space
space
space
<<
ธันวาคม 2565
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
space
space
8 ธันวาคม 2565
space
space
space

สั่งจองเทสลา ทำอย่างไร เลือกยังไง คำแนะนำจากผู้ใช้ Tesla M3P มาก่อน
Dec 7, 2022

และแล้วในที่สุด วันนี้ก็มาถึง วันที่เทสลาเปิดตัวเป็นทางการในประเทศไทย ยอมรับว่ามาเร็วเกินคาด ราคาก็ดึงดูดจนตกใจ ทำให้ expert ทั้งหลายรวมตัวเรา หน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ

หลังจากซึมซาบกับความตื่นเต้น ระคนปนกับความเซ็งที่อยู่ดี ๆ รถเราก็มูลค่าหายไปเกินล้านบาท (มีความรู้สึกเหงื่อโง่ซึม เคยซื้อมา 3.99 ล้าน ตอนนี้ ของอย่างเดียวกันเค้าขาย 2.6 ล้านกว่า)  แต่หลังจากอารมณ์นั้นผ่านไป ก็เข้าสู่โหมดยอมรับ และต้องขออนุญาตเขียร์ต่อ เชียร์ในที่นี้หมายถึงเชียร์ให้คนเลิกใช้รถ ICE และอยากให้เทสลามาเปิดโรงงานในประเทศไทย ไม่ได้อยากให้เทสลาหรือตาอีลอน มัสก์รวยอะไรเลย แต่อยากได้เหมือนที่เทสลากล่าวไว้ คือ to accelerate the advent of sustainable transport by bringing compelling mass market electric cars to market as soon as possible

 
บรรยากาศงานเปิดตัวเทสลาไทยแลนด์ ขายของได้ แม้จะยังไม่มีโชว์รูม ไม่มีศูนย์บริการ ไม่มีสาวพริตตี้ (แต่มีคนรู้เรื่องคอยตอบคำถาม) ทำยอดจองแซงหน้าพี่โตอันดับหนึ่งในงาน motor Expo ได้

ถ้าเชื่อเค้าสนิทใจก็คงต้องยอมรับว่าเค้าก็คงมุ่งเป้าอันนั้นจริง ๆ เพราะเดิมตัวเองก็ไม่คิดว่าทางเทสลาไทยจะตั้งราคาต่ำเพื่อแข่งขันกันขนาดนี้ ราคานี้ สำหรับรถระดับนี้ แปลว่าต้องการแข่งขันกับคู่แข่งจากประเทศจีนด้วยกัน ถ้าดูรถที่ถือว่าเป็นแบรนด์ยุโรปที่นำเข้ามาจากจีนเหมือนกัน ได้แก่ Volvo (แบรนด์ยุโรป แต่ตอนนี้เป็นธุรกิจจีนซื้อไปทำเรียบร้อยคับ) ตอน Volvo XC recharge เข้ามา ได้ใช้เงื่อนไขเขตการค้าเสรี FTA (Free Trade Agreement) ยกเว้นภาษีนำเข้าเหมือนกัน แต่ตั้งราคาขายไว้ที่ 2+ล้าน (2.69 ล้านบาท) ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่เดิมเราเคยคาดไว้ว่าเทสลารุ่นต่ำสุดจะเริ่มที่ 2+ ล้านบาทเช่นกัน  แต่หลังจากเค้าประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ก็ได้แต่ shock and awe ถ้ากล้าทำราคาขนาดนี้ ก็จะเห็นว่าเค้าพยายามกดราคาให้เร่ิมต้นที่ไม่เกิน 2 ล้าน คือต้องการจะ compete กับรถไฟฟ้าจากเมืองจีนด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะ MG หรือ GWM BYD หรือแบรนด์จีนอื่น ๆ ที่จะตามมา และปรากฎการณ์นี้ก็จะ disrupt (ตามนิสัยอีตานี่ Elon Musk) ธุรกิจ segment นี้ทั้งหมด ตอนนี้ตลอดรถยุโรปรวมถึงญี่ปุ่น ก็จะต้องพิจารณาราคาของตัวเองกันใหม่  ส่วนที่สงสัยว่าทำไมทางเทสลาถึงพยายามกดราคาเริ่มต้นให้ต่ำกว่า 2 ล้าน ก็อาจจะเป็นเหตุผลเรื่องข้อกำหนดดังนี้

ข้อ 2 (1) ลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 100% แบบนำเข้าทั้งคัน "ราคาจำหน่ายไม่เกิน 2 ล้านบาท" ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2565 ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2566 (ประกาศมีผลย้อนหลัง)

นำเข้า CBU ได้รับสิทธิพิเศษความตกลงการค้าเสรี FTA เดิมชำระไม่เกิน 40% ให้เหลือ 0%
นำเข้า CBU ได้รับสิทธิพิเศษความตกลงการค้าเสรี FTA เดิมชำระมากกว่า 40% ให้ลดลงอีก 40%
นำเข้า CBU ไม่ได้รับสิทธิพิเศษความตกลงการค้าเสรี FTA ให้เหลือ 40%

ข้อ 2 (2) ลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 100% แบบนำเข้าทั้งคัน "ราคาจำหน่าย 2 ล้านบาท ขึ้นไป จนถึงไม่เกิน 7 ล้านบาท" ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2565 ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2566 (ประกาศมีผลย้อนหลัง)

นำเข้า CBU ได้รับสิทธิพิเศษความตกลงการค้าเสรี FTA เดิมชำระไม่เกิน 20% ให้เหลือ 0%
นำเข้า CBU ได้รับสิทธิพิเศษความตกลงการค้าเสรี FTA เดิมชำระมากกว่า 20% ให้ลดลงอีก 20%
นำเข้า CBU ไม่ได้รับสิทธิพิเศษความตกลงการค้าเสรี FTA ให้เหลือ 60%

แต่มันไม่ได้จบแค่นั้น ที่น่าสังเกตก็คือ รถยี่ห้ออื่น ๆ เช่น BMW, Mercedes และอาจจะ brand เยอรมันอีกหลาย ๆ ยี่ห้อ เค้าก็มีฐานโรงงานผลิตในประเทศจีนเหมือนกัน แต่ทำไมเค้าถึงไม่เอารถพวงมาลัยขวาที่ผลิตในเมืองจีนมาใช้สิทธิ์ FTA ลุยตลาดในประเทศไทยเหมือน Tesla ล่ะ จะได้สิทธิ FTA และทำราคาได้ต่ำพอจะดึงดูดเพิ่มยอดจองได้  หรือจริง ๆ แล้วก็นำมาและใช้สิทธิ์ FTA แต่ก็บวกกำไรเข้าไปซะจน ราคาไม่น่าดึงดูด ประเด็นที่ได้ยินมาคือ brand ที่จะเข้ามาโดยเงื่อนไข FTA ดังกล่าวได้จะต้องมีการเซ็น MOU ดังนี้

การลดภาษีนำเข้า หรือ ภาษีศุลกากร ของรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า 100% ของรัฐบาล ที่อุดหนุนเงิน 150,000 บาท และลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% โดยมีเงื่อนไขที่บริษัทรถยนต์จะต้องมีการลงนามเซ็น MOU เพื่อประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ตามสัดส่วนที่รัฐกำหนด หากค่ายไหนไม่ได้เซ็น ก็จะไม่ได้ลดหย่อนอัตราภาษีแต่อย่างใดทั้งสิ้น รถยนต์ไฟฟ้าราคาแพงหลากหลายแบรนด์ของยุโรป ที่ไม่มีแผนประกอบในไทย ราคายังคงแพงแสบไส้เหมือนเดิม ส่วนแบรนด์ที่เซ็น MOU กับรัฐบาลไทยเรียบร้อยไปแล้วมีสามยี่ห้อ คือ MG / GWM / Toyota ล่าสุด แบรนด์สามห่วงเพิ่งจะลงนามตกลงใช้ไทยเป็นฐานการประกอบยานยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น bZ4X คาดว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นดังกล่าวจะวางขายในไทยช่วงปลายปีนี้ 

ข้อความข้างต้นเป็นประโยคที่ตัดแปะมาจากข่าวเรื่อง "อ่านให้ดี ๆ! ราชกิจจาฯ ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 40% ถ้าไม่เซ็น MOU ประกอบไทย ไม่ลดนะคะ!!" เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ดังนั้นถึงตอนนี้

พอตอนเห็นราคาเทสลาถูกเช่นนี้ ก็เข้าใจว่าคงใช้สิทธิ์ FTA แอบนึกดีใจว่าคงจะเข้ามาผลิตในไทยไม่ช้า แต่พอขุดหาข่าวว่าเทสลาเซ็น MOU ตั้งฐานผลิตในไทยรึยัง ก็ไม่มี นอกจากนี้ อาเจ๊ Yvonne Chan ที่เค้าเป็น Tesla Thailand director เค้าก็ให้ข้อมูลคอนเฟิร์มว่าทางเทสลายังไม่มีแผนจะตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเค้าจะไม่เปลี่ยนใจ ถ้ายอดขายในประเทศหรือรอบ ๆ แถวภูมิภาคสูงพอ ต่อให้โรงงานจีนมีกำลังผลิตมากแค่ไหน การขนส่งสินค้าเยอะ ๆ ผ่านทางไกล ก็ย่อมจะสู้จัดตั้งโรงงานใกล้ ๆ แหล่งผู้บริโภคไม่ได้อยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่ว่ายอดแค่ไหนถึงจะคุ้ม  โรงงานประกอบรถเทสลาในไทยในอนาคตมีความเป็นไปได้ โดยนำเข้าชิ้นส่วนหลัก ๆ เข้ามา เพราะก่อนที่เทสลาจะเปิดโรงงานใหญ่ที่เบอร์ลิน เค้าก็มีโรงงานย่อย ๆ ประกอบชิ้นส่วนสำคัญ ๆ ที่ Tilburg, Netherlands มาก่อน แต่อย่าได้ฝันหวานไปถึงระดับ Gigafactory เราอาจจะไม่มีอะไรดึงดูดพอให้ Tesla อยากจะมาตั้งโรงงานใหญ่ขนาดนั้น เพราะเรายังไม่ใช่แหล่งผลิตแร่ธาตุสำคัญ เราเคยเป็นจุดศูนย์รวมสำหรับการผลิตอะไหล่รถยนต์รถกะบะแบบรถ ICE ไม่ใช่รถไฟฟ้า ตัวอย่างที่เห็นได้ประจักษ์ก็คือ อินเดีย ทุกคนที่ตามข่าวสายในก็จะเห็นชัดเจนว่าหลังที่เทสลาประสบความสำเร็จในการเปิดโรงงานที่ประเทศจีนโดยรัฐบาลจีนง้อขนาดยอมให้เทสลาเป็นเจ้าของกิจการทั้งหมด (sole ownership) ไม่ใช่การลงทุนร่วม  ใคร ๆ ก็มองออกว่าแหล่งผลิตต้นทุนแสนถูก ถ้าไม่ใช่จีน ถัดไปก็คืออินเดีย ดูตัวอย่างโรงงานประกอบโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ก็ได้ ดังนั้นทางเทสลาเองหลังจากเปิดโรงงานที่เซี่ยงไฮ้สำเร็จ เค้าก็พยายามจะเจาะตลาดอินเดียมาตลอด มีการจดทะเบียนธุรกิจชื่อบริษัท Tesla ในอินเดีย มีการนำรถแปะ wrap camouflage เข้าไปวิ่งทดสอบ มีการขึ้นทะเบียนจะจัดจำหน่ายรถทั้งหมด 4 รุ่น หลังจากต่อรองกันมา 2 ปี ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเทสล่ายอมถอย อ้างว่าจะไม่ยอมเปิดโรงงานในประเทศที่ไม่มีการยอมให้นำเข้ารถเข้ามาขายก่อน แล้วก็ไปจูบปากกะคุณ Joko Widodo ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย คุณโจโก้ ก็มาออกข่าวประโคมใหญ่เลยว่าเทสลาจะมาเปิดโรงงานที่อินโด  ตอนนั้นเราก็เล็งดูสภาพการณ์ละ คิดว่าการเปิดโรงงานระดับ Gigafactory ในภูมิประเทศที่เป็นเกาะ มันคงจะไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับคนลงทุนเท่าไหร่ ถ้าโรงงานประกอบรถบ้าน ๆ ก็ยังพอไหว เอาเถอะ เค้าอยากจะโม้อะไรก็ว่าไป ในตลาด southeast Asia ตอนนี้ Tesla ก็มาลุยตลาดประเทศไทยเป็นแห่งที่สองถัดจากสิงคโปร์ (ขายคนสิงคโปร์ จะขายได้กี่คัน ชะ...)

