รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
14 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
ปัญญาญาณ ญาณเห็นจิต

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว เรื่องของ.ญาณ.เป็นธรรมชั้นสูงที่หาอ่าน หาฟังได้ยากยิ่ง
ทำให้นักภาวนาเมื่อได้พบ.ญาณ.แล้ว ก็ไม่รู้ว่าตนได้พบกับธรรมขั้นสูงแล้ว และเมื่อไม่รู้จัก ก็ไม่นำไปพัฒนาต่อยอดในการปฏิบัติต่อไปจนพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

*****

เมื่อนักภาวนาได้ลงมือเจริญกรรมฐานด้วยหลักคำสอนแห่งพระพุทธองค์ที่ได้มีจารึกไว้ในสติปัฏฐานสูตรว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา ท่านที่มีอาจารย์อยู่แล้ว ไม่ว่าอุบายของอาจารย์องค์ใดก็ตาม ถ้าตรงตาม อาตาปี สัมปชาโน สติมา ผลที่ออกมาจะเหมือนกันทุกอาจารย์ คือ การรู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันเป็นผลจากภาวนามยปัญญา

จาก.ปุถุชน. ผู้เดินทางเข้าสู่ อาตาปี สัมปชาโน สติมา ผลแห่งความพากเพียรและการปฏิบัติที่ตรงทางเท่านั้น จะทำให้นักภาวนาเกิดมีกำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิขึ้น

ผลแห่งการเกิดกำลังของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็คือ นักภาวนาจะเริ่ม.เห็น.อาการทางกาย อาการทางจิตใจได้ และการเห็นอาการทางกาย อาการทางจิตใจได้นี้ นักภาวนาจะเห็นว่า อาการเหล่านี้ทั้งกายและจิตใจ ล้วนเป็นไตรลักษณ์ แปรเปลี่ยน เกิดขึ้น หยุดลง วนเวียนเช่นนี้อยู่ร่ำไปไม่สิ้นสุด

จุดที่ผมอยากจะแนะนำท่านนักภาวนา เมื่อท่านเห็นอาการทางกาย อาการทางจิตใจ ที่มันเป็นไตรลักษณ์ได้แล้ว (ท่านต้องเห็นจริง ๆ นะครับ ไม่ใช่แค่ไปคิดเอาเองโดยไม่เห็น ถ้าคิดเอาเองยังไม่ใช่ครับ ท่านต้องลงมือฝึก อาตาปี สัมปชาโน สติมา ต่อไปอีก จนเห็นได้จริง ๆ ) ขอให้ท่านสังเกตว่า อาการทางจิตใจนั้น ที่่มันเกิด มันหยุดไป มันปรากฏอยู่ที่ไหน เมื่อท่านเห็นมันได้ ท่านก็จะเห็นเองว่า มันปรากฏอยู่ที่ไหน ถ้าท่านยังจับมันไม่ทันว่า มันปรากฏอยู่ที่ไหน ก็ขอให้ใช้เวลาเฝ้าสังเกตมันต่อไป จนท่านเห็นได้ว่า อ๋อ มันอยู่ตรงนี้เอง

เมื่อท่านเห็นที่มันเกิดแล้วว่า อยู่ตรงนี้เอง ขั้นต่อไป ขอให้ท่านสังเกตดี ๆ ครับว่า ตอนที่มันเกิดแล้วหยุดไป บริเวณที่มันเกิดแล้วหยุดไปนั้นแหละครับ จะเป็นสิ่งที่ว่าง ๆ + นิ่ง ๆ อยู่

***เมื่ออาการทางจิตเกิด สิ่งที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ นี้จะไม่เห็น

***เมื่ออาการทางจิตหยุดลงไป สิ่งที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ จะปรากฏให้เห็นแทนในบริเวณเดียวกัน
***(หมายเหตุ ลักษณะที่เห็นอย่างนี้ที่มีเครื่องหมาย 3ดาว เป็นกับมือใหม่ ถ้าเป็นมือเก่าที่เห็นได้นานแล้วจนชำนาญ จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ผมต้องบอกให้ท่านเข้าใจไว้ก่อน เผื่อในอนาคต ท่านมือใหม่ได้กลายเป็นมือเก่ามาอ่านอีกรอบ จะได้ไม่ไปปรามาสผมว่าผมนี่มั่วซั่ว )

