วิธีการปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนเป็นสมถะหรือวิปัสสนา
มีคำถามเข้ามาที่ผมเรื่องการปฏิบัติแนวหลวงพ่อเทียน แต่ก่อนอื่น ผมขออธิบายก่อนในเรื่อง *** การรับรู้ด้วยจิต และ การรับรู้ด้วยขันธ์ **** ว่าการรู้ 2 อย่างนี้ต่างกันอย่างไรก่อน สมมุติว่า ท่านอาบน้ำในฤดูหนาวที่อากาศกำลังหนาวเย็น พอน้ำกระทบกายเท่านั้น ท่านจะรู้สึกได้ถึง การกระทบของน้ำกับร่างกาย และ รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เกิดขึ้น นี่เป็นการ รับรู้ด้วยจิต แต่พอท่านรู้สึกถึงอุณหภูมิที่รู้สึกได้ปั๊บ ท่านก็ร้องออกมาว่า..หนาว... การที่ท่านรู้ว่า ..หนาว.. นี่แหละครับ คือการรู้ด้วยขันธ์ เพราะ เมื่อเกิดการกระทบสัมผัสเข้าแล้ว ก็จะเกิดแปลความหมายการสัมผัส การแปลความหมายนี้ มาจากที่เรียนรู้มาจากทางโลก เช่น ผู้ใหญ่ อาการแบบนี้ อุณหภูมิแบบนี้ เขาเรียกว่า หนาว ถ้าจะให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ ก็คือ การรับรู้ด้วยจิต จะเหมือนการรับรู้แบบเด็กทารก ที่เขาก็รู้สึกได้ ถ้าน้ำเย็นไปกระทบกายเขา เขาก็รู้สึกได้แบบผู้ใหญ่ เพียงแต่เด็กทารก ยังไม่รู้จักว่า สิ่งที่รู้สึกแบบนั้น เขาเรียกกันว่า ..หนาว.. แนะนำอ่านเพิ่มเติมให้เข้าใจมากขึ้นที่รู้ขบวนการ (ปรมัตถ์) รู้เนื้อความ (สมมุติ) สภาวะปรมัตถ์ ซ่อนอยู่ใน สภาวะสมมุติ ****** คำถามที่ถามเข้ามา มีว่า 1. ผมได้สนทนากับพระท่านที่เรียนอภิธรรม ถามผมว่าปฏิบัติเช่นไร ผมก็ว่า ขยับมือสายหลวงพ่อเทียน แกว่า ขยับมือเป็นสมถะ เพราะมี ... (เป็นศัพท์เทคนิคทางอภิธรรม ผมจำไม่ได้) ประมาณว่ามีเจตนาอะไรซักอย่าง ผมก็ว่า ขยับมือต่างกับการเดินจงกรมตรงไหน แกว่า เดินเพื่อคลายทุกข์ของกาย ... - ถาม อ.ว่า ความเป็นจริงแล้วขยับมือ14จังหวะ ก็เป็นการเจริญสติแน่นอน แต่หากจะเป็นสมถะ แล้วจะเป็นลักษณะใดครับ ********************* >>>>>> ความเห็นของผมมีดังนี้ครับ ก่อนอื่น ผมขออธิบายความหมายของสมถะและวิปัสสนาตามที่ผมเข้าใจดังนี้ สมถะ คือ อาการที่จิตใจสงบจาก.นิวรณ์ 5. ถ้าท่านเพียงรู้สึกตัว จิตใจเฉย ๆ สบาย ๆ ไม่คิดอะไรในหัว นั่นแหละครับ ท่านสงบจากนิวรณ์ 5 แล้ว จะเห็นว่า มันพื้น ๆ อย่างนี้เองครับ บางท่านไม่เข้าใจจุดนี้ พอพระบอกว่า ทำสมถะ ก็คิดว่า ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วก็ลงมือทำ ทำ และ ทำ... พอเกิดความคิดว่าต้องทำหรือเกิดความอยากที่จะต้องทำ นั่นแหละครับ จิตใจฟุ้งซ่านแล้ว ไม่สงบแล้ว ยิ่งทำ ยิ่งไม่สงบ ผมได้บอกถึงกฏ 3 ข้อที่ว่า เพียงรู้สึกตัว เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่คิดไม่อะไร ไม่อยากต้องการอะไร นั่นแหละสงบแล้ว เป็นสมถะเรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาของนักภาวนา ก็คือ จะรักษาอย่างไรให้มันต่อเนื่อง ในอาการของสมถะที่ผมบอกไว้ในกฏ 3 ข้อ ซึ่งก็คือ ต้องหมั่นฝึกฝนครับ ฝึกเจ้ากฏ 3 ข้อนี้แหละ ฝึกแบบสบาย ๆ เมื่อฝึกไป ก็จะคุ้นเคยมากขึ้น แล้วการต่อเนื่องจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามความชำนาญ ทีนี้ ตามธรรมชาติของจิตใจ เมื่ออยู่ในสภาวะสมถะแบบที่ผมเขียนก็คือ เพียงรู้สึกตัว เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่คิดอะไร ไม่อยากต้องการอะไร จิตใจจะสามารถรับรู้การกระทบสัมผัสได้เอง ซึ่งนักภาวนาไม่ต้องทำอะไรเลย แต่จิตใจทำงานเองโดยอัตโนมัติของเขาเอง เช่น สมมุติว่าท่านกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ขอให้ท่านใช้มือ ลูบไปลูุบมาบนโต๊ะดูซิครับ ท่านอ่านไปด้วย มือที่ลูบโต๊ะก็รู้สึกถึงการสัมผัสกับโต๊ะได้ด้วย จริงไหมครับท่าน ทั้งนี้เป็นเพราะว่า จิตใจเขาทำงานเอง เมื่อท่านยังรู้สึกตัวได้ดีอยู่นั่นเอง ทีนี้คำว่า วิปัสสนานา คืออะไร .. วิปัสสนา คือ การรับรู้ตามความเป็นจริงด้วยจิตใจครับ ซึ่งง่าย ๆ ก็คือ การรับรู้ความเป็นจริงของ ขันธ์ 5 ของอายตนะ ของตัวจิตใจ เองว่า นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน <<<< ซึ่ง Keyword ก็คือ วิปัสสนาเป็นการรับรู้ด้วยจิตใจ ไม่ใช่การรับรู้ด้วยขันธ์ (อ่านเรื่องข้างบนที่เขียนไว้ก่อนคำถาม) ทีนี้ในการฝึกแบบหลวงพ่อเทียน ในขณะที่ฝึกด้วยความรู้สึกตัว ที่จิตใจสบาย ๆ ไม่ฟุ้งซ่าน ในขณะนั้นเป็นสมถะครับ เพราะใจสงบอยู่ แต่เมื่อนักภาวนารู้สึกได้ถึงการกระทบสัมผัส รู้ถึงการสั่นไหวที่เกิดขึ้นของมือที่เคลื่อน มือที่ลูบตามลำตัว ในขณะที่จิตใจเป็นสมถะนั้น ขณะนั้นเป็นวิปัสสนา (แบบอ่อน ๆ ) พร้อมกันไปในขณะเดียวกัน คือ รับรู้ได้ถึงความเป็นธาตุของกายที่เป็น.ลม.--->> ที่รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนการไหว + รับรู้ได้ถึงความเป็นธาตุของกายที่เป็น.ดิน. ที่รู้สึกได้ถึงการสัมผัสลำตัวที่เป็นอาการอ่อนแข็ง ซึ่งการรับรู้แบบนี้ จะเรียกกันตามความนิยมว่า การเจริญสติ หรือ การเจริญสติสัมปชัญญะ การเกิดขึ้นของสมถะและวิปัสสนา(แบบอ่อน ๆ )นี้เป็นความรู้สะสมครับ มันจะสะสมพลังงานจิตทีละนิด และ สะสมความรู้ของจิตที่ละนิด เมื่อมากเข้า จิตจะตื่นตัวมากขึ้น จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดการโผล่งตัวของจิต