พล่ามมาเยอะ ยังไม่ได้เข้าเรื่องตามหัวข้อ สรุปว่า ราคานี้ไม่ต้องคิดมากแล้ว ถ้ามีใจให้เทสลา ก็สอยเลย ถ้ายังตัดสินไม่ออกหรือหมั่นไส้อีตาอีลอน มัสก์มาก แบรนด์จีนอื่น ๆ ก็น่าสนใจไม่เลวเช่นกัน BYD ก็ไม่เลว อย่างน้อย BYD ก็ตั้งใจจะมาเปิดโรงงานในประเทศไทย ออกตัวชัดเจน มันก็น่าสนับสนุนเค้าอยู่นะ

สรุปว่าจะสั่งจองทำยังไง ณ ปัจจุบัน (วันนี้วันที่ 8 ธ.ค. 2565 แระ) เทสลายังไม่ได้เปิดโชว์รูมจริง ๆ ในไทยนะคับ เค้ามีแพลนจะไปเปิดโชว์รูมยักษ์ที่ EMSPHERE ในโครงการ The EM district ซึ่งกว่าจะเปิดก็ปลายปีหน้า แต่ข้าพเจ้าคาดว่าถ้า Tesla เร่ิมส่งมอบรถยนต์ที่มีลูกค้าสั่งจองไปเมื่อไหร่  (เค้าสัญญาว่าไตรมาสแรกของปีหน้า) มันจำเป็นจะต้องมีศูนย์บริการ +/- โชว์รูม เปิดก่อนแน่นอน  ดังนั้น ภายในต้นปีหน้า ต้องคอยฝั่งข่าวว่าเค้าจะเปิดศูนย์บริการหรือโชว์รูมย่อย (ก่อนจะเปิดอันใหญ่) ที่ไหนบ้าง ดังนั้นตอนนี้ถ้าอยากจองก็ต้องทำผ่านแอพ หรือสั่งผ่านเว็บไซต์ไปก่อน 

ในต่างประเทศ Tesla เค้าให้สั่งจองสั่งซื้อรถ (และสินค้าอื่นๆ) ผ่านแอพได้เลย แต่ของเราลองแล้วไม่เห็นได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเราใช้ account ของประเทศอังกฤษอยู่รึเปล่า แต่เราแอบ create account ใหม่ของไทยก็ยังไม่ตัวเลือกว่าให้สั่งรถได้ ตอนนี้ก็เลยต้องเข้าไปสั่งผ่านเว็บไซต์ โดยล็อกเข้าไปที่ tesla.com และเลือกประเทศไทย แล้วก็สั่งกดเลือกที่ต้องการได้เลย

 

ขอไปทีละคำถาม

1) จะเอา Model Y หรือ Model 3 ดี
Model 3 กะ Y หน้าตาจะคล้าย ๆ กันมาก โดย Model Y จะกว้างกว่า (7.2 cm) ยาวกว่า (5.7 cm)  สูงกว่า (18.1 cm) ทุก dimension เสมือนหนึ่งดัง model 3 on steroid ดูตัวเลขแล้วเหมือนกะจะใหญ่กว่า (กว้างกะยาว)ไม่เยอะ แต่สูงกว่ากันเกือบ 20 ซม. พอเทียบกัน side by side มันก็ดูใหญ่กว่ากันแบบชัดเจนอยู่นะ

ถ้าใช้คนเดียว หรือแค่สองคน (baby มีแค่เราสอง) model 3 อาจจะเหมาะกว่า เพราะคันเล็กกว่า จอดง่ายกว่า เป็นลักษณะ sedan จริง ๆ ราคาก็ถูกกว่า วิ่งได้ประหยัดไฟกว่า ปราดเปรียวกระฉับกระเฉงกว่า ดูหน้าตาเหมือนรถทรงสปอร์ต ค่อนข้างเตี้ย (โดยเฉพาะรุ่น Performance) เวลาจะแซงจะวิ่งเร็ว ๆ ในที่แคบ ๆ ก็จะคล่องตัวกว่า agile เอาไปสนามแข่ง ก็ดูเหมาะกว่า แต่อาจจะไม่ค่อยเอื้อกรณีมีลูกเล็ก ๆ หลายคน หรือลูกโต อ้วกแตกในรถ นั่งกันหลาย ๆ คน  อากงอาม่าไปด้วย หรือใครที่ชอบขนของเยอะ ๆ

Model Y ก็คันใหญ่กว่า เบาะนั่งจะถูกหนุนสูงขึ้นมา ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเข้าออกง่ายดี  ถ้าใครใช้รถเป็นครอบครัว น่าจะชื่นชอบ Model Y มากกว่า ที่สำคัญมาก ๆ อย่างหนึ่งก็คือกระโปรงหลังของ Model Y มันเป็นลักษณะเหมือน hatchback คือเปิดแล้วมันยกขึ้นทั้งบาน ซึ่งหมายความว่ามันจะใส่ของชิ้นใหญ่ ๆ ได้ (max cargo volume 2,158 L) ถึงแม้ model 3 เองจริง ๆ ก็มีพื้นที่กระโปรงหลังไม่น้อย (649 L) และยังมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับใต้พื้นฝากระโปรงหลัง แต่ถ้าจะขนของใหญ่ ๆ มันจะเข้าไม่ได้เพราะกระโปรงหลังมันเปิดขึ้นเฉพาะด้านตูดรถส่วนที่เป็นฝาอลูมิเนียม แผ่นกระจกหลังมันไม่ได้ยกขึ้นไปด้วยทั้งบานเหมือน Model Y  ถ้าชอบขนของเยอะ ๆ ขนของบ่อย ๆ รถครอบครัว ก็ model Y ไปเถอะคับ พื้นที่ frunk/froot ที่เก็บของด้านหน้าก็ใหญ่กว่า (นิดนึง) แต่ลึกกว่า M3 ค่อนข้างเยอะ (frunk M3 = 88 L, MY = 117L)

ในเมื่อแบตเท่ากัน แต่ MY ใหญ่กว่า หนักกว่า ในทริมที่เหมือน ๆ กัน ก็จะพบว่า M3 จะวิ่งได้ไกลกว่า เร็วกว่าในทุก ๆ trim variants ก็เป็น trade off สำหรับคันใหญ่ (MY)  อีกอันนึงที่หลายคนอาจจะไม่ทราบก็คือระบบ filter กรองอากาศของ Model Y เค้าจะมี HEPA filter แผงใหญ่มากและมี bioweapons defense mode เอาไว้ใช้เวลามีเชื้อไวรัสที่เป็น airborne transmission ถ้าคุณอยู่ใน Tesla model Y, S, X และคุณ activate bioweapons defense mode คุณก็จะรอด ส่วน cabin filter ของ Model 3 อันเล็กกว่า ที่มากะรถไม่ใช่ HEPA filter แต่ก็เราก็สามารถเปลี่ยนให้เป็น HEPA ได้ แต่ไม่สามารถทำ bioweapons defense ได้แน่ ๆ

คุณลักษณะที่เหลืออื่น ๆ ระหว่าง Model 3& Y สำหรับผู้ใช้งานไม่มีอะไรแตกต่างมาก นอกเหนือไปจากโครงสร้างภายในตัวถังของ Model Y จะเป็น unibody cast คือเทสลาใช้เครื่องอัดอัลลอยด์ขนาดยักษ์ gigapress บีบอัดออกเป็นโครงรถเลย ดังนั้นต้นทุน (เมื่อไหร่ขายได้ค่าทุน gigapress คืน) ก็คงจะถูกกว่าเพราะผลิตได้เร็วกว่า ความแม่นยำสูงกว่า ต่างจาก model 3 ที่ยังเป็นชิ้นโลหะหลาย ๆ ชิ้นที่ต้องมาเชื่อม มายิงริเว็ท หรือไขสกรูเข้าด้วยกัน โอกาสเกิด panel gaps ก็อาจจะสูงกว่า ของ Model Y เป็นเยี่ยงนี้เพราะเทคโนโลยีการผลิตมาทีหลังกว่า เทสลาเรียนรู้จากไลน์การผลิต M3 แล้วนำไปปรับปรุง  ส่วนใครที่หวังจะรอ MY with 4680 battery structural pack ตอนนี้ก็เป็นหมันไปซะ เพราะเทสลายังมีปัญหาเรื่องการผลิต mass production of 4680 ให้ได้เกรด A สำหรับใช้กับยานพาหนะได้ เมื่อต้นปีทางเทสลามีโชว์ห่วยส่งมอบ MY with structural 4680 battery pack ที่โรงงาน gigafactory texas ไปไม่กี่คัน ส่วนใหญ่ขายให้พนักงาน (ซึ่งเซ็น NDA - non-disclosure agreement)  ยังไม่มีผลิตขายทั่วไป ตอนนี้ MY ที่ขายอยู่เกือบทั้งหมด รวมถึง M3 ด้วย จะใช้แบต 2170 สำหรับรุ่น LR และ PF ส่วนรุ่น RWD จะใช้ LFP battery ผลิตโดย CATL และเร่ิมมีข่าวลือหนาหูว่า MY รุ่น AWD อาจจะมีการเปลี่ยนไปใช้ BYD LFP blade battery pack แบบ structural pack ที่โรงงานที่ Berlin แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ข่าวลือ ส่วนที่ Giga Shanghai ยังไม่มีอัพเดต ไม่แน่ใจว่าทางเทลาเซ็นสัญญาผูกมัดการส่งมอบ LFP battery จาก CATL ไปอีกยาวแค่ไหน เรื่องแบตชนิดอะไร เท่าไหร่ ใครผลิต จริง ๆ แล้วทางเทสลาไม่เคยเปิดเผยเลย มีแต่พวกสู่รู้ไปสืบหากันเอาเอง