ขอให้ท่านสังเกตดูครับว่า ท่านเห็นสิ่งที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ นี้ได้ไหม
ผมขอย้ำเตือนว่า อย่าได้จ้องหา เพราะจ้องหาจะไม่เห็น อย่าได้อยากรู้ เพราะอยากรู้ก็จะไม่เห็น
แต่ท่านต้องสังเกตบ่อย ๆ เองด้วยกฏ 3ข้อ ซึ่งใช้จังหวะตอนที่อาการทางจิตหยุดลงไป

จะว่ายากมันก็ยาก จะว่าง่ายมันก็ง่าย ซึ่งแล้วแต่บุคคล

ถ้าท่านเห็นมันได้แล้ว ท่านได้ผ่านด่านอันยากยิ่งด่านหนึ่งของการภาวนาได้แล้ว
ซึ่งผมต้องขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ในทางตำรา ท่านได้กล่าวไว้ว่า สิ่งที่ว่าง ๆ นิ่่ง ๆ นันแหละคือตัวจิต อันเป็นแหล่งกำเนิดของอาการจิตปรุงแต่งต่าง ๆ และ การที่นักภาวนาเห็นตัวจิตที่มันว่างๆ นิ่ง ๆ นี้ได้ ในตำราหรืออาจารย์ต่าง ๆ ก็มีการเรียกชื่อไว้หลายแบบว่า

.ญาณ.หรือ .ญาณทัศนะ. หรือ ปัญญาญาณ หรือ ปรีชาญาณ หรือ ญาณเห็นจิต
จะเรียกอะไรก็ตาม มันคือสิ่งเดียวกัน

เพื่อมิให้ท่านต้องเข้าใจผิดพลาดไปในการเห็นจิตที่ว่างเปล่า โดยไปเห็นความว่างแบบอรูป แล้วเข้าใจว่า นี่คือจิต ขอให้ท่านสังเกตดังนี้

**ว่างแบบอรูป เป็นความว่างภายนอกจิต ยกตัวอย่างเช่น ความว่างระหว่างฝ่ามือทั้ง 2



**ว่างของตัวจิต จะเกิดในบริเวณเดียวกับ การเกิดอาการของจิต

ขอให้สังเกตดี ๆ มันไม่เหมือนกันครับ

เอาเป็นว่า เมื่อท่านนักภาวนาได้เกิดปัญญาญาณเห็นตัวจิตที่ว่างเปล่าได้แล้ว ใหม่ ๆ ท่านจะพบว่า บางครั้งท่านก็เห็นได้ บางครั้งท่านก็จะไม่เห็น มันจะเป็นอย่างนี้สักพักใหญ่ ซึ่งหมายความว่า ท่านยังต้องหมั่่นฝึกฝนการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิต่อไปอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้.ญาณ.ที่ท่านมีแล้วมีความตั้งมั่นต่อเนื่องมากขึ้น ยิ่งท่านฝึกไปอย่างถูกต้อง ญาณเห็นจิตก็จะต่อเนื่องมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ซึงท่านก็จะเป็นมือเก่าที่กำลังญาณที่มั่นคงขึ้น

เมื่อกำลังญาณของนักภาวนามั่นคงขึ้น นักภาวนามือเก่า ก็จะเห็นสภาพของ ตัวจิตที่ว่างเปล่าได้พร้อมไปกับอาการจิตปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในตัวจิตนั้น เห็นทั้งคู่ได้เลย ไม่ใช่เห็นได้ครั้งละอย่างแบบที่กล่าวไว้ในประโยคดาว 3 ดวงข้างต้น

นี่คือสภาวะธรรมแท้ ที่สังขตธรรม (ธรรมที่แปรเปลี่ยนไปมาเป็นไตรลักษณ์ ได้แก่ ขันธ์ 5 ) จะปรากฏขึ้นใน อสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่แปรเปลี่ยนไปมา คือ ตัวจิตที่ว่างเปล่า)

การเห็นสภาวะธรรมแท้ได้แบบนี้ นักภาวนาไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่มีกำลังแห่งปัญญาญาณที่มีกำลังตั้งมั่น ก็จะเห็นสภาวะธรรมอย่างนี้ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตามที

เมื่อปัญญาญาณได้เกิดขึ้นในตัวของนักภาวนา การเห็นพร้อมของทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรมได้พร้อม ๆ กัน ได้อย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน นี่คือการสิ้นสุดแห่งทุกข์ของนักภาวนา ไม่ใช่ของง่าย แต่ก็เป็นไปได้ ถ้าปฏิบัติถูกทางตามคำสอนของพระพุทธองค์

อาตาปี สัมปชาโน สติมา

*****

ข้อที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่านี่คือ ปัญญาญาณ ที่หยั่งรู้จิต ก็คือ เป็นการรู้ที่นักภาวนาไม่ต้องมีความต้องการจะรู้ แต่มันก็รู้เองถึงสภาวะของจิตที่ว่างที่่นิ่งสงบ

ผมจะยกเปรียบเทียบให้ท่านให้เห็นภาพ ท่านเคยปวดท้องและไม่ปวดท้องไหมครับ ปรกติ ถ้าท่านปวดท้อง ท่านไม่ต้องการรู้ แต่ท่านก็รู้ได้เองว่ากำลังปวดท้อง แต่ตอนที่ท่านสบายดีที่ไม่ปวดท้อง ถ้าท่าน..ไม่..ต้องการรู้สภาพในตอนนั้นที่กำลังสบายดี ไม่ปวดท้อง ท่านจะไม่รู้ แต่ถ้าท่านต้องการรู้ ท่านจะต้องส่งจิตไปรับความรู้สึกนั้นว่าตอนนี้กำลังสบายดี ไม่ปวดท้อง

แต่สภาพของปัญญาญาณ จะเป็นว่า รู้อยู่ว่า จิตมันว่างมันนิ่งอยู่่ รู้ได้โดยไม่ต้องส่งจิตไปรับความรู้สึกนี้เลย นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเมือนักภาวนาพัฒนาปัญญาญาณให้มั่นคงแล้ว เขาจะรู้อาการของจิตที่นิ่งทีว่างได้ตลอดในทุกขณะ


*****
สรุป

ไม่เจริญตามคำสอนของพระพุทธองค์ใน อาตาปี สัมปชาโน สติมา ก็ไม่เกิดสัมมาสติ
เมื่อไม่เกิดสัมมาสติ ก็ไม่เห็นอาการของกาย ไม่เห็นอาการของจิต
เมื่อไม่เห็นอาการของจิต ก็ไม่เห็นตัวจิต
เมื่อไม่เห็นตัวจิต ปัญญาญาณก็ไม่มี
เมื่อปัญญาญาณไม่มี ทุกข์ก็ไม่จบสิ้นลง เกิดการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอย่างเหนียวแน่นตามเดิม

พระพุทธองค์ทรงดั้นด้นค้นหาทางแห่งอริยมรรคมา 6 ปี ใช้ชีวิตที่ยากลำบากเที่ยวประกาศหนทางแห่งอริยมรรค 45 ปี อันเป็นพระกรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง

ถ้ามัวแต่ไปยึดถือหนทางอื่น ท่านก็เหมือนไม่เคยได้รู้จักพุทธศาสนา

*****





Create Date : 14 พฤษภาคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 14:47:39 น. 22 comments
Counter : 2118 Pageviews.

 
เรื่องในบทนี้ เป็นเรื่องที่ยาก แต่ผมได้แสดงหน Roadmap การเข้าถึงธรรมตั้งแต่ต้นจนจบให้ท่านเห็นภาพ เพื่อนักภาวนาจะได้มองภาพทั้งหมดของการภาวนาออกว่า เริ่มตรงไหน จบตรงไหน


โดย: นมสิการ วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:10:26 น.  

 
เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบความจริง พระองค์ได้อุทานออกมา เจ้าสิ่งนี้มีอยู่แล้วในคนทุก ๆ คน เพียงแต่คนไม่รู้จักจึงทำให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป

ธรรมไม่ต้องหาไปไกลที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราทุกคนนี่เอง


โดย: นมสิการ วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:30:46 น.  

 
roadmap อยู่ตรงไหนครับ


โดย: ป้อม IP: 58.64.115.52 วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:04:58 น.  

