#บันทึกการลงทุน “Case Study หุ้นโรงปูน แตกหุ้นลูกเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ”

สำหรับการลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้าผมเชื่อว่าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากโรงไฟฟ้านั้นเป็นหุ้นประเภท Capital Intensive หรือหุ้นที่ต้องมีการลงทุนสูงในช่วงต้น ด้วยการลงทุนที่สูงจะเป็นตัวกดกำไรสุทธิในบรรทัดสุดท้าย …

นักลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้า จึงต้องหาจังหวะการลงทุนให้ดี อย่าพยายามไปลงทุนในช่วงของการสร้างโรงไฟฟ้าที่ต้องใช้เงินทุนสูง เพราะเจ้าของจะเอาเงินมาจากไหนเล่า นอกจากกู้ธนาคาร ออกหุ้นกู้ ก็ต้องมาเอากับผู้ถือหุ้น หรือเพิ่มทุนนั่นเอง …

หุ้นโรงไฟฟ้าจะน่าสนใจมากๆ เมื่อใกล้จะถึงจุดคุ้มทุน แต่จังหวะการลงทุนเราต้องชิงลงมือก่อน นั่นคือ ก่อนจะถึงจุดคุ้มทุน หุ้นจะขึ้นรับข่าวดีก่อนนั่นเอง …

สำหรับหุ้นโรงไฟฟ้าอีกประเภทก็คือ โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รูปแบบต่างๆ ธีมการลงทุนก็จะแตกต่างออกไปบ้าง …

อนาคตพลังงานทดแทนในประเทศไทยจะมีสัดส่วนราว 20% ของแหล่งพลังงานรวมทั้งหมด ประกอบกับประเทศไทยมีสภาพอากาศร้อน แดดจัด เหมาะสำหรับการตั้งโรงไฟฟาโซล่าเซลล์ และมีแหล่งปลูกพืชพลังงานเยอะ แถมในภาคใต้ยังมีแหล่งไม้ เศษไม้ เป็นจำนวนมาก ทำให้มีวัตถุดิบในการตั้งโรงไฟฟ้าประเภทไบโอแมส ทำให้หุ้นพลังงานทดแทนจะกลายเป็น Big Player ของตลาดหุ้นในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย …

แนวคิดการลงทุนก็คือ เราควรซื้อในช่วงที่โรงไฟฟ้าสร้างเสร็จ และเตรียมขายไฟ หรือ COD ขายไฟฟ้าให้กับหลวงนั่นเอง …

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นโรงไฟฟ้ามักจะขึ้นลงหวือหวา และรวดเร็ว ผู้เล่นก็มีมากหน้าหลายตา ทั้งเซียนหุ้น ทั้งเซียนเม่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ต้องขอแอบกระซิบว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด …

แม้ภาพระยะยาวหุ้นโรงไฟฟ้าสำหรับผมถือเป็นหนึ่ง “เมกะเทรนด์” เพราะอนาคตการใช้ไฟฟ้าจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน แต่สำหรับการลงทุนนั้นเป็นอีกเรื่อง … หากเราไม่ทำการบ้านให้ดีเสียก่อน ศึกษาให้รอบคอบ ก็อาจเจ็บตัวได้อย่างที่เห็นกันมาในอดีตนั่นเองครับ …

โอกาสของการลงทุนระยะสั้น

การลงทุนมีหลายรูปแบบ สำหรับผมแล้วการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลงทุนระยะยาว แต่หากพบโอกาสดีๆ ที่เราจะสามารถลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรได้ด้วยความเสี่ยงต่ำ ผมเองก็มักจะติดตามเพื่อมองหา “โอกาส” ดังกล่าว … สำหรับกรณีศึกษาหุ้นที่แตก “ลูกหุ้น” เข้า IPO นั้นจะมีโอกาสอะไรที่น่าสนใจบ้าง ลองติดตามกันดูครับ

หุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ

ในอนาคตการจัดการขยะจะเป็นวาระสำคัญสำหรับชุมชนเมือง และเป็นวาระแห่งชาติ ผมเข้าใจว่าโรงไฟฟ้าพลังงานขยะมีโอกาสที่จะเป็น “เมกะเทรนด์” ค่อนข้างจะสูงมาก ข้อคิดเห็นก็คือ การทำโรงไฟฟ้าขยะนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่ทำจากขยะ มีการคัดแยกขยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเชื้อเพลิง ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครคิดจะทำก็ทำได้