ส่วนใครที่แอบได้ยินข่าวว่าทางเทสล่าจะปรับโฉม M3 ตามข่าวลือที่มีโค้ดเนมว่า Project highland ก็ตามนั้น คือเป็นข่าวลือ หมายความว่าถูกครึ่งนึง ผิดครึ่งนึง ความเป็นไปได้มีแน่นอนเพราะเทสลาย่อมมีความต้องการปรับปรุงสายการผลิต M3 ให้เป็นการปั้มโครงออกมาแบบ unibody cast ด้วย Gigapress ทำนองเดียวกับ MY แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำ เพราะการจะปรับคงต้องหยุดสายการผลิต M3 และก็ถอดเอาหุ่นยนต์ที่ซ้ำในขั้นตอนเหล่านี้ออก ต้องมีการติดตั้งเครื่อง gigapress ซึ่งใหญ่มาก อลังการงานสร้าง ต้องเจาะหลังคาสูง มีการระบายความร้อน ไอน้ำ หูยเยอะ เข้าใจว่าทางเทสลาคงรอให้ระบบการผลิต MY นิ่งก่อน และยอด MY ขายขึ้นแซงหน้ายอด M3 แล้วคงจะปรับสายการผลิตทีเดียว ดังนันการปรับโฉมเข้าว่าข้างนอกก็คงยังดูคล้าย ๆ เดิมมาก อาจจะปรับแค่นิดหน่อย มีคนแอบไปถ่ายรูปรถ M3 ที่ถูกอำพราง (camouflaged) แล้วมาชี้ให้เห็นว่ามีกล้องเพิ่มขึ้นมาตรงไฟด้านหน้า จะจริงเท็จอย่างไรก็ต้องติดตามต่อไป เราเชื่อว่าเค้าคงจะปรับสายการผลิตแน่นอน ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกน่าจะคล้าย ๆ เดิม ถ้าเปลี่ยนจริงรูปลักษณ์ภายนอกก็คงเปลี่ยนนิดหน่อย ส่วนภายในอาจจะมีการปรับปรุงขึ้นเยอะ เช่น ก้านพวงมาลัยจะหายไป อาจจะมี internal radar เพิ่มมา หรืออาจจะได้ bioweapons defense mode เพิ่มเติมมาก็เป็นได้

สรุปว่าอยากรอปรับโฉม รอ structural battery pack รอ 4680 รอนู่นรอนี่ ก็จะได้รอไปเรื่อย ๆ เพราะเทสลาเค้าก็จะปรับนู่นนี่ไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน ถ้าอยากได้แล้วไม่ลงมือซื้อ อยากรอของใหม่ ก็จะได้รอไปเรื่อย ๆ เพราะแต่ละปี ๆ ก็จะมี feature ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น (รวมถึงบางอย่างมีการเอาออกด้วยจ้า) แต่ที่แน่ ๆ ก็คือพอเวลาผ่านไป ราคามันมักจะขึ้นเสมอ อย่างน้อยก็ขึ้นตามเงินเฟ้อ ส่วนถ้าจะฝันว่าราคาจะถูกลงเพราะเทสลาจะเซ็น MOU ตั้งโรงงานในเมืองไทย หูย อันนี้ long shot เลย โปรดดูวันหมดอายุ FTA ข้างบนด้วยว่าเค้าหมดอายุ 30 ธ.ค. 66 นะจ๊ะ คราวที่แล้วก็จะคลอดออกมาได้ ก็ทะเลาะกันแทบตายเพราะพรรคพวกบางท่านกลัวอันนี้จะมาทำลายอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ ICE ในปัจจุบัน โดยเฉพาะพวกทำตัวเหมือนเทสลานี่แหละ คือเอาเข้ามาขายอย่างเดียวเอากำไรแต่ไม่ยอมจะเซ็น MOU สร้างโรงงานผลิตในประเทศเนี่ย


จากตารางเราก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเทสลาเลือกใช้มาตรฐาน NEDC ในการโฆษณาระยะทางวิ่งได้ที่เมืองไทย เพราะมาตรฐานนี้เค้าย่อมาจาก Not Even Damn Close (ล้อเล่นจ้ะ) ระยะทางที่วิ่งได้จริงขึ้นกับความเร็วที่ขับ แอร์ที่เปิด ลักษณะการขับ ล้อ/ยางที่ใช้ สารพัด เอาเป็นว่าขับได้จริงไหม ได้แน่นอน ถ้าค่อย ๆ ลากไป (hypermile) ความเร็ว 40-50 km/hr อย่างเงี้ย ซึ่งมันไม่ใช่แบบที่เราขับจริง  ที่เอาแบบขับจริงๆ น่าจะใกล้เคียงกับมาตรฐาน EPA ซึ่งใช้ที่ north america มากที่สุด พอเทียบราคา จะเห็นว่ารถเทสลาที่เมืองไทย ถูกกว่าที่ชาวอังกฤษซื้อได้ซะอีก ตอนนี้น่าจะถูกที่สุดเป็นอันดับ 3 ในโลกนี้แล้วมัง ถูกสุดก็เป็นที่จีน (มีโรงงาน) รองมาก็เมกา (ก็มีโรงงาน) อาจจะที่มาเก๊าอีกที่ที่ถูกกว่าเรา (ก็อยู่ติดโรงงานมะ)

2) RWD ดี หรือ LR หรือ PF
ตอนเราซื้อ Tesla M3 เมื่อปีที่แล้ว (ปี 2021) เราตัดสินใจไม่ถูกระหว่าง LR vs PF สุดท้ายเลือกไปกับ PF และหลังใช้งานก็พบว่าจริง ๆ แล้ว เราสองคนน่าจะเหมาะกะ LR หรือแม้แต่ RWD มากกว่าด้วยซ้ำ มันเป็นความละโมภ หรือความโง่อย่างหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะ M3 PF ที่ได้มาใช้งานมาเกิน 1 ปี แล้ว จนป่านนี้ยังไม่เคยใช้ track mode เลย ไม่เคยเอาไปสนามแข่งด้วย หนำซ้ำ ยังบังอาจไปดาวน์ไซส์ล้อ จาก 20" Uberturbine wheels ลงมาเป็นล้อ 18 นิ้ว ช่างเป็นการกระทำที่สวนทางกับความเป็น performance

ข้อดีของ RWD คือ ราคาถูกที่สุดในบรรดา 3 trim ประหยัดเงิน น้ำหนักรถก็เบากว่า ทำให้ได้ efficiency ดีสุด ที่น่าสนใจที่สุดและน่าจะเป็นที่น่าพิจารณาที่สุดก็คือชนิดของคาโธดของแบตเป็น LFP หรือ Lithium iron phosphate ซึ่งเป็นแบตที่ปลอดภัยกว่า thermal runaway ค่อนข้างสูง โอกาสเกิดไฟลุกไหม้ต่ำ สามารถชาร์จได้เต็ม 100% โดยไม่ทำให้แบตเสื่อมและ cycle ก็ได้สูงกว่า (rated 2000+ cycles) คือเสื่อมน้อยกว่า เหมาะกับประเทศไทยอย่างยิ่งเพราะอากาศร้อน (ปกติ LFP จะไม่ชอบ freezing temp - เกิดอาการชาร์จไม่เข้า) ต้นทุนก็ถูกเพราะไม่ต้องใช้ Nickel หรือ Cobalt ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ราคาสูง หายาก มีข่าวเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานเด็กจากประเทศแถบแอฟริกา (cobalt) ไม่มีปัญหาเรื่อง battery constraints  ข้อเสียอย่างเดียวตอนนี้สำหรับ LFP คือ energy density ต่ำกว่า Li NMC (Nickel-manganese-cobalt) or NCA (Nickel-Cobalt-Aluminum) ทั้งในด้านน้ำหนักและปริมาตร ทำให้ยังไม่สามารถใช้กับรถพวก performance หรือหากพยายามยัดลงไปเยอะ ๆ เช่นให้ได้ capacity 80 kWh รถก็จะหนักมาก ดังนั้นตอนนี้ พวก RWD ก็ใส่แบตมาแค่ 60 kWh

สิ่งที่เราค้นพบจากการใช้งาน Tesla M3P จริง ๆ ก็คือ motor ตัวหน้าไม่ค่อยหมุน ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกินร้อยละ 99 รถจะวิ่งด้วย motor หลังเกือบจะตลอดเวลาเพราะ motor หลังเป็น permanent magnet (IPM-synRM motor) เปิดปิดไม่ได้แต่มอเตอร์หน้าเป็น induction motor ที่แอบเห็นก็คือเวลาคนขับเราเหยียบเร่งแรง ๆ หรือขึ้นสะพาน มอเตอร์หน้าจะมีติดขึ้นมาบ้าง (แบบแว๊บเดียว) แล้วอีกกรณีก็คือเวลาจะรีเจนแรง ๆ เค้าจะแอบเอามอเตอร์หน้ามาช่วยรีเจนด้วย อย่างร้ายที่สุด สรุปว่าซื้อ M3P มาก็มีความรู้สึกเหมือนแบกมอเตอร์หน้าไปเล่น ๆ แทบไม่ค่อยได้ใช้ (ถ้าไม่เอาไปขึ้นภูชี้ฟ้า)

อีกเรื่องหนึ่งก็กลับมาที่เรื่องแบตเหมือนเดิม จากประสบการณ์การไป road trip ล่าสุดที่เชียงใหม่ เดิมทีทางเทสลาบอกว่าแบต NCA (ไม่จำเป็นอย่าชาร์จ 100%) ซึ่งเราก็แทบจะไม่เคยชาร์จถึง 100% เค้าบอกว่าดีสุดคืออยู่ในช่วง 20-80%. ตอนช่วงไปเชียงใหม่เราก็เกิดอารณ์กลัวแบตเสื่อมขึ้นมาจริง ๆ ก็ชาร์จตามนั้น คือ max 80% ต่ำสุด 20% แล้วก็ค่อย top up กลายเป็นว่ามีแบต 80 kWh แต่สงวนบนล่างไม่ใช้ ใช้แค่ 20-80% หรือ 60% ของ 82 kWh = 49.2 kWh ก็ทำให้ได้ range น้อยกว่าการใช้แบต LFP ขนาด 60 kWh เต็มความจุคือ 0-100% (60 kWh) สรุปไปๆ มาๆ วิ่งได้ range เท่ากันอยู่ดี เพราะความกลัวแบตเสื่อม

เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือความแรง จะรับได้ไหม อันนี้ก็ตอบยาก ต้องไปถามคนขับ ตอนสมัยน้องเล็ก (Lexus CT200h 134 แรงม้า เร่ง 0-100 ใช้เวลา 10 วิ) ถือว่าอืดมาก รับไม่ได้ เร่งแซงเวลาไฟกำลังจะแดงไม่ทัน แซงคนอื่นลำบาก ขึ้นเนินทางด่วนยมราช ยังเหยียบไม่ไป ถ้าเอาไปภูชี้ฟ้าก็คงตายตรงเนินแมวดับเหมือนกัน หลังจากน้องเล็กมาเป็นน้องสโนว์ (Mercedes C350e แรงม้า รวม 279 HP, เร่ง 0-100 ใช้เวลา 5.9 วิ) อันนี้โอเค รับได้ เร่งได้ แซงได้ตามใจชอบ (เหยียบแรง ๆ เครื่องยนต์ติด) ถ้าเทียบกับน้องแมว Ora good cat (143 HP, เร่ง 0-100 ใช้เวลา 8.84 วินาที) มีประวัติตายที่เนินแมวดับอันเลื่องลือมาแล้ว อันนี้ก็ไม่น่าจะรับได้สำหรับคนขับเรา แต่ถ้าดู Tesla M3 RWD เค้ามี  283 แรงม้า เร่ง 0-100 ใช้ 6.1 วินาที หรือ กรณี MY RWD (347 HP, 6.9 sec) อันนี้เราว่าก็น่าจะพอรับได้นะ อาจจะขับไม่มันส์มาก แต่ก็ประหยัดไฟฟ้า และคุ้มค่าทุก ๆ รายการ เหมาะกับผู้ขับขี่สไตล์คุณลุงคุณป้า

อีกเรื่องที่ควรจะรับทราบไว้ก็คือถ้าใครเลือก M3 RWD on board charger ยังติดอยู่ที่ 7.5 kW (แต่ของ MY RWD ได้ 11.5 kW) แปลว่าถ้าจะติดไฟสามเฟสไปก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าไฟเฟสเดียวชาร์จ 32A * 230V = 7.36 kW ก็พอดี ๆ กับประสิทธิภาพ on-board charger นอกจากนี้ เทสลายังแอบแหมะ speed การ charge DC ของ RWD ไว้ที่ 170 kW ทั้ง M3 & MY ส่วนพวก LR และ PF นี่ได้ 250 kW และ on-board charger ก็เต็ม 11.5 kW แต่สำหรับเราตอนนี้เนื่องจากประเทศไทย ณ ปัจจุบัน DC charger ทั่ว ๆ ไปจะได้แค่ 50-75 kW มี MG เครื่องแดงโม้ว่า 120 kW แต่ให้ชาร์จเฉพาะเม้งกวง มี EA anywhere คุยไว้ว่า DC charger ตัวเองได้ถึง 150 kW แต่เรายังไม่เคยเห็นตัวจริง ของจริง เคยแต่ลองเสียบ EGAT, ปตท., Elexa จะบอกว่า ชาร์จที่ 75 kW ก็กินข้าวแทบจะไม่ทัน นึกไม่ออกว่าถ้าชาร์จได้ 175 kW จริง จะฉี่ทันรึเปล่า ส่วนใหญ่ที่โม้ ๆ ว่าเท่านู้นเท่านี้ พอชาร์จจริง โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่ของยี่ห้อเค้าเอง ก็มักจะไม่ได้เร็วถึงที่โม้ไว้อยู่แล้ว ถ้าถึงจริงก็ได้แค่แพร๊บเดียว ส่วนตัวเองชาร์จเร็วก็เกิดอาการกลัวแบตเสื่อมอีก โรคจิตไปแล้ว ชอบชาร์จช้า ๆ เค้ารอได้ กลายเป็นงั้นไป

ยังมีเรื่องประกันอีกที่แตกต่าง โดยส่วน basic vehicle warranty ได้เท่า ๆ กันหมดทุกๆ รุ่น ได้แก่ ประกันที่ 4 ปี หรือ 80K กม.  แต่ถ้าเป็นเรื่องแบตและ drive unit (motor) รุ่น RWD จะได้แค่ 8 ปีหรือ 160K km ส่วนรุ่น LR & PF จะได้ 8 ปี/192K km (ถ้างง ให้ดูตารางข้างบน)

เรื่องเล็ก ๆ หยุมหยิม อาจจะมีเรื่องระบบเสียง สำหรับ RWD มีลำโพงแค่ 8 ตัว จะไม่ได้ premium audio, immersive sound (LR/PF มี 13 ลำโพง + sub -เดิมเคยมี 15 ลำโพง)  ไม่มีตัว subwoofer แต่อันนี้ไม่ต้องคิดมาก เพราะจริง ๆ แล้วมีคนขายอุปกรณ์ให้สามารถอัพเกรดเองได้ อย่าได้แคร์เลยจ้า ส่วน RWD ไม่มีไฟตัดหมอก แต่ซื้อมาใส่เองก็ไม่ยาก ถ้าอยากได้จริง

เอาเป็นว่า ถ้างบจำกัดมาก ก็เอา RWD ไป คุ้มค่า ถูกตังค์ ประหยัด แบตดีกว่า ไม่ต้องซิ่งมาก ไฟบ้านไม่ต้องอัพเป็นไฟสามเฟส (ถ้า MY RWD ได้นะ) ชาร์จ DC ก็รอเอาหน่อยนึง (จริง ๆ ตอนนี้ ยังไม่มี DC supercharger ในประเทศไทยที่ชาร์จเร็วถึง 170 kW อยู่แล้ว รอ V3 Tesla supercharger มา) เด้วลำโพงกะไฟตัดหมอกไปเพิ่มทีหลังเองได้ มีคนขายชุดอัพเกรดอยู่ เบาะอุ่นก็ไม่ต้อง อากาศร้อนจะแย่ (เมืองนอก Tesla ขาย software unlock การอุ่นเบาะในรุ่น RWD แปลว่า hardware มีอยู่แล้ว แต่แกล้งล็อค software ไว้ซะงั้น ลำโพงก็เหมือนกัน มีคนขายชุดอัพเกรด โดยไม่ต้องติดลำโพงเพิ่ม งงเลย ทำไมไม่เอาออก เห็นรายการอื่น ๆ ออกจะงก เด็ดได้ เด็ดทิ้งเสมอ)

ถ้าสำหรับคนงบไม่อั้น ท่านก็จะเจอ dilemma ระหว่าง LR or PF รอบที่แล้วตอนเราซื้อ ตกลงปลงใจไปกับ PF แต่รอบนี้ถ้าซื้อใหม่ คงจะเอา LR แน่นอน เพราะอีตาคนขับของเราเค้าไม่เคยใช้คุณลักษณะ PF เลย จนป่านนี้ใช้มาจะครบ 2 ปี นางก็ยังไม่เคยเล่น track mode ตอนนู้นที่เลือก performance เนื่องจากเราเห็นพรรคพวกหลายคนที่ซื้อ LR มาแล้วเค้าก็ไปติด carbon spoiler ไปติดแป้นเหยียบคันเร่ง+น้ำมันเป็นแป้นอลูมิเนียม และบางคนก็ทะลึ่งไปซื้อตัวแปะ caliper เบรกสีแดงมาแปะให้ดูเหมือนเป็น performance brake หนำซ้ำ ยังมีคนไปจ่ายค่า software acceleration boost อีก $2000 (ทำให้เร่งได้เร็วขึ้นอีกประมาณ 0.5 second) คือเป็น LR ซะ แต่ก็อยากจะทำตัวเหมือน PF ซะงั้น  แต่ต่อให้ทำยังไง ๆ ก็ไม่มีวันจะได้ track mode ขึ้นมา และค่า hardware ทั้งหลายที่ไปปรับแต่ง (ค่า real carbon spoiler นี่หลายตังค์อยู่) รวมถึงค่า performance brake (brake จริง ๆ ไม่ใช่เอาแผ่นพลาสติกสีแดงมาแปะ) ค่าล้อ 20" ก็น่าจะสูสี ๆ กับสนนราคาที่จ่ายเพิ่ม (PF แพงขึ้น 3.04 แสน สำหรับ M3, แพงขึ้น 2.5 แสน สำหรับ MY) อยู่ดี และที่สำคัญเนื่องจากตอนนู้นเรามาซื้อเทสลาหลังจากอกหักมาจาก Porsche Taycan ก็เลยทำให้รู้สึกว่า Tesla M3 PF (ตัว top) นี้ราคามันช่างถูกเหลือแสน (เมื่อเทียบกับ Taycan) ถึงตอนนี้ ฮือ ๆ ไม่อยากจะบ่น หายไปล้านกว่า ๆ

เอาเป็นว่าเนื่องจากเรามี M3P อยู่แล้วหนึ่งคัน และซื้อมาแพงด้วย ก็กะว่าชาตินี้คงจะไม่ยอมขายไปง่าย ๆ (ขายก็เหมือนขาดทุนเยอะ) ถ้าต้องสอย MY อีกคัน ก็คงจะเอาแบบ LR หรือดีไม่ดี ก็ RWD ประหยัดสุด ๆ ไปเลย 

ส่วนใคร ๆ ที่บอกว่า hardware ของ LR กะ PF เหมือนกันหมด (ยกเว้น brake caliber, spoiler และ แป้นเหยียบอลูมิเนียม) เราขอเป็นคนตอบว่าเราไม่คิดว่าเหมือนกันทีเดียว อย่างน้อย size ของ battery อาจจะพอ ๆ กัน แต่เราว่าเกรดของ battery จะดีกว่า (battery ผลิตออกมา เค้าคัดเกรดกันนะจ๊ะ คล้าย ๆ กับ CPU นั่นแหละ) เราคิดว่าความเป็น performance แบตจะต้องเกรด A กว่า รวมไปถึงมอเตอร์ด้วย เราเชื่อว่ามอเตอร์ในรุ่น performance น่าจะเป็นมอเตอร์ที่ทดสอบแล้วผ่านเกณฑ์ที่สูงกว่า ไม่งั้น software unlock จะทำได้แค่ 3.9 second ไปทำไมล่ะจ๊ะ เอาเถอะ overall เค้าไม่ต่างกันมากหรอก ถ้าไม่คิดจะเอาไปซิ่งสนามแข่ง ก็ long range พอแน่นอน

อีกอย่างที่จะต้องเอามาคิดก็คือรถ PF เค้าจะโหลดเตี้ยกว่ารถ LR ประมาณ 2.2-5 cm เรื่องล้อก็เป็นอีกเรื่อง สำหรับ M3 PF จะบังคับเอาล้อ 20" Uberturbine wheel ขณะที่ M3 LR จะได้ล้อ 19" sport wheels ซึ่งประหลาดมากเลยที่ไม่ยอมให้ลูกค้าเลือก เพราะที่อังกฤษ M3 LR มีให้เลือกระหว่าง 18" Aero Wheels vs 19" sport wheels ถึง Aero wheels จะดูเฉิ่มเบ๊อะ ดูลุง ๆ แต่โทษทีนะ ไอ้แผ่น ๆ ที่แปะๆ อยู่ที่ทำให้ดูลุง ๆ เนี่ยแหละ เค้าช่วยเพิ่ม efficieincy ได้เกือบถึง 10%  ถ้าไม่อยากดูลุงก็แงะเอาออกได้ พอจะเดินทางไกลก็ค่อยแปะคืนเข้าไป ยอมเป็นลุงแต่ประหยัดไฟฟ้า กรณี MY ที่เมืองไทยรุ่น LR เค้ากลับมีให้เลือกระหว่าง 19" Gemini Wheels vs 20" Induction wheels ล้อเล็กกว่าประหยัดพลังงานวิ่งกว่า แก้มยางหนา นุ่มกว่า ไม่ต้องกลัวหลุม กลัวบ่อ ล้อใหญ่ยางใหญ่ แต่แก้มยางบาง แพงกว่าพอสมควร ต้องเลือกเอา ระหว่างจะเอาเท่ห์ เอาแบบเข้าโค้งแล้วไม่ย้วย ได้ performance รู้สึกถนนดีกว่า (แบบสะเทือน ขรุขระดี) หรือจะเอาแบบประหยัดพลังงาน นุ่ม ๆ ขับสบาย และค่ายางถูกกว่า

