space
space
space
<<
กันยายน 2564
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
space
space
6 กันยายน 2564
space
space
space

ประสบการณ์ใช้งาน Tesla model 3 Performance 1 เดือน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าน้องโบลต์อายุครบ 1 เดือนบริบูรณ์แล้ว วันนี้ก็เลยอยากจะเขียนบอกเล่าประสบการณ์ช่วงนี้ ช่วงเบอร์ห้า เพราะความรู้สึกอันนี้ มันคงจะค่อย ๆ เลือนลางหายไป จนจำไม่ได้เมื่อระยะเบอร์ห้าหมดไป

ถึงจะอายุครบ 1 เดือน แต่น้องโบลต์เราไปนอนอยู่ที่ CTS เป็นเวลา 8 วันเต็มไปไม่ได้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม ที่เหลือของเดือนก็เป็นความทรงจำที่ยังมีคุณค่าน่าเขียนบันทึกไว้  ตอนนี้ระยะทางน้องโบลต์ก็วิ่งไปแล้ว 606.98 km ก็ต้องขอบคุณ TeslaFi ที่ทำให้ทราบข้อมูลหลาย ๆ อย่าง จะขออนุญาตจำแนกประสบการณ์ใช้งาน 1 เดือนเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1. กระจกแตก ดังที่ได้กล่าวไปในบล็อกก่อนหน้านี้ ความซนของการไปแงะเปลี่ยน puddle light ประตูด้านหน้า ด้านที่เรานั่ง ส่งผลให้กระจกไม่ยอมเลื่อนลงเวลาเปิดปิดประตู ตามมาด้วยการปิดประตูแล้วกระจกกระแทกกับขอบ matte black ทำให้กระจกร้าว ขณะนี้ก็ยังร้าวอยู่และรอยร้าวได้วิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ วันละ 0-5 มม. อีกไม่นานก็คงจะวิ่งถึงขอบด้านล่าง  หลังจากที่เราพยายามค้นหาอะไหล่ดังกล่าวและก็หาพบ แต่เมื่อเปรียบเทียบราคา ค่าขนส่ง ค่าภาษีนำเข้า สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เป็นไปตามระบบ คือให้ทางบริษัท W เค้าดำเนินการตามในบิลที่เคยโชว์ให้ดู  เค้าขอค่ามัดจำอะไหล่ 50% ก็จ่ายไปแล้ว คาดว่าภายในเดือนหน้า ก็น่าจะได้ซ่อม คงเสียเวลาประมาณ 3 วัน โชคดียังมีน้องสโนว์ (Mercedes 350e) อยู่  ทุกวันนี้เวลาจะปิดประตูทุกครั้งก็เป็นโรคจิตผวาว่าต้องแอบดูว่ากระจกเค้ารูดลงมานิดนึงรึยังก่อนจะปิด ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีเพราะรถทุกคันที่มีก่อนหน้านี้เค้าประตูมีขอบกับหมด ไม่ใช่กระจกเปลือย