หุ้นที่ผมนำมาเป็นกรณีศึกษา เป็นหุ้นโรงปูนซีเมนต์ ที่กำลังจะนำโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเข้าเทรดในตลาดหุ้น ตามแผนก็คือปลายปี 2559 (ซึ่งเป็นเหตุการณ์อดีตนำมาใช้เป็นกรณีศึกษากันนะครับ) … ฟังแบบนี้ทำให้เรารู้สึกอยากจะลงทุน และเรียกความสนใจให้กับคนที่เห็นอนาคตเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เราคิดจะลงทุนหุ้นซักตัวเราต้องประเมินมูลค่าของหุ้นออกมาให้ได้เสียก่อน

ส่องตัวเลขทางการเงิน

ส่วนของสินทรัพย์

สินทรัพย์ของหุ้นตัวนี้เติบโตขึ้นทุกปีจาก 7.6 หมื่นล้าน จนในปัจจุบันมีสินทรัพย์กว่า 1 แสนล้าน การเติบโตของสินทรัพย์นั้นเราต้องเข้าไปดูว่าสินทรัพย์เหล่านั้นคืออะไร มีความสามารถในการทำกำไรจากสินทรัพย์มากน้อยแค่ไหน สำหรับโรงปูนซีเมนต์ สินทรัพย์ส่วนใหญ่คือโรงงานผลิตปูนฯ นั่นเอง

ส่วนของหนี้สิน

สำหรับส่วนของหนี้สินก็โตขึ้นทุกปี แบบนี้ถือว่าไม่ค่อยดี แต่เราก็ต้องดูว่าหนี้สินที่เกิดขึ้นถูกนำมาใช้ทำอะไร ลงทุนไปกับอะไรบ้าง ถ้าหนี้สินโต พร้อมสินทรัพย์ที่โตขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าหนี้สินถูกนำมาใช้ลงทุนกับสินทรัพย์ซึ่งก็คือโรงผลิตปูนซีเมนต์นั่นเอง และอีกส่วนที่นำเงินไปลงทุน และเรากำลังติดตามก็คือ “โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ”

ส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะนั้นถูกออกแบบมาให้ใช้วัตถุดิบในการเผาเพื่อเกิดเป็นพลังงานไปปั่นกระแสไฟฟ้า นั่นคือ แท่ง RDF หรือ Refuse-derived fuel ซึ่งได้จากการนำขยะมาทำแห้ง และอัดเป็นแท่งนั่นเอง (ตามภาพ)

ในส่วนของการก่อสร้างโรงไฟฟ้า จากภาพจะเห็นว่าโรงไฟฟ้าของหุ้น TPIPL ในปัจจุบันมีการ COD จ่ายไฟให้กับการไฟฟ้าแล้ว 2 เฟส รวมแล้วกว่า 73 MW และยังมีโรงไฟฟ้าในเฟสสามอีกกว่า 70 MW ที่รอจ่ายไฟฟ้าภายในปี 2017

ประเมินโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ

การประเมินมูลค่าโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ผมจะประเมินจาก “สิ่งที่เห็น” ก็คือ โรงไฟฟ้าสามโรงที่อีกหนึ่งโรงรอขายไฟให้กับการไฟฟ้า รวมโรงไฟฟ้าทั้งสามโรงได้มา 143 MW

โดยปกติแล้วโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ หรือพลังงานจากการใช้เชื้อเพลิง RDF นั้นมีกำไรอยู่ราวๆ 10-15 ล้านบาทต่อ MW สาเหตุที่กำไรแกว่ง เนื่องจากมีส่วนผสมของ “ถ่านหิน” ในกรณีที่ขาดแคลน RDF หากการใช้ถ่านหินมาปั่นไฟฟ้าไม่เกิดกำหนดที่ทาง PPA ให้เงื่อนไขเอาไว้ก็สามารถได้รับ adder ที่ 3.5 บาทต่อยูนิตได้ ผมให้กำไรแบบอนุรักษ์นิยมที่ราวๆ 15 ล้านบาทต่อเมกกะวัตต์

กำไรที่ควรจะเป็น = 143 x 15 = 2,145 ล้านบาท

เราคิดว่าทาง TPIPL นั้นจะมีการทำโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องผมจึงขอให้ PE ราวๆ 20 เท่า

