พัฒนาชีวิตด้วยปัญญา และความดี
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
26 กรกฏาคม 2557
 
All Blogs
 
"เจาะหุ้น Mint หุ้นกลุ่มอาหาร และโรงแรม"

ในอดีตหุ้นกลุ่มโรงแรมนั้นถือเป็นหุ้นวัฎจักร คือมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เมื่อถึงฤดูที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ หุ้นก็จะกำไร แต่หากนักท่องเที่ยวหดหายก็จะขาดทุน แต่ในปัจจุบันภาพของความเป็นวัฏจักรยังคงอยู่หรือไม่ ผมเองก็ยังสงสัยอยู่ครับ

สาเหตุเพราะหุ้นในกลุ่มนี้มีการปรับตัวเพื่อลดความผันผวนจากความเป็นวัฏจักร และมีการแตกไลน์เน้นกลุ่มเชนร้านอาหารมากขึ้น ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่มายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี และดูเหมือนจะเป็น “เมกะเทรนด์” ก็คือนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างก้าวกระโดด อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ผมสนใจหุ้นในกลุ่มนี้ตัวที่เคยรีวิวไปแล้วก็คือ CENTEL มาบทความนี้เราจะมาดูหุ้นอีกตัวก็คือ MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กันบ้าง พร้อมแล้วลุยเลยครับ...
//www.naiwaen.com/?p=3765


“เปิดรับสมัครสมาชิก”

เว็บบล็อก “นายแว่นธรรมดา” เปิดรับสมัครสมาชิกรายปีครับ โดยท่านที่สมัครจะได้รับของที่ระลึกจากนายแว่นธรรมดา“พวงกุญแจ นกฮูกนำโชค”สัญญาลักษณ์แห่งภูมิปัญญา และความโชคดีร่ำรวย สนใจรายละเอียดการสมัครติดตามได้ที่นี่เลยครับ คลิ๊กเพื่อดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก

แนะนำเว็บไซค์สำหรับคนอยากมีบ้านหลังแรก และต้องการมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

//www.topofliving.com/ (โดยนายแว่นธรรมดา เช่นเคยครับผม)

logo-topofliving2




Create Date : 26 กรกฎาคม 2557
Last Update : 29 กรกฎาคม 2557 12:54:05 น. 5 comments
Counter : 7416 Pageviews.

 
1. Thai Express การซื้อ Thai Express ที่ผ่านมาผมอยากแชร์เล็กๆน้อยๆครับ mint ซื้อมาในลักษณะที่ค่อยๆซื้อ จนกระทั่งเมื่อปลายปี 2011 ถึงได้ ซื้อเต็มจำนวน ก่อนหน้าที่จะซื้อเต็มจำนวน mint ถือหุ้น Thai Express อยู่ 70% ( ก่อนหน้านั้นผมจำไม่ได้ว่ารู้สึกว่าเคยซื้อก่อนหน้านี้มาอีกรอบปรือเปล่า ) แต่ผลของการที่ถืออยู่ 70% จะทำให้ในงบการเงินรวม mint ได้รวมเอารายได้ทั้งหมดมาอยู่ในรายได้อาหารของ mint แต่กำไรในบรรทัดสุดท้ายจะโดนตัดออก ในรายการผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ทำให้ถ้าคนที่ชอบวิเคราะห์ตัวเลขในส่วนของรายได้ จะดูรายได้ของ mint โตมาก หากนำรายได้มา Projection การเติบโต ก็จะเป็นตัวเลขที่มากเกินจริงเพราะจริงๆแล้วการรับรู้จริงเกิดเพียง 70% แต่ในงบการเงินรายได้รวม 100% ไปแล้วเพราะ บริษัทย่อยในงบการเงินจะรวมไปเลยแล้วไปตัดออกที่บรรทัดสุดท้ายทีเดียว แต่พอมีการซื้อหุ้นที่เหลืออีก 30% ผลที่ได้คือรายได้ไม่เพิ่มแล้ว แต่ไม่ถูกตัดออกในบรรทัดสุดท้าย ทำให้การซื้อหุ้นเพิ่ม เพิ่มแต่กำไรไม่เพิ่มรายได้ สรุปกรณีนี้คร่าวๆดังนี้ ( ซึ่งอาจทำให้หลายๆท่านคำนวน ratio ผิดพลาดได้มากครับ )