2. Frunk ทำงานไม่สมบรูณ์แบบ จริง ๆ ยังไม่เคยเล่าว่าเราซื้อ aftermaket accessories มาติด (ให้ทางวสุธาติดตั้งให้) คือ Hansshow autofrunk คืออุปกรณ์ที่ติดเข้าไปแล้วจะสามารถกดเปิดกระโปรงหน้าได้แบบที่เราไม่ต้องยก รวมถึงตอนปิด เค้าก็จะปิดได้เอง ดูแล้วเท่ห์ดี แต่...เมื่อประมาณ 1 สัปดาห์หลังกลับมาจาก CTS มีเหตุการณ์ว่า Frunk กดเปิดได้ปกติ แต่ตอนปิดเค้าปิดลงไม่สนิท ต้องออกแรงกดช่วย ซึ่งตอนแรก ๆ เค้าไม่เป็น เราก็พยายามจะไปหาวิธีปรับ ต้องไปดูยูปทูปซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น Hansshow autofrunk รุ่นเก่า หรือเป็นที่เค้าถ่ายไว้กับ Model 3 รุ่นก่อน  ซึ่งไม่เหมือนกับของเราทีเดียว ท้ายสุด ถึงกับต้องถอดแกะกลไกที่เกี่ยวตะขอข้างหน้าออกมา ด้วยความวิตกกังวล เหงื่อโง่ไหลริน อันนี้เพิ่งจะสด ๆ มาจากเหตุการณ์กระจกแตก ทำให้เรามีไม่มั่นใจ ท้ายที่สุด ปรับอะไรก็ไม่สำเร็จ เห็นแต่มีรอยสนิมกำลังจะกินตรงลวดสลิงที่เกี่ยวกับลูกล้อ ก็เอาจารบีป้ายเข้าไปเฉย ๆ เอาน้ำยาซิลิโคนหล่อลื่นฉีด ๆ เข้าไป ตอนพยายามจะประกอบกลับเข้าไปก็ติดขัด คิดว่าทำเจ๊งอีกแล้วมัง ท้ายสุดเอากลับคืนเข้าไปได้นี่ดีใจมาก ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าอาการจะหาย เพราะไม่ได้ไปปรับอะไรใหม่ชัดเจน  ปรากฎมันหายด้วยแฮะ มันมารู้ตอนที่เรา DM ไปหา Hansshow autopart เค้า แล้วเค้าให้ถ่ายวิดิโอส่ง พอจะถ่ายวิดิโอ เค้าก็ปิดลงสนิทดีหน้าตาเฉย  หลังจากนั้นจะลองกี่ทีกี่ที ก็ปิดสนิททุกครั้ง (กวนประสาทดี) ก็สรุปว่าหายแระ ไม่ทันรู้ตัว   เมื่อสัปดาห์ก่อนฝนตก ไปซื้อของจะเปิด frunk ใส่ของ ปรากฎเค้าเปิดไม่ขึ้น เวลาเปิดไม่ขึ้นนี่ถือว่าน่ากลัวมากนะ เพราะถ้าต้องซ่อมบำรุงอะไรขึ้นมาตรงห้องเครื่องก็จะทำไม่ได้ อันนี้ก็เป็นอุทธาหรณ์สำหรับคนชอบม็อด การเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่เทสล่าไม่ได้รองรับ อาจจะตามมาซึ่งปัญหา   สรุปว่าการใช้งาน frunk ก็ไม่สะดวกเหมือนฝากระโปรงท้ายรถแบบปกติ เนื่องจากเค้าไม่มีปุ่มให้กดที่รถ ไม่มี foot sensor จะเปิดก็ต้องกดจากแอพหรือกดจากข้างในรถ แถมยังมีปรากฎการณ์เปิดได้มั่ง ไม่ได้มั่ง ปิดได้มั่ง ปิดไม่สนิทมั่ง เอาเป็นว่าตอนนี้ frunk เอาไว้ใส่ของที่ไม่คิดว่าจะได้ใช้บ่อย ๆ  ส่วนเรื่องเปิด-ปิดมีปัญหาจะไปโทษเทสล่าก็ไม่ได้อีกเพราะดันไปติด thrid party accessories เอง เด้วคงต้องเขียนบล็อกเรื่อง accessories ตะหาก

3. จากข้อ 1 และ 2 ทำให้เกิดข้อคิดว่าทำไมเราถึงไป modify รถเค้าซะนักหนานะ  เทียบกับสโนว์  แทบจะไม่เคยไปยุ่งอะไรกับเค้า ไม่เคยคิดจะซื้อหานู่นนี่นั่นมาติด ของแพง ๆ เวลามันเจ๊งขึ้นมา (แบบกระจกแตกข้อ 1) ก็เสียดาย และก็คงไม่กล้า แต่กับเทสล่านี่ ทำนู่นทำนี่ ติดนู่นนี่เต็มไปหมด หรือเป็นเพราะรถมันราบเรียบไม่มีอะไร เป็นปัจจัยให้ต้องไปซื้อนู่นนี่มาติดมาแปะ  หรือเป็นเพราะมันมี accessories ขายให้ดัดแปลงเยอะ ก็เลยทำ หรือมันว่าง อันนี้ก็ไม่แน่ใจ คงจะดูยูทุปเยอะเกินไป

4. ล้อ 20 inch Uberturbine wheels + Pirelli tires ทั้งเซ็ทมีเจ้าของใหม่สอยไปแล้ว บอกตามตรงว่าพอขายออก กลับรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะมันเป็น original parts ของน้องโบลต์เค้าซึ่งมันจะหาซื้อใหม่ไม่ได้ง่าย ๆ คุณ จ. ที่ W บอกให้เรียกราคาที่แสนสอง (แค่ยาง Pirelli 20 นิ้ว เส้นเดียว ก็เป็นหมื่นแล้วจ้า) แต่ไม่มีใครเอา คนมาติดต่อซื้อเค้าแจ้งว่าภรรยาเค้าอนุมัติให้แค่แสนเดียว หลังจากรอมาอีก 1 สัปดาห์ ไม่มีใครมาแจ้งอยากได้อีก คนที่บ้านเราก็เลยยอมปล่อย เพราะช่วงนี้ก็เค้าค่อนข้างกระเป๋าตังค์แห้ง เราก็เสียดาย แต่เก็บไว้ก็คงจะไม่ได้ทำอะไร สรุปว่าขายไปที่ 1 แสนถ้วน จ่ายค่านายหน้าให้เจ้าของร้านยางหน้าบ้านไป 2 พัน เค้าไม่ได้ร้องขอ แต่อยากให้เค้าเอง จบไป 1 เรื่อง