ขนาดกิจการของโรงไฟฟ้าขยะควรจะเป็น = 2,145 x 15 = 42,900 ล้านบาท

เอาไปหักลบกับ EV ข้างต้นเพื่อประเมินกิจการใหม่

EV ใหม่ = 67,724 – 42,900 = 24,824 ล้านบาท

EV/EBITDA ใหม่ = 24,824 / 3,500 = 7.09 เท่า

ซึ่งราคาของ TPIPL ในตอนนั้น (ในขณะที่ยังมีบริษัทลูก คือ TPIPP อยู่) ถือว่าไม่แพง แต่อย่างไรก็ดี ถ้าเราคิดว่าโรงไฟฟ้าขยะสามารถทำกำไรได้ดีกว่าที่คิด แถมยังมีสถานีบริการก๊าซ NGV ที่เรายังไม่ได้ประเมิน ในจังหวะของขนาด MCap หรือขนาดของกิจการ ในตอนที่ผมประเมินมูลค่าคงต้องใช้คำว่า “ไม่ถูก แต่ก็ไม่แพง”

อย่างไรก็ตามในปี 2560 เมื่อกิจการโรงไฟฟ้าขยะถูก spin off ออกมาจากบริษัทแม่ เป็นหุ้นชื่อ TPIPP หรือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ปรากฏว่า ขนาดของ TPIPP ณ. ปัจจุบันมีมูลค่าเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าบริษัทแม่ TPIPL ที่มีมูลค่ากิจการเพียง 4.2 หมื่นล้านบาท สิ่งที่ผมประเมินเอาไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง แสดงให้เห็นว่าหุ้นโรงไฟฟ้าขยะ TPIPP มีมูลค่ามากกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว

                ข้อสรุปของกรณีศึกษาในครั้งนี้ คือ … สำหรับข้อสรุปก็คือ ถ้าเราพบว่ามีกิจการใดกำลังจะแตกหุ้นลูกออกจากหุ้นแม่ ให้เราเข้าไปศึกษาอย่างใกล้ชิด ขั้นแรกเราต้องประเมินมูลค่าออกมาให้ได้ หากราคาหุ้นในตอนนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ให้เราซื้อหุ้นแม่เก็บไว้ รอจนหุ้นลูกแตกออกมา ค่อยเข้าไปเก็บหุ้นลูกต่อ หากหุ้นของบริษัทลูกดีจริง ก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเราอีกต่อ คล้ายๆ กับเราเล่นหมากรุก แล้วได้ “กินสองต่อ” นั่นเองครับ

#นายแว่นลงทุน

เพื่อนๆ ใครมีบ้าน คอนโด ที่ดินเปล่า มาโพสขายได้ที่นี่ฟรีนะครับ//www.topofliving.com/property-exchange/

#หนังสือเสียง … “กลยุทธ์ลงทุนหุ้นโตเร็ว”
หนังสือ นายแว่นฯ มี audio book ด้วยนะครับ … คลิ๊กหนังสือเสียงที่นี่เลยครับ

แนะนำหนังสือ

เก็บหุ้นสร้างพอร์ต สไตล์ VI – โต 10 เท่าในสิบปี

หนังสือเล่มนี้ “เก็บหุ้นสร้างพอร์ตสไตล์วีไอ” ผมเขียนขึ้นมาในช่วงที่ยากลำบากช่วงหนึ่งของตลาดหุ้นไทย คือเป็นช่วงตลาดไม่ไปไหนเลย หรือ Sideway นั่นเอง การลงทุนในภาวะตลาดแบบนี้ย่อมทำให้หลายคนรู้สึก “อึดอัด” ได้ไม่ยาก … แต่ในภาวะแบบนี้ก็มีข้อดีของมัน … ข้อดีดังกล่าวก็คือ … การที่ตลาดไม่ไปไหน แต่แรงเก็งกำไรยังคงมีอยู่ มันเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเก็บหุ้นกอดเอาไว้ กินปันผลไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจ หรือแม้แต่นักลงทุนระยะสั้นๆ ก็สามารถทำกำไรได้หากเรามองพื้นฐานออก และมองแนวโน้มของราคาเป็น ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีทั้งสองเรื่องราวดังกล่าวอย่าง “ครบถ้วน”#NaiwaenInvestment

อ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ How to การบริหารจัดการเงิน อสังหา “คลิ๊กอ่านที่นี่เลยครับ”

[เกี่ยวกับผู้เขียน]

“นายแว่นธรรมดา” หนึ่งในกูรูหุ้น FINOMENA และผู้ก่อตั้ง //www.topofliving.com ผู้เขียนหนังสือ “ลงทุนหุ้นโตเร็ว” และหนังสือขายดี “กลยุทธุ์จับจังหวะลงทุนหุ้น” ปัจจุบันเป็นนักลงทุนอิสระ นักเขียนอิสระ ขอถ่ายทอดความรู้ด้านการลงทุน เผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ

ติดต่อนายแว่นธรรมดาได้ที่นี่ครับ  naiwaentammada@gmail.com