1.1 ปีที่มีการซื้อ หุ้น Thai Express 70% แต่ในงบจะได้รายได้ 100% ทำให้รายได้โตเกินจริง แต่ NP Margin ต่ำกว่าความเป็นจริงได้ แต่รายได้มากกว่าความเป็นจริงในแง่ของสัดส่วนความเป็นจริง บางคนใช้รายได้ตัวนี้หรือ NP Margin ในการ Projection ไปก็จะผิดพลาด

1.2 ปลายปี 2011 ซื้อ Thai Express ที่เหลือจบถือหุ้น 100% ตรงนี้จะทำให้กำไรเพิ่มอย่างเดียวรายได้ไม่เิ่พิ่มจะดูเหมือนธุรกิจอาหารมี NP Margin ที่ดูดีขึ้นซึ่งจริงๆ แต่ NP Margin จะไม่ได้สูงขึ้นง่ายๆต่อไปเรื่อยๆ บางท่านเห็นว่าสูงขึ้นก็อาจจะสูงขึ้นไปในเรตนี้ซึ่งถ้าคิดเฉพาะเหตุการณ์นี้อย่างเดียวต้องบอกว่าไม่จริง ( บางคนคิดว่า NP ดีขึ้นก็น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เหตุการณ์นี้จบไปแล้ว ถ้าจะดีขึ้นก็ต้องด้วยเหตุการณ์อื่น )

2.S&P และ Coffee Club ในด้านตัวเลข เป็นบริษัทร่วม ซึ่งในอดีต S&P จะรับรู้เป็นบริษัทอื่นๆ โดยในงบการเงิน Mint จะ Console เอาแต่ เงินปันผลเข้ามา ซึ่ง S&P เองปันผลปีละ 2 ครั้งทำให้ช่วงที่มีการปันผล Mint จะรับรู้รายได้มากกว่าปกติ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้กำไรอาหารในบางไตรมาศจะแกว่งตัวได้มาก แต่หลังจากที่ S&P ได้กลายเป็นบริษัท ร่วมเหมือนกับ Coffee Club บริษัทจะรับรู้กำไรจากส่วนแบ่งมาตามสัดส่วนทำให้ดูเป็นจริงมากขึ้นแต่เนื่องจาก 2 บริษัทนี้ไม่รับรู้รายได้ mint รับรู้แต่ส่วนแบ่งทำให้เกิด NP Margin สูงกว่าปกติ เพราะกำไรที่เกิดจากส่วนนี้ไม่บันทึกส่วนของรายได้ ส่วนการปรับมูลค่า S&P ในปีที่แล้วจริงๆแล้วในทางการเงิน Mint จะไม่ได้เงินอะไร แต่จะช่วยลด D/E ได้มาก เป็นการเพิ่ม Equity โดยตรงซึ่งจะทำให้สามารถกู้เงินได้มากขึ้นในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่จะทำให้ ROE ของบริษัทดูต่ำลงกว่าความเป็นจริง เพราะ E ที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้เกิดจากเงินที่บริษัทใช้ในการลงทุนแต่เป็นเงินที่เกิดจากการปรับมูลค่า

3. การใช้ Asset Light และการลงทุนเองทำไมต้องลงทุนเองด้วย บางท่านอาจมองว่าทำไมเมื่อเรามี Asset Light เช่นสามารถขาย Franchise ได้ ขาย ANANTARA ได้ ทำเองทำไมลุยเปิดเลยก็ได้ โดยใช้เงินคนอื่น ทำได้ครับแต่ไม่ทั้งหมด เพราะหากการโตเป็นแต่ Franchise เมื่อโตไปมากๆ เราจะกลายเป็นผู้เสียเปรียบทันที เอาง่ายๆครับ 7-11 ก็ไม่ได้กุมความได้เปรียบอะไรเลยเหนือ CPALL หรือตัวอย่างกรณี PIZZA HUT ที่เคยเกิดเรื่องก็เป็นข้อบ่งชี้ได้อย่างดีว่าการที่บริษัทแม่ไม่ลงทุนเองเลยอนาคตก็ถูกลูกกลืนไปแทนได้นะครับ สรุปในจุดนี้เลยเป็นอีกเหตุว่าทั้งโรงแรมและอาหาร mint ก็ยังคงต้องขยายสาขาของตนเองต่อไปเช่นกัน