5. ดูแลน้องโบลต์ก็เหมือนเลี้ยงเด็กน้อย 1 คน เพราะต้องคอยป้อนไฟให้เค้ารับประทานเค้ากินไฟเป็นหลัก กินน้ำบ้าง (น้ำฉีดล้างกระจก) ส่วนใหญ่น้องโบลต์จะกินไฟช่วงเช้ามืด เนื่องจากตอนนี้เราตั้งระดับถ่านไว้แค่ 60% แล้ววัน ๆ ก็วิ่งอยู่ไม่เกิน 10-20 โล เนื่องจากเราสงสัยว่าการชาร์จเร็วจะทำให้แบตเสื่อมง่ายกว่าชาร์จช้า ๆ รึเปล่า เราก็เลยตั้งกระแสไฟแค่ 10 แอมป์ แล้วก็บอกเค้าว่าเราว่าช่วยชาร์จ(กิน) ให้หมดเรียบร้อยภายใน 6.00 น.ก่อนเราออกจากบ้าน เค้าก็เลยจะเริ่มกินประมาณตีสี่ วันไหนวิ่งเยอะหน่อยก็อาจจะเริ่มกินประมาณตี 1  เค้าอยากจะกิน(ไฟ)กี่โมงก็ปล่อยเค้าไป เราคอยแอบดูอย่างเดียว เท่าที่ผ่านมาก็ดูดี ใน TeslaFi เค้าจะรายงาน charging efficiency ด้วย เราเคยได้ดีสุดถึง 100% ตอนวันแรก ๆ ที่ใช้ universal mobile connector (UMC) ที่มากับรถซึ่งเค้าชาร์จที่ 10 A เหมือนกัน แต่พอเปลี่ยนเป็นเครื่องใหญ่ ดูเหมือนว่าถ้าชาร์จที่ 32A จะได้ efficiency ลดลง ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็เลยคาไว้ที่ 10A เป็นหลัก คิดว่าเด้วถ้ามีเวลาจะลองไปใช้ UMC ดูอีกทีว่าได้ charging efficiency ดีกว่าเครื่องใหญ่จริงรึเปล่า  นอกจากน้องโบลต์เค้ากิน (ไฟ) เวลาที่เหลือเค้าจะนอน เวลาจอดไว้เฉย ๆ ถ้าไม่เปิดโหมดที่ต้องใช้ไฟหรือรถเค้าไม่มีธุระต้องใช้ไฟ เค้าก็จะหลับ การหลับก็จะเป็นการประหยัดพลังงาน ตอนนี้เราก็พยายามเมกชัวร์ให้น้องโบลต์หลับให้มากที่สุด รู้ได้ยังไงว่าหลับ ก็ต้องอาศัยข้อมูลจาก TeslaFi อันนี้ก็กลายเป็นประเด็นอีก เพราะการที่ TeslaFi เค้าก็ไม่รู้ชัดเจนว่าเมื่อไหร่รถจะหลับจนกระทั่งเค้า ping รถแล้วมันไม่ตอบสนอง ดังนั้นการตั้งค่าใน TeslaFi ก็มีความสำคัญเพราะถ้า TeslaFi ไป ping รถบ่อย ๆ รถมันก็จะหลับไม่ได้เพราะโดนปลุกตลอดเวลา มันเหมือนกับเราเป็นห่วงคนข้าง ๆ ว่าเค้าหลับได้ไหมแล้วคอยสะกิดถามเค้าทุกนาทีว่า "ที่รัก เธอหลับรึยังจ๊ะ" ประมาณนั้น เด้วไว้จะเขียนบล็อกเรื่อง TeslaFi ตะหากนะคับ

