รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
10 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 
จิต 3 บ้าน

ในตำราได้เขียนไว้ว่า จิตมีร่างกายเป็นถ้ำที่อยู่ นี่เป็นบ้านหลังที่ 1 ของจิต แล้วบ้านหลังที่ 2 ของจิตละอยู่ที่ไหน..

เมื่อจิตออกจากบ้านหลังที 1 ไปแล้วที่ออกไปเพราะผลพวงจากอวิชชาและตัณหา จิตจะไปบ้านหลังที่ 2 ทันทีคือ จิตตสังขารหรือจิตปรุงแต่ง ซึ่งก็คือที่ตั้งแห่ง มโน นั้นเอง

ในกลไกการทำงานของอวิชชานั้น เมื่อจิตยังมีอวิชชา จิตจะสร้าง มโน ขึ้น และ มโน นี้คือแดนกำเนิดต่าง ๆ ของจิตปรุงแต่งอันได้แก่ สัญญา และ สังขาร แต่เพราะคนไม่มี วิชชา จึงไม่อาจเห็นแดนเกิดหรือ มโน นี้ได้ ทำให้แดนเกิดนี้จึงเกิดอยู่เสมอในคนที่ยังมีอวิชชา นี่คือเหตุที่ว่า คนที่ยังไม่สิ้นอวิชชาจึงเวียนตายเกิดไม่รู้จบสิ้น เพราะยังมีแดนเกิดคือ มโน อยู่นั้นเอง

เมื่อจิตมีอวิชชา จิตสร้าง มโน ขึ้น เมื่อมีผัสสะผ่านเข้ามาทางอายตนะต่าง ๆ แรงของ ตัณหา จะดึงให้จิตวิ่งไปบ้านหลังที่ 3 คือ อายตนะต่าง ๆ ทันที เช่น ชายหนุมเห็นสาวสวยหุ่นดี จิตจะวิ่งผ่านอายตนะทางตาพุ่งไปจับที่สาวสวยนั้นทันที

ท่านจะเห็นว่า อวิชชา นั้นสร้างภพชาติ คือ มโน ขี้น
ตัณหา คือ แรงดึงดูด ทำให้จิตวิ่งเข้าไปในเกาะติดใน มโน หรือ พุ่งผ่านอายตนะต่าง ๆ ออกไปเกาะติดยังแห่งกำเนิดของ ภาพ เสียง กลิ่น และ อืน ๆ

ในการภาวนานั้น สิ่งที่นักภาวนาจะต้องเขี่ยทิ้งหรือรู้เท่าทัน จะมีอยู่ 2 ระดับ คือ ตัณหา และ อวิชชา

ในการภาวนานั้น นักภาวนาต้องการเขี่ยตัณหาทิ้ง จึงไม่ควรไปสร้างตัณหาขึ้นในการภาวนา
การภาวนานั้น จึงให้ภาวนาด้วยการรู้ทุกข์ที่ไร้ตัณหา ผมคงไม่ต้องบอกท่านผู้อ่านนะครับว่า การภาวนาโดยการรู้ทุกข์ที่ไร้ตัณหานั้นฝึกกันอย่างไร

การฝึกฝนรู้ทุกข์ด้วยการรู้กายที่ไร้ตัณหา เริ่มจากการรู้สึกลงไปใน มโน เริ่มแรกจากการรู้สึกลงไปที่กาย ซึ่งการรู้สึกลงไปที่ ดินและลม จะมีประสิทธิภาพดีมากๆ ต่อการฝึกฝน แต่ปัญหาของนักภาวนาก็คือ ไม่รู้จักการฝึกการรู้กายโดยรู้ลงไปที่ มโน ที่ไร้ตัณหา จึงทำให้หลงวนเวียนอยู่อย่างนั้นเหมือนภายเรือในอ่าง ไม่สามารถออกไปนอกอ่างได้เลย

