1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
รู้สึกตัว ไม่รู้สึกตัว
มีท่านผู้อ่านถามมา ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า มันเป็นเรื่องพื้นฐานทีมีประโยชน์ต่อการภาวนา ผมจึงนำมาเขียนเป็นเรื่องให้อ่านกัน ขอบคุณท่านที่ถามมาครับ เรื่องที่เขียนต่อไปนี้ มาจากประสบการณ์ที่ผมพบจากการภาวนาทั้งสิ้น จึงฝากไว้ให้พิจารณากัน 1..คนเราปรกติมีความรู้สึกตัวอยู่แล้วใช่ใหม ถ้าคนเราปรกติมีความรู้สึกตัวอยู่แล้ว จะฝึกฝนความรู้สึกตัวกันไปทำไมกัน คำถามนี้ ผมขอตอบว่า มันเป็นสภาวะที่มีเหตุและปัจจัยเนื่องกันอยู่ครับ อาการสภาวะของจิตเรื่องความรู้สึกตัวนี้ จะมี 3 แบบด้วยกันคือ 1.1 ไม่รู้สึกตัว อาการนี้เป็นสภาวะที่จิตถูก.โมหะ.เข้าครอบงำอย่างเต็มที่ เมื่อจิตถูกโมหะเข้าครอบงำ โมหะจะบดบังรัศมีแสงสว่างของจิต คล้าย ๆ กับ สุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อจิตถูกโมหะครอบงำ จิตจะมืดมิด ผลคือ กลายเป็นคนไม่รู้สึกตัวไปซะแล้ว 1.2 รู้สึกตัว แต่ จิตไม่ผ่องใส อาการนี้เกิดจาก จิตถูกโมหะครองงำบางส่วน ไม่ครอบงำหมดแบบ 1.1 จิตจึงมีความรู้สึกตัวได้บ้าง อาการนี้คล้าย ๆ กับ สุริยุปราคาบางส่วน แต่ทว่า จิตยังไม่เป็นอิสระจากโมหะ จิตจึงไม่ผ่องใส อาการนี้ ผมยกตัวอย่างให้เห็นได้ ก็คือ ในคนที่ทำอะไรผิดมาแล้ว เกิดเสียใจในสิ่งที่ตนทำลงไป จิตเศร้าหมองเพราะถูกโมหะครอบงำ รู้สึกตัวได้อยู่ว่าไม่มีความสุข เกิดความรู้สึกผิดที่ได้ทำอะไรไม่ดีลงไป รู้ตัวว่าจิตไม่สดใส แต่ทำอะไรให้ดีขึ้นแก่จิตไม่ได้ ไม่สามารถสลัดความไม่สดใสให้หลุดไปได้ ตัวอย่างอีกอย่างที่่เห็นได้ชัด ก็คือคึนอกหัก ทุกข์หนักหนา รู้ก็รู้ว่าอกหักเป็นทุกข์ แต่สลัดไม่หลุด 1.3 รู้สึกตัว และ จิตผ่องใส อาการนี้ จิตไม่มีโมหะครอบงำ ( แต่อาจมีอวิชชาครอบงำได้อยู่ อวิชชา ไม่ใช่ โมหะ นะครับ มันคนอย่างกัน ) เมื่อจิตไม่มีโมหะครอบงำ จิตจะสดใส รู้สึกตัวได้ดี คนที่อยู่ในสภาวะแบบนี้ จะผ่องใส สดใส sky is so blue ท่านจะเห็นว่า คนธรรมดาทุก ๆ คนนั้นจะเป็นแบบนี้ สลับวนเวียนกันไปตามเหตุที่ว่า มีโมหะมาครอบงำจิตหรือไม่ เขาจึงจะอยู่ในสภาวะใดสภาวะหนึ่งแห่งความรู้สึกตัว เมื่อคนเรามี 3 สภาวะแบบนี้ นักภาวนาจึงต้องหมั่นฝึกฝนครับ จึงจะอยู่ในสภาวะของ 1.3 ได้บ่อย ๆ ถ้าไม่ฝึกฝน คนก็จะอยู่ในสภาวะ 1.1 หรีอ 1.2 ********************************* 2..ทำอย่างไร จึงจะรู้สึกตัวได้นาน ๆ และ ได้บ่อย ๆ ต้องมาดูสาเหตุกันก่อนครับ จึงจะแก้ได้ถูก อาการไม่รู้สึกตัวนั้น เพราะโมหะครอบงำจิต โมหะครอบงำจิตได้เพราะจิตหลุดจากฐานที่ตั้ง วิ่งเข้าไปคลุกกับจิตปรุงแต่งใน .มโน. เมื่อจิตคลุกกับจิตปรุงแต่งใน .