6. Driving efficiency เป็นเลิศ  ต้องยอมรับว่าอันนี้ยังไม่มีใครทำสู้ Tesla ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกแบบรถ น้ำหนักรถ drag coefficiency, power train, regeneration คุณจะเชื่อหรือไม่หากรายงานว่าน้องโบลต์เราสามารถวิ่งระยะทาง 6.37 km (จากบ้านมาที่ทำงาน) ใช้ไฟฟ้าเพียงแค่ 0.93 kWh (อันนี้เป็นข้อมูลรายงานจาก TeslaFi) ขนาดพกมอเตอร์มาสองตัว ยังแอบคิดว่าถ้าตอนนั้นใช้รุ่น standard range+ และมีล้อ aerowheels 18 นิ้ว จะยิ่งประหยัดขนาดไหน  ถ้าคิดค่าไฟฟ้ายูนิตละ 4 บาท ก็เท่ากับเสียค่าพลังงานแค่ 3.71 บาท เท่านั้น ถ้าเทียบกับสโนว์ อันนี้ก็ถือว่าประหยัดกันเกินครึ่งต่อครึ่งเพราะถ้าเราวิ่งสโนว์มาจากบ้านเหมือนกัน แบตจาก 100% เหลือแค่ประมาณ 60% (ตอนรถมาใหม่ ๆ เคยได้ 70%) รถติด ๆ หน่อยเคยเหลือ 50% ก็ยังมี หรือพูดง่าย ๆ ว่าสโนว์จะใช้แบตประมาณ 30-40% ในการวิ่งระยะ 6.37 กม. โดยที่แบตสโนว์ประมาณ 6 ยูนิต หรือพูดง่าย ๆ ก็คือระยะทางที่เท่า ๆ กัน โบลต์ใช้ไฟ 0.93 ยูนิต สโนว์จะใช้ไฟประมาณ 2-3 ยูนิต  อันนี้จะไปต่อว่าสโนว์มากก็คงไม่ดีเพราะเทคโนโลยีเก่ากว่ากัน 6 ปี แถมสโนว์แบกเครื่องยนต์ไปไหนมาไหนตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่แทบจะไม่ได้ใช้เลย  ปัญหาของโบลต์เรื่องการใช้พลังงานไม่ได้อยู่ที่การขับขี่ กลับไปอยู่ที่เวลาน้องโบลต์เค้าจอดเฉย ๆ และแอบกินไฟ หรือที่เรียกว่า phantom drain  กลายเป็นว่าในวันวันนึง น้องโบลต์ใช้ไฟในการวิ่งรถไป-กลับประมาณไม่ถึง 2 ยูนิตดี แต่ที่เหลือ 2-3 ยูนิตหายไปเฉย ๆ กับการจอด ดังนั้นพอกลับบ้านก็มักจะพบว่าเคยเริ่มไว้ 60% กลับถึงบ้านเหลือ 55% (ถ้าวิ่งไป-กลับรอบเดียว)  


รูปนี้แค๊ปหน้าจอมาจาก TeslaFi ของจริงเค้าละเอียดยิบกว่านี้ อันนี้ตัดมาเฉพาะตรงส่วนที่ขับขี่ จากบ้านเรามาที่ทำงาน ระยะทาง 6.37 กม. วิ่ง 13 นาทีใช้แบตไป 2% หรือคิดเป็น 0.93 kWh (0.93 ยูนิต) คิดเป็นค่าไฟ 3.71 บาท คนขับเราขับได้ประหยัดไฟดีมากคือ 93% efficiency พอมาถึงก็จอดรถไว้ จะเห็นว่าหลังจอดประมาณ 1 ชม. รถก็นอน (จริง ๆ หลับก่อนนั้นอีก) พอดีวันนี้กลับดึก พอถึง 7:41 PM หายไป 3%  หายไปมากกว่าขับซะอีก งงเลย  เรื่อง phantom drain เด้วขอสงวนไว้กล่าวถึงตอนเขียนเรื่อง TeslaFi นะฮับ