4. การเปิด Franchise ในต่างประเทศ ทำไมไม่ลงทุนเอง ตอนนี้เข้าใจว่านอกจากจีน การเปิดร้านอาหารในต่างประเทศทั้งหมดเป็น Franchise เนื่องจากประสบการณ์การไปเปิดเองที่จีนแล้วจะเห็นได้ว่าการจะสร้าง Economic of Scale ให้ใหญ่พอนี่เป็นไปได้ยากมากๆครับ เอาง่ายๆ PIZZA HUT ของ YUM เองไปจีนใช้เวลาเป็น 10 ปีในการเริ่มทำกำไร เพราะฉะนั้นด้วยประสบการณ์เหล่านี้บริษัทจึงไม่เน้นการไปเปิดต่าประเทศด้วยตนเอง แต่ขาย Franchise เอา ลองคิดง่ายๆก็ไดครับ ว่าค่าโฆษณา ค่า OFFICE ค่าใช้จ่ายผู้บริหารกว่าจะคุ้มต้องเปิกี่สาขา ที่หนักไปกว่านั้นถ้าจะสร้างครัวกลางขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่อยากจะคิดเลยครับ สาขาต้องมากพอจริง เลยเป็นเหตุให้เห็นได้ชัดว่า Stratergy ตอนนี้เป็นการ ซื้อ Chain อาหารที่ประสบความสำเร็จในประเทศประเทศหนึ่ง แล้วเอา Chain นั้นไปเปิดในประเทศที่ mint เองมีเครือข่ายที่ใหญ่พอ เช่นเอา Coffee Club มาเปิดในไทย หรืออีกแนวก็คือเอา Brand ที่ซื้อ ไปขาย Franchise แทนในประเทศที่ mint ไม่มีฐานนั่นเอง

5. การซื้อ mint ราคานี้เท่ากับซื้ออาหารแล้วแถมโรงแรมเลยหรือเปล่า ผมขอไม่บอกว่าจริงหรือไม่ แต่ขอตั้งข้อสังเกตุแล้วกันครับ โดยมากทุกท่านที่คิดแบบนี้ก็มันจะยึดกับ Assumption ที่ว่า PE ของบริษัทควรเท่ากับกลุ่มอาหารหรือค้าปลีก ซึ่งถ้าคำนวนแบบนั้นแล้วเอากำไรหรือบางท่านอาจะใช้ CFO บางท่านใช้ EBIT บางท่านใช้ EBITDA ก็สุดแล้วแต่ ก็เป็นไปได้ที่ว่ามันจะเท่ากับว่าแถมโรงแรม แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเลขสมมตินั้นมากกว่าครับ อีกมุมหนึ่ง การที่เอาบริษัทไปเปรียบเทียบว่า PE ต้องเท่านั้นเท่านี้ ต้องถามกลับว่าแล้วไม่คิดหรือว่าตอนนี้มันอาจจะแพงทั้งตลาดอยู่ก้ได้ อันนี้ไม่ได้บอกว่ามันแพงนะครับ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งถือซื้อหุ้นกลุ่มอาหารไว้มาก และนานมากพอดูครับ แต่อยากให้ข้อสังเกตุว่าเราไม่สามารถเอาบริษัท 2 บริษัทไปเทียบราคากันได้ เพราะบางทีไอ้บริษัทที่ถูกอาจจะไม่ถูกแต่แค่แพงน้อยกว่าอีกบริษัทก็เป็นได้ครับ