มโน. ความไม่รู้สึกตัวก็ตามมา เมื่อเหตุคืออย่างนี้ที่เขียนไว้ข้างบนทีว่า จิตหลุดจากฐานที่ตั้งวิ่งเข้าคลุกกับจิตปรุงแต่งใน .มโน. ผลคือความไม่รู้สึกตัว ถ้าถามต่อว่า ทำไมจิตจึงหลุดจากฐานที่ตั้งแล้ววิ่งเข้าไปคลุกกับจิตปรุงแต่งใน มโน ละ ? คำตอบก็คือ แรงอำนาจของตัณหา ครับ ที่ดึงจิตให้หลุดจากฐาน ดังนี้วิธีการแก้ใขทีจะให้รู้สึกตัวได้นาน ๆ ได้บ่อย ๆ ก็คือ ฝึกจิตให้ตั้งมั่นในฐานครับ โดยให้ละตัณหา ซึ่งที่ผมได้เน้นย้ำถึงกฏ 3 ข้อ ก็คือ การรู้สึกตัวที่ให้รู้ได้เอง อย่าไปอยากรู้ หรือ รู้แบบไร้ตัณหา เมื่อฝึกอย่างนี้บ่อย ๆ ที่ว่า รู้แบบไร้ตัณหา ผลที่ตามมาคือ จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะกำลังยังไม่พอที่จะสู้ตัณหาได้ตลอดทุกครั้ง นักภาวนาก็จะพบกับปัญญาตามลำดับแห่งความตั้งมั่น เมื่อ่ปัญญาเกิด กำลังจิตก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจิตก็จะยิ่งตั้งมั่นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อจิตอยู่ในฐานที่ของมั่่น ไม่หลุดเข้าไปคลุกใน มโน ผลก็คือ นักภาวนาจะรู้สึกตัวได้อยู่เสมอ ๆ เมื่อนักภาวนามีจิตตั้งมั่นถึงที่สุด จะพบกับสภาวะแห่งสุญญตา เมื่อนักภาวนาพบสภาวะแห่งสุญญตาแล้ว จิตเกิดปัญญาสูงสุดประหารอวิชชาสิ้น จิตจะแตกสลายกลายเป็นความว่างมีแต่สภาวะรู้ เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว จะไม่มีดวงจิตทีจะวิ่งไปไหนอีก นักภาวนาจึงจะรู้สึกตัวได้ตลอด ไม่มีการเผลออีกต่อไป ***** คนที่รู้สึกตัวได้จริง ๆ เขาจะรู้ได้ครับว่า เชากำลังรู้สึกตัวได้จริง ๆ ไม่ใช่การคิดเอาเลย เพราะอาการที่รู้สึกตัวได้นั้น สภาวะของการรู้ทีแผ่กระจายหมดในทุกอายตนะ กล่าวคือ ตามองเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายรู้สัมผัสทางกาย จิตใจรู้อาการของจิตใจ ถ้าท่านกำลังรู้แบบกระจาย ๆ แบบนี้ได้ละก็ ท่านกำลังรู้สึกตัวอยู่แล้ว นี่คือของจริง ที่นักภาวนาที่ภาวนาจนชำนาญจะเป็นอาการแบบนี้อยู่ตลอดเวลาที่เขากำลังตื่นอยู่ เขาจะรู้สึกได้ถึงอาการรู้สึกตัวนี้ได้ตลอดเวลาอย่างแท้จริง ปัญญาในการภาวนานั้น ผลก็คืออย่างนี้ ไม่ต้องรู้อะไรมากเลย เมื่อผลอย่างนี้ปรากฏ ความทุกข์ใจที่จะไปยึดติดก็จะไม่มี เท่านี้ก็พอแล้วครับ เมื่อหมดลมหายใจจากโลกนี้ไป เมื่อไม่มีจิตไม่มี มโน การเกิดอีกก็จะไม่มีอีก ทุกอย่างก็ดับหมดเป็นสุญญตา
Create Date : 17 มกราคม 2555
Last Update : 25 มกราคม 2555 20:17:49 น.
4 comments
Counter : 2195 Pageviews.
โดย: Littleyogi IP: 180.183.21.172 วันที่: 18 มกราคม 2555 เวลา:14:10:39 น.
โดย: Nim IP: 124.122.58.231 วันที่: 19 มกราคม 2555 เวลา:20:21:56 น.
โดย: นมสิการ วันที่: 25 มกราคม 2555 เวลา:20:18:09 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
ขอบคุณครับ