7. การขับขี่ ต้องถามคนขับรถเราดู เพราะจนถึงป่านนี้ เรายังไม่เคยขับน้องโบลต์เลย เคยแต่ขึ้นไปนั่งที่นั่งคนขับ แล้วซ้อมขับ (เหยียบเบรก) ซ้อมขยับพวงมาลัย ปรับระยะแล้วตั้ง driver profile เป็นชื่อเรา แต่ก็ไม่เคยขับ แม้แต่ถอยเข้าถอยออกก็ไม่เคย  แต่คนขับเราเค้ายืนยันว่าน้องโบลต์ขับดีกว่าสโนว์ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเร่ง (ชัวร์สิ) การเข้าโค้ง การเบรก ช่วงล่าง ทุกอย่าง   ในฐานะคนนั่งเรารู้สึกได้แค่ว่าเวลาผ่านที่ขรุขระน้องโบลต์เค้าสะเทือนน้อยกว่าสโนว์ (น่าจะเป็นผลจากยาง+ล้อ)  คนขับเราบอกว่าน้องโบลต์เค้าจะเกาะถนนดีกว่า (คงเป็นผลจากแบตเตอรี่หนัก ๆ ที่อยู่ด้านล่างใต้ท้องรถ) เวลาเข้าโค้งไม่ต้องกลัวปลิว เค้าบอกว่าตอนขับสโนว์ เวลาเลี้ยวเร็ว ๆ หน่อย ถ้าไม่ใช่ sport mode มันจะรู้สึกเหมือนรถจะหลุด ๆ ฉีกโค้ง  พอเราถามคำถามเด็ดไปว่าแล้วมีอะไรที่สโนว์ดีกว่ามั่ง เค้าก็นึกอยู่พักนึงแล้วก็ตอบว่า จะเป็นเรื่องการบังคับรถเข้าจอด เนื่องจากดูเหมือนว่าสโนว์จะมี turning circle แคบกว่า (11.22 เมตร) ในขณะที่โบลต์กว้างกว่านิดนึง (11.8 เมตร) ระยะต่างกันนิดหน่อยแต่คนขับเค้าบอกว่าสโนว์ถอยเข้าซอย เข้าช่องแคบ ๆ ได้ดีกว่าเวลาหักพวงมาลัย ถ้าลงมาดูข้างล่างจะเห็นล้อเค้าจะบิดองศามากกว่าน้องโบลต์ อีกอันที่มีผลต่อเค้ามากก็คือการที่สโนว์มีการแสดงภาพรถแบบ bird eye view ถึงน้องโบลต์จะมีกล้องรอบตัว 8 อัน (กล้องในรถ 1 อันตะหาก) แต่เค้าไม่ทำซอฟท์แวร์ให้สร้างภาพจำลองแบบ bird eye view ให้

8. HVAC, infotainment  ใคร ๆ ก็บอกว่าลำโพงที่มากับ tesla นั้นดีนักหนา แต่สำหรับเรา เราว่าคุณภาพเสียงยังสู้ Burmester ของน้องสโนว์ไม่ได้ ที่จะเหนือกว่าก็น่าจะเป็น spotify account ที่มาฟรีกับ premium connectivity (ฟรีปีแรก หลังจากนั้นเดือนละ 9.99$)  นอกจากนี้ในเทสล่ายังมี podcast, internet radio ซึ่งคุณภาพเสียงอาจจะดีกว่าวิทยุปกติโดยเฉพาะกรณีมุดลงที่จอดรถใต้ดินที่อับสัญญาณวิทยุหรือไปต่างจังหวัดไกล ๆ (ยังไม่เคยไป) อื่น ๆ ในเทสล่ายังมี Caraoke ซึ่งก็บันเทิงดีใช้ได้ ปัญหาสำหรับ spotify ณ ตอนนี้คือยังไม่สามารถแสดงชื่อเพลงภาษาไทยได้ รวมถึงการคีย์ค้นหาศิลปินหรือเพลงก็คีย์เป็นภาษาไทยไม่ได้เพราะระบบปฏิบัติการของเทสล่ายังไม่ได้รองรับภาษาไทยจนกว่าวันที่เทสล่าจะมาขายเมืองไทย  นอกจากนี้ navigation ก็ใช้ไม่ได้ อันนี้รับทราบมาตั้งแต่ก่อนซื้อ ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่เพราะตอนสมัยสโนว์ก็กาง iPad เปิด map ตะหากอยู่แล้วเนื่องจาก navigation ที่มากับรถช้าเป็นเต่า แถบเวลารถวิ่งอยู่ก็ไม่ให้เราค้นหาอะไร น่ารำคาญ แต่ใช้ได้มันก็จะดีมาก ๆ เลย   อีกอันนึงที่ด้อยกว่าสโนว์ชัดเจนคือเรื่องแอร์  ทุกวันนี้เราต้องปรับแอร์ประมาณ 21-22 C ทั้ง ๆ ที่เราค่อนข้างขี้หนาว ถ้าปรับอุณหภูมิสูงกว่านี้จะมีลมอุ่น ๆ ออกมา อันนี้ด้อยกว่าสโนว์มาก สมัยอยู่บนสโนว์เปิดแค่ 25-27 ด้วยซ้ำ ก็เย็นเฉียบ (สำหรับเรา แต่คนขับเราเค้าชอบ 22-23, น้องอุ๊ที่ทำงานอีกคน นางก็ขับตราดาว อุ๊บอกว่าของอุ๊เหรอพี่ ไม่เคยเปิดสูงกว่า 18 C)  ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นรถที่ทำไว้สำหรับขายประเทศอังกฤษรึเปล่า พอมาอยู่เมืองไทยเค้าเลยงง ๆ  และเท่าที่ทราบก็คือไส้กรองอากาศยังไม่ใช่ระดับ HEPA filter หรือมี Bio-weapon defense เหมือนใน model S/X ซึ่งเรากำลังจะรอเข้าช่วงเดือนฝุ่นมาแล้วดูอีกที  ได้เตรียมการไว้แล้วโดยการซื้อ aftermarket compatible HEPA filter มาเตรียมรอไว้แระ  ในคู่มือรถเทสล่าบอกว่าไส้กรองอากาศให้เปลี่ยนทุก 2 ปี  แหวะ อยู่กทม.คุณภาพอากาศอย่างเลว สมัยสโนว์เค้าเปลี่ยนให้ทุกปีแล้วก็เอาไส้กรองอากาศอันเก่าคืนกลับมาให้เราทุกที เปิดออกมาดู ดำปิ๊ดปี๋  เรียกว่าโคตรดีใจที่ไอ้ของเหล่านี้มันไม่เข้าไปอยู่ในปอดเรา ประเทศไทยเรา นับว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยมากนะ ถึงไม่ได้มีการรณรงค์หรือบังคับใช้กฎหมายอะไรเพื่อควบคุมสิ่งแวดล้อมให้มันดีเท่าไหร่ 