ถ้าดูจากข้อมูลสถิติ จะพบว่าผู้ซื้อรถยนต์เทสลาส่วนใหญ่จะเลือก Long range มากกว่า Performance มากกว่า RWD (ข้อมูลจาก TeslaFi fleet)

3) เลือกสี  ตอนนี้มีให้เลือก 5 สีได้แก่ ดำ (solid black) สีขาว (pearl white multi-coat) เทา (midnight silver metallic) นำ้เงิน (deep blue metallic) และ red multi-coat โดยสีดำเป็นสีเดียวที่เทสลาไทยแลนด์ไม่บวกเพิ่ม ที่เหลือโดนบวกอีกสีละ 50,000 บาท ยกเว้นสีแดงเจอบวก 80,000 บาท ร้องจ๊ากกันเป็นแถว ๆ ที่ขำๆ ก็คือไปเจอคนเค้าถามพนักงานเค้าตอบคำถามที่ว่าทำไมไม่ include สีขาวฟรี เหมือนต่างประเทศ (เมกา ยุโรป ออส+นิวซีแลนด์ UAE สิงคโปร์ เจแปน) แต่ประเทศไทย เหมือน ฮ่องกง จีน สีดำฟรี สีอื่นบวกเพิ่ม พนักงานตอบว่าจากการสำรวจ สีดำเป็นสีที่นิยมที่สุดเลยให้ฟรี ซึ่งอันนี้ข้อมูลน่าจะผิดพลาดหรือไม่ก็พนักงานก็คงโกหก น่าจะเป็นเป็นแบบตรงข้ามเลยด้วยซ้ำ ไม่เชื่อลองออกไปบนท้องถนนแล้วหันรอบ ๆ ตัวดูสิ ว่าเห็นรถสีอะไรเยอะที่สุด สีขาวจ้า คนไทยนั้นชอบสีขาวนะจ๊ะ รถคันอื่น ก็บวกโดยเฉพาะสีขาวมุก ใครว่าคนไทยชอบรถดำ ไม่มีล่ะ มีแต่รถเจ้านาย รถยากูซ่า รถผู้ทรงอิทธิพลนั่นแหละที่เป็นรถสีดำ เพราะเค้ามีคนล้างรถให้ (เราว่ารถสีดำดูแลยากกว่ารถสีขาวอีก รอยขนแมวชัด) รถสีดำเป็น black body ดูดความร้อน รถสีดำหรือรถสีเข้มจะดูเล็ก (เหมือนคนใส่เสื้อสีเข้มจะดูผอม) รถสีขาวจะดูพอง ๆ ใหญ่ ๆ เอาเป็นว่าก็เค้าจะบวกเพิ่ม ก็คงเป็นสิทธิ์ของเค้าเพราะเค้าก็ขายรถให้ในราคาไม่แพงมากอยู่แล้ว จริง ๆ ก็สมเหตุสมผล เพราะตอนนี้สีขาวและสีแดง เป็นสีที่เป็น multi-layer coat ส่วนสีดำนั่นแหละ black เฉย ๆ มุกก็ไม่มุก (คนอื่นเค้ามุกกันหมด) multi-layer ก็ไม่ใช่ น่าจะเป็นสีที่ต้นทุนผลิตต่ำที่สุด งานนี้ก็แล้วแต่ชอบเลย ตอนนู้นของเราเลือกสีขาวไป เพราะซื้อจากอังกฤษ สีขาวเป็นสีเดียวที่ไม่คิดเงิน และบังเอิญก็ชอบสีขาวอยู่แล้ว แต่ถ้าซื้ออีกคัน คิดว่าอาจจะเอา midnight silver หรือรอสีใหม่ของเค้า quicksilver (ตอนนี้ให้เฉพาะที่เยอรมัน) อีกไม่นานอาจจะมี midnight cherry red หลาย ๆ คนตอนนี้อาจจะรู้สึกไม่ชอบรถโหล (รถ Tesla กำลังจะโหล) ก็อาจจะเอาไป wrap เอา ค่า wrap ร้านแพง ๆ อาจจะพอ ๆ กับค่าสีที่เลือก ส่วนสีแดงเป็นสีรักสีหวงของ Tesla ทุกประเทศ สีแดงจะต้องบวกแพงที่สุด ดังนั้นถ้าดูความโหลทั่วโลก จะพบว่าสีแดงโหลน้อยที่สุดเพราะ อีบวกค่าสีแดงไว้เยอะ ทุกประเทศ จากข้อมูลของ TeslaFi ที่แสดงให้ดูข้างล่างจะเห็นว่า pearl white โหลสุดทั้ง M3 และ MY ของฟรี (ฝรั่ง) ใครก็ชอบ


4) ภายใน ปรากฎว่าไม่มีให้เลือกสักทริม โดนบังคับขายเบาะดำหมด ก็ไม่ต้องสาธยายมาก ก็ดีตรงที่ไม่ต้องโดนบวกเพิ่ม รถเราก็ซื้อสีดำมาเพราะตอนนั้นถ้าเอาเบาะขาวเราจะโดนบวกอีก GBP 1,100 (วสุธาขอบวก 50,000 บาท) ตอนนั้นเราก็กลัวเบาะขาวนะ เพราะมีประสบการณ์โซฟาที่บ้านเบาะขาว มันก็เลอะ นั่งเช็ดกันหงิก แต่ยอมรับว่า white interior มันมักจะช่วยให้รถดูโปร่งตา กว้างขวางขึ้น ตอนหลังเราก็เลยไปสอยเอาหนังเทียมคลุมเบาะสีขาวมาจาก aliexpress.com มาสวมทับลงไป เสียตังค์ไปประมาณ 6,000 กว่าบาท ตอนนี้ออกอาการเหลืองเล็กน้อยถึงปานกลาง มีเลอะบ้างไรบ้างแต่มักจะเช็ดออก กะว่าอีก 1-2 ปี ถ้ามันเหลืองหงิกมาก ก็ถอดทิ้งไป ส่วนใคร ๆ ที่กลัวว่าสวม seat cover ลงไปแล้ว airbag จะ deploy ไม่ได้ ก็ขอให้วางใจ เพราะตอนแรกเราก็กังวล แต่หลังจากศึกษาไปก็พบว่าพวกแม่ค้าขายเบาะพวกนี้เค้าก็ผลิตที่คลุมเบาะเค้าให้มันสามารถปล่อยให้ airbag deploy ได้ หมายความว่าบริเวณด้านข้าง ๆ ส่วนที่ airbag จะพองออกมาเค้าจะเย็บเบาะด้วยด้ายที่มันจะต้องปริขาดได้ถ้ามีแรงดัน คุณภาพเดียวกับเบาะดั้งเดิมนั่นแหละ ไม่งั้น airbag จะออกมาได้ยังไง เวลาเลือกซื้อก็กรุณาดูเจ้าที่แม่ค้าเค้ายืนว่าว่าได้จริง มักจะเห็นสัญลักษณ์ airbag แปะอยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็ในโพสต์เค้ามียูทูปโชว์ให้ดูเลยว่ามันปริได้จริงเวลา airbag พอง  สรุปว่าเรื่องเบาะไม่ต้องกลุ้ม เพราะเราใส่คลุมได้ ส่วน trim panel ก็มี decal ขายให้แปะทับได้ หรือจะซื้อเป็นแบบ carbon ทั้ง carbon จริง หรือพลาสติกลาย carbon หรือจะเอาเป็นไม้จริง ๆ หรือแบบหุ้มกำมะหยี่ ก็มีขายหมด รถเทสล่าเป็นรถที่มีของแต่งกระจุ๊ก กระจิ๊กเยอะมาก น่าจะเยอะที่สุดเลยมังเพราะรถมันโหล คนใช้เยอะ (ที่จีน กะ เมกา และกำลังจะที่เมืองไทยด้วยมัง อีกไม่ช้า)

5) Enhanced autopilot (THB 122,000) and or Full self-driving (THB 224,000)
ใครงบน้อยเบี้ยน้อย ต้องไปกู้เงินมาซื้อรถ ไม่จำเป็นต้องไปเลือกตอนนี้ เพราะมันซื้อทีหลังได้ EAP นี้มัน spin off มาจาก FSD (Full self driving) ที่เทสลายังไม่สามารถเข็นออกมาให้ทำงานได้สมบูรณ์แบบและถูกต้องตามกฎหมาย EAP อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ใช้งานจริง ๆ เวลาขับทางไกลและเพิ่มเติมจาก basic autopilot ที่มีมากับรถอยู่แล้ว ส่วนอื่น ๆ เป็น gimmick เช่น auto park, summon, smart summon เอาไว้เล่นขำ ๆ หรืออวดเพื่อน ๆ หาที่ใช้จริงแทบมิได้ ถ้าเงินเหลือนักก็จัดไป ถ้าเงินเหลือจัด ๆ แบบรวยมากอยากสอย FSD (244,000 THB) ก็จัดได้นะ (รุ่นพี่ที่ทำงานท่านนึงก็สอยเอา MYP สีแดง+FSD เรียกว่าจัดเต็มทุกอัน) อันนี้ก็ตามที่โม้คือบอกให้รถขับไปเองเลย (แต่ยังต้องมีคนขับและมือต้องถือพวงมาลัยอยู่ แล้วมันจะเรียก FSD ได้ยังไงวะ) ทั้ง FSD และ EAP สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ภายหลังเพราะเป็นเรื่องของ software ล้วน ๆ เพียงแต่อีตาอีลอน มัสก์ชอบออกมาขู่ว่าจะขึ้นราคาเรื่อยๆ หลอกให้คนที่ลังเล (ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ายังไม่เวิ้ค) รีบ ๆ ซื้อตอนนี้ ในอดีตก็มีคนควักตังค์ซื้อไปหลายคนแล้วป่านนี้ก็ยังใช้งานไม่ได้จริง ทั้งในเมกาและที่อื่น ๆ มีแต่ Beta version แต่กฎหมายก็ยังไม่รองรับให้ใช้ได้ คนขับก็ยังต้อง pay attention อยู่ตลอด ยิ่งมาเมืองไทยเจอแมงกะไซค์สวนเลนมา นี่ อยากรู้เหมือนกันว่า AI ของ Tesla จะเรียนรู้ไอ้พวกขาแว๊นมักง่ายไร้ระเบียบพวกนี้ยังไง รวมถึงพวกฝ่าไฟแดง รถซาเล๊ง รถตุ๊กตุ๊ก กะป๊อ ปักหัวเข้ามา 90 องศา พวกย้อนศร คนขายพวงมาลัย อู๊ย อยากเห็นจริง ๆ เจ้าประคุณ  สรุปว่าตอนนี้ยังไม่ต้องซื้อ นอกจากเงินมันเหลือเฟือ รวยจัด พวกยูทูปบางท่านก็สารภาพว่าซื้อเพราะจะเอามาทำคอนเทนต์