6. การเติบโตของบริษัท เป็นเพราะบริษัทดีเยี่ยมจริงหรือไม่ อันที่จริงบริษัทอย่าง Mint นี่ไม่เติบโตสิแปลกครับ แปลกยังไง จริงๆแล้วถ้าเรามองว่าบริษัททำกำไร เงินที่ได้ จะมีทางไป 2 ทางหลักๆครับ คือเก็บไว้ในบริษัท แล้วบริษัทจะเอาไปทำอะไรต่อก็สุดแท้แต่ กับอีกส่วนปันผลออกมาครับ ส่วนที่ปันผลออกมาก็จบไป แต่ส่วนที่เก็บไว้ในบริษัทไม่ต่างอะไรกับการเพิ่มทุนนะครับ เพราะฉะนั้นการที่บริษัทอย่าง mint ไม่ปันผลหรือปันผลน้อยมากๆ ถ้าบอกว่ากำไรเติบโตแล้วถือว่าเป็นฝีมือของผู้บริหารแล้วให้โบนัสกันมากๆ ถือว่าไม่สมควร ( อันนี้ผมสมมตินะครับ ไม่ได้กล่าวหาผู้บริหารแต่อย่างใดครับ ) น่าจะถือว่าเป็นฝีมือของผู้ถือหุ้นมากกว่า ผมแบ่งกรณีอย่างนี้นะครับ

6.1 เก็บเงินไว้แล้วไม่เกิดการเติบโตของกำไร อันนี้ต้องบอกว่าแย่มากๆครับ สำหรับผมจะถือว่ากำไรส่วนนี้เป็นของ ผู้บริหารไม่ได้เป็นของผู้ถือหุ้น ผมจะหักกำไรตรงนี้ทิ้งไปเลยแล้วคิด PE ใหม่โดยใช้ Earning ตัวใหม่ที่หักกำไรส่วนของผู้บริหารออกไปก่อน แล้วคิด PE จากกำไรของผู้ถือหุ้นเท่านั้น

6.2 การที่เก็บเงินไว้ในบริษัทแล้วกำไรโตขึ้นแต่ ROE ตกลง อย่างนี้ผมก็บอกได้เลยว่าผู้บริหารแย่ครับ บางคนอาจบอกว่ายังไงมันก็โตนี่นา บางทีการลงทุนอาจไม่ได้ดีเท่าเดิมแต่ก็ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี เช่นแต่เดิม ได้ ROE 20% แล้วอันใหม่ลงทุนได้ 15% ROE จะตกลง แต่ว่าการลงทุนได้ 15% ก้ยังถือว่าเยี่ยมมิใช่หรือ แต่จริงๆแล้วต้องบอกว่าจริงแต่ไม่ทั้งหมด เพราะถ้าผู้บริหารปันผลออกมาแล้วเราในฐานะผู้ถือหุ้นเอาไปซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มไม่ดีกว่าหรือ เท่ากับว่าเราลงทุนเองได้บริษัทที่ ROE 20% แต่ถ้าผู้บริหารเอาไปลงทุนเหมือนได้บริษัทใหม่ที่ ROE 15% ( แต่ข้อแย้งตรงนี้บางท่านอาจะบอกว่าเราไม่ได้ซื้อ E นี่นาเพราะบางทีเราต้องซื้อที่ P/BV มากๆก็เป็น premium ที่เราต้องเสียเหมือนกัน ซึ่งจริงๆแล้วตอบยากครับตัวเลขนี้คิดได้หลายมุม ) หรือมองในอีกแง่เท่ากับว่าธุรกิจเริ่มถดถอยหรือไม่ อันนี้ก็น่าคิดครับ

6.3 การที่บริษัทเก็บเงินไว้แล้ว ROE บริษัทสูงขึ้นเรื่อยๆ อันนี้สำหรับผมเป็น Indicator ที่จะบอกได้อย่างหนึ่งว่าผู้บริหารทำงานได้ดี และ บริษัทยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจริงๆ


โดย: ตี๋2555 วันที่: 11 สิงหาคม 2557 เวลา:12:58:50 น.  

