space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
space
space
11 กุมภาพันธ์ 2564
space
space
space

ซื้อ Tesla ในเมืองไทย ปี 2021

หลังจากที่เราสองคนได้ตัดตัวเลือกออกไปเรื่อย ๆ จนเหลือแต่เทสล่า สุดท้ายก็เหลือแต่แค่ว่าจะซื้อรุ่นไหน trim ไหน ซื้อกับใคร

จะว่าไปในอดีต ก็เคยแอบเล็ง Model S, X เคยไปเช่า Model S ขับที่อเมริกาอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2017 จำได้ว่าไม่รู้สึกประทับใจเท่าไหร่ คือวัสดุหรือการตกแต่งภายในมันทำให้รถดูไม่แพงเอาซะเลย ส่วน Model X ที่มี falcon wing door คือมันก็ดูเก๋ดี แต่ก็กังวลเรื่องปัญหาที่จะตามมามากกว่า ที่สำคัญคือทั้ง Model S,X คันค่อนข้างใหญ่ ก็ใช้กันอยู่แค่สองคน ลูกเต้าก็ไม่มี ข้าวของก็แทบจะไม่เคยขน ที่สำคัญ เมื่อตอนที่เราสองคนวางมัดจำไป (เดือน ม.ค. 64) ก็มีข่าวตลอดเวลาว่าทั้ง S และ X กำลังจะตกรุ่น สุดท้ายก็เลยคิดว่าคงไม่ได้เลือกหรอก

ทำให้เหลือแค่ Model 3 หรือจะ Model Y

Model Y เพิ่งเริ่มขายในเมกาเมื่อปีก่อน ตอนนี้ยังซื้อผ่านเกรย์ไม่ได้ เนื่องจากเกรย์ประเทศไทยนำรถเข้าจากอังกฤษหรือฮ่องกง  เมื่อปลายปีที่แล้ว Giga Shanghai ที่จีนเพิ่งจะเริ่มผลิต Model Y สรุปว่าถ้าอยากได้ Model Y ก็ต้องรอ Giga Berlin ซึ่งเคลมว่าจะเปิดกลางปี และแน่นอนที่สุด ก็คงขายดี กว่าจะได้คิวมา ก็อาจจะได้รถปีหน้า ถามว่ารอได้ไหม  จริง ๆ ถ้าจะรอก็รอได้ แต่ประเด็นเดิมก็อีกแระ อยู่กันสองคน ลูกเต้าไม่มี จะเอาคันใหญ่ ขนของได้เยอะ ๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง

Tesla เป็นบริษัทเทคโนโลยียานยนต์ที่พัฒนาสินค้ารวดเร็วมาก Model 3 ที่ผลิตวันนี้ ดีกว่า ที่ขายเมื่อ 2 ปีก่อนมาก และทำนองเดียวกันกับทุก ๆ รุ่น  ถ้าติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด ก็จะพบว่ามีการอัพเดตทั้งซอฟท์แวร์และฮาร์ดแวร์ หมายความว่าเค้าปรับปรุงของเค้าไปเรื่อย ๆ โดยไม่รอตกรุ่นหรือรอขึ้นโฉมใหม่ปีใหม่ หมายความว่า Model Y ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าก็จะดีกว่า Model Y ที่ผลิตวันนี้

อันนั้นหมายความว่าเราจะรอไปก่อนดีไหม ?

ถ้าจะรอของดีกว่า ก็จะได้รอไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะของผลิตทีหลัง ถูกพัฒนา ปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ก็จะดีกว่าของวันนี้อยู่ร่ำไป  ถึงจะแอบมอง Model Y อย่างไร สุดท้ายก็บอกว่าในเมื่อมันยังไม่ available ในตลาดยุโรป เราไม่มีธุระจำเป็นต้องใช้รถคันใหญ่เท่าไหร่ รถคันเล็กย่อมประหยัดพลังงานกว่า ก็เอา Model 3 ไปนั่นแหละ  อีกหน่อยถ้ามีความจำเป็น ค่อยถอย Model Y มาอีกคัน หรือจะขาย 3 ไปแล้วอัพเป็น Y ก็ได้  พอคิดตกลงปลงใจได้ก็เหลือแต่ Model 3 ให้เลือกละ