 
อ่านในข้อเขียนครับ ผมไม่ได้วาดออกมาจริง ๆ อ่านในนั้นจะเห็นภาพของทางเดินของการปฏิบัติ


โดย: นมสิการ วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:54:34 น.  

 
ผมอ่านในกระทู้ศาสนา มักจะพบบ่อย ๆ ในคำถามและคำตอบว่า ภาวนาที่ดีแล้วจิตต้องนิ่ง

ถ้าท่านภาวนาแล้วเห็นจิตได้เองด้วยปัญญาญาณ ท่านจะทราบเองว่า จิตของคนนั้นปรกติมันนิ่งอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไร มันก็นิ่งของมันเองอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ที่มันวุ่นวายสับสน นั้นไม่ใช่จิต แต่มันคือ อาการของจิต หรือ จิตปรุงแต่ง


โดย: นมสิการ วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:07:21 น.  

 
โมทนาสาธุ มหาโมทนา..

สุดยอดค่ะ..


โดย: chaosy IP: 49.228.136.247 วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:09:52 น.  

 
ขอบคุณค่ะ

หามานานอธิบายไม่ถูก คิดว่าเจอแล้ว

ช่วนต่อไปให้อีกได้ม้ัยคะ ว่าจะไปนิพพานยังไงให้เร็วที่สุด


โดย: ฮิเดโกะ IP: 75.80.76.127 วันที่: 14 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:50:09 น.  

 
เรียนถามมอาจารย์ อาการทางกายที่เห็นคืออย่างไร
ส่วนอาการทางจิตคีอการปรุงแต่งต่างๆใช่่มั้ยคะ

เมื่อพบญาณแล้วให้นำไปพัฒนาต่อยอดในการปฏิบัติ
ต่อไป ช่วยอธิบายแนวทางในการต่อยอดที่ถูกต้อง
ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: dream IP: 124.122.49.36 วันที่: 15 พฤษภาคม 2554 เวลา:0:05:47 น.  

 
ตอบ คุณฮิเดโกะ

การเดินทางตามคำสอนของพระพุทธองค์ใน อาตาปี สัมปชาโน สติมา
นักภาวนาที่เดินได้ตรงทางนี้ ไม่เฉไฉออกนอกทาง
ก็จะถึงปลายทางได้เร็วกว่า ผู้ที่เดินเฉไฉไปมา

การเข้าถึง อาตาปี สัมปชาโน สติมา แบบไม่เฉไฉ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ
การมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ และ ให้จิตระลึกถึงอาการทางปรมัตถ์ธรรมอยู่เนือง ๆ การปฏิบัติเช่นนี้ คือ ตรงทางไม่เฉไฉ

ลองอ่านเรื่องนี้ดู https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=namasikarn&month=24-04-2011&group=13&gblog=93


โดย: นมสิการ วันที่: 15 พฤษภาคม 2554 เวลา:6:51:36 น.  

 
ตอบ คุณ dream

>> อาการทางกาย ก็เช่น ความรู้สึกต่าง ๆ ทีเกิดขึ้นที่กายทางปรมัตถ์ เช่นการกระทบสัมผัสต่าง ๆ ทางร่างกาย การเจ็บป่วยต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นต้น

อาการทางจิตใจ ก็เช่น ความคิด อารมณ์ดีใจ เสียใจ โกรธ หงุดหงิด สงสัย เบื่อ และ อื่นๆ สารพัด แต่การเห็นก็ขอให้เห็นทางปรมัตถ์ทีมันจะเป็นพลังงานวูบ ๆ ขึ้นมาให้สัมผัสได้

เมื่อนักภาวนาได้เกิดญาณเห็นจิตได้แล้ว ก็ให้ฝึกต่อไปโดยที่ทำการงานต่างๆ แล้วยังเห็นจิตได้อยู่โดยที่ไม่ไปจ้องดู

ใหม่ๆ จะเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง แต่ถ้าฝึกต่อไปโดยทำงานด้วยเห็นจิตไปด้วย นี่คือการต่อยอดที่เร็วที่สุด


โดย: นมสิการ วันที่: 15 พฤษภาคม 2554 เวลา:7:00:16 น.  

