จแล้วมาดูคำทำนายได้เลยดื้อเล็กเอาแต่ดื้อ ไม่ยอมมาไหว้พระด้วยกันสิ่งน่าสนใจอุโบสถหรือโบสถ์ อุโบสถล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วเตี้ย ๆ รูปสี่เหลี่ยม บนกำแพงแก้วมีพานปูนปั้นขนาดใหญ่ประดับอยู่โดยรอบ กึ่งกลางกำแพงแต่ละด้านมีประตูทางเข้าทำเป็นซุ้มยอดเจดีย์อย่างศิลปะเขมร เมื่อเดินผ่านประตูกำแพงแก้วเข้าไปในเขตอุโบสถ จะเห็นซุ้มใบเสมาทำเป็นทรงมณฑปประดิษฐานอยู่ทั้งแปดทิศ อุโบสถแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่น่าชมไปหมด นับแต่ด้านนอกอาคาร ซึ่งนำรูปแบบสถาปัตยกรรมอยุธยามาใช้ในการออกแบบ คือ บนหลังคามีมุขประเจิดยื่นออกมาทั้งด้านหน้าและด้านหลังอาคาร นอกจากประดับช่อฟ้าใบระกาที่สวยงามแล้ว ยังประดับบราลีที่กลางสันหลังคาอุโบสถอีกด้วย ซึ่งหาชมได้ยากแล้วในปัจจุบัน ส่วนที่หน้าบันเป็นปูนปั้นรูปพระวิมานของพระอินทร์ ใต้หน้าบันเป็นสาหร่ายรวงผึ้งลวดลายเครือเถามีใบไม้อย่างศิลปะตะวันตก ชายคารอบอาคารนี้หรือที่เรียกว่าปีกนก ยื่นออกมาโดยมีเสาเซาะร่องแบบศิลปะกรีกรองรับเรียงรายอยู่รอบอาคาร โดยที่หัวเสาแต่ละต้นนั้นทำเป็นกลีบบัวและเทพนมอ่อนช้อยประดับอย่างสวยงามด้านข้างอุโบสถกำแพงแก้วที่ล้อมรอบอุโบสถมีระฆังแขวนอยู่หน้าซุ้มใบเสมาที่อยู่โดยรอบอุโบสถด้วยลักษณะเด่นของอุโบสถ เป็นการนำศิลปะไทย จีน ฝรั่ง เขมร มาผสมผสานกันได้อย่างสวยงาม มีแห่งเดียวในประเทศไทย1. ศิลปกรรมไทย คือ รูปแบบแผนผังอุโบสถ, ช่อฟ้า, ใบระกา, หางหงส์, บานประตูหน้าต่าง ลงรักปิดทองเป็นทวารบาลหน้าบันเป็นปูนปั้นรูปพระวิมานของพระอินทร์ ศิลปกรรมไทย 2. ศิลปกรรมจีน คือ รูปปั้นมังกรเขียวหน้าจั่ว, หลังคาลายมังกร, ราวบันไดขึ้นอุโบสถรูปมังกรเขียวบริเวณเสามุขประเจิดตรงหน้าจั่ว ศิลปกรรมจีนรูปมังกรแบบจีนบริเวณราวบันไดขึ้นอุโบสถ3. ศิลปกรรมเขมร คือ รูปแบบหลังคา กำแพงแก้ว ซุ้มประตูแก้วซุ้มประตูแก้ว ศิลปกรรมเขมรสองเด็กดื้อบริเวณซุ้มกำแพงแก้วนาฬิกาบอกเวลา 11.48 น. ซึ่งเป็นปริศนาธรรมว่ายังไม่เที่ยงทั้งเวลาและชีวิตครับ4. ศิลปกรรมฝรั่ง คือ เสาแบบโครินเธียล, โดมหลังคาโรงเรียนบาลีนักธรรมวินัย, การวาดภาพรูปชาวต่างประเทศล้อมรอบใต้ชายหลังคาด้านนอกอุโบสถเสาแบบโครินเธียล ศิลปกรรมฝรั่งภาพวาดชาวต่างประเทศล้อมรอบใต้ชายหลังคาด้านนอกอุโบสถ เมื่อเข้าไป ภายในอุโบสถ จะเห็นความโดดเด่นหลายอย่าง คือ มีเสานางเรียงสองแถวขนานไปตามความยาวของอุโบสถ ช่วยนำสายตาไปสู่องค์พระประธานภายในอาคาร เสานางเรียงดังกล่าวเป็นเสาเซาะร่องแบบกรีกเหมือนด้านนอกอาคาร แต่ต่างกันที่เป็นหัวเสาแบบไอโอนิก คือม้วนเป็นก้นหอย ส่วนที่กรอบประตูหน้าต่างทำเป็นกรอบยอดแหลมคล้ายโดมในศิลปะเปอร์เชีย ประดับลายไม้ฉลุที่ช่องแสงเหนือหน้าต่างประตู ส่วนที่บานประตูหน้าต่างของอุโบสถ ยังเขียนภาพลงรักปิดทองเป็นรูปเทวดาฝีมือประณีตน่าชม ตอนบนของผนังเขียนเป็นภาพชาวต่างชาติทั้งฝรั่ง แขก จีน ไทย ส่วนที่เพดานประดับด้วยไม้แกะสลักรูปดาวเพดานเป็นดวงกลมโต แต่ละดวงทิ้งระยะห่างกันอย่างลงตัว โดยมีโคมไฟระย้าทำด้วยแก้วเจียระไนห้อยประดับอย่างสวยงามภาพลงรักปิดทองเป็นรูปเทวดาที่บานประตูอุโบสถภายในอุโบสถภาพจิตรกรรมบนผืนผ้าภายในอุโบสถหลวงพ่ออภัย เป็นพระประธานในอุโบสถ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2464 ในช่วงรัชกาลที่ 6 โดย "สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ทรงออกแบบพระพุทธรูปองค์นี้ เป็น "ปางประทานอภัย" ทำจากทองแดง หน้าตักกว้าง 1.7 ม.