9. ล้างรถ ในช่วง 1 เดือน พวกเราก็ได้มีโอกาสอาบน้ำให้น้องโบลต์ 1 ครั้ง ทั้ง ๆ ที่สัญญากับทาง CTS ว่าจะไม่ล้างก่อนเอากลับไปให้เค้าจบงาน 1 เดือน (เค้าขอเก็บงานหลังแปะ PPF 1 เดือน สั่งให้เราจอดตากแดดเยอะ ๆ ปรากฎว่าไม่มีแดด มีแต่ฝน สรุปว่าน้องโบลต์ขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง เพราะแทบจะไม่ได้เห็นแดดเลย จอดในร่มตลอดเวลา) ปัญหาของน้องโบลต์คือความที่เค้ามีช่องผ่านอากาศตรงกันชนด้านหน้าเพื่อผ่านลมมาระบายความร้อนให้เบรกล้อหน้า (ดีไซน์เดียวกับ Porsche taycan น่ะ) ปรากฎว่าไอ้ช่องนี้ มันทำให้สีข้างประตูด้านข้างเค้าจะเปรอะเปื้อนเป็นพิเศษ เวลาช่วงฝนตกเยอะ ๆ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีในสโนว์  สำหรับเราโบลต์ล้างง่ายกว่าตรงที่ รถมันเตี้ยกว่า (ไม่เคยวัด แต่รู้สึกว่าเตี้ยกว่า) ส่วนกระโปรงหน้าก็สั้นกว่า (สั้นกว่าชัดเจน) เอื้อมถึงง่ายกว่า ที่ประหลาดก็คือก้านปัดน้ำฝนของโบลต์ มันจะไม่สามารถจับง้างออกมาได้เหมือนรถคันอื่น ๆ (เวลาจอดตากแดด คนชอบง้างออกมา กลัวยางละลายติดกระจกมัง) ของเทสล่าง้างไม่ออก เวลาจะล้างรถ เข้าไปกดโหมด service ที่รถว่า wiper service ก้านปัดน้ำฝนเค้าจะดีดยกขึ้นมาจากระดับปกติเฉย ๆ   ปัญหาอีกอย่างของโบลต์ก็คือรอยน้ำหยด อันนี้เห็นชัดตรงที่เป็นส่วนขอบโครม matte black มันจะเห็นคราบหยดน้ำง่ายมาก แต่พอแห้งแล้วก็หายไปไม่เห็น ส่วนล้อนี่ เนื่องจากเราเปลี่ยนเป็น forged wheel ซี่ล้อเค้าเลยบาง ๆ อยู่ห่าง ๆ กันสำหรับเราคือล้างง่ายกว่าเดิมเยอะ แต่คนขับเราก็บ่นว่าล้างยาก เพราะพอซี่ล้อมันห่างขึ้น เค้าก็พยายามล้วงมือเข้าไปเช็ด ๆ ตรงวงล้อด้านใน กลายเป็นงั้นไป  อีกปัญหาที่เจอตอนล้างรถคือน้ำที่ฉีด ๆ ไป จะเข้าไปถึงตรงส่วน frunk ได้ง่าย มีคนบ่นเรื่องน้ำเข้าไปตรงช่องแอร์แล้วทำให้มีกลิ่นอับชื้น  เราเห็นแต่ว่าพอเราเปิดฝาตรงช่องเซอร์วิสออกมาตรงกระโปรงหน้า เราเห็นน้ำกองอยู่บนแบต 12V น่ากลัวจะช็อตเอา ส่วนเรื่องแอร์เรายังไม่มีปัญหาเพราะเราสองคนซื้ออุปกรณ์เหมือนไส้กรองแอร์ด้านนอกมาอุดไว้  ถ้าน้ำบังอาจเข้ามาถึงส่วนนี้ น่าจะถูกซ้บไว้ก่อนได้ หวังว่า สรุปว่าล้างง่าย อาบน้ำง่าย เด้ว CTS เก็บงานเสร็จจะติด mud guard ที่ให้มาเข้ามา ตรงส่วนนี้ tesla ให้มาเพราะมีคนบ่นเรื่องสี/ตัวถังรถ (ตรงที่ mud guard จะไปอยู่นะ) หลังล้อเค้าจะมีรอยผุกร่อน หลังใช้งานไปพักนึง ซึ่งเป็นสาเหตุจากสีพ่นแสนห่วยที่พ่นไว้บางประกอบกับตรงพื้นที่ส่วนนี้มักจะโดนเศษนู่นนี่ดีดมากจากล้อซึ่งในต่างประเทศเค้ามักจะโรยเกลือช่วงหน้าหนาวเพื่อกันหิมะสะสม เดาว่าพวกเกลือที่ถูกดีดมาเกาะ เศษกรวด หิน บ่อย ๆ เข้า ตัวถัง/สีส่วนนี้ก็ผุกร่อนไปตามเวลา แก้ปัญหาโดยการแจก mud guard 1 คู่