 
สวัสดีครับ ขอเรียนถามคุณนมสิการดังนี้

อ้างถึง "เมื่ออาการทางจิตหยุดลงไป สิ่งที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ จะปรากฏ" เจ้าสิ่งที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ นี้ ...
1. มันเกิดขึ้นที่เดียว(จุดเดียว)ตลอดไปไหมครับ
2. เรายังคงรู้สึกตัวได้ถึงความว่าง ๆ นิ่ง ๆ ใช่ไหม(+ รู้กาย,ใจ)
3. มือใหม่ ๆ ถ้าจิตตั้งมั่นได้ดีพอจะเกิดญาณเห็นจิตที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ ได้ แต่ถ้ามีสัญญา/ความคิดเข้ามา(ไม่นิ่ง และละทิ้งไม่ทัน)ก็จะไม่เห็นความว่าง ๆ นิ่ง ๆ นี้ คล้ายกับว่าจิตเราเข้าไปปรุงแต่งสัญญา/ความคิดจนลืมตัว/เผลอไปใช่ไหมครับ

ขอบคุณครับ
หนุ่ม


โดย: หนุ่ม IP: 101.109.158.167 วันที่: 15 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:33:27 น.  

 
1..มันเกิดขึ้นที่เดียว(จุดเดียว)ตลอดไปไหมครับ

>> คำถามนี้มี 2 คำถาม ผมจะแบ่งเป็นดังนี้

1.1 มันเกิดขึ้นที่เดียว(จุดเดียว) หรือไม่
ตอบ นี่คือคำถามที่ยากจะตอบครับ นักภาวนาเห็นได้ แต่ไม่อาจระบุได้ว่า อยู่ที่จุดเดียวหรือไม่ เพราะเจ้าสิ่งนี้ มันเห็นอยู่ลอย ๆ แต่ไม่อาจระบุตำแหน่งได้ชัดว่าอยู่ที่นั้นที่นี่

1.1 มันเกิดตลอดไปไหมครับ
ตอบ เมื่อพบใหม่ๆ นักภาวนาจะเห็นได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าชำนาญมากแล้ว จะเห็นได้ตลอดไม่หายไปไหมเลย

2.. เรายังคงรู้สึกตัวได้ถึงความว่าง ๆ นิ่ง ๆ ใช่ไหม(+ รู้กาย,ใจ)
ตอบ ใช้ครับ ยังคงรุ้สึกตัว ทำงานทุกอย่างได้ รู้สึกถึงอาการทางกาย รู้สึกถึงอาการทางจิตใจได้

3.. มือใหม่ ๆ ถ้าจิตตั้งมั่นได้ดีพอจะเกิดญาณเห็นจิตที่ว่าง ๆ นิ่ง ๆ ได้ แต่ถ้ามีสัญญา/ความคิดเข้ามา(ไม่นิ่ง และละทิ้งไม่ทัน)ก็จะไม่เห็นความว่าง ๆ นิ่ง ๆ นี้ คล้ายกับว่าจิตเราเข้าไปปรุงแต่งสัญญา/ความคิด
จนลืมตัว/เผลอไปใช่ไหมครับ

ตอบ..การไม่เห็นเจ้าสิ่งนี้ในมือใหม่ จะมีสาเหตุที่มาจาก
** เผลอไป / ไม่รู้สึกตัว
** กำลังญาณยังไม่มั่นคงพอ เมื่อมีอาการทางจิต หรือ คิดอะไร ก็จะทำให้ไม่เห็นสิ่งนี้
** ไม่รู้จักเจ้าสิ่งนี้ ก็เลยไม่ได้ใส่ใจกะมัน ทำให้มองไม่เห็นมัน ซึ่งเรื่องนี้คล้ายๆ กับเราเห็นคน ๆ หนึ่ง เราเห็นใบหน้า แต่เราไม่เห็นรองเท้าเขา เพราะเราไม่ใส่ใจในรองเท้าของเขาครับ








โดย: นมสิการ วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:8:56:51 น.  

 
ขอบคุณครับ พอเข้าใจลาง ๆ แล้วครับเรื่องจิตตั้งมั่น, ญาณเห็นจิต แม้จะยังไม่เข้าใจเต็ม 100% เพราะยังไม่เห็นชัดเจนด้วยจิตตัวเอง
ส่วนตัวผมรู้สึกว่า บางทีการที่เราไม่รู้จัก/ไม่สนใจ/ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่สัมผัสได้นี่(รู้อยู่เฉย ๆ)ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่รู้ว่าเราได้อะไรถึงไหนแล้ว คงไปรู้ตัวอีกทีเมื่อถึงจุดหมาย(จิตสว่างไสว) ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกไหมครับ (หรือว่าเราต้องตรวจสอบสังเกตุอาการตัวเองไปด้วยระหว่างภาวนา)


โดย: หนุ่ม IP: 61.19.90.30 วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:10:53:21 น.  