การเมื่อรู้กายที่ไร้ตัณหาที่รู้สึกลงไปที่ มโน ผลทีตามมาก็คือ เมื่อมีจิตปรุงแต่งเกิดใน มโน นักภาวนาที่มีกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิดีขึ้นอันเป็นผลจากการฝึกกาารู้กาย ก็จะรู้เท่าทันจิตปรุงแต่งที่เกิดใน มโน นั้นได้ การรู้เท่าทันคือ.การเห็นจิตปรุงแต่ง.ที่เกิดดับเป็นไตรลักษณ์ใน มโน อาการเห็นนี่เป็นสิ่งบอกถึงความก้าวหน้าแห่งการภาวนาอย่างแท้จริงของนักภาวนาเพื่อการหลุดพ้น

เมื่อนักภาวนารู้ทันอาการจิตปรุงแต่งได้ ขั้นต่อไป นักภาวนาต้องสังเกตด้วยตัวเองว่า เมื่อคราวใดที่จิตปรุงแต่งได้หยุดลงไปหมาด ๆ จะมีสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะเป็นหมอกจาง ๆ อยู่เป็นฉากหลังของจิตปรุงแต่งที่เพิ่งหยุดลงไปนั้น นั่้นคือ มโน ถ้านักภาวนาเห็น มโน ได้ นี่คือการเริ่มรู้จักจิตแล้ว

เมื่อนักภาวนารู้จัก มโน เห็น มโน ได้แล้ว นักภาวนาฝึกฝนให้ชำนาญไป ก็จะสามารถเห็น มโน ได้อยู่เสมอ ๆ ได้บ่อย ๆ บางครั้งเห็นได้ตลอดเป็นเดือน ๆ โดยที่ มโน ไม่หายไปไหนเลย
การเห็น มโน ได้นาน ๆ นี้่ นี่คือ สมาธิในระดับฌานแล้ว ซึ่งต่างจากสมาธิระดับฌานแบบฤาษีที่ไปเห็นรูปและอรูปที่อยู่นอก มโน

การเห็น มโน ได้นี้นักภาวนาจะเห็นตัวจิตได้ด้วย เพราะมันคือเงาของกันและกัน โดยที่ไม่ต้องไปย้อนดูตัวจิตเลย

การหมั่นเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของ มโน และ ตัวจิต เสมอ ๆ ของนักภาวนา นักภาวนาจะพบว่า เมื่อยามใดที่นักภาวนามีความคิดอันเป็นจิตปรุงแต่ง มีความอยากในจิตใจ มีความเครียดภายในจิตใจ ตัว มโน นี้จะหมองเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตำราเรียกสิ่งที่ทำให้หมองนี้ว่า อุปกิเลส เมื่อยามใดที่นักภาวนาไม่มีจิตปรุงแต่ง จิตใจสบาย ไม่เครียด ไม่มีอยาก ไม่มีความคิด ตัว มโน นี้จะผ่องใสมากขึ้น

การฝึกฝนต่อไปของนักภาวนา ก็คือ การหมั่นสังเกตอาการของ มโน นี้ ผ่องใสหรือมัวหมอง

นักภาวนาจะสังเกตได้ด้วยว่า อันว่าตัวจิตที่มีร่างกายเป็นถ้ำอยู่อาศัยนั้น มันจะพยายามวิ่งเข้าไปจับยึด มโน อยู่บ่อย ๆ แต่ด้วยแรงของสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นพอ จิตจะหยุดอยู่ไม่วิ่งเข้าไปจับยึดใน มโน