 
เรื่องหนี้และ D/E ผมมอง แยกประเด็นดังนี้ครับคือ

1. เรื่องของสภาพคล่อง ผมมองว่าจริงๆเรื่องสภาพคล่องนี้เอาจริงๆก็คือถ้า ผมสมมติคร่าวๆนะครับ หนี้สินทั้งหมดที่มีดอกเบี้ย 20000 ลบ ปีๆหนึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยประมาณ 900 ลบ ( ผมกะคร่าวๆนะครับ ) ส่วนนี้ผมชอบมอง EBITDA ครับเพราะมันเป็นบรรทัดก่้อนที่จะจ่ายดอกเบี้ย ผมชอบมองว่าบริษัทควรมี EBITDA ประมาณอย่างน้อย 5 เท่า ( อันนี้หนังสือหลายเล่มก็ชอบประมาณนี้ครับและส่วนหนึ่งก็เป็นความเห็นผมด้วยครับ ปกติจะไม่ค่อยอยากพูดถึงความเห็นแต่อันนี้มันต้องมีการประมาณการณ์เล็กน้อนเลยใช้ความเห็นร่วมด้วยต้องขออภัยล่วงหน้าครับ ) ของดอกเบี้ยจึงจะถือว่าไม่เสี่ยง ทำไมต้อง 5 เท่า เพราะผมมองว่า 5 ส่วนที่ว่า ส่วนแรกเราให้เจ้าหนี้ ส่วนที่ 2 เราให้สรรพากร ส่วนที่ 3 เราคืนหนี้ ส่วนที่ 4 เราคืนเจ้าของ ( ปันผล ) ส่วนที่ 5 เก็บไว้ดำเนินการต่อเพื่อขยายธุรกิจ อันนี้เป็นภาพคร่าวๆของบริษัททั่วไปก็จะต้องการสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นหาก EBITDA มากกว่า 5 เท่าของ Interest สำหรับผมความเสี่ยงถือว่าไม่มากครับ แต่ผมจะไม่ดูว่า EBITDA ของปีนี้เป้นเท่าไหร่ เพราะว่าถ้าเราดูปีดีๆรับรองเหลือเฟือครับ อย่างปีนี้สบายหายห่วง กำไรตรึ่งปีแรกโตเป็นประวัติการณ์ ปัญหาเวลาจะเกิดมันไม่เกิดในปีดีๆหรอกครับ ผมชอบสมมติว่าถ้าเกิดมันแย่ล่ะ ผมจะชอบมองย้อนกลับไปอย่างนี้ครับ ครึ่งปีแรก บริษัทค่าเสื่อม อยู่ที่ประมาณ 1087 ลบ และจ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 581 ลบ ดังนั้นรวมค่าเสื่อมกับดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 1668 ลบ ถ้่าคิดเต็มปีก็คูณสองเข้าไปคร่าวๆ ผลรวมดอกเบี้ยกับค่าเสื่อมก็คือ 3336 ลบครับ ( เหตุผลที่มองกลับก็เพราะตัวเลขพวกค่าเสื่อมพวกดอกเบี้ยนี่จะไม่ค่อยเปลี่ยนครับต่างจากตัวเลขกำไรในปีที่แย่ๆอาจไม่มีเลย ) ถ้าสมมติว่าดอกเบี้ย 4.5% ทั้งปีจะเสียดอกเบี้ยประมาณ 900 ลบ 5 เท่าของดอกเบี้ยก็คื้อ 4500 ลบ ดังนั้นบริษัทต้องทำกำไรให้ได้ 4500-3336 = 1164 ลบ จึงจะได้เท่ากับ 5 เท่าของดอกเบี้ย ซึ่งสำหรับผม ( อ้างอิงจากข้อมูลคุณ Saran ) ครึ่งปีแรก บริษัทได้กำไรจากอาหาร 592 ลบ ถ้่าคิดเต็มปีก็คูณ 2 จะได้ประมาณ 1184 ลบ ดังนั้นหากเราคิดว่าอาหารไม่ค่อยผันผวนมากนัก กำไรจากอาหารเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ บริษัทไม่เสียงแล้วโดยที่โรงแรมไม่จำเป็นต้องทำกำไร ครับ ( ผมตั้งสมมติฐานหลายอย่างคร่าวๆนะครับ อย่าเชื่อผมต้องลงไปดูรายละเอียดลึกๆครับ ผมเขียนสรุปตัวเลขจริงทั้งหมดไม่ได้ครับเดี๋ยวจะโดนหาว่าชี้นำ ) และจริงๆแล้วอาจต้องบวกภาษีกลับไปให้ด้วยครับ แต่ผมไม่ได้บวกเข้าไป เพื่อที่จะให้ดูง่ายๆหน่อย ไม่อยากใส่ item อะไรเข้าไปมากครับ ดังนั้นถ้าตัวเลขเป็นตามที่ผมสมมติ เน้นว่าผมสมมตินะครับแต่อ้างอิงจากตัวเลขจริงเท่านั้น บริษัทจะไม่เสี่ยงเมื่อ
- อาหารสามารถทำกำไรได้ตามปกติ
- ดอกเบี้ยไม่ขึ้น
- โรงแรมไม่ขาดทุน ( ผมขอผ่านตัว ค้าปลีกไปเลยนะครับเพราะมันเล็กมาก ) ซึ่งก็มองย้อนกลับได้ว่าเราต้องการ Occupancy ที่ Break Event ครับ