สิ่งที่ขาดหายไปนอกเหนือจาก white interior ที่เทสลาไทยแลนด์ไม่มีให้เลือกคือ Tow hitch ($1000 สำหรับ MY ใน USA, GBP 1,090 สำหรับ M3 ใน UK) คงจะไม่คิดว่าคนเอเซียเค้าชอบลากนู่นนี่มัง เพราะเห็นรถที่ขายที่จีนและฮ่องกงก็ไม่มีให้เลือก  offer ให้แต่ฝรั่ง เบาะนั่งสำหรับ MY ในเมกาก็มีให้เลือกว่าจะเอา 5 ที่นั่งหรือ 7 ที่นั่ง (เพิ่มแถว 3 มา จ่ายอีก $3,000) นั่งได้เฉพาะเด็กหรือผู้ใหญ่ตัวเล็ก เพราะหัวติดกระจกบานฝากระโปรงหลัง นอกจากนี้ที่เมกาเค้ายังมีช่องให้เลือกว่าจะซื้อ Wall connector $400 หรือ Mobile connector $230 ราคาพิเศษด้วยเลยมั้ย

6) Wall box & charging คนไทยถามเพราะชินกับการที่รถไฟฟ้าเจ้าอื่น ๆ เค้ามี wall box ให้ มี mobile connector ให้ อันนี้ก็เป็นเรื่องความงกของ Tesla ล้วน ๆ เลย ตอนสมัยเราซื้อเนื่องจากเกรย์เค้าบวกโหดอยู่แล้ว เค้าก็รวมลงไปให้เลย คือเราได้ wall connector มาด้วยในราคานั้น (3.99 ล้านน่ะ ถ้าเอาราคาปัจจุบันหักลบ ส่วนต่างสามารถซื้อ wall connector ได้ 84 เครื่องเลย) แต่สมัยก่อน mobile connector เค้าให้มากะรถอยู่แล้วทุกคัน เพิ่งจะมางกเอาออกตอนต้นปี 2022 นี้เอง ก็โดนคนด่ากันเยอะ แต่ในเมกา เทสลาเค้าอ้างว่าเค้าทำ DC supercharger ไว้เต็มทวีปแล้ว ทำนองเดียวกันตอนโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้เอา AC-DC adapter ชาร์จโทรฯ ออกจากแพ็คเกจ บริษัท SS เกาหลีก็ได้ทีขี้แพะไหล ออกมาด่าเค้า ไม่ช้าไม่นาน ตะเองก็เอาออกเหมียนกัน เราก็อยากดูว่าเจ้าอื่น ๆ เค้าจะทำตามเทสลาในเรื่องนี้รึเปล่า

เราว่านะ ทาง Tesla เค้าขายรถให้ถูกขนาดนี้ เมื่อเทียบกับพวกแบรนด์ non-Chinese ด้วยกัน เค้าอยากจะเอาออกก็ให้เค้าเอาออกไปเถอะ อย่างน้อยก็ซื้อรถได้ถูกลง พวกที่ไม่ได้เอาออก ความเป็นจริงก็คือเค้าบวกไปอยู่แล้ว จะบอกว่าแถมให้ด้วยมันก็ไม่เชิงหรอก แค่อารมณ์ความรู้สึกมันพาไป  เมื่อถามว่าจำเป็นต้องมีไหมเครื่องชาร์จเนี่ย ก็ต้องขอบอกว่า มีเถอะ เพราะส่วนใหญ่ของพลังงานเข้ารถจะมาจากที่บ้าน (มีเจ้าของรถบางท่านเค้าไม่ชาร์จที่บ้าน ชาร์จ DC supercharge หรือชาร์จฟรีตามห้างอย่างเดียวด้วยความงก) ชาร์จที่บ้านมันสะดวกดี โดยเฉพาะบ้านที่ติดตั้งโซล่าร์ คุณกำลังใช้พลังงานสะอาดจริง ๆ ที่คุณผลิตเองเติมเข้าไปในรถ ทีนี้ wall connector ทางเทสลาบอกว่าขายราคา 19,900 บาท เอาไปติดเอง ซึ่งอันนี้ราคาแอบแพงกว่าที่ขายที่เมกา ($400 or THB 13,913) แต่ถ้าจองและจ่าย THB 35,000 จะมีช่างไปติดตั้งให้ด้วย (ช่าง outsource นะจ๊ะ) ฝันไปเหอะ โขกค่าแรงงานกะค่าสายไฟและค่าเบรกเกอร์ตั้ง 15,100 บาท เราไปจ้างช่างเองหรือคุณพ่อบ้าน DIY ติดเองก็ได้ กะอีแค่เดินสายไฟเส้นโต ๆ มาจาก main breaker แล้วก็ติดตั้งเบรกเกอร์ให้เค้าอีกตัวนึง วิธีติดตั้งก็ง่ายแสนง่าย เครื่องเค้าก็ดีจริง จะติดไฟ 1 เฟส หรือ 3 เฟส ทั้งตัวเครื่องและสายชาร์จเค้ารับได้หมดเลย ติดตั้งง่ายชนิดที่ว่าลิงบาบูนก็ยังทำได้ (ถ้าลิงบาบูนมีเวลา) โปรดอ่านบล็อกนี้ ถ้ายังอยากจะประหยัดก็ทำได้หลายวิธี เช่น ไม่ต้องซื้อ wall connector จัดแค่ universal mobile connector (UMC) ก็พอ เพราะ Tesla mobile connector ขายแค่ THB 9,900 บาท ไม่ต้องติดตั้งอะไรมากเสียบปลั๊กบ้านๆ ชาร์จได้เลย ช้ามากๆ 2 วันเต็ม  แต่ถ้าแอบเดินสายไฟเส้นโต ๆ มี 40A breaker ให้เค้าแล้วก็ต่อ high power 32A socket ไว้ (ไทวัสดุมีขาย อันละ 177 บาท) ซื้อสาย adapter 3-pin IEC 60309 (blue) สำหรับเสียบอันนี้เพิ่ม (ดูรูป, อันละ THB 1,900 - วสุธา) ก็ชาร์จได้ 32A เท่ากับ wall connector อันใหญ่แล้ว เหลือแต่ต่อไฟสามเฟสไม่ได้ แต่แค่นี้ก็เร็วพอควรแล้วนะ ชาร์จข้ามคืนเต็มแน่นอน เก็บพกพาไว้ในรถเวลาเดินทางไกลก็อุ่นใจ
 
 
 
สำหรับประเทศไทยตอนนี้เราว่าถ้ามี UMC มันก็จะอุ่นใจกว่า ดังนั้นถ้าจะสอย wall box ตัวใหญ่มาก มันก็อาจจะต้องสอย UMC มาอยู่ดี เพราะเค้าไม่ยอมให้มา แต่ถ้าใครอยากจะประหยัดก่อน ก็สอยแต่ UMC มาและขอซื้อสาย adapter 3-pin IEC 60309 (blue) เพิ่ม ส่วน socket ตัวเมียเค้าหาซื้อง่ายตามร้านวัสดุก่อสร้าง ถ้ามีครบอุปกรณ์ (อย่าลืมต่อ breaker ด้วย) ก็จะสามารถใช้ UMC จิ๋วแต่แจ๋วเนี่ยแหละชาร์จไฟ 1 เฟสได้เต็ม 32A เลย เท่ากับชม.นึงชาร์จได้ 36 km เท่า wall box ตัวใหญ่ (ที่ต่อไฟ 1 เฟส) คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เราก็ใช้ combo นี้ประจำเวลาไปเยี่ยมปะป๊าที่นครนายก ชาร์จไม่กี่ชม.ก็ได้ไฟที่วิ่ง(จากกทม.)ไป คืนมาหมด

ส่วนใคร ๆ หลาย ๆ คนที่ถามว่าแล้ว wall connector ยี่ห้ออื่นใช้กับเทสลาได้หรือไม่ ก็ต้องขอตอบว่า ควรจะใช้ได้ (ร้อยละ 99.99) ยังไม่เคยทราบว่า wallbox ยี่ห้อไหนเค้ามีการล็อคไว้ใช้กับรถยี่ห้อตัวเองเท่านั้น เพราะมาตรฐานการคุยกันระหว่างหัวเสียบกับเต้ารับเค้าไม่มีระบุยี่ห้อ ที่จะมีปัญหาก็จะเป็นลักษณะหัวเสียบว่าเป็นประเภทเดียวกันไหม ของเทสลาที่มาประเทศไทยน่าจะเป็นหัว type 2 + CCS combo ก็จะใช้มาตรฐานเดียวกับทางยุโรป สมัยก่อน BMW เค้าเคยใช้ J1772 (type 1) เหมือนของที่เมกา หลัง ๆ ก็เห็นเปลี่ยนมาเป็น type 2 แล้ว ที่ยังเหลือดื้อใช้ J1772 + CHAdeMO อยู่ก็จะเป็นพวกค่ายญี่ปุ่น Nissan, Toyota จริง ๆ แล้ว เราก็เห็นด้วยว่าหัวเสียบของที่เทสลา เมกาเค้าออกแบบไว้ ซึ่งตอนนี้เค้าเปิดดีไซน์ให้ทุก ๆ ยี่ห้อใช้ได้และถือวิสาสะเรียกหัวเสียบตัวเองว่า NACS (North American Charging Standard) เป็นหัวเสียบที่เราคิดว่าดีที่สุด เล็กที่สุด สะดวกสุด ชาร์จได้ไฟแรงสุด เพราะ พวก J1772 (type 1) หรือ IEC 62196-2 (type 2) นี่เค้าออกแบบมานาน มันตกรุ่น ตกเสปคกันหมดแล้ว ไม่ได้รองรับอนาคตเลย ใหญ่ เทอะทะด้วย โดยเฉพาะ CHAdeMO ใหญ่และช้าจนน่าสมเพช แต่บังเอิญว่ายังไม่มี legacy automaker รายไหนเค้า adopt ใช้หัวเสียบเทสลากันสักรายเลย ก็คงต้องรอไปก่อน แต่ยังไงก็ตาม ต่อให้หัวเสียบไม่เหมือนกัน เค้าจะชาร์จกันได้อยู่ดีโดยใช้ adapter