จะว่าไปมันก็เลือกไม่ยากมากระหว่าง standard range plus กับ อีกสองอัน ด้วยงบประมาณที่มี รวมถึงภาวะ range anxiety ตัด standard range plus ทิ้งแน่นอน  ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้รถที่วิ่งได้ไกลหน่อย ถึงแม้ 90% ของการใช้งานจะวิ่งไปกลับแค่ 5 กิโล (คอนโดกับที่ทำงาน) แต่มันก็ต้องเผื่อเวลาวิ่งไปต่างจังหวัด เผื่ออีก 10 ปี battery degradation เหลือ 90% ก็ยังพอมี range เหลือให้ใช้งานได้เหลือเฟือ  สุดท้ายก็เลยเหลือให้เลือกระหว่าง long range และ long range performance 

ถ้าเอาตามเหตุผลตัดเรื่องอารมณ์ทิ้งก็ต้องซื้อ long range จบข่าว ตอนที่เราช็อปกันราคาที่ได้มาตอนแรกคือ standard range+ 3.59 ล้าน  long range (LR) 3.99 ล้าน ส่วน performance (PF) ปาเข้าไป 4.29 ล้าน อันนี้เป็นราคาที่ลิสต์ไว้โดยผู้นำเข้าอิสระเจ้านึงซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่าร้านแมงมุม ส่วนผู้นำเข้าอิสระอีกเจ้าหนึ่งขอเรียกตัวย่อว่า W ใช้ราคาเดียวกัน แต่หลังจากที่ระยะเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ก้อมีผู้นำเข้าอิสระเจ้าอื่นๆเอาเทสล่าเข้ามาขายมากขึ้น แล้วเค้าก็หั่นราคากันจนกระทั่งตอนหลังไปได้ราคาจากอีกเจ้าหนึ่ง (ในทีนี้ขอเรียกว่า AMG) แจ้งไว้ว่า long range 3.59 ล้าน ส่วน performance 3.99 ล้าน ซึ่งราคานี้ถือว่าลดลงมาเยอะ มันทำให้รุ่น performance ราคาไม่ถึง 4 ล้าน (จ่าย 4 ล้าน ทอน 1 หมื่น)

แสดงว่า LR จะถูกกว่า PF 3-4 แสนบาท ขึ้นกับซื้อเจ้าไหน  พอเทียบเสปคกันแล้วก็จะพบว่าส่วนต่างนั้นเป็นค่า Carbon spoiler ค่า aluminum pedal X2  ค่า Performance brake 4 ล้อ  ค่า 20" uberturbine wheels ส่วนต่างอื่น ๆ คือเป็นเรื่องของ software ที่เกี่ยวกับ drive train และ track mode ซึ่งใน Tesla model 3 LR ไม่มี นอกจากนี้ PF ยังโหลดเตี้ยกว่า LR 1 ซม. ซึ่งคิดว่าดูไม่ออกเท่าไหร่ และไม่น่าจะมีผลมาก ผู้เชี่ยวชาญก็ยืนยันว่าในส่วนของ hardwareใหญ่ ๆ 2 รุ่นนี้ไม่มีอะไรต่างกันยกเว้นยิบย่อยที่กล่าวมา พูดง่าย ๆ คือตัวถังรถและมอเตอร์เหมือนกัน

เรื่องความเร็ว LR จะเหยียบจาก 0-100 km/h ได้ในเวลา 4.4 วินาที ส่วน PF เหลือ 3.3 วินาที ทั้ง ๆ ที่เป็น dual motor, all wheel drive เหมือนกัน ส่วนเรื่องระยะทาง LR โม้ไว้ว่า 580 กม.  ส่วน PF 567 กม. ซึ่งก็น้อยกว่ากันนิดเดียว (แต่ก่อน model 3 รุ่นเก่าเคยต่างกันเยอะกว่านี้ แต่พอรุ่น 2021 ซึ่งมีการเพิ่ม battery size และเปลี่ยนล้อเป็น uberturbine กลายเป็น range น้อยกว่าแค่ 13 กม.)