พุทธลักษณะของพระพุทธรูปปางประทานอภัยองค์นี้ ต่างจากที่พบเห็นทั่วไป คือ ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นระดับพระอุระโดยหันฝ่าพระหัตถ์ด้านในออก แต่หลวงพ่ออภัยวางพระหัตถ์ขวาเหนือเข่า หันฝ่าพระหัตถ์ออกเล็กน้อย ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางอยู่ที่พระเพลา พระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนมนุษย์สามัญและเลียนแบบพระพุทธรูปคันธารราษฎร์ของอินเดีย พระพักตร์เป็นแบบประติมากรรมกรีกโรมัน พระเกศาหยักศกรวบเป็นมวยกลางพระเศียร ครองจีวรเป็นริ้วแบบธรรมชาติ ด้านหลังฐานชุกชีขององค์พระเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) และพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) ครับหลวงพ่ออภัย พระประทานปางอภัยภายในอุโบสถด้านหลังองค์พระหลวงพ่ออภัย ตรงฐานบรรจุอัฐิเจ้าพระยาอภัยภูเบศรอาคารพิพิธภัณฑ์ อาคารนี้เคยเป็น "รร. อภัยพิทยาคาร" และ "รร. พระไตรปิฎกและวินัย" มาก่อน มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคโคโลเนียล ที่น่าสนใจคือหลังคาทำเป็นโดม มีหน้าบันอยู่กึ่งกลางอาคาร รอบอาคารเป็นชานชาลาเดินได้รอบ มีเสาแบบกรีกรองรับชายคา เป็นเสาเซาะร่อง หัวเสาแบบไอโอนิก หรือหัวเสาแบบก้นหอยภายในอาคารจัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงข้าวของเครื่องใช้ของสงฆ์ และชาวบ้านแถบเมืองปราจีนบุรี เช่น เครื่องถ้วยชามที่เคยใช้ในสำรับอาหาร เครื่องพิมพ์ดีด เป็นต้นไปชมอาคารพิพิธภัณฑ์กันต่อเลยครับเดิมเป็น รร. พระไตรปิฎกและวินัยมาก่อนวันนี้พาสองเด็กดื้อมาชมพิพิธภัณฑ์กันด้วยอีกมุมหนึ่งของอาคารพิพิธภัณฑ์ครับ เห็นหมู่รูปปูนปั้นอยู่ด้านหน้าด้วยหน้าบันกึ่งกลางอาคารพิพิธภัณฑ์อนุสาวรีย์เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่สวนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์จากมุมนี้ จะเห็นต้นไม้ด้านขวาเป็นต้นพิกุลที่สมเด็จพระเทพรัตนฯ ทรงปลูกด้านหน้าอาคารจะเห็นหลังคารูปโดมอย่างชัดเจนตามสองเด็กดื้อเข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์กันเลยภายในพิพิธภัณฑ์ห้องแรกเป็นหินมีลายพระหัตถ์พระราชวงศ์ลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวห้องถัดมา แสดงวิถีชีวิตแบบไทยๆเครื่องพิมพ์ดีดเก่าก็มีให้ดูไหโบราณหลากหลายขนาดข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณหินลูกปัดเก่าๆ สีสวยสดใสเก็บภาพนางแบบตัวน้อยตรงระเบียงพิพิธภัณฑ์ซะหน่อยศาลาจตุรมุข ลายขนมปังขิง ศาลาหลังนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบางปะกงที่เคยเป็นด้านหน้าวัดมาก่อน เป็นศาลาโถงเปิดโล่งทรงจตุรมุข