2. ไอ้หนี้ที่มีอยู่คืนได้จริงหรือไม่ มีหนี้ยังไงก็ต้องคืนครับ วิธีคืนก็มี 2 อย่าง

2.1 กู้หนี้ตัวใหม่มาคืนหนี้เดิม หรือก็คือออกหุ้นกู้ตัวใหม่มาคืนหุ้นกู้ตัวเดิม อันนี้ดูเหมือนทำได้สบาย แต่จริงๆแล้วการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อคืนตัวเดิมทำได้ในกรณีที่สภาวะตลาดดีครับ คนก็อยากซื้อหุ้นกู้มองอะไรก็สดใส แต่เวลาตลาดแย่ๆ ออกหุ้นกู้ที Interest สูงมากๆครับแถมอาจจะหาคนซื้อไม่ได้ด้วย เพราะเขาจะดูกำไรตอนนั้นซึ่งกำไรก็มักจะตกลงอย่างรุนแรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้ามองมุมนี้มุมเดียวผมว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

2.2 จะคืนหนี้ได้หมดเมื่อไหร่ ตอนนี้หนี้ที่เป็นหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจริงๆมีอยู่ประมาณ 20000 ลบ หรือมองว่าถ้าเราต้องเร่งคืนหนี้หรือบริษัทมีปัญหาเรื่องหนี้สินขึ้นมาจริงๆจะทำอย่างไรได้บ้าง

- บริษัท mint มีลักษณะของการที่เป็น Holding ดังนั้นเราสามารถปิดบริษัทย่อยบางบริษัทได้ บริษัทที่ไม่ทำกำไรทาง mint สามารถปิดไปได้โดยที่ไม่กระทบเอากับตัวแม่มากนัก

- บริษัทสามารถขายโรงแรมเข้ากองทุนอสังหาได้ อันนี้ผมมองเป็น Opportunity ในวันที่ตลาดๆดีๆมากกว่าหากต้องการเงิน หรือต้องการลด D/E เพราะไปขายในตอนที่ตลาดแย่ก็ไม่ค่อยได้เงินหรอกครับ ผมจะให้เครดิตตัวนี้ว่าทำให้ mint สามารถขยายกิจการได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนมากกว่า เวลาถือหุ้นทีมากๆ บริษัทเพิ่มทุนทีนี่แทบกระอักได้ครับ

- ถ้าต้องการ D/E ที่ดีขึ้น อันนี้เพื่อที่จะคุยกับเจ้าหนี้ได้ง่ายขึ้น บริษัทสามารถปรับราคาอสังหาที่ถือครองได้หรือไม่ ดูอย่างง่ายๆครับ CPNRF ปรับราคาขึ้นทุกปีทั้งที่จะนวนปีในการถือครองลดลง ในจุดนี้ต้องไปดูเอาเองครับว่าการ BOOK ราคาทรัพย์สินนี่น้อยไปหรือเปล่า โดยมากมักจะเกิดกับทรัพย์สินที่อยู่ในงบนานๆแล้ว อันนี้บางทีปรับมูลค่าขึ้นได้มหาศาลครับ