เนื่องจากคนขับที่บ้านเป็นพวกขับแบบลักษณะคุณลุง ใครจะเข้าแทรกอนุมัติให้หมด ให้ทางตลอด (ด่าประจำ) ไม่เคย speed อะไรกับเค้า ไม่มีความคิดจะเอารถไปสนามแข่ง ไปดริฟต์ ไม่เคยอยากจะซิ่ง ก็เลยคิดว่า LR ก็พอแน่นอน 4.4 วินาทีนี่ก็เร็วกว่า Snow (Mercedes C350e) ตั้ง 1.5 วินาที  (ในโลกของนักแข่งรถนี่ 0.1 วินาทีก็มีความหมาย ถ้าเร็วกว่า 1 วินาที ถือว่าเร็วกว่ามาก) ซื้อ LR มาก็ประหยัดเงินไปได้ 3-4 แสน

มีหลายคนเห็นซื้อ LR มาแล้วก็เอาไปติด carbon spoiler, อัพเกรดล้อไปเป็น 19" (อดได้ aerowheel cap) ซื้อ aluminum pedal pad มาติด (ถูกมาก 20 กว่าเหรียญ)  หนักข้อเข้า ก็มีคนยอมจ่าย USD 2,000 ซื้อ boost performance ซึ่งเป็นเรื่องของ software ล้วน ๆ ซึ่งถ้าจ่ายเงินตรงนี้แล้วจะทำให้ LR ขับได้เร็วขึ้นจาก 4.4 วินาที เหลือ 3.9 วินาที แต่ยังไงยังไงก็ยังไม่ได้ track mode 

คราวนี้เราก็มานั่งคิดว่าถ้าเราเอามาแล้วก็ไปติด carbon spoiler, อัพเกรดล้อเป็น 19" ไปติด aluminium pad ไปซื้อ boost performance software ไปเปลี่ยนเบรคเป็น performance brake ก็น่าจะหมดไปเหยียบ ๆ 2 แสน บนอีเบย์มีขายกระทั่งแผ่นพลาสติกสีแดงสำหรับเอาไปแปะกับเบรกรุ่นธรรมดาเดิมให้เป็นสีแดง ดูเหมือน performance brake ของ Tesla ไปซะงั้น คนเรานี่ ไม่ใช่แต่ก็ยังอยากจะทำให้ดูคล้าย เหมือนพวกซื้อซูซูกิมาแต่งให้เหมือนมินิ ซื้อโตโยต้าแต่แปะโลโก้ Lexus อยากเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่

จริง ๆ แล้วถ้ามาจากอารณ์ที่เคยจะถอย Taycan ก็ต้องบอกว่า PF ราคาต่ำกว่า 4 ล้านนี่ จัดได้แน่นอน คิดว่าถ้าถอย LR มา สุดท้ายก็คงควัก 2000 USD ซื้อ boost performance software อีกอยู่ดี ส่วน spoiler และอื่น ๆ นี่จะติดรึเปล่าเด้วค่อยคิด จังหวะนี้ ใช้เวลาตัดสินใจเกือบ 2 สัปดาห์ มันกลับไปกลับมาระหว่างอารมณ์และเหตุผล คือถ้าเอาเหตุผลมาไตร่ตรอง พินิจพิเคราะห์ดูลักษณะคนขับ การใช้งาน อายุคนขับ ความคุ้มค่าแล้ว มันไม่มีเหตุผลใด ๆ ให้ถอย PF เลย เปลืองเงินไปตั้ง 3-4 แสน แต่...

