Group Blog
 
<<
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
29 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
ตำลึง กับผลการทดลองลดน้ำตาลในเลือดได้ ฯลฯ


ตำลึง

ชื่ออังกฤษ   IvyGourd

ชื่อท้องถิ่น  :  ผักแคบ (เหนือ) แคเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน) สี่บาท

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ตำลึงเป็นไม้เถามีอายุอยู่ได้หลายปี เมื่ออายุมากเถาจะใหญ่และแข็งเถาสีเขียวตามข้อมีมือเกาะ ใบออกสลับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสีขาวข้างในมีเกสรสีเหลืองอ่อน ผลคล้ายลูกแตงกวา แต่ขนาดเล็กกว่าผลดิบสีเขียว และมีลายขาว เมื่อลูกสุกเต็มที่สีแดงสดปลูกเป็นผักขึ้นตามรั้วบ้านตามชนบททั่วไป ปลูกโดยใช้เมล็ด


สาระสำคัญที่พบ

น้ำย่อยแป้ง ( amylase ) ฮอร์โมน และอัลคาลอยด์ มีกรดอะมิโน ( amnoacid ) หลายชนิด ในผลตำลึงพบสาร คิวเคอร์บิตาซิน ( cucurbitacin )มีสาร pectin ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้มีdaucosterol ,  glucopyranosyl ,  sitosterolm , taraxerone

คุณค่าทางด้านอาหาร

ในตำลึงมีคุณค่าทางด้านอาหารสูง ประกอบด้วยวิตามินเอและสารแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต  ฟอสฟอรัส  เหล็ก วิตามิน และอื่นๆนับเป็นอาหารบำรุงที่ดี ยอดตำลึงใช้เป็นผักปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่นลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงจีดตำลึงหมูสับ แกงเลียงหรือใส่ก๋วยเตี๋ยวแทนถั่วงอกก็ได้

ส่วนที่ใช้เป็นยา  ใบสด

ขนาดที่ใช้ ตำลึง250 กรัมต่อน้ำหนักตัว50 กิโลกรัม เช้า –เย็น วันละ 2 ครั้ง

รสและสรรพคุณยาไทย

รสเย็น ใบสด ตำคั้นน้ำ แก้พิษแมลงกัดต่อย ที่ทำให้ปวดแสบปวดร้อนและคัน

ประโยชน์ทางยา

ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ยุงกัดถูกตัวบุ้ง ใบตำแย แพ้ละอองข้าว โดยเอา

 ใบสด 1 กำมือ ( ใช้มากน้อยตามบริเวณที่มีอาการ ) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยแล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการพอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย

ใบแก่

ของตำลึงมีสรรพคุณทางยาคือช่วยลดน้ำตาลในเลือด  อุดมไปด้วยสารpectin  ซึ่งหมอยาสมุนไพรพื้นบ้านชาวตะวันออกได้ใช้รักษาโรคเบาหวานแต่โบราณ

เมื่อปีพ.ศ. 2523

ได้มีการศึกษาโดยการแบ่งคนไข้โรคเบาหวานชาวปากีสถาน 32 คน ออกเป็น2 กลุ่ม เท่าๆกัน กลุ่มหนึ่งให้รับประทาน ยาใบตำลึงวันละ 6 เม็ดพบว่าเมื่อให้ยาติดต่อกัน 6 สัปดาห์น้ำตาลในเลือดของคนไข้กลุ่มนี้ลดลงและความสามารถในการใช้น้ำตาลดีขึ้น 20%เพียงแต่ว่ากระบวนการรักษาโรคเบาหวานของตำลึงนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด


รายงานการทดลอง

ส่วนใหญ่นั้น จะพบว่าส่วนต่างๆของตำลึงมีผลในการลดน้ำตาลในเลือดเช่น

พ.ศ 2496 ในประเทศอินเดีย

ให้กระต่ายที่เป็นโรคเบาหวาน กินน้ำต้มรากตำลึงเป็นเวลาประมาณ 58 –71 วัน พบว่า น้ำตาลในเลือดของกระต่ายส่วนใหญ่ลดลงจนเกือบเป็นปกติ

พ.ศ  2515 ในประเทศไทย

มีการทดลองใช้สารสกัดแอลกอฮอล์ จากเถาตำลึงกับกระต่ายที่เป็นเบาหวาน พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังจากกินยาไปแล้ว 1 ชั่วโมง และยาออกฤทธิ์นาน 6 ชั่วโมงโดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ  50% ของยาลดน้ำตาล ทอลบูตาไมค์

พ.ศ 2536  ประเทศเยอรมัน

ทดลองใช้สารสกัดจากผลตำลึง ขนาด 200 มก./100 กรัม ในหนูปกติ มีฤทธ์ลดน้ำตาลในเลือดได้

พ.ศ  2546 ในประเทศอินเดีย

ทำการทดลองในหนูที่เป็นเบาหวาน ที่กระตุ้นโดยสาร Streptozotoeinโดยใช้ สารสกัดจากใบตำลึง 200 มก./กก. ให้สารสกัดทางปากแก่หนูเป็นเวลานาน 45 วัน ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดไ ด้ดีกว่ายา glibenclamide

มีรายงานการทดลองจากต่างประเทศ

ว่าน้ำต้มผักตำลึงจะมีฤทธิ์ครึ่งหนึ่งของน้ำยาสกัดแอลกอฮอล์

ส่วนในคนนั้น

พบว่า มีการทดลองโดยนำใบตำลึงมาคั้น ในอัตราส่วนน้ำ 20มล.ต่อใบตำลึง1 กก. โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานดื่มวันละ 2 ครั้ง พบว่าได้ผลในการลดน้ำตาล เช่นกัน