10. ความสะดวกในการใช้งาน การเปิด-ปิดประตูรถนี่ถือว่าดีมาก ๆ จากเดิมที่เราต้องมี key fob ไม่งั้นก็เปิดรถไม่ได้ ตอนนี้ไม่ต้องแระ แค่มีโทรศัพท์  ข้อดีเพิ่มเติมของการใช้โทรศัพท์คือมันทำให้คนขับรถเราไม่ลืมโทรฯ เพราะมีอยู่วันนึงเค้าลงมาแล้วเค้าเปิดรถไม่ได้ ก็เลยรู้ตัวว่าลืมเอาโทรศัพท์ลงมา ก็วิ่งขึ้นไปเอา สำหรับเราจะใช้ไม่ได้เพราะเราดันตั้ง iPad เราทุกอันเป็นกุญแจรถไปหมด ต่อให้เราไม่เอาโทรฯ ลงมา ถ้าเราถือ iPad มาก็เปิดได้อยู่ดี เวลาลงจากรถก็ไม่ต้องล็อกรถ เพราะพอเดินจากไปสัก 10 เมตร เค้าก็จะล็อกรถให้เอง ปัญหาที่เจออีกอันก็คือกรณีลงจากรถแล้วทิ้ง iPad ไว้ในรถ อันเนี้ย เค้าจะไม่ยอมล็อก ทำให้เราต้องหยิบโทรฯ ขึ้นมาสั่งกดล็อกรถ   ถ้าเทียบกับสมัยเล็กซัส สมัยนู้น ถ้าเราทิ้งกุญแจรถ (อันที่ 2) ไว้ในรถ เค้าก็จะไม่ยอมล็อกรถเหมือนกัน ทำให้ทุกครั้งเวลาลงจากรถ เราจะต้องควักเอากุญแจรถลงไปด้วย  พอมาเป็นสโนว์ เค้าฉลาดกว่า รู้ว่ามีกุญแจอยู่กี่อัน ตราบใดที่มีกุญแจอันนึงอยู่นอกรถ เค้าก็ล็อกรถให้ถึงเราจะทิ้งกุญแจของเรา(อันที่ 2) ไว้ในรถก็ตาม แต่มาตอนนี้ของเทสล่าไม่ได้ เราอาจจะต้องยอมไปลบ iPad เราออกจากการเป็นกุญแจรถ ถ้าอันนี้มันน่ารำคาญเกินเหตุ แต่ so far ยังโอเคอยู่ รับได้ เพราะมักจะไม่ค่อยวาง iPad ทิ้งไว้ในรถเท่าไหร่