ไอ้เบรคสีแดงนี่มันสวยดีนะ ตอนนั้นยังไม่มีความรู้เรื่อง performance brake, unsprung weight, etc  รู้แต่ว่า เบรคสีแดงมันสวยดี รู้ทั้งรู้ว่าการขับเทสล่าปกติจะไม่ได้เหยียบเบรกเพราะเค้าใช้ regen ซึ่งจะทำให้รถหยุดกึ๊กได้โดยไม่ต้องเหยียบเบรค แต่ก็ยังอยาก...   เอาเหตุผลรบกับอารมณ์ รบไปรบมา 2 สัปดาห์ผ่านไป สรุปว่า เอา PF ละกัน ครั้งนี้เป็นอะไรที่เหตุผลไม่สามารถเอาชนะอารมณ์ได้ มันอยู่ในห้วงความคิดว่า ไหน ๆ ก็ไม่ได้ Taycan ละ ก็เอา PF มาละกัน ยังไง ๆ PF ก็เร็วกว่า Taycan 4S (แต่ยังสู้ TurboS ไม่ได้นะฮับ อันนั้น 11 ล้าน)

พอตัดสินใจด้วยอารมณ์เรียบร้อยว่าจะเอา PF ก็ติดปัญหาเรื่อง 20" uberturbine wheels พอ research ไปมาเราก็พบว่า ส่วนหนึ่งที่ range ของรุ่น PF มันเพิ่มขึ้นก็น่าจะมาจากล้อด้วย คือถ้าสังเกตล้อ aerowheel ล้อมาตรฐานของ standard range plus และ LR จะเห็นว่าไอ้แผ่น ๆ ที่แปะเข้าไปที่ล้อมันทำให้วิ่งได้ไกลขึ้น เข้าใจว่าการออกแบบของ uberturbine wheel ก็น่าจะเป็นลักษณะเดียวกันคือล้อมีลักษณะเป็นแผ่นกังหันกันลมเพิ่ม aerodynamic ตรงล้อ ลดแรงเสียดทาน  สิ่งที่เราสองคนไม่ชอบเกี่ยวกับ uberturbine wheel คือเรื่องความใหญ่ของล้อ 20 นิ้ว  ดูเหมือนว่านักแต่งรถ ชาวซิ่ง racing ทั้งหลายเค้าจะชอบล้อใหญ่ ล้อใหญ่แปลว่าแก้มยางแคบลงส่งผลให้ขับแล้วไม่นุ่มเหมือนล้อเล็กแก้มยางหนา  รถสโนว์ (Mercedes C350e) ที่ขับอยู่ใช้ล้อ 19 นิ้ว บังเอิญว่าช่วงล่างเค้าเป็นถุงลม มันก็เลยนุ่มนิ่ม แต่ Model 3 PF ช่วงล่างเป็น coil spring ไม่แน่ใจว่าขับล้อ 20" จะกระเทือนขนาดไหน อีกเรื่องที่กังวลคือล้อ 20" uberturbine wheels เป็นล้อแบบ aluminium cast (เด้วไว้เขียนอีกบล็อกเรื่องล้อ เรื่องมันยาว) มันก็จะไม่ค่อยแข็งแรง ฝรั่งผู้ใช้งานจริงบางคนเตือนว่าขับรถกระแทกหลุม pot hole แล้วล้อจะบุบเลย เจ๊ง  อีกอย่างล้อยิ่งใหญ่ยางยิ่งแพง หาร้านถอดก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ รถเทสล่าไม่มียางอะไหล่ให้ ยางก็ไม่ใช่ run flat ด้วย

ทำไงดีกับล้อ uberturbine ดันไม่อยากได้ อยากได้เบรค performance สีแดงแต่รังเกียจล้อที่มากับรถ

เรื่องนี้จบได้ภายใน 1 กริ๊ง  คุณ จ. ที่ร้าน W บอกว่าถ้าพี่ไม่อยากได้ 20" uberturbine wheels มาขายต่อให้หนู มีคนอยากได้ เด้วเค้ายินดีซื้อต่อทันทีเลย ประหลาดดีเนาะ ของนึงที่เราไม่อยากได้กลับมีคนอื่นอยากได้ เหมือนที่ฝรั่งเปรียบเปรยไว้ว่า someone's trash could be someone's treasure  เด้วไว้เขียนอีกบล็อกนึงเรื่องยางเรื่องล้อแล้วกันนะ

เรื่องสุดท้ายหลังจากตัดสินใจว่าจะเอา PF ก็คือจะซื้อกับใคร  จริง ๆ แล้วสองเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน คือมันเป็นการตัดสินใจร่วมกันอย่างหนึ่ง