มีการประดับลายไม้ฉลุตามส่วนต่าง ๆ ของอาคารตั้งแต่หลังคา หน้าบัน และขื่อคาของศาลา เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นิยมมากในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 ถึงต้นรัชกาลที่ 7ศาลาแบบขนมปังขิง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปราจีนบุรีลวดลายไม้ฉลุอันงดงามตามส่วนต่างๆ ของศาลาพระรัตนสุวรรณ เป็นพระทองคำทรงเครื่อง ประดับอัญมณี ปางมารวิชัย หน้าตักประมาณ ๔ นิ้ว กว้างประมาณ ๗ นิ้ว ไม่สามารถระบุได้ว่าสร้างตั้งแต่ครั้งใด ได้แต่สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๕ พระราชทานแก่หลวงอภัยพิทักษ์ บุตรชายคนโตของพระยาอภัยภูเบศร (นอง) เมื่อแรกไปรับราชการที่เมืองพระตะบองต่อมาภายหลัง "พระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม)" ซึ่งเป็นเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้ายก่อนที่ไทยจะเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส ได้นำกลับจากเมืองพระตะบอง เพราะถือว่าเป็นพระประจำตระกูลอภัยวงศ์ ให้เป็นพระประจำวัดแก้วพิจิตร เพื่อเป็นที่สักการะแด่ประชาชนทั่วไป แต่ด้วยในเวลานั้น จังหวัดปราจีนบุรียังกันดารและขโมยชุกชุม คณะกรรมการจึงพิจารณาให้นำพระรัตนสุวรรณไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยของธนาคารเป็นการชั่วคราว จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นเวลาครบรอบ ๑๒๕ ปีของการสร้างวัด จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดเป็นการถาวร เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคลต่อไปศาลาการเปรียญ ที่ประดิษฐานพระรัตนสุวรรณพระรัตนสุวรรณ พระพุทธรูปทรงเครื่องเก่าแก่ของวัดหอพระไตรปิฎกและหอระฆัง อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุโบสถ หอพระไตรปิฎกเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้นสร้างเชื่อมกันกับหอระฆัง หลังคาปีกนกประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ ส่วนหอระฆังเป็นหลังคาทรงมณฑปหอพระไตรปิฎกและหอระฆังอีกมุมหนึ่งครับมณฑปด้านหน้าวัด ภายในประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองแม่น้ำด้านหลังวัด เป็นเขตอภัยทาน มีท่าน้ำสำหรับให้อาหารปลาด้วย หลังจากที่ผมได้ไปสัมผัสกับที่เที่ยวใกล้บ้านอย่าง "วัดแก้วพิจิตร" แห่งนี้มาแล้ว ทำให้ผมได้ทราบว่า ใกล้ๆ ตัวเรายังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายรอให้ได้ไปค้นหา โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหนไกลๆ เลยครับ แล้วคุณล่ะครับได้แวะเที่ยวใกล้บ้านบ้างหรือยัง ไม่แน่ว่าอาจได้พบเรื่องราว สาระความรู้มาเล่าสู่กันฟังแบบนี้บ้างก็ได้ สุดท้ายนี้ขอเชิญชวน สำหรับท่านที่แวะเวียนผ่านมาทางจังหวัดปราจีนบุรี อย่าลืมมาเยี่ยมชมอุโบสถลูกผสมสี่ชาติ แห่งเดียวในประเทศไทยกันนะครับ รับรองหาชมที่อื่นไม่ได้แน่นอน แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า สวัสดีครับ
ถ่ายรูปสวย
อิ่มตา อิ่มใจ และอิ่มบุญเน๊าะ
อนุโมทนาบุญค่ะ