นักภาวนาต้องอดทนต่อการรับรู้การปรุงแต่งใน มโน เพราะในสภาวะนี้ นักภาวนาจะรู้สึกทนทุกข์ทรมานมากต่อการปรุงแต่งที่มันเกิดใน มโน ไม่อยากให้มีขึ้น แต่ก็ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ นักภาวนาจะหมั่นฝึกฝนความตั้งมั่นของจิตด้วยการรู้กายที่เป็นบาทฐานของกำลังแห่งสัมมาสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นมากพอ จะเกิดการปฏิวัติตัวเองของจิต นักภาวนาจะพบกับสภาวะแห่งการเป็นหนึ่งเดียวที่ มโน ได้สลายไป เหลือเพียงจิตเดียวที่มีสภาพเป็นแสงราง ๆ และสภาพรู้ที่แผ่กว้างที่ปรากฏอยู่บริเวณร่างกายนี้ นักภาวนาะจะรู้จักวิธีการควบคุมจิตได้ว่า จิตจะให้อยู่บ้านหลังที่ 1 หรือ หลังที่ 2 ได้ ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงบ้านหลังที่ 3 อีก เพราะกำลังจิตนี้จะมีมากจนจิตไม่พุ่งไปบ้านหลังที่ 3 อีกแล้ว นี่คือ วิชชา ที่ทำลายล้างอวิชชา

ทำใมเมื่อจิตรู้วิชชาอย่างนี้ จึงยังปรากฏบ้านหลังที่ 2 อยู่อีก..
คำตอบก็เพราะว่า เมื่อคนเรายังไม่ตาย ยังต้องมีการติดต่อ มีการใช้ขันธ์ 5 อยู่ จึงยังต้องมีบ้านหลังที่ 2 อยู่เพราะบ้านหลังที่ 2 นี้คือสิ่งที่สร้างขันธ์ขึ้น แต่นักภาวนาที่มีวิชชาแล้ว เมื่อเขาหยุดการใช้ขันธ์ เขาสามารถจะกลับบ้านหลังที่ 1 ได้ทันที โดยที่บ้านหลังที่ 2 จะสลายไปเอง

ท่านจะเห็นว่า วิชชา การดับทุกข์ในพุทธศาสนานี้จะมาจากอย่างนี้ การสร้างพลังสัมมาสมาธิเพื่อหยุดจิตไม่ให้พุ่งไปที่บ้านหลังที่ 3 การมีปัญญาญาณเพื่อรู้จัก มโน ในบ้านหลังที่ 2 และการมีวิชชาเพื่อทำลายล้างอวิชชาที่จิตไปสร้างบ้านหลังที่ 2 ขึ้น

การทีจิตอยู่บ้านหลังที 1 โดยไม่มีบ้านหลังที่ 2 นี่คืออาการที่จิตไม่ทุกข์
การควบคุมจิตไม่ให้ไปสร้างบ้านหลังที่ 2 โดยที่ไม่ต้องการให้มีบ้าน นี่คือ วิชชา อันเป็นสิ่งที่ทำลายล้าง อวิชชา

การไม่ยึดมั่นถือหมั่นในโลก คือ การไม่ยึดมั่นถือมั่นในบ้านหลังที่ 2 และ สิ่งปรุงแต่งๆ ที่เกิดในบ้านหลังที่ 2 เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่คือการสิ้นสุดแห่งทุกข์ในพระพุทธศาสนา

ท่านจะเห็นว่า ตัวสภาวะได้อธิบายทุกสิ่งในธรรมอันเป็นปรมัตถ์ มันต้องอย่างนี้ อย่างนี้

การรู้ว่า ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นี่เป็นเพียงคำอธิบายเพิ่มเติมอันเป็นเพียงจิตตสังขารอย่างหนึ่งเพื่อให้คนเข้าใจได้ ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติขึ้นในทางโลก แต่ทว่า..ถ้านักภาวนาได้พบสภาวะนี้เองไม่ต้องไปหาคำอธิบายใด ๆ อีกเลย เพราะสิ่งทั้งปวงในทางปรมัตถ์ล้วนไร้คำพูดครับ


Create Date : 10 มีนาคม 2555
Last Update : 10 มีนาคม 2555 7:00:36 น. 0 comments
Counter : 1510 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.