- ถ้าต้องการ D/E ที่ดีขึ้นบริษัทสามารถปรับมูลค่าหุ้นที่ถือครองอยู่ได้หรือเปล่า กรณีของ mint ก็ดูไปที่ S&P พอจะได้ครับ อย่างตอนนี้ราคา S&P ที่ Book อยุ่ในงบดุลของ mint ก็ราคาน้อยกว่าราคาตลาดอยู่มากพอดูครับ mint ถือ S&P อยู่ 30.717 ล้านหุ้น ราคาตลาดอยู่ที่ 169 บาท ผมตีให้แค่ 150 ก็พอครับ ส่วนนี้ mint มีสินทรัพย์ที่สามารถคืนหนี้ได้ 4607 พันล้านบาทครับ แต่จุดนี้ต้องระวังนะครับเพราะมูลค่าอาจตกลงได้มากเหมือนกัน ถ้าเป็นวันที่ mint มีปัญหาบริษัทเดียวอันนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้า เกิดเป็น crisis ทั้งตลาดอันนี้ผมว่าราคาอาจผันผวนมากครับ

- บริษัทจะได้เงินจากการแปลงสภาพ Warrant จุดนี้คือถ้ามันมีปัญหาจริงๆก็คืนหนี้ได้ครับ แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่า mint จะเอาไปคืนหนี้หรอกครับเพราะวิธีการบริหารมันไม่เคยเป็นอย่างนั้น คิดว่าพอได้เงินมา D/E ก็จะลดลงแต่เอาเงินไปขยายกิจการต่อได้เลย คำนวนคร่าวๆนะครับเข้าใจว่าน่าจะได้มาประมาณ 4000 ลบ จากส่วน ขออย่างเดียวก็คือราคาตัวแม่ห้ามต่ำกว่า 11.82 บาทครับ ถ้าต่ำกว่าคงไม่มีใครแปลงสภาพแน่ๆครับ ( อ้อจริงๆเรื่อง warrant นี่ผมก็เคยคิดจะเขียนแชร์มุมมองแปลกบ้างครับ )

- สรุปในเรื่องของการคืนหนี้ผมมองว่าถ้าบริษัทสามารถลดหนี้ลงไปได้สักครึ่งแล้วก็เหลือสู้ต่อก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วครับ ( อันนี้ผมคิดแบบ Conservative นะครับเพราะจริงๆเจ้าหนี้ก็มักจะช่วยอยู่แล้วถ้าเกิด crisis แย่ด้วยกันหมด เจ้าหนี้จะเอาเรื่องเอาราวอะไรก็ตายกันหมดอยู่ดีครับ เจ้าหนี้ก็ตายด้วยอยู่ดี เขาก็มักจะต้องหาวิธีช่วยลูกหนี้ไม่มากก็น้อยครับ

- ในเรื่องของ D/E ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมองครับ แต่ชอบมองว่าบริษัทจะทนทานต่อปัญหาหนี้ได้มากแค่ไหนหากเกิดวิกฤติ เพราะบริษัทที่ต่างประเทศดีๆหลายบริษัทเขาก็ไม่ได้มี D/E ที่ดีเท่าไหร่หากเขาคิดว่าเขาสามารถจะระดมเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว แล้วเขาจะเก็บ E เอาไว้ทำไมส่งคืนผู้ถือหุ้นไปให้หมดก็ได้ เพราะถ้ามองส่วนของ D/E mint ปรับราคาสินหรัพย์หลายๆตัวก็ดูสวยแล้วครับ ผมเลยมองเรื่องความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและการจ่ายคืนหนี้มากกว่า D/E ครับ


โดย: ตี๋2555 วันที่: 11 สิงหาคม 2557 เวลา:13:01:11 น.  

 
เหตุที่ D/E สูงกันหน่อยครับว่าทำไม MINT ถึงมี D/E ที่ประมาณ 1.8 ดูว่าสูงพอควรทีเดียว

1. การซื้อ OAK อันนี้ตัวหนักเลยครับ 2 เด้ง เพราะตัว Oak เองก็มีหนี้เยอะอยู่แล้ว แล้วบริษัทกู้เงินมาซื้อ OAK อีก ในงบการเงินเลยจะบันทึกหนี้ทั้งตัว OAK และเงินที่กู้มาซื้อ OAK ครับ