 
ตัวจิตนี้ ไม่ใช่เห็นกันง่าย ๆ
ถ้าไม่มีใครใบ้ทางให้ ยากครับที่จะเจอ เพราะจะมองไม่เห็นหรือมองข้ามไปเสีย
เมื่อมองข้ามไปแล้ว ก็ยากครับ ที่จะถึงปลายทางได้

ยิ่งปัจจุบัน มีคำสอนออกมาหลากหลาย ยิ่งทำให้นักภาวนางงกันมาก
เมื่องง ก็จะยิ่งออกนอกทางมากขี้นทุกที


โดย: นมสิการ วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:52:42 น.  

 
ไม่ถามก่อนหลงทางแน่ครับ! จะคงความรู้สึกตัวตามกฏ 3 ข้อไปเรื่อยๆใ้ห้เป็นความเคยชิน และเข้ามาตรวจสอบเส้นทางกับข้อเขียนของคุณนมสิการเป็นระยะ ๆ ครับ
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีดี อ่านเข้าใจง่าย และคำชี้แนะทางปฏิบัติ หากมีข้อสงสัยในการภาวนาจะมารบกวนสอบถามภายหลังครับ


โดย: หนุ่ม IP: 125.27.37.182 วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:43:45 น.  

 
อนุโมทนา สาธุ ครับ อ่านแล้วรู้สึกปิติครับ ตามอ่านอยู่เสมอ ขอบคุณมากครับ


โดย: ทำไม่เป็น IP: 110.168.150.104 วันที่: 17 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:40:04 น.  

 
อนุโมทนาสาธุคะ .. จากที่อ.นมสิการกล่าวว่า

1."จุดที่ผมอยากจะแนะนำท่านนักภาวนา เมื่อท่านเห็นอาการทางกาย อาการทางจิตใจ ที่มันเป็นไตรลักษณ์ได้แล้ว..ขอให้ท่านสังเกตว่า อาการทางจิตใจนั้น ที่่มันเกิด มันหยุดไป มันปรากฏอยู่ที่ไหน เมื่อท่านเห็นมันได้ ท่านก็จะเห็นเองว่า มันปรากฏอยู่ที่ไหน ถ้าท่านยังจับมันไม่ทันว่า มันปรากฏอยู่ที่ไหน ก็ขอให้ใช้เวลาเฝ้าสังเกตมันต่อไป จนท่านเห็นได้ว่า อ๋อ มันอยู่ตรงนี้เอง "

2. " เมื่อท่านเห็นที่มันเกิดแล้วว่า อยู่ตรงนี้เอง ขั้นต่อไป ขอให้ท่านสังเกตดี ๆ ครับว่า ตอนที่มันเกิดแล้วหยุดไป บริเวณที่มันเกิดแล้วหยุดไปนั้นแหละครับ จะเป็นสิ่งที่ว่าง ๆ + นิ่ง ๆ อยู่ "

ขอเรียนถามว่า ขณะที่ปฏิบัติตามรูปแบบ
1.เกิดอาการทางกายที่รู้สึกได้ชัดเจนตามตำแหน่งต่างๆของร่างกาย เช่นบริเวณท้ายทอย ภายในศรีษะ ที่คล้ายเป็นพลังงานที่เคลื่อนไหวไปมาวูบวาบเกิดหยุดตามจังหวะที่เราเคลื่อนไหว..ดังนี้ถือว่าเป็นไปตามข้อ 1 หรือไม่คะ
(ในชีวิตประจำวันบางทีจะรู้สึกถึงพลังงานที่กระจายฟุ้งหรือเคลื่อนที่ไปมามาจากบริเวณดังกล่าวเช่นกัน)

2. หากใช่..การที่เรารู้ตำแหน่งของพลังงานที่เกิดและหยุดนี้ ช่องว่างระหว่างสิ่งที่เกิดและหยุดนี้คือความว่างที่อาจารย์กล่าวถึงหรือไม่คะ
(สังเกตได้ยากเพราะเกิดขึ้นเร็วมาก จึงไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า)
หากไม่ใช่แล้วควรสังเกตที่บริเวณใด

แต่หากว่าสิ่งที่ถามนั้นไม่ใช่ทั้งข้อ1และ2ที่ถามแล้ว เรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์เพื่อจะได้ปฏิบัติและสังเกตให้ถูกทางคะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาคะ


โดย: Nim IP: 124.121.116.147 วันที่: 19 พฤษภาคม 2554 เวลา:10:17:13 น.  