เราไม่มีโอกาสไปถามรุ่นพี่ที่ทำงานที่เค้าถอยเทสล่ามาเมื่อปีก่อนว่าคุณพี่ซื้อจากไหนอะคับ แต่บังเอิญว่าคนที่รู้จักเค้าก็จะเตือนว่าอย่าเห็นแก่ราคาถูกๆ โดยเฉพาะที่ในปัจจุบันมีหลายเจ้าเอาเทสล่าโมเดล 3 เข้ามาแล้วก็หั่นราคากันแหลกราญ  เค้าแนะนำว่าให้ซื้อกับเจ้าที่ซ่อมได้ดูแลหลังขายได้แน่นอนซึ่งเค้าแนะนำอยู่แค่สองเจ้า คือ W (คุณ จ.) กับอีกเจ้าอยู่ตรงรองเมือง ชื่อ คุณ ด. ซึ่งเจ้าที่รองเมืองพอโทรไปถามเค้าบอกว่าตอนนี้เค้าไม่ขาย Model 3 เค้าขายแต่ Model X เท่านั้นและนำเข้าจากฮ่องกง   ส่วนอีกคนที่เราไม่รู้จักแต่ดู utube เค้าชื่อคุณต้น เค้าถอยจากร้านแมงมุม ส่วนร้าน AMG เราก็โทรไปคุยเค้าแจ้งว่าเค้าจะมีรถ Model 3 สีขาว/ดำ เข้ามาล็อตใหญ่ปลายเดือนม.ค. เราก็บอกเค้าว่าถ้าได้รถเข้ามาแล้วให้แจ้งเราด้วย จนถึงป่านนี้ (เดือนก.พ. จะวาเลนไทน์แล้ว) ก็ยังไม่ได้ยินอะไร เราก็เฉย ๆ ซะ เพราะวางมัดจำกะคนอื่นไปแล้ว

เราเคยไปร้านแมงมุมทั้งที่สาขาใหญ่ตรงบางนาและที่ประดิษฐ์มนูธรรม (ไปลองขับ)  เค้าก็ดูเป็นร้านใหญ่ หรูหรา ดูเหมือนจะขาย Porsche เยอะ แต่ก็ขายยี่ห้ออื่นด้วย เพื่อนในรุ่นอีกคนที่เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเค้าก็ถอย Porsche จากร้านแมงมุม แรก ๆ ก็เห็นบอกว่าโอเค ตอนหลัง ๆ ที่มาได้ยินว่าเราเล็ง ๆ Taycan อยู่ สุดท้ายนางก็บอกเราว่า ถ้าเธอจะถอย ไปซื้อ AAS ละกัน อ้าวเป็นงั้นไป 

บริการหลังขายนี่คงเป็นเรื่องท่ีต้องดูกันยาว ๆ เนอะ รู้จักกันแปร๊บเดียว ซื้อคันเดียวคงไม่สามารถจะวัดอะไรได้  อีกร้านที่เราไปคุยด้วยคือ W อยู่ตรงพระราม 9 ตอนไป W ก็ตกใจเล็กน้อยเนื่องที่โชว์รูมดูไม่แพงอย่างยิ่ง ออกแนวจะโทรม ๆ ด้วยซ้ำ  ราคาเค้าก็เท่าร้านแมงมุม ส่วนเจ้าอื่น ๆ ก็ดู ๆ เว็บไซต์เค้า ดูเฟซเค้าอะไรเงี้ย ร้านอื่น ๆ เค้าก็จะโฆษณาสารพัด เป็นต้นว่า เราเป็นอันดับหนึ่งของผู้นำเข้าอิสระ (ใครจัดอันดับให้ฟระ) เราขายถูกที่สุด เราดูแลหลังขายได้แน่นอน  ฯลฯ  ส่วนสโลแกนของ W คือ เราจะดูแลท่านเหมือนคนในครอบครัว