ส่วนรายงานการทดลองที่ไม่ได้ผล 

นั้นส่วนหนึ่งพบว่าเมื่อนำส่วนของตำลึงที่ใช้ประกอบอาหารมาสกัดให้หนูที่เป็นเบาหวานกินปรากฏว่าไม่สามารถลดน้ำตาลในหนูได้ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใบและยอดอ่อนของตำลึงมีอายุน้อยเกินไป

ในปีค.ศ 2003 ประเทศอินเดีย

มีการทดลอง สารสกัดจากใบตำลึงในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เป็นเบาหวานพบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

การทดสอบความเป็นพิษ 

โดยป้อนสารสกัดทั้งต้นด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ (1:1 ) ในขนาด (1:1)  ในขนาด 10 ก/กก.ไม่พบสารพิษ


(ขอบคุณข้อมูลตำลึงจากหนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน

รวบรวมเรียบเรียงโดยเภสัชกรหญิงจุไรรัตน์เกิดดอนแฝก(พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับปรับปรุง))



ตำลึงตัวเมีย

ใบ  รสเย็น  ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษฝีถอนพิษของตำแย แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน

ดอก  รสเย็น แก้คัน

เมล็ด  รสเย็นเมา ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด

เถา  รสเย็น ใช้น้ำจากเถาหยอดตา แก้ตาฟางตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ  ชงกับน้ำดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ

ราก  รสเย็น   ดับพิษทั้งปวง

น้ำยาง, ต้น,ใบ, ราก   รสเย็น  แก้โรคเบาหวาน

หัว   รสเย็น     ดับพิษทั้งปวง


ตำลึงตัวผู้  


หัว  รสเย็น   ดับพิษทั้งปวงระบายท้อง


( ขอบคุณสรรพคุณตำลึงจากหนังสือเภสัชกรรมไทย ฯโดยวุฒิวุฒิธรรมเวช)


 ผักตำลึง

บางคนกินมากเกินต่อครั้ง หรือต่อมื้ออาหาร ทำให้เกิดการะบายท้อง แล้วเข้าใจว่าท้องเสีย พอต่อมาก็ทำให้ไม่อยากกินอีกหรือสั่งผู้ทำอาหารว่าไม่ต้องนำมาทำอาหารอีกนะ กินแล้วท้องเสีย ทำไมไม่คิดว่า ล้างลำไส้ด้วยผักตำลึง ช่วยระบายท้อง บ้างก็ดีนะพอมื้อต่อๆมาเราก็ควรกินแต่พอดี หากไม่ทานเลยก็น่าเสียดายคุณค่าของสารอาหารในผักตำลึง ซึ่งเป็นผักที่ปลูกเองได้ไม่ปลูกก็เก็บริมรั้วบ้านตัวเองหรือเพื่อนบ้าน ได้เช่นกันหรือหาซื้อได้ง่ายจากตลาดและมีราคาถูก ผู้อยู่ในเมืองเราคงต้องหันมาเริ่มปลูกตำลึงกันไว้บ้างแล้วนะคะหรือบ้านที่มีอยู่บ้างแล้วก็ต้องไม่ถอนตัดทิ้งหมดเหลือราก-เถาไว้บ้าง

ผู้เขียนเวลากลับบ้านสุพรรณมีให้เห็นรอบบ้าน เจ้าตำลึงก็พันเลื้อยเต็มไปหมด ไม่ว่าบนต้นมะกรูดมะลิเป็นพุ่ม กระถิน ฯ ก็ต้องดึงถอนทิ้งบ้างเมื่อเด็กๆเก็บยอดตำลึงเด็ดสดๆจากต้น สั้นๆเฉพาะยอด มาลวกจิ้มน้ำพริก ก็อร่อยมากแล้ว ตำลึงเป็นผักที่นำมาต้มบดเป็นอาหารให้เด็กเล็กก่อนทานข้าวเป็นเมล็ดดีมากๆ เพราะสารอาหารที่มีประโยชน์มีมากบดให้ละเอียดง่าย  ต่อนี้ไปเราไม่ควรมองข้ามผักตำลึงนานเกินไปนำมาทำอาหารกันบ้างนะคะ และครอบครัวไหนที่มีผู้ป่วยโรคเบาหวานก็นำใบแก่ตำลึงตัวเมีย ฯทำเป็นอาหารให้ทานเป็นประจำ เพื่อช่วยลดน้ำตาลในเลือดซึ่งในแต่ละมื้อควรแบ่งทานแต่พอดี  หรือผู้ที่เป็นโรคท้องผูกก็ทานผักตำลึงบ่อยๆก็น่าจะช่วยระบายท้องได้ดี  

ด้วยความปรารถนาดี  กานดา  แสนมณี





Create Date : 29 กันยายน 2555
Last Update : 27 เมษายน 2556 22:34:59 น. 1 comments
Counter : 2478 Pageviews.

 
ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆ มาเผยแพร่ให้ได้รับรู้
บ้านเรามีของดีมีคุณค่ามหาศาลอยู่มากมาย


โดย: jardee IP: 101.108.64.238 วันที่: 29 กันยายน 2555 เวลา:11:12:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kandanalike
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 30 คน [?]




Friends' blogs
[Add kandanalike's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.