ทีนี้ถ้ายังเกี่ยงว่า wall box ของเทสลาแพง จะไปหาซื้อของเจ้าอื่น ๆ มาติดก็ได้ ถ้าไม่กลัวอันตรายนู่นนี่นั่น จริง ๆ แล้วพวก wall box หรือ UMC ตัวเล็กเค้าไม่ใช่เครื่องชาร์จ มีหน้าที่แค่เป็นสะพานไฟเชื่อม+สวิทซ์ เป็นตัวกลางเจรจา เช็คขนาดสายไฟ (เค้าเช็คที่ค่า resistance) เป็น ground fault interrupter หรือตัวหน่วงเวลา เปิดปิดสวิทซ์ กรณีไฟดับ ไฟตก จิปาถะ ตัวที่แปลงไฟ AC เป็น DC จริง ๆ คือ on-board charger ซึ่งอยู่บนตัวรถ ซึ่งรถ Tesla ทุกรุ่น ทุกทริม ยกเว้น M3 RWD จะให้มาขนาด 11 kW  กรณีบ้านใครเป็นไฟ 1 เฟส มาตรฐานเครื่องชาร์จไฟ 1 เฟสในประเทศไทยให้ชาร์จเร็วสุดแค่ 32 A (เมกา ยอม 48A นะ บ้าไปแล้ว ขนาด 32A ชาร์จไป 2-3 ชม. สายยังอุ่น ๆ)  ถ้าชาร์จ 32A ไฟ 1 เฟส ได้พลังงาน = 32A*230V = 7.36 kW ดังนั้น ถ้าแบตขนาด 60 kWh ก็จะใช้เวลา 8.1 (80/7.36) ชม. ถ้าแบต 80 kWh ก็จะใช้เวลา 10.9 ชม. คนก็ชอบบ่นว่าช้า หารู้ไม่ว่ารถไฟฟ้ามันไม่ต้องชาร์จเต็มก็ได้ แทบจะไม่เคยต้องชาร์จจาก 0 ถึง 100% อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความช้าไม่ใช่ประเด็น เพราะยังไงก็ชาร์จได้ทั้งคืน   แต่ถ้าใจร้อนมากก็คงต้องติดไฟสามเฟส แล้วชาร์จแม่ง 16A * 230V *3 = 11 kWh เต็มประสิทธิภาพ on-board charger พอดี ข้อดีของการใช้ไฟเดินแค่ 16A ก็คือสายไม่ร้อน แต่การชาร์จเร็ว ๆ ก็ไม่ค่อยถนอมแบตเท่าไหร่ รายละเอียดเรื่องชาร์จรถ อ่านได้จากบล็อกที่เราเคยเขียนอันนี้และอันนี้ ขอไม่กล่าวซ้ำ

ถ้าใครอยากซื้อ wall box ยี่ห้ออื่นที่คุณภาพและมาตรฐานดี ๆ หน่อย เราก็อยากจะเชียร์ยี่ห้อนี้ ENEL X juicebox เพราะเราเคยใช้อยู่ตอนชาร์จ Snow (Mercedes C350E)  แต่เห็นราคาเค้าแล้วสะดุ้งเลย แพงพอสมควร (59,000 บาท ราคานี้จะต้องรวมค่าติดตั้งแล้วแน่นอน) ข้อดีคือเค้าเป็น smart wall box สามารถตั้งค่าผ่านแอพของเค้าได้ technical support ของเค้าก็ดี ตั้งแต่สมัยก่อนเราซื้อตรงจากคุณ Kris ที่เมกา (จ่ายไป $399 + $115 ค่าชิปปิ้ง รวมเป็นเงินไทยประมาณ 19,000)  ตอนนี้เค้ามีตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เวลาใช้ wall box เดียวชาร์จรถต่างยี่ห้อกันเราก็ยังสามารถควบคุมการชาร์จได้อยู่ ต่างจากการใช้ Tesla wallbox ที่เราควบคุมผ่านแอพได้เฉพาะกรณีชาร์จรถเทสลา กรรมที่ Tesla wallbox มี wifi connection แต่เทสลาไม่ยอมทำแอพสำหรับ wall box ต่างหาก ทำให้เวลาใช้ Tesla wall box ชาร์จรถยี่ห้ออื่น ๆ เราก็จะไม่สามารถควบคุมอะไรจากแอพได้เลย งงมั้ยจ๊ะ จริง ๆ แล้วก็ยังมี wall box แบบยี่ห้ออื่น ๆ ที่มาตรฐานดี ๆ อีกหลาย ๆ ยี่ห้อ แต่ส่วนใหญ่ราคาจะแพงกว่า Tesla wall box และต้องเลือกตั้งแต่แรกว่าจะเอาไฟ 1 เฟส หรือ 3 เฟส โดยราคาจะสูงขึ้นสำหรับพวกไฟสามเฟส เพราะเค้าจะทำสายชาร์จไว้ไม่เหมือนกัน รวมถึง magnetic contactor ข้างใน แต่ของเทสลานี่เจ๋งสุด ๆ wall box ตัวเดียวกันทำได้หมด

7) เมื่อไหร่จะได้รถ ?? อันนี้คงตอบให้ไม่ได้ ปกติเทสลาเค้าจะอัพเดตให้เจ้าตัวทราบเป็นระยะ ๆ ทางอีเมลหรือทางแอพ ถ้าอยากจะรู้ (สมัยก่อนของเรา) ต้องไปติดตามจอมปราชญ์นักเดินเรือชื่อ Mr Miserable เค้าอยู่บนฟอรั่มที่ teslamotorclub.com ให้โพสต์ถามเค้าไปเลยว่าเรือขนรถ RoRo (roll on, roll off) ที่ขนรถเทสลาเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้มาแหลมฉบังเมื่อไหร่ เค้าจะ track ให้ได้ ถ้าเรารู้ชื่อเรือ เราก็ track เองได้เหมือนกัน เนื่องจากเทสลาน่าจะยังไม่เคยขนเรือจากเซี่ยงไฮ้มาเมืองไทยมาก่อน (ยกเว้น 3 คันที่พารากอน + คันอื่น ๆ ที่ test drive under camouflage อยู่บนถนนเมืองไทยตอนนี้ -ซึ่งอาจจะขนมาทางบกก็เป็นได้นะ) ดังนั้นเรือ RoRo ลำแรกที่วิ่งจากเซี่ยงไฮ้มาแหลมฉบัง ก็น่าจะขนรถเทสลามา ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าเค้าจะขนมากี่คัน (ยิ่งเยอะยิ่งน่าจะประหยัดค่าขนส่ง?) ปกติถ้าเค้าเริ่มเดินทาง เดาว่าจากเซี่ยงไฮ้มาแหลมฉบังไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ ทางเทสลาเค้าควรจะติดต่อเจ้าตัวและแจ้ง VIN number ให้รับทราบ สมัยเรารอรถของเราเมื่อปี 2021 ก็ได้ชื่อเรือ RoRo มาคือ Hyperion Ray กว่าเรือจะวิ่งจากเซี่ยงไฮ้ไป Southampton ใช้เวลาไม่ถึงเดือน ช่วงผ่านโซมาเลียเค้าจะปิดสัญญาณหายไป ประมาณ 7 วัน  พอรถไปถึงอังกฤษส่งมอบทางนู้นแล้ว ทางวสุธาเค้าจ้างเรือขนสินค้า (ไม่ใช่ RoRo) เอารถเราใส่ container ขึ้นเรือ One Eagle วิ่งมาจาก Southampton เรือนี้หวานเย็นมาก จอดนู่นแวะนี่ กว่าจะมาถึงแหลมฉบังอีกเกือบ 40 วัน ลุ้นแทบขาดใจ ถ้าใครไม่อยากลุ้นขนาดนั้นก็คอยติดตามฟอรั่มในประเทศไทยว่าใครจองคิวที่เท่าไหร่ แล้วเค้าได้รถเมื่อไหร่ ถ้าพลาดรอบนี้ก็รอรอบหน้า ตอบไม่ได้ว่าไตรมาสนึงเค้าจะขนกี่เที่ยว เรารู้แต่ production rate ของ Giga Shanghai ตอนนี้ประมาณเกือบ ๆ 3,000 คันต่อวัน แต่รถส่วนใหญ่ที่ผลิตจะเป็นพวงมาลัยซ้าย (ประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ใช้) ดังนั้นถ้าอยากดูคิวพวงมาลัยขวาตอนนี้ ให้ส่องไปที่ tesla.com/au or New Zealand หรือ Hong Kong บนเว็บเค้าจะ estimate delivery ให้ (ซึ่งอีกหน่อยเว็บ tesla Thailand ก็คงจะมีเหมือนกัน) อย่างที่ HK ตอนนี้ถ้าสั่ง MY ตอนนี้ estimate ไว้ไตรมาสแรก 2023 แต่ถ้า Aus เค้าประมาณไว้ ประมาณ ไตรมาส 2  (ไกลนะจ๊ะ สองประเทศนู้น) ดังนั้นล็อตแรกของเมืองไทย อาจจะยังมาไม่เยอะมาก ส่วนที่ยังส่งมอบไม่ได้ อาจจะต้องรอไตรมาส 2 อดใจรอหน่อยนะจ๊ะ เรายังจำความรู้สึกอันนั้นได้ รอให้ทางเทสลาเค้ามีเวลาเปิดศูนย์บริการ (อยู่ตรงไหนบ้าง ป่านนี้ยังเงียบกริบ เทียบกับ BYD 32 แห่งทั่วประเทศ) ติดตั้ง supercharger สักนิด ยังไง ๆ ก็น่าจะได้ภายในปีหน้า ของเราตอนนู้นรอ 7 เดือน (เอง)

