หลังจากวางแผนกันมานาน ตั้งแต่ก่อนเกิดการรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ว่า พวกเราควรไปต่างจังหวัดกัน(อีก)สักครั้ง แต่ครั้งนี้ควรมีจุดมุ่งหมายหลักในการจะไป ที่มากกว่าการไปเที่ยวและเปลี่ยนที่กินเหล้า
แต่หลังเกิดการรัฐประหาร งานเข้าอีกแล้ว และเราก็เหนื่อยกันมากกับงาน จนต้องพักโครงการต่างจังหวัดไว้ก่อน
กระทั่งคลื่นลมแห่งการงานเริ่มเบาบางลง พี่ไก่ หัวหน้าแสนดีของพวกเรา ก็ฟื้นแผนออกต่างจังหวัดเพื่อน้องๆกลับคืนมา
วันที่ลงตัวสำหรับ(เกือบ)ทุกคน คือ ๘ และ ๙ มีนาคม ๒๕๕๑ ไม่มีเลื่อนไปอีกแล้ว แม้ว่าเป็นที่น่าเสียดายว่าหลายคนจะไม่ว่างไปทำบุญและเที่ยวร่วมกันในครั้งนี้
ล้อหมุนออกจากบริษัทย่านประชาชื่น ราว ๑๐ นาฬิกาของยามเช้าวันที่ ๘ มีนาคม หลังจากที่พวกเราได้ช่วยกันยกของขึ้นรถ ๒ คัน พร้อมกับเติมพลังกันก่อนด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้งกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไปถึง อ.สวนผึ้งประมาณเที่ยงวัน บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้มากมาย แต่อาจจะขัดตาอยู่บ้างจากรีสอร์ทที่รุกคืบเข้าไปในภูเขามากเกิน (อาจจะมากเกินที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วยซ้ำ)
ไม่นานนัก เราก็ไปถึงมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ แม้แรกไปถึงจะขับเลยไปบ้าง แต่ก็ย้อนกลับมาได้ไม่มากนัก
เมื่อมาถึงภายในมูลนิธิ น้องๆนั่งรอเราอยู่แล้ว
ลงรถทักทายกันเล็กน้อย ก่อนจะช่วยกันขนของลงจากรถ
ของลงเรียบร้อย นั่งพักเพียงครู่ เราก็ไปทานข้าวกลางวันกัน (เฮ้อ..หมดแรงข้าวเหนียวหมูปิ้ง)
รายการอาหารกลางวันของเรานั้น เรียบง่ายแต่ไม่ด้อยรสชาติ ทั้งยำผักกูด (พี่สาวท่านหนึ่งในบริษัท กล่าวหลังจากที่ได้ชมภาพ เมื่อเรากลับไปแล้ว บอกว่า ผักกูด คนเคยเข้าป่ารับประทานกันประจำ)
ผัดเห็ดโคนญี่ปุ่นผัดน้ำมันหอย จานนี้อร่อยล้ำ จนมีเสียงเรียกร้องว่า ขออีก และซื้อเห็ดสดกลับบ้านกันหลายมือ
และแกงเผ็ดอีกหนึ่งชาม ร้อนท้องดีแท้
อ่อ ยังมีไข่เจียว ที่น้องบางคนร้องขอ และยืนยันว่า ไข่เจียวสวนผึ้ง อร่อยจริงๆ
พักพอให้อาหารย่อย เราก็เตรียมเดินทางไปเขากระโจมกัน
เขากระโจมที่ว่านี้ เป็นเขาบนเทือกเขาตะนาวศรี ชายแดนด้านทิศตะวันตกของไทยติดกับสหภาพพม่า
ทางขึ้นช่วงแรก ไม่มากนัก มีการลาดยาง เป็นถนน ๒ ช่องทาง ส่วนที่เหลือเป็นทางดินลูกรัง เส้นทางสูงชัน และมีร่องอยู่มาก ดังนั้น จึงมีเพียงรถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้นที่จะขึ้นไปจนถึงยอดเขาได้
เราขึ้นไปได้เกือบครึ่งทาง ก็แวะกันเพื่อลงเดินชมสภาพป่าไม้ น้องๆจากมูลนิธิต่างอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ฟังมากมาย และชี้ชวนให้ชมโน่นนี่ โดยไม่มีติดขัด ทั้งนี้ ก็เนื่องจากการทำงานส่วนหนึ่งของมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ ที่ต้องการปลูกฝังความรักป่า รักสิ่งแวดล้อม รักธรรมชาติให้แก่เด็กๆ คนรุ่นต่อไป
"พี่ค่ะ นี่คือต้นเตยป่าคะพี่ นี่ยังกอเล็กๆนะคะ ตามริมน้ำจะกอใหญ่กว่านี้อีก"
"ใบของต้นเตยป่า เขาจะเอามาทำเป็นเสื่อค่ะ"
"แล้วใช้ทนไหมล่ะ" ผมถามบ้าง
"ทนค่ะพี่ ถ้าไม่ฉี่ใส่บ่อย"
?!? งงล่ะสิครับ ผมก็งง
"ก็ยายหนูจะทำเสื่อใบเตยป่าให้หนู แต่หนูนอนฉี่รดบ่อย มันก็ขาด ยายก็ต้องซ่อมให้หนู" ^_^
นอกจากการอธิบายเรื่องราวต่างๆในป่าให้ฟังอย่างคล่องแคล่วแล้ว เด็กๆยังตั้งชื่อให้ต้นไม้และสถานที่ที่พวกเขาและเธอพบเห็น
ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้คู่รัก และสะพานดาว
ต้นไม้คู่รัก คือต้นไม้สองต้น ที่โตขึ้นมาข้างๆกัน เพียงแต่ว่า ต้นหนึ่งได้ตายไปแล้ว แต่ยังไม่ล้ม นั่นก็เพราะยังมีอีกต้นหนึ่งคอยกอดมันไว้ ไม่ให้จากไปไหน
ส่วนสะพานดาว เป็นช่องทางระหว่างเขาสองลูก ความกว้างเพียงรถคันเดียววิ่งผ่านได้ อีกคันจะไปก็ต้องรอก่อน
เดิมชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า ช่องเขาขาด ใครจะข้ามต้องไหว้ศาลเจ้าที่เจ้าทางบริเวณนั้นก่อน เพื่อขออนุญาต
สำหรับเด็กๆ เขาเรียกกันว่า สะพานดาว เพราะเป็นสะพานระหว่างความสูงสองด้าน ที่มองเห็นดาวได้
กว่าจะถึงจุดที่เราต้องการไป เนินพัน สุดเขตประเทศไทย ภาคตะวันตก เล่นเอาจุกไปหลายรอบ เพราะเส้นทางสุดโหด สูงชัน
เด็กๆบอกว่า หากเป็นฤดูฝน รถอาจจะขึ้นไม่ได้ ต้องเดินเท้ากัน หรือช่วงหน้าแล้งอย่างนี้ ใครขับไม่เก่ง ได้ตกร่องกัน
ส่วนลุงคนขับ ผู้นี้เชี่ยวชาญมาก เพราะขับขึ้นรถแทบทุกวัน อ่อ..เป็นรถที่รับจ้างพาขึ้นเขากระโจมนั้นเอง (เห็นติดป้ายไว้ที่ร้านอาหาร ด้านหน้ามูลนิธิว่ามีรถขึ้นเขากระโจม)
บริเวณที่เขาพัน (ที่เราหลายคนอยากเปลี่ยนให้เป็นหมื่น เพราะสูงเอาเรื่อง) มีฐานของ ตชด.อยู่ และก็มีที่จอด ฮ. อยู่ด้วย
มีน้องผู้ทราบข้อมูลแจ้งว่า เป็นจุดจอด ฮ. ที่มาส่งนักศึกษาพม่า ซึ่งบุกยึดสถานทูตพม่า เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๒ เพื่อแลกกับตัวประกันที่นักศึกษาจับไว้ โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น นั่งมาด้วยเพื่อประกันความปลอดภัย
หลังจากกลับลงมาจากเขากระโจม อาบน้ำกันเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่เนินทราย สถานที่ที่น้องๆร่วมกันจัดเตรียมเป็นที่พักให้พวกเรา
และยังเตรียมเพลงไพเราะความหมายดีๆ (เพลงที่เปิดอยู่เป็นหนึ่งในนั้น) มานั่งร้องให้พวกเราฟัง
สอบถามจากพี่ๆ และเด็กในมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์แล้ว ทราบว่า ส่วนใหญ่เด็กๆเหล่านี้จะเป็นเด็กไร้รัฐ เนื่องจากมีพ่อแม่เป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ทำให้เด็กๆหลายคนไม่ได้เรียนหนังสือต่อในโรงเรียน เพราะหลักสูตรไม่ได้ตอบสนองการใช้ชีวิตของพวกเขาและเธอ และเรียนไปก็ไม่ได้การรับรอง เพราะพวกเขาและเธอไม่มีสัญชาติ
คือพอ (ภาษากะเหรี่ยงแปลว่า ดอกบอน) คือเด็กคนเดียวในกลุ่มที่มีบัตรประชาชน
"เวลาที่พวกพี่ไปถ่ายบัตรประชาชน พี่อาจจะเฉยๆ แต่สำหรับหนู..."
"วันที่หนูได้บัตรประชาชนคือวันที่หนูมีความสุขที่สุด"
วันนี้ แม้เด็กๆที่มูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์จะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย แต่เด็กๆก็รักผืนป่าในประเทศบ้านเกิดของพวกเขาและเธอมาก
เห็นความสำคัญและคุณค่าของป่า ของต้นไม้
ในขณะที่คนไทยบางคนกลับไม่รัก และยังคิดทำลาย เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตน
"ป่าที่นี่จะทึบ ใบไม้ที่ร่วงลงมาก็จะปิดดินเอาไว้ ทำให้ดินที่นี่อมน้ำได้ดี เกิดต้นน้ำ ไหลลงไปจนถึงทะเล"
น้ำเสียงใสๆอธิบายเรื่องราวในป่าอย่างมีความสุข เสียงนั้นยังคงก้องดังในห้วงความคิดของผมไปอีกนาน..
-------------------
ท่านใดสนใจใคร่ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ กดไปได้ที่ www.rabbitinthemoon.org
ถ้าเราทำให้มนุษย์เข้าใจธรรมชาติได้มากขึ้น แม้อีกเพียงนิดเดียว ก็เป็นงานที่มีค่าและควรทำอย่างยิ่ง.. มูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์
-------------------