11. Sentry mode เอาไว้ใช้เวลาไปจอดที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ที่บ้านกับที่ทำงาน  มักจะมีคนมาจดจ้อง ๆ ดูรถ หวังว่าคงไม่มีใครอยากทดสอบสีหรือทำมิดีมิร้าย ดังที่เคยกล่าว รถสีขาวเป็นรถที่จืดชืดเรียบง่ายที่สุดแล้ว ดูได้แต่กรุณาอย่าใกล้มาก มิงั้นจะถูกบันทึกวิดิโอไว้หมด หลาย ๆ ครั้งพอมากดดู ก็กลายเป็นว่าคนเข้าเดินผ่านไปผ่านมาเฉย ๆ น้องโบลต์เธอก็ขี้ระแวง อัดคลิปไว้ตลอดเลย เรียกว่ามาตรวจคลิปดูมักจะ negative findings ซะเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเจ้าของก็อยากให้เป็นเช่นนั้น การมี sentry mode ก็ทำให้สบายใจมากขึ้นเวลาไปจอดในที่ที่สุ่มเสี่ยง ปัญหาติดขัดคือเวลามีการสะกิดการทำงาน sentry mode ขึ้นมา เค้าก็จะมี notification มาแจ้งที่แอพ แต่ไม่ยักกะให้เราเปิดดูว่าเป็นเหตุการณ์อะไร  ต้องมาเปิดดูเองในรถ ถ้าเปิดผ่านแอพ หรือเปิดทางไกลได้ก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนโหมดหมา โหมดแค๊มป์ยังไม่เคยได้ใช้เลย

12. Software updates, glitches, Easter eggs และลูกเล่นอื่น ๆ  ตั้งแต่ใช้มาเป็นระยะเวลา 1 เดือน เคยต้อง reboot 1 ครั้งเนื่องจาก รปภ.ที่คอนโดแจ้งว่ารถมีการถ่ายรูปทุก ๆ 5-10 นาที มีไฟแว๊บ flash ขึ้นมา ถึงจะไม่มีคนเดินผ่าน พอดีช่วงแรก ๆ คนขับเราเค้าก็หวาดระแวงชอบเปิด sentry mode กลัวคนมาส่องรถ ปรากฎว่าวันนั้นเหมือน sentry mode มัน errors มีการบันทึกไว้ (ทั้งหมด 54 คลิป) เยอะมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร  ก็เลยต้อง reboot เครื่องใหม่ ตอนหลังก็หาย  ถึงแม้ด้าน hardware เรื่องตัวรถ เค้าจะจืด ๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่แอพและซอฟท์แวร์ก็มาเมคอัพได้ดี ล่าสุดคนขับเราเค้าสั่ง voice command เป็น ho ho ho แล้วก็ได้ Santa mode รูปรถบนจอจากเดิมที่เป็นรถปกติก็ตอนนี้เป็น Santaclaus ขับ sled มีกวางเรนเดียร์ลากจูงไป ตรงนี้คนขับเค้าชอบเป็นพิเศษ ส่วนปุ่มเปิ่มอะไรที่หายไปหมด ก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคนนาฬิกา เนื่องจากน้องสโนว์เค้ามีนาฬิกาแบบ analog ซึ่งเราถือว่าคลาสสิกมากแล้วก็เวิ๊คดีชะ เวลาลุ้น ๆ ว่าจะไปทันไม่ทัน ก็เงยหน้าก็เห็น ของโบลต์นี่ต้องไปหาตัวเลข digital บนจอเอาเอง ตัวมันเล็ก ๆ แล้วก็ดูยากกว่าเยอะ  เรื่อง software update นี่ก็ดีมาก ๆ คือพอเราเบื่อ ๆ เค้าก็มี software update มา แล้วก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ถือว่าเป็นสิ่งดี ๆ ตามมา อย่างเช่น เราก็ไปค้นพบ heated steering wheels โผล่มาหลังจากอัพเดต (จริง ๆ มันมีอยู่แล้ว กดไม่เป็นเอง) อย่างอื่น ๆก็จิปาถะยิบย่อย เด้วถ้านึกออกได้เพิ่มเติมจะมาเขียนเพิ่มนะคับ




Create Date : 06 กันยายน 2564
Last Update : 9 กันยายน 2564 12:44:19 น. 0 comments
Counter : 1862 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space