2. ซื้อ บุณฑริกา นี่โครงการใหญ่ทีเดียวครับ แค่เงินที่ใช้ซื้อก็เป็น 1000 ลบ แล้วแถมยังไม่นับ Renovate อีก

3. การซื้อ Thai Express ที่เหลืออีก 30% นี่ก็ใช้เพอควรครับ

4. ปีที่แล้วเปิด St. Regis กับ คีฮาวา สองโรงแรมนี่ ใช้เงินเยอะมากๆครับ แต่จะชดเชยด้วยการขาย ST. Regis ส่วนของ Residential ไปได้มากทีเดียว

สรุปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้วบริษัทได้มีการขยายธุกิจมากทำให้ D/E ดูสูง แต่ไม่ได้เกิดจากการที่ธุรกิจมีปัญหาแล้วทำให้ D/E สูง สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปก็คือ สิ่งที่บริษัทได้ลงทุนไปคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าคุ้ม D/E ก็จะลดลงมาเอง แต่ถ้าไม่เป็นไปตามแผนมากๆ ก็ต้องกลับไปดูด้านบนแล้วคำนวนแล้วละครับว่าบริษัทจะสามารถทนทานต่อปัญหาเรื่องหนี้ได้มากแค่ไหน เมื่อต้นปีที่แล้วผมเองก็รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีการเปิดโครงการ Residential ของ St. Regis ซึ่งถ้าขายไม่ออกนี่หนักแน่ๆ เพราะที่สมุยเองก็ไม่ได้ขายมานานพอดูแล้วปรากฎว่าการขายเป็นไปได้ดีพอควร ก็เลยเบาใจไประดับหนึ่ง แต่ยอมรับว่าเรื่องหนี้ของ Mint เป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างมากจริงๆครับ อย่าลืมนะครับว่าเราจะไม่ขาดทุนจากบริษัทที่มีงบดุลที่ดี แต่เราจะกำไรจากงบการเงินของบริษัทครับ

ปล. 1. การที่ mint ซื้อ OAK มาในราคาที่ค่อนข้างถูกได้ก็เพราะบริษัทที่เป็นเจ้าของ OAK เดิมมีปัญหาเรื่องหนี้นี่ละครับ หวังว่า mint จะไม่ต้องไปเลหลังขายของเพื่อชำระหนี้ครับ 5555555555

2. ผมเองมีหุ้น mint เพราะฉะนั้นการวิเคราะห์อาจเกิด Bias ได้ ควรระวังนะครับ ( แต่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ใส่ความเห็นและตัวเลขลงไปครับ ) ถ้ามีข่อผิดพลาดประการใดช่วยแย้งเลยครับผมจะได้เอามาปรับปรุงการคาดการณ์ของตัวเอง ชอบคุณครับ


โดย: ตี๋2555 วันที่: 11 สิงหาคม 2557 เวลา:13:06:50 น.  

 
very nice analysis


โดย: NIE IP: 58.10.18.25 วันที่: 15 เมษายน 2558 เวลา:15:16:01 น.  

 
ขอบคุณมากครับ สำหรับ มุมมอง แบบ เจาะลึก


โดย: Popspective IP: 124.122.172.186 วันที่: 20 พฤษภาคม 2558 เวลา:12:36:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ตี๋2555
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 165 คน [?]




สวัสดีครับผม "นายแว่นธรรมดา" ผู้เขียนหนังสือขายดี "รวยหุ้นแบบ VI ไม่เสี่ยง" หนังสือ "หุ้น 5 พารวย" และเป็นผู้ก่อตั้ง http://www.naiwaen.com เว็บไซค์การลงทุนในหุ้น กองทุนรวม และ Money Market อีกมากมาย
และ http://www.topofliving.com เว็บไซค์เกี่ยวกับการเลือกซื้อบ้านหลังแรก การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยนิยามส่วนตัวก็คือ ทำให้ความมั่งคั่ง กลายเป็นเรื่อง "สนุก"
หากต้องการข้อมูลข่าวสารการลงทุนอย่างรวดเร็ว และเชื่อถือได้ แวะไปกด LIKE ที่นี่นะครับ https://www.facebook.com/NaiwaenTammada

ผมยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
Free counters!
New Comments
Friends' blogs
[Add ตี๋2555's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.