8) ถามจุกจิก เยอะแยะ เช่น
    -ค่าประกันภัยชั้นหนึ่ง ไม่มีให้เหรอ อ่า... เอายี่ห้ออื่นมาประยุกต์ เทสลาเค้าไม่แถมให้จ้า สมัยเราใช้รถเกรย์ (ตอนนี้ก็ยังเกรย์อยู่) มีเจ้าเดียวในประเทศรับประกันภัยชั้นหนึ่ง สำหรับ M3 ประมาณ 70K บาทต่อปี เรียกว่าโขกสับกันเลยแหละ สาเหตุน่าจะเนื่องจากการไม่มีบริษัท/ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เค้าก็เลยต้องบวกเพิ่มเพราะค่าซ่อมน่าจะแพง แต่เราเชื่อว่าพอเทสลาไทยเข้ามา ราคามาน่าจะลงมา ควรจะต่ำกว่า 50K/ปีด้วยซ้ำ และควรจะมีบริษัทอื่น ๆ รับประกันเพิ่มขึ้น ถ้าใครติดตามข่าว จะทราบว่าที่เมกา เทสลาเค้ามีบริการประกันภัยให้เป็นบางรัฐ โดยอาศัยคะแนนประเมินจากการขับรถของแต่ละคนจากข้อมูลที่เค้าดึงจากรถเค้า ซึ่งเราว่าก็แฟร์ดี เพราะทุกวันนี้คนขับของเรา ขับแบบคุณลุงจะตาย ไม่เคยซิ่ง ไม่เคยชน แต่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันเท่า วัยรุ่นขี้เมา อะไรประมาณเนี้ย
    -หลังคากระจกร้อนไหมคะ  ร้อนสิจ้ะ ถ้าอยู่กลางแดด วิ่งกลางแดดนาน ๆ ติดฟิล์มขี้โม้อะไรก็เอาไม่ค่อยอยู่แดดประเทศไทย ไปซื้อ glass roof sunshade มาได้เลย จะซื้อของเทสลาก็ได้ (ถ้าเค้าเอามาขายในไทย) แต่จะพบว่าหน้าตาของไม่ต่างจากที่สอยมาจาก aliexpress เท่าไหร่ แต่ราคาต่างกัน 3 เท่า
    -ประหยัดน้ำมัน (ไฟฟ้า) จริงเหรอ จริงสิจ๊ะ ไม่เห็นพรรคพวก early adopter ที่ขับ MG สีฟ้ากันเต็มบ้านเต็มเมืองเหรอ  อากู๋เราเนี่ยแหละคนนึง เค้าไม่ได้รักษ์โลกหรือคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่หรอก อากู๋บอกว่าค่าไฟถูกกว่าค่าน้ำมันเยอะเลย ยิ่งใครติดโซล่าร์จะยิ่งรู้ว่าของฟรี ๆ จากแสงแดดบ้านเราอันร้อนแรงนี่มันทำให้รถวิ่งได้ด้วย
    -รถติดไฟฟ้าหมดไหมคะ  แหมถามมาได้ รถติดเยอะ ๆ ถ้าน้ำมันคุณเหลือก้นถัง น้ำมันคุณก็หมดเหมือนกัน ประเด็นคือสำหรับรถไฟฟ้า เวลารถติดปริมาณไฟฟ้าที่คุณใช้อยู่ก็คือที่คุณเปิดแอร์ ฟังวิทยุ ฟังเพลง ซึ่งน้อยมา เมื่อเทียบกับรถยนต์ ICE ที่ต้องติดเครื่องยนต์ตลอดเวลา อัตราค่าความสิ้นเปลืองของรถไฟฟ้าระหว่างขับในเมืองกับขับ high way จะไม่ต่างกันมากเหมือนพวกรถ ICE แถมรถไฟฟ้าเค้า regen กันแบบทุกครั้งที่คุณถอนคันเร่ง เรียกว่าเบรกมีไว้เสียของ แทบไม่เคยต้องเบรก มันดียังงี้เลยนะจ๊ะ
    -กุญแจรถให้มะคะ  ไม่มีให้ต่างหากนะจ๊ะ keyfob น่ะ สำหรับเทสลา โบราณไปแระ เค้าจะให้ key card 2 อันแทน key card อันนี้ให้เก็บไว้สำหรับตอนตั้งค่าโทรฯ/tablet เป็นกุญแจรถครั้งแรก และสำหรับเวลาเอารถไป service หรือจอด valet parking หลังจากนั้นเก็บขึ้นได้เลย ส่วนถ้าใครชินกับการมี keyfob เค้าก็ขายตะหากจ้ะ $175 เอาไหมจ๊ะ  เอาไปก็ไม่ค่อยได้ใช้นะจ๊ะ ครบปีอาจจะต้องมาคอยเปลี่ยนแบตกระดุมข้างในอีก เป็นภาระเปล่า ๆ
    -EAP/FSD ซื้อแล้วเป็นของเราหรือเป็นของรถ  ณ ตอนนี้ติดไปกะรถจ้ะ เกิดเปลี่ยนรถคันใหม่ ก็ต้องจ่ายเพิ่มนะจ๊ะ อันนี้เป็นอันที่ลูกค้าบ่นเยอะและเทสลาเองเคยประกาศว่าจะทำเป็นแบบ subscription แต่ก็ไม่เห็นมาซะที
    -ไม่มี apple carplay ใช่มะ  จ้ะ ตอนนี้ยังไม่มี แต่ Tesla software/UI เค้าก็ดีมากเลยนะ ถ้าไม่ได้เป็นสาวกยี่ห้อผลไม้ตัวยงก็คงโอเค แต่แน่นอน สำหรับชาวผลไม้ การอยู่ใน ecosystem อันนั้นมันดีหนักหนา ไม่เป็นไร ถ้าอยากได้ ก็ไปสอยหน้าจอติดหน้าพวงมาลัยจาก https://www.hautopart.com มา ราคาไม่เกิน $500 แล้วเค้าจะมี apple carplay ให้จ้ะ แถมจอหน้าพวงมาลัยให้ด้วย แต่หลายคนบ่นว่าบังลมแอร์ เราก็ไม่ได้ติด เพราะขี้เกียจมานั่งอัพเดตซอฟท์แวร์เวลาเค้าตีกันกับ tesla software ช่างมัน จอเดียวก็อยู่ได้ ไม่มีปัญหา

เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา (10-11 ธ.ค. 65) เราก็ได้มีโอกาสโฉบ ๆ ไปซึมซับบรรยากาศงานเปิดตัวเทสลาที่พารากอน งานนี้อยากไปเพราะเราสองคนยังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยจับ MY มาก่อน คนก็ยังเยอะใช้ได้ ขนาดเพิ่งเปิดห้าง ก็สงสารน้อง ๆ จนท.ของเทสลาที่เค้าต้องยืนตอบคำถามจนหงิก อยากจะไปช่วยเค้าตอบ แต่ก็กลัวเค้าไล่ออกมา เด้วไปตอบอะไรที่ทำให้แบรนด์เค้าเสียหาย พริตตี้น่ะเหรอ ไม่มีสักนาง สรุปว่า ทุกคนจะเห็นความร้ายกาจและความแปลกของเทสลาตามลักษณะนิสัย CEO เค้า เทสลาไม่ใช้งบโฆษณา เคลมว่าทุ่มเม็ดเงินไปที่ R&D จนหมด เทสลาอาศัยแฟนบอย อาศัย youtuber ช่วยสร้างกระแส และอาศัยผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่ (ยัง) ล้ำหน้าคนอื่นเป็นตัวให้ผู้บริโภคตัดสิน ข้อดีก็คือ แหวกแนวดี เราก็สงสัยนักเชียวว่าทำไมคนไทยจะต้องจองรถในงาน Motor Expo เท่านั้น แล้วทำไมจะต้องเอาสาวสวย (เด้วนี้เริ่มมีหนุ่มหล่อ กล้ามบึ้ก) พริตตี้มาประกอบงาน แต่ตอบคำถามอะไรเกี่ยวกับรถไม่ได้ (pretty stupid -about cars) มันก็แปลกดีนะที่รถยนต์ยี่ห้อเมกันเจ้านึง ซึ่งยังไม่เคยตอกเสาเข็มสร้างโชว์รูมหรือศูนย์บริการสักแห่งเดียวไม่ไปงาน Motor Expo (และจะไม่ไปด้วย เพราะของเมืองนอก อีก็ไม่เคยไปออกงานไหน) ไม่มีโปรฯ เด็ด ไม่มีอะไรให้เพิ่ม ไม่แถมนู่น แถมนี่ จะสามารถเรียกยอดจองออนไลน์ได้เกินอันดับหนึ่งจากงาน motor Expo ถึงป่านนี้ งาน Motor Expo ปิดตัวด้วยยอดอันดับหนึ่งได้แก่พี่โตเจ้าเก่าไปครอง 6,064 คัน ยอดจองเทสลาเราไม่ทราบ เพราะเค้าไม่เปิดเผย (และจะไม่เปิดเผยด้วย อีตานี่ มันไม่เคยบอกอะไร) แต่เรามั่นใจว่ายอดจองเทสลาตอนนี้ น่าจะเลย 6-7 พันคันไปเรียบร้อย ดีไม่ดีจะแตะ ๆ หมื่นด้วยซ้ำ (BYD ทำได้ในระยะเวลา 40+ วัน) ถ้าจะรู้อีกทีก็จะเป็นยอดส่งมอบรถ หรืออีกทีก็ยอดจดทะเบียนรถเทสลาใหม่ของปีหน้า สำหรับรถเทสลาของเดิมที่เกรย์เอาเข้ามา (รวมรถเราด้วย 1 คัน) น่าจะเหยียบ ๆ พันแล้วล่ะคับ

เอาเป็นว่าเราไม่ได้อยากจะเชียร์เทสลาออกหน้าออกตา แต่รถ Tesla model 3 ที่เราใช้อยู่ก็ถือว่าคุณภาพดีจริงและทำให้ชีวิตเรามีความสุข อยากขับไปแร่ดไหนต่อไหนทั่วไทยเลย  พอเทสลาเข้ามาประเทศไทยจริง ราคาจับต้องได้ เราเองก็อยากจะสอย MY LR or RWD มาเล่นอีกคัน แต่คนที่บ้านก็ค้าน บอกให้รอก่อน และช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเราก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบอีตาอีลอน มัสก์มากขึ้นเรื่อย ๆ จากการประพฤติตัวและมารยาททราม ๆ หรือคำพูดชั่วร้ายที่ออกมาจากนิ้วเค้า (ทาง twitter) เราอยากจะบอกว่าถ้าเทสลาไม่มีอีตานี่ ก็คงมาถึงจุดนี้ไม่ได้ แต่พฤติกรรมของเค้าในระยะหลัง ๆ ก็ฉุดให้หุ้น TSLA ดิ่งเหวตามไปด้วย ในอนาคตเราก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ เราไม่ใช่พวก Tesla short หรอกนะ ส่วนจะซื้อ tesla อีกคันไหม คงต้องดูว่าคู่แข่งจะไล่ทันแค่ไหนโดยเฉพาะจากค่ายจีน (BYD นำมาเลย) คือถ้าอีตาอีลอนนี่มันไม่เพี้ยนจัดไปซะก่อน ธุรกิจแต่ละรายการของเค้านี่ถือว่า disrupt และร้ายกาจมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Tesla, SpaceX, Boring company, Solar City, Neuralink, etc คนที่ดูเหมือนจะฉลาด แต่จริง ๆ ไม่ได้เฉลียวอะไรเท่าไหร่ เค้าจะสามารถเป็นได้ทั้งมนุษย์สุดแสนประเสริฐเป็นพระเจ้าช่วยเหลือมนุษยชาติ หรือ กลายเป็นจอม evil ที่ร้ายกาจที่สุดได้เสมอ

ก็อยากจะเห็นรถ EV เยอะ ๆ ถ้าเป็นไปได้ อยากเห็น 100% EV เลย รวมทั้งแมงกะไซค์ด้วย อยากสูดอากาศบริสุทธิ์ อยากได้หน้าหนาวคืนมา อยากเห็นโลกใบนี้ไม่ถูกทำร้ายมากไปกว่านี้ จะยี่ห้ออะไรก็เอาเถอะ ชอบหมด ไม่ว่าแมวเหมียว สร้างฝันของเธอ เม้งกวง เทสลา รวมถึงค่ายเกาหลี พี่โต (จะทันรึปะล่ะ น่าจะเป็นโกดัก #2) และอาจจะได้เห็นรถยี่ห้อผลไม้ภายในปี 2026 อนาคตรอพวกเราอยู่จ้า
 




Create Date : 08 ธันวาคม 2565
Last Update : 21 ธันวาคม 2565 19:02:48 น. 0 comments
Counter : 1961 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space