หลงสภาวะ
หลงสภาวะเกิดได้อย่างไร ?? หลงสภาวะเกิดได้จาก นักภาวนาไปคิดเอาเองว่า สภาวะอย่างนี้ถูกแล้ว สภาวะอย่างนี้ดีแล้ว สภาวะอย่างนี้ทำแล้วก้าวหน้าได้เร็วกว่าในการบรรลุมรรคผล เมื่อนักภาวนาเข้าใจไปอย่างนั้น ก็พยายามจะทำจิต บังคับจิต ดึงจิต ให้ไปตั้งอยู่ที่สภาวะน้้น ๆ ก็เลยเกิดการหลงสภาวะขึ้นมา เป็นธรรมชาติของจิตที่ยังมีอวิชชาปกคลุมอยู่ เมื่อมีการใช้จิต บังคับจิต ดึงจิต ผลที่ตามมา ก็คือ พลังงานที่คลุมจิตจะหนาแน่นขึ้น และ มโน จะขุ่นมัวมากขึ้น ส่วนผลทีตามมานั้น เมื่อจิตไม่สดใส จิตถูกใจงาน จิตจะถูกปิดกั้นจากการโผล่งรู้ในธรรม แต่ถ้าถามว่า ไม่ควรทำอย่างนี้ใช้ใหม ผมก็ตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ต้องดูจังหวะและสถานการณ์ด้วย เพราะการทำอย่างนั้น อาจเป็นสมถะภาวนาได้ที่ทำจิตที่กำลังขุ่นมัวจนมืดมืดให้สงบระงับลงได้ แต่ถ้าจิตดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรจะกระทำ เพราะยิ่งกระทำ จิตที่ดีแล้วก็จะกลับมาขุ่นมัวขึ้นได้ ในการภาวนาน้้น เมื่อนักภาวนาได้ภาวนาไปและได้พบกับสภาวะธรรมต่าง ๆ มากขึ้น เมื่อรู้จักสภาวะธรรมใหม่ๆ เหล่านั้นแล้ว สิ่งหนึ่งทีนักภาวนาไทยมักจะเป็นกันก็คือ การเข้าใจว่า สภาวะธรรมถ้าตั้งอยู่อย่างนั้นได้ตลอด ได้นาน จะเป็นผลดี จึงพยายามใช้จิต บังคับจิต เคลื่อนจิต ให้ไปอยู่ในสภาวะธรรมแบบนั้นๆ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่่อนของตัวนักภาวนาเอง ในการรู้แจ้งในธรรมนั้น จะเกิดได้จากตอนที่จิตอยู่ในสภาวะแห่งการไร้คิด ไร้การตั้งใจในการกระทำ แต่ยังถึงพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ จิตจะโผล่งธรรมแท้ออกมา ให้จิตเองมีการปฏิวัติตนเอง พร้อมกับแสงแห่งจิตที่เจิตจ้าออกมามากขึ้น (<<<--- จากข้อความนี้ ท่านจะเห็นว่า การใช้จิต บังคับจิต เคลื่อนจิตให้ไปอยู่ที่ที่นักภาวนาต้องการ ล้วนแต่ขัดขวางการเกิดแห่งการโผล่งในธรรมทั้งสิ้น ) นักภาวนาที่ฉลาด เมื่อเข้าใจกลไกแห่งการโผล่งในธรรมของจิต ก็จะฝึกฝนการภาวนาให้ใกล้เคียงธรรมชาติของจิตที่เป็นอิสระ ปลอดโปร่งใจ ซึ่งเทคนิคนี้ก็แล้วแต่ละบุคคลที่จะคิดค้นขึ้นมาเอง ในกฏ 3 ข้อที่ผมเคยกล่าวไว้ ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่ผมพบและนำมาคิดขึ้นเพื่อบอกเป็นแนวทางแก่นักภาวนาเพื่อให้เข้าถึงกลไกแห่งธรรมขาติของจิตเพื่อพร้อมในการโผล่งรู้ในธรรม ผมเชื่อว่า ผมเขียนลอย ๆ อย่างนี้ นักภาวนาที่ยังไม่พบก้บการหลงสภาวะก็จะอ่านแบบลอย ๆ เช่นกัน มองประเด็นที่ผมเขียนไม่ออก แต่พอท่านหลงสภาวะเมื่อไร ภาวนาไปไม่ก้าวหน้าสักที ถ้าท่านเกิดมาอ่านในโอกาสหน้า ท่านก็จะเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกท่านในบทความนี้ ***** หนักแน่นในสติสัมปชัญญะ จิตหยุดคิดได้เมื่อไร ธรรมก็จะปรากฏให้จิตเห็นได้เอง
Create Date : 25 มีนาคม 2555
Last Update : 25 มีนาคม 2555 5:57:56 น.
0 comments
Counter : 1312 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****