ตอนแรกเราก็ชวนคนขับที่บ้านให้ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ ช๊อป ให้ไปดูร้าน AMG ซึ่งอยู่ตรงวิภาวดีมั่ง ไปดูอีกร้านนึงที่โฆษณาว่าเป็นอับดับหนึ่ง (ขอเรียกว่าร้านจักรพรรดิ์) ซึ่งอยู่ตรงกาญจนาภิเษกนี้เอง ถือว่าใกล้บ้านที่สุดแล้ว  แต่เค้าก็ไม่อยากไป เค้าดูจะสบายใจกับเจ้า W ที่โฆษณาว่าจะดูแลให้เหมือนคนในครอบครัว คุณ จ. ลูกสาวเถ้าแก่บอกว่าที่ดูโทรม ๆ เนี่ยก็เพราะเป็นธุรกิจในครอบครัวแต่เค้ามั่นใจว่าเค้าเป็นผู้นำเข้า Tesla มาเป็นสิบปีแล้ว ตั้งแต่สมัย Model S, X แล้วก็ 3 เค้ามั่นใจเหลือเกินว่าเค้าซ่อมได้แน่นอน

ตัววัดอีกอย่างนึงคือเรื่อง e-sim เนื่องจาก Model 3 เค้าไม่ได้ใช้งาน physical sim แต่เป็น e-sim มาจากโรงงาน โดยที่ถาดสำหรับใส่ physical sim ก็ยังมีอยู่ แต่มันอยู่ตรง CBU เรียกว่าต้องรื้อ console ออกมาที่จะเข้าถึงได้ เท่าที่ทราบตอนนี้มีแต่ร้านแมงมุม กับร้าน W เท่านั้นที่ทำได้  ร้าน AMG เค้ายอมรับ (ตอนเดือน ม.ค. 64) ว่าเค้ายังทำไม่ได้ ส่วนร้านจักรพรรดิ์นี่ไม่เคยโทรไปคุยเลย กลัวความเป็นอันดับหนึ่งของเค้า

คุณ จ. ที่ร้าน W บอกว่าถ้าลูกค้าที่ซื้อมาจากที่อื่นมาให้เค้าทำ เค้าเรียกเก็บค่าทำ e-sim 35,000 บาท  เราลูบอกด้วยความตกใจ ตกใจว่าทำไมค่าแรงแพงจัง  ที่เหมาเข่งว่าเป็นค่าแรงเพราะเข้าใจว่าเค้าไม่ได้ลงทุนอะไร เพราะลูกค้าต้องนำซิม (macro sim) มาเอง คงต้องเป็นซิมที่จ่ายรายเดือน เพราะจะไปแกะเข้าแกะออกบ่อย ๆ คงทำไม่ได้  เราเข้าใจว่าส่วนของผู้ให้บริการไม่ได้มีค่าอะไหล่เพิ่มเติม อันนี้มารู้ความจริงที่หลัง (คุณ จ. เล่าให้ฟังเอง) ว่าที่แพงขนาดนี้ไม่ใช่เพราะคิดค่าแรงให้ช่างที่ W อย่างเดียว เพราะช่างที่ W มีหน้าที่แกะคอนโซลเพื่อเข้าถึงถาดซิมแล้วก็เสียบซิมเข้าไป แต่มันจะไม่เวิ๊คจนกว่าเค้าจะติดต่อไปที่ผู้มีความสามารถอีกท่านที่อยู่ต่างประเทศ (ตรงนี้เราจะเดาว่าเป็น russian hacker จะถูกผิดอย่างไรก็ขออภัย) ทำการ deactivate e-sim ที่มากับรถ แล้วรถถึงจะใช้ sim ปกติที่เสียบเข้าไปของเมืองไทยได้  ฟังดูแล้วกระบวนการนี้ มันน่าจะทำให้ void warranty ของ tesla รึเปล่า เราก็ไม่แน่ใจ แต่คุณจ.บอกว่าผู้เช่ียวชาย ตปท. คนนี้แหละ เค้าชาร์จ 1000 USD สำหรับค่าบริการแต่ละคัน เป็นที่มาของ 35,000 บาท

เราก็แอบไปดูๆ youtube แกะ CBU ดูช่องใส่ซิม ดู ๆ แล้วก็คิดว่าจริง ๆ ก็ไม่น่าจะยากอะไรมาก โอกาสรถพัง 50:50 สำหรับคนไม่เคยทำ เอาเป็นว่า ให้เค้าทำให้ล่ะดีแล้ว

ถ้าดูแต่เรื่องราคาก็จะเห็นว่าร้าน AMG น่าสนใจที่สุดโดยเฉพาะรุ่น LR ที่สำคัญคือไม่ต้องรอเพราะเค้าจะมีรถเข้ามาภายในปลายเดือนม.ค.นี้ แต่มีแค่สีดำ-ขาวเท่านั้น ร้านแมงมุมนี่ไม่ได้ไปคุยด้วยเลย มั่นใจว่าเค้าคงซ่อมตัวถังซ่อมสีให้ได้แน่นอน แต่ซ่อมเครื่อง ซ่อมระบบได้รึเปล่า ไม่ค่อยแน่ใจ  คนที่บ้านดูจะเชื่อว่า W จะซ่อมได้ สุดท้ายเค้าก็เอาราคาที่ได้จาก AMG ไปคุยกับคุณ จ. ร้าน W ซึ่งเราก็กะว่าถ้าคุณ จ. ไม่ยอมลงราคามาให้ คงต้องเอา LR อดได้ PF

ตอนที่โทรไปคุยกับคุณ จ. ก็ขอจัดของแถม ไม่ต้องลดก็ได้ ดังนี้ ขอประกัน 5 ปี ขอฟรีประกันภัยชั้น 1 ปีแรก ขอ e-sim ขอติดฟิล์มกันรอย ติดฟิล์มกันแสง

คำตอบคือ No ค่าประกันภัยรถเทสล่าปีแรก ราคาประมาณแสน (ตกใจอีกแระ) ไม่น่าเชื่อ ค่า e-sim นี่รู้ละ คือ 35,000 ส่วนติดฟิล์มกันรอยนี่มีหลายราคา เหยียบแสนก็มี ฟิล์มกันแสงก็หลายราคาแต่หลักหมื่น ค่าประกันรถนี่ประเมินค่ายาก เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของความเสี่ยง เนื่องจากเราเองก็ไม่แน่ใจ เรื่องดวงนี่มันไว้ใจไม่ได้ สมัย Mercedes ตอนเราซื้อ warranty เพิ่มอีก 2 ปี เค้าก็คิด 1.1 แสน เราคิดว่าขอเพิ่ม warranty เป็น 5 ปี เค้าน่าจะให้ได้ แต่สรุปเค้าให้ไม่ได้ ของแถมราคารวมกันสองแสนกว่าเกือบสามแสนขึ้นกับตีมูลค่าการประกันรถเพิ่มขนาดไหน (แอบอิจฉาพวก BMW มี BSI 6 ปี) สมัย Hyundai ไปตีตลาด USA เคยให้ประกันยาวนานถึง 8 ปี

ทุกๆ ครั้งที่คนขับเค้าต่อรองราคาหรือของแถม คุณ จ. จะต้องตอบว่าเด้วขอเอาเค้าที่ประชุมก่อน เราก็สงสัยว่าไหนว่าบริหารงานกันแบบครอบครัว ดูแลแบบครอบครัว ไปประชุมอะไรนักหนา คนขับตอบว่าเค้าคงไปถามคุณแม่เค้ามั๊ง

ไลน์ไปไลน์มา โทรไปโทรมา จู่ ๆ ก็มาบอกเราว่าคุณ จ. เค้ามาเซ็นสัญญาวางเงินมัดจำ 5 แสนแล้วนะ ตกลงจอง Model 3 PF สีขาว pearl white เบาะดำ ราคา 3.99 แถม Tesla wall charger (7.5m cable), key fob, adapter, e-Sim conversion, 3 yr warranty or 50,000 km, free autofrunk installation + foot sensor installation.

สัญญานี้เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ม.ค. 2564 เค้าแจ้งว่าน่าจะได้รถประมาณเดือน พ.ค. - มิ.ย.

รอไป อย่างน้อยก็ได้เริ่มปฏิสนธิแล้ว  ตื่นเต้นนอนไม่หลับไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์




 




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2564
0 comments
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2564 14:59:35 น.
Counter : 1778 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space