โลกนี้แสนสวยงาม... อยากให้เธอได้อยู่ร่วมชม...............
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
6 มีนาคม 2549
 
All Blogs
 
ทางตันทางการเมืองของใคร..โดย..นิธิ..เอียวศรีวงศ์

ทางตันทางการเมืองของใคร

จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๙

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

จากวิกฤตศรัทธาต่อนายกรัฐมนตรี มาสู่วิกฤตของสภา และมาลงท้ายที่วิกฤตของรัฐธรรมนูญ

ท ั้งหมดเหล่านี้ล้วนมาจากการที่ไม่มีฝ่ายใดตั้งใจจะแก้ปัญหาทางการเมืองอย่าง ตรงไปตรงมา ฝูงชนจำนวนมากในเขตเมืองต่อต้านนายกรัฐมนตรี เพราะเขาไม่เชื่อในความซื่อสัตย์สุจริตของนายกรัฐมนตรี ข้อกล่าวหานั้นชัดเจน โดยเฉพาะการขายหุ้นทำกำไรมหาศาลแก่กิจการลงทุนของรัฐบาลต่างชาติโดยไม่ต้องเ สียภาษี

นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญกับข้อกล่าวหานั้นอย่างตรงไปตรงมาด้วย ตนเอง เพราะการบริภาษก็ตาม การตีโวหารก็ตาม การให้ข้าราชการหรือ ก.ล.ต.ออกมาปกป้องแทนก็ตาม ไม่ทำให้ศรัทธาที่หายไปในบรรดาผู้ประท้วงกลับคืนมาได้ (ก็คนเหล่านั้นได้รับความศรัทธาเชื่อถือจากประชาชนน้อยกว่าตัวนายกฯ เองเสียอีก) จึงไม่อาจแก้วิกฤตศรัทธาได้

คนที่นายกรัฐมนตรีต้องกู้ศร ัทธากลับคืนมาให้ได้ ไม่ใช่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หรือขาประจำ ขาจรทั้งหลายที่ขึ้นเวทีอภิปราย แต่คือคนชั้นกลางซึ่งเจ็บปวดกับการเสียภาษีเงินได้ประเภทต่างๆ และได้รับผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินมากที่สุดเสมอมา จึงทนการโกงของนักการเมืองได้น้อย เพราะไม่โกงเขาได้ ในขณะที่ชาวบ้านระดับล่างทนได้มากกว่า เพราะถึงไม่โกง เขาก็ไม่ค่อยได้อะไรอยู่แล้ว

ถ้านายกรัฐมนตรีกู้ศรัทธาจากคนที่เข้าร่วมต่อต้านคืนมาได้ คุณสนธิและขาประจำ-ขาจรทั้งหลายก็หมดพลังไปเอง

ก ารเปิดอภิปรายในสภาเป็นส่วนหนึ่งของการเผชิญวิกฤตศรัทธา ถึงไม่มีการลงมติในสภา แต่ต้องมีการลงมติในสังคมอย่างแน่นอน เพราะประชาชนทั้งฝ่ายที่ยังศรัทธานายกฯ และฝ่ายที่ต่อต้านนายกฯย่อมจ้องทีวีตาไม่กะพริบตลอดการอภิปรายถ้านายกฯ แสดงความสุจริตของตนให้เป็นที่น่าเชื่อถือได้ท่ามกลางการซักฟอกอย่างหนักของ ฝ่ายค้าน ฝูงชนที่ต่อต้านจะหายไปครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยในทันที

แล้ วท่านนายกฯก็ยุบสภาเปลี่ยนวิกฤตศรัทธาที่มีต่อตัวท่านเองให้กลายเป็นวิกฤตขอ งสภา ผลที่เล็งเอาไว้ก็คือ พรรคของท่านจะได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด (แม้ไม่มากเท่าเดิมก็ตาม) และเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ เป็นการเล็งผลที่ไม่น่าจะพลาด และเพราะไม่น่าจะพลาดนี่แหละที่ทำให้วิกฤตศรัทธาที่ผู้คนมีต่อท่านนายกฯ ยิ่งวิกฤตหนักข้อขึ้นไปกว่าเดิม เพราะทำให้ความสงสัยในความสุจริตของนายกฯ หนักแน่นขึ้นไปอีก ก็ไม่กล้าเผชิญการซักฟอกต่อหน้าสาธารณชน

ผลที่เล็ งเอาไว้อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก ก็จะชำระล้างความสงสัยแคลงใจในความสุจริตของท่านนายกฯออกไปด้วย "เสียงสวรรค์" ที่ผ่านหีบเลือกตั้ง ผลอันนี้เล็งผิดอย่างค่อนข้างหูป่าตาเถื่อน การชนะเลือกตั้งยืนยันสิ่งที่ทุกคนเชื่ออยู่แล้วว่า ท่านนายกฯได้รับความนิยมจากพลเมืองไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรีสูงสุด โพลสำรวจเรื่องนี้ทีไรก็ได้ผลเหมือนกันอย่างนี้ทุกที แม้กระนั้นความสงสัยระแวงในความสุจริตของท่านนายกฯ ในหมู่คนที่เขาสงสัย (ซึ่งถึงแม้เป็นเสียงข้างน้อยก็ตาม) ก็ไม่เคยจืดจางลงเลย กลับยิ่งเพิ่มพูนทั้งความสงสัยและคนสงสัยขึ้นไปเรื่อยๆ

