1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
The Pilgrimage III
หลังจากนั้น Petrus ก็รีบเร่งเดินไปเมืองต่อไป ซึ่งทำให้ตัวละครหลักรู้สึกสงสัยว่าทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย แต่พอถาม Petrus ไปก็ไม่ได้คำตอบ ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่ง และที่นั่นเองที่ Petrus เริ่มเดินช้าลงและหยุดพักโดยบอกว่าเหนื่อย แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่ Petrus บอกนั่นไม่จริง ที่นั่น เขาได้พบกับปีศาจ หรือสุนัขตัวนั้นอีกครั้ง และเขาก็รู้ว่าสาเหตุที่ Petrus รีบเร่งก็เพราะรู้ว่าจะเจอศัตรูของเขานั่นเอง ในขณะที่เขาจะต่อสู้กับสุนัข Petrus ก็หายตัวไป เขาถูกสุนัขกัดและกระโจนเข้าใส่ จนเป็นแผลไปหมด ซึ่งทำให้เขารู้สึกอยากที่จะยอมแพ้ แต่แล้ว Agape ข้างในของเขาก็พลักดันให้เขาสู้ต่อ เพื่อที่จะสู้กับสุนัข เขาก็ต้องทำตัวเหมือนสุนัขเหมือนกัน เขาลงไปกัดฟัดกับมันจนมันแพ้ และปีศาจที่สิงสุนัขตัวนั้นอยู่ก็ออกจากร่างไปเข้าร่างของเขา แต่ดัวยความรักที่เกิดจาก Agape ปีศาจตัวนั้นก็อ่อนแอลงแล้วมุดลงดินหนีไป ซึ่งก็หมายความว่าเขาชนะแล้ว Petrus พาเขาไปอีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อที่จะพักรักษาตัว แต่ยังไม่ทันรักษาตัวเรียบร้อย พวกเขาก็ถูกไล่ออกมาก่อนเพราะมีข่าวลือว่าเขาเป็นโรคพิษสุนัขบ้า ทำให้ชาวบ้านต่างกลัวว่าเขาจะมาแพร่เชื้อโรค Petrus จึงพาเขาออกเดินทางต่อ ในระหว่างก็มีทางเดินหนึ่งที่มีไม้กางเขนเรียงอยู่ตามทางไปจนสุดสายตา และ Petrus ได้สอนการฝึกฟังให้กับเขา โดยให้ตั้งใจฟังเสียงสิ่งต่างๆรอบตัว เริ่มจากฟังเสียงทั้งหมด แล้วมาตั้งใจฟังแต่ละเสียงทีละเสียง ซึ่งการฝึกนี้จะทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ระหว่างที่เดินอยู่นั้นเขาก็เจอกับไม้กางเขนอันหนึ่งที่ล้มลงอยู่ Petrus สั่งเขาให้ตั้งมันขึ้นมาให้ได้ แต่เพราะว่าเขาเห็นว่าตัวเองนั้นยังบาดเจ็บอยู่และไม้กางเขนนั้นก็ใหญ่มา เขาจึงปฏิเสธ แต่ Petrus ก็ยังยืนยันสั่งให้เข้าทำตาม เขาก็ต้องจำใจทำตามคำสั่ง ซึ่งทำให้ปากแผลเปิดและเลือดไหลออกมามากมาย แต่เขาก็ไม่ลดละความพยายาม ในขณะที่เขากำลังกระเสือกกระสนดันไม้กางเขนขึ้น Petrus ก็ได้แต่นอนหลับไม่สนใจ ทำให้เขารู้สักเกลียด Petrus ขึ้นมา แต่แล้ว เมื่อเขาทำสำเร็จ เขาก็รู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีต่อร่างกายที่ช่วยเหลือเขาให้ผ่านเหตุการณ์ที่ลำบากนั้นได้ และ Petrus ได้สอนเข้าว่า ไม่ว่าคนเรานั้นจะฉลาดเท่าใดก็ตาม เราไม่ควรที่จะลืมที่จะทำตามคำสั่งอย่างนอบน้อม เขาเดินทางมาถึงสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง และที่นั่นก็เป็นที่ๆ Petrus จะบอกลา Petrus บอกให้เขาลับตา และฟังความลับเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ เพื่อที่ว่าวันหนึ่ง เขาอาจะจะถูกเรียกไปให้เป็นผู้นำทางให้กับผู้แสวงบุญคนอื่น แล้ว Petrus ก็บอกให้เขาไปเจอที่งานพิธี และสอนการฝึกสุดท้ายที่จะนำไปใช้ในงานพิธีนั้น คือการฝึกเต้น คือให้ร้องเพลงแรกที่เราได้ยินในวัยเด็ก แล้วขยับส่วนหนึ่งของร่างกายไปตามดนตรีเป็นเวลา 5 นาที หลังจากนั้นก็หยุดร้องเพลง