 
ตอบ คุณ Nim

ที่เล่ามาถึงพลังงานที่พบบริเวณศรีษะ / ท้ายทอย ทีมันวูบวาบตามทีมันเคลื่อนไหว ขอให้สังเกตว่า ถ้ามันลอย ๆ ไม่สามารถกำหนดตำแหน่งที่แน่ชัดว่า อยู่ตรงนี้นะ อยู่ตรงนั้นนะ แต่จะรู้สึกว่า มันจะกว้าง ๆ อยู่แต่ไม่รู้ตำแหน่งชัด แต่จะรู้ว่าอยู่แถว ๆ นั้นแหละ ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ใช่ครับ

ผมจะแนะนำอย่างนี้ ขอให้คุณอ่านบทความของผม แล้วในขณะที่อ่าน ก็เกาหลังมือไปด้วยเบา ๆ เมื่อคุณอ่านอยู่ ขอให้สังเกตความรู้สึกที่รู้สึกได้จากการเกาหลังมือ มันจะมีและลอย ๆ อยู่แต่ไม่ใช่เกิดอยู่ที่หลังมือ มันจะเป็นแบบนั้นครับ

คนปรกติที่ไม่ได้ภาวนา มักจะรู้สึกเลยจุดลอย ๆ นี้ไป เช่นเกาหลังมือ ความรู้สึกจะไปเกิดที่หลังมือ ที่เป็นอย่างนี้ เพราะจิตนั้นวิ่งไปจับที่หลังมือครับ

ขอให้ลองดูจริงๆ นะครับ ถ้าลองครั้งแรกยังไม่ได้ ขอให้ผ่อนคลาย ๆ สบาย ๆ แล้วลองใหม่ สักหลายๆ ครั้ง แล้วสังเกตไปด้วย


โดย: นมสิการ วันที่: 19 พฤษภาคม 2554 เวลา:10:39:01 น.  

 
เรียนอาจารย์คะ

-ลักษณะตำแหน่งที่ว่านั้นไม่แน่ใจเรียกว่าลอยๆหรือเปล่าคะ แต่ว่าเป็นพลังงานที่กระจายวูบๆวาบๆ แว๊บๆ ไปตามที่ต่างๆภายในศีรษะและผิวหน้า ไม่แน่นอนไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ไปตลอด

-เมื่อได้ลองปฏิบัติตามที่อาจารย์แนะนำอยู่พักนึก แรกๆก็รู้สึกที่บริเวณสัมผัส แต่พอทำไปนานๆ ก็รู้สึกว่าบริเวณที่สัมผัสคล้ายชาๆ พร้อมๆกับมีความรู้สึกที่เด่นชัดบริเวณที่อื่นแทน เช่นอาการวูบวาบที่บริเวณหน้าและภายในศีรษะคะ

กราบขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำคะ


โดย: Nim IP: 110.169.179.129 วันที่: 19 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:10:33 น.  

 
อนุโมทนา สาธุค่ะ(^/
\\
^)


โดย: enjoydvd วันที่: 20 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:44:49 น.  

 
เมื่อไม่เกิดสัมมาสติ ก็ไม่เห็นอาการของกาย ไม่เห็นอาการของจิต
เมื่อไม่เห็นอาการของจิต ก็ไม่เห็นตัวจิต
เมื่อไม่เห็นตัวจิต ปัญญาญาณก็ไม่มี
เมื่อปัญญาญาณไม่มี ทุกข์ก็ไม่จบสิ้นลง เกิดการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอย่างเหนียวแน่นตามเดิม

สาธุ ๆๆๆ


โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.243.53 วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:6:14:16 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:14:58:05 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.