ระบบการเมือง ประชาธิปไตยยอมให้เสียงข้างมากยึดกุมการบริหาร และการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่ไม่ได้ยอมให้ยึดกุมความสงสัยหรือความคิดเห็นของเสียงข้างน้อย ฉะนั้น ถึงจะชนะเลือกตั้งมาสักเท่าไหร ก็ไม่สามารถทำให้วิกฤตศรัทธาที่มีต่อตัวท่านนายกฯ ลดลงแต่อย่างใด มันเป็นคนละเรื่องกัน ที่นั่งในสภาไม่สามารถทำให้การชุมนุมขับไล่นายกฯ หมดไป ก็เวลานี้ท่านนายกฯก็มีเสียงสนับสนุนในสภามากอย่างที่ไม่มีวันที่จะได้มากอย ่างนี้อีกแล้ว เขาก็ชุมนุมกันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือ

ยิ่งถ้าสภา ไม่มีฝ่ายค้านที่เป็นฝ่ายค้านจริงๆ (ไม่ใช่นายกฯตั้งขึ้นด้วยการปล่อยที่นั่งให้สัก 100 ที่) วิกฤตศรัทธาของตัวท่านนายกฯจะยิ่งรุนแรงขึ้น ลองคิดเถิดว่าหาก ทรท.ได้ 500 ที่นั่งในสภา ความรังเกียจ, ความระแวงสงสัย, ความไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีจะยิ่งเพิ่มพูนไปสักเพียงไร ไม่ว่าจะขยับทำอะไร ก็จะต้องเผชิญกับความระแวงสงสัยและความไม่ไว้วางใจในข่าวลือ ในสื่อ (ที่ยังไม่ถูกซื้อ) ในวงสัมมนา และแน่นอนในการชุมนุมซึ่งใหญ่ขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่การบริหาร งานตามปกติก็เป็นไปไม่ได้ แม้แต่จ่ายเงินเดือนเลื่อนขั้นข้าราชการยังกลายเป็นเรื่องใหญ่ เติมน้ำมันรถยนต์ประจำตำแหน่งแต่ละทีกลายเป็นข้อครหา

นายกรัฐมนตรีจะ ทำอย่างไรในสภาวะนั้น ถ้าไม่ลาออกก็ต้องเหยียบฝ่ายต่อต้านให้ราพณาสูร ประเทศไทยก็จะกลายเป็น "เมียนมาร์ 2" เศรษฐกิจไทยรองรับการถูกแซงชั่นแบบนั้นได้ไม่เกินเดือนเดียว



หากไม่มองด้วยโลภาคติ, ฉันทาคติ และภยาคติแล้ว ไม่เคยมีครั้งไหนที่นายกรัฐมนตรีไทยต้องการฝ่ายค้าน (จริงๆ) เท่าครั้งนี้

ฝ ่ายค้านก็เข้าใจ และไพ่ใบสุดท้ายที่มีในมือคือ บอยคอตการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายค้านก็มีภาระต้องพิสูจน์เหมือนกันว่า การเดินในแนวนี้มีประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใช่เป็นแค่เกมการเมืองเพื่อกดดันนากยฯ ให้ต้องลาออก (เดี๋ยวนี้ หรือชาติหน้าตอนสายๆ ซึ่งก็คือเมื่อกลับเป็นรัฐบาลใหม่) และด้วยเหตุดังนั้นฝ่ายค้านจึงตกลงร่วมกันที่จะชูประเด็นปฏิรูปการเมือง อย่างน้อยก็เพราะมีคนจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องปฏิรูปการเมืองกันอีกครั้งหนึ่ง

แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีความชัดเจนว่าปฏิรูปการเมืองนั้นจะต้องทำอะไร และทำอย่างไร พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือปฏิรูปการเมืองมีสองด้านคือ เนื้อหาและกระบวนการ ทั้งสองด้านไม่ชัดเจนในขณะนี้ว่าเป็นอย่างไร แม้มีผู้เห็นด้วยกับการปฏิรูปการเมืองกันอย่างกว้างขวางก็ตาม

ขอยกตั วอย่างให้เห็นชัดขึ้น เช่นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปการเมือง เรียกร้องให้ "คืนพระราชอำนาจ" แต่ไม่ชัดนักว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเนื้อหาหรือเป็นกระบวนการ กล่าวคือจะแปรเปลี่ยนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นผู้ควบคุมฝ่ายบริหารโดยตรง หรือเป็นเพียงผู้อำนวยอำนาจนอกระบบให้เกิดกระบวนการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และออกแบบโครงสร้างทางการเมืองของสังคมกันใหม่

ฉะนั้น แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับการ "คืนพระราชอำนาจ" ก็อาจเห็นกันคนละอย่างเป็นตรงกันข้ามเลยก็ได้

ป ฏิรูปการเมืองจึงยังเป็นแค่คำขวัญกลวงๆ แม้เป็นคำขวัญที่มีคนสนับสนุนอยู่มากก็ตาม แต่เนื