แล้วมาฟังเสียงรอบๆตัวเรา และพยายามทำให้เสียงเหล่านั้นเป็นเสียงดนตรีแล้วเต้นตามจังหวะด้วยร่างกายทุกๆส่วน และสุดท้าย Petrus ก็บอกเขาว่านักแสวงบุญทุกคนควรที่จะบอกเล่าเรื่องราวการแสวงบุญนี้ให้คนอื่นได้รู้เพราะมันเป็นคนทางสำหรับปุถุชน ซึ่ง Petrus ได้วาดภาพแสดงการแสวงบุญของเขาไว้ เพื่อที่คนอื่นจะได้เดินทางมาแสวงบุญได้บ้าง---ประมาณว่าคนเราเมื่อได้เรียนรู้สิ่งดีๆแล้ว ก็ควรจะไปสอนคนอื่น ไม่ควรกั๊กเอาไว้ วันต่อมาที่งานพิธี เขาก็ได้เจอกับ Petrus อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน ที่นั่น มีนักแสวงบุญคนหนึ่งถูกเรียกออกไป และมีการทำพิธีให้กับเขา แต่ว่าตัวเขาเองกลับไม่ได้ถูกเรียก ซึ่งทำให้เขารู้สึกละอายต่อตัวเองและต่อ Petrus มาก หลังจากนั้น เขาก็เดินทางไปตามแผนที่ที่ Petrus เหลือไว้ให้ เขาได้ผ่านหมู่บ้าน และเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นำเขาไปสู่ประตูแห่งการให้อภัยซึ่งถูกสร้างไว้ให้นักแสวงบุญที่ไม่สามารถข้ามไปถึงจุดหมายได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ข้ามผ่านประตูนั้น หลังจากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งมานำทางเขาไปที่โบสถ์ทีมีประตูเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้เขา และมุ่งหน้าต่อไป เขาปีนเขาไปหลายลูกจนเข้าไปอยู่ในหมอกซึ่งทำให้เขามองไม่เห็นทาง แต่เขาก็เลือกที่จะเดินต่อไป พอเขาออกมาจากหมอกได้ก็เจอกับลูกแกะตัวหนึ่ง ซึ่งนำพาเขาไปที่โบสถ์ที่ Master ของเขารออยู่พร้อมกับดาบของเขา Masterก็ให้ดาบกลับมา และนั่นก็เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางแสวงบุญของเขา เขาถาม Master ของเขาว่ารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมา Master ของเขาเพียงบอกว่าเขามารอเมื่อวาน และกลับวันพรุ่งนี้ไม่ว่าเขาจะมาถึงหรือไม่ ซึ่งทำให้เขารู้ว่า คนเรามักจะมาถึงที่ๆมีคนรอเราในเวลาที่เหมาะสมเสมอ ซึ่งเราคิดว่ามันคงหมายถึงว่าโอกาสจะมาถึงเมื่อถึงเวลาของมัน ตอนนี้นั้น เขาได้รู้ตัวแล้วว่าในระหว่างทาง เขาได้มุ่งที่จะหาดาบมากเกินไป แต่ตอนนี้เขารู้สึกภูมีใจที่ตัวเองสามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อกับชีวิต และดาบของเขา ซึ่งเขาก็ได้เขียนสิ่งต่างๆที่เขาจะทำลงในกระดาษและเอาหินทับไว้เพื่อแสดงว่าเขาได้บอกเรื่องนี้ให้ Petrus รู้ และเขาก็หวังว่า วันหนึ่ง เขาจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ให้คนอื่นได้รู้เหมือนกับที่ Petrus ได้วาดรูปเมื่อตอนที่เดินทางจบ หนังสือเรื่องนี้เราได้มาจากน้องสาวคนหนึ่ง บอกว่าชอบคนเขียนนี้ เราว่าเรื่องนี้ก็สอนอะไรหลายๆอย่างและการฝึกปฏิบัติต่างๆก็สามารถทำได้จริง และควรฝึกทำด้วย
Create Date : 09 กรกฎาคม 2550
Last Update : 9 กรกฎาคม 2550 10:26:00 น.
0 comments
Counter : 639 Pageviews.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [? ]
การที่เราเอาหนังสือที่เราอ่านอยู่นั้นมาย่อลงใน blog ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีคนอ่านมากมายหรอก แต่แค่เป็นการกระตุ้นตัวเองให้ตั้งใจอ่านเข้าไว้ และนึกเสมอว่ายังมีคนที่ยังรออ่านใน Blog อยู่ (หรือเปล่า)