อันเป็น วิปัสสนาปัญญาอย่างแท้จริง อ่านเรื่องความรู้จากการภาวนา-ภาวนามยปัญญา ที่นี้มาถึงคำถามที่ว่า ถ้าเป็นสมถะ เป็นสมถะลักษณะใด เรื่องสมถะนี้ นักภาวนาส่วนใหญ่ มักเข้าใจว่า คือการทำให้จิตนิ่ง ตัวแข็ง ไม่ไหวติง เพื่อไม่รับรู้อะไรเลย นั่นก็ถูกครับ แต่มันเป็นสมถะแบบฤาษีชีไพร ที่ไม่ใช่สมถะเพื่อการเตรียมตัวใช้ในวิปัสสนาแบบพุทธครับ ที่พระรูปนั้นบอกว่าเป็นสมถะ ถ้ามีเจตนา ท่านพูดถูกต้องครับ เพราะเจตนานี่เป็นความอยากในจิตใจ เป็นหนี่งในความคิดในสังขารขันธ์ครับ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่เข้าใจแล้วฝึกด้วยความอยากในจิตใจ เช่น อยากจะเคลื่อนมือ อยากจะเดิน อยากจะรู้การสัมผัสที่เกิดขึ้นในขณะฝึก อยากจะรู้การเคลื่อนไหวของมือ สิ่งเหล่านี้คือ ความคิดทั้งสิ้น จึงเป็นสมถะครับ แต่ถ้าคนที่เข้าใจแล้วฝึก ไม่ว่าแบบไหน เขาต้องฝึกด้วยจิตใจที่เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่มีความอยากจะเดิน ไม่มีอยากจะเคลื่อนมือ ไม่อยากจะรู้สัมผัส ซึ่งบางอาจารย์บอกว่า ฝึกเหมือนทำเล่น ๆ ไม่จริงจัง หรือ ฝึกด้วยกฏ 3 ข้อที่ผมได้กล่าวไว้นั่นเอง ในการฝึกแบบหลวงพ่อเทียนนั้น จะมี 15 จังหวะ โดยนับท่าเริ่มต้นเป็นจังหวะ 1 คือ การนั่งเฉยๆ เตรียมพร้อม ท่านี้สำคัญมาก แต่คนมักมองข้ามไป เพราะคิดว่า หลวงพ่อเทียนคือการเคลื่อนมือ พอบอกว่าให้ฝึก ก็เคลื่อนมืออย่างรวดเร็วปานประหนึ่งเครื่องยนต์ Turbo Twin Cam 16 Valve (ผมเห็นคนใหม่ที่ฝึกเคลื่อนมือแบบรวดเร็วแบบนี้เป็นส่วนมาก) การฝึกแบบหลวงพ่อเทียนนี้ ไม่ใช่ว่า ต้องการรอบการเคลื่อนมือให้ได้มาก ๆ นะครับ การฝึกแบบหลวงพ่อเทียนนั้น จังหวะที่ 1 นั่งเฉย ๆ เตรียมตัวนี้แหละครับ นักภาวนาต้องนั่งเฉยๆ **** เพื่อปรับตัวให้มีความรู้สึกตัว + จิตใจที่เฉย ๆ สบาย ๆ **** ก่อนการเคลื่อนมือ พอนักภาวนารู้สึกได้ถึงจิตใจแบบจังหวะที 1 แล้ว ก็เคลื่อนมือช้า ๆ สบาย ๆ ไปจังหวะที่ 2 คือ พลิกมือขึ้น แล้วก็ให้หยุดอีก การหยุดอีก ก็คือ จะเหมือนกับจังหวะที่ 1 อีก คือ ให้นักภาวนาตั้งหลักใหม่ ให้สังเกตดูอาการ รู้สักตัว เฉย ๆ สบาย ๆ พอตั้งหลักได้แล้วก็เคลื่อนไปจังหวะ 2 แล้วก็หยุดอีก ให้นักภาวนาตั้งหลักใหม่อีก คือ ให้สังเกตรู้สึกตัว เฉยๆ สบาย ๆ ฝึกอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ สำหรับนักภาวนามือใหม่ส่วนมาก พอจังหวะ 1 คือ นั่งเตรียมตัว เมื่อรู้สึกตัวได้แล้ว พอพลิกมือขึ้นเพื่อไปจังหวะ 2 เท่านั้น ส่วนมากจะเกิดเผลอแว๊บหนึ่งทันที นี่เป็นเพราะจิตยังไม่มีกำลังพอ ซึ่งนักภาวนาถ้ารู้สึกได้ว่า เกิดเผลอแว๊บหนึ่งเมื่อกี้นี้ ถ้ารู้อย่างนี้ดีนะครับที่เกิดเผลอแล้วรู้สึกได้ ไม่ใช่ไม่ดี พอเผลอแล้วก็ช่างมัน ให้ตั้งหลักใหม่ คือ รู้สึกตัวใหม่ แล้วก็ฝึกต่อไป เรื่อย ๆ ถ้าเผลอแว๊บอีก ก็ตั้งหลักใหม่อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ดัวยความรู้สึกตัว จิตใจ เฉย ๆ สบาย ๆ คนที่ไม่เข้าใจ พอเผลอปั๊ป ก็คิดว่าไม่ดีเลย ก็เลยเกร็ง เลยจ้อง พยายามทำอะไรไม่ให้เกิดเผลอ นี่คือเกิดเจตนาหรือเกิดความอยากในจิตใจ <----- นี่แหละครับสิ่งที่ไม่ดี ที่นักภาวนาต้องไม่ทำอย่างนี้ แนะนำอ่านเรื่องเพิ่มเติมครับสมถะ วิปัสสนา ในแนวทางที่ตำราไม่กล่าวถึง ภาค 2 การเห็นขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน เป็นไตรลักษณ์ ต้องเห็นด้วยจิตรู้เท่านั้น ****************************************************** 2. การที่ผม(พึ่งเริ่มกลับมา)ขยับมือ14 จังหวะ อีกครั้ง (เนื่องจาก เคยทำแล้วแน่นหน้าอก) แต่เพราะล่าสุดไป สุคะโตมา ได้สนทนากับ พระอ.ท่านนึง ท่านว่า ให้ทำสบายๆ ก็เลยลองทำอีกครั้ง ยังรู้สึกมีแน่นๆ ในช่วงแรกบ้าง หลังจากนั้น ก็คลายๆ ไปได้ - ถาม ไม่ทราบว่า การขยับมือของผมนั้น ควรทำเช่นไรต่อครับ หากจะทำในรูปแบบ **************** ความเห็นของผมมีดังนี้ การแน่นหน้าอก หรือ เวียนหัว ส่วนมากเกิดจากการเกร็ง การตั้งใจที่มากเกินไป ไม่ผ่อนคลาย หรือ เพ่งมือที่กำลังเคลื่อนไปมา การฝึกฝนนั้น สมควรทำสบาย ๆ ช้า ๆ เหมือนทำเล่น ๆ อย่างที่ผมอธิบายในข้อ 1 ไปแล้ว คือ เตรียมตัวให้รู้สึกตัวที่สบาย ๆ ในท่า 1 แล้วเคลื่อนไปยังท่า 2 แล้วหยุด แล้วต่อไป แต่ทุกจังหวะ ต้องทำเหมือนทำเล่น ๆ ทำสบายๆ ผ่อนคลาย อย่าให้มีความอยากในจิตใจ ถ้าเผลอ ก็เริ่มใหม่ครบ ***************************** สรุป การฝึกฝนนั้น จะเป็น สมถะก็ได้ จะเป็นสมถะ + วิปัสสนา(อ่อน ๆ ) ก็ได้ อยู่ที่ว่า ผู้ฝึกเข้าใจในการฝึกหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ เกือบทั้งหมด จะอยู่ที่สมถะครับ
Create Date : 05 มิถุนายน 2554
4 comments
Last Update : 29 มกราคม 2555 14:47:02 น.
Counter : 1219 Pageviews.
โดย: นมสิการ 5 มิถุนายน 2554 8:33:54 น.
โดย: หมีติดปีก IP: 101.109.1.66 5 มิถุนายน 2554 9:55:11 น.
โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.205.0.125 5 มิถุนายน 2554 10:12:38 น.
โดย: นมสิการ 29 มกราคม 2555 14:54:17 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ดังนั้น การปฏิบัติ อย่าได้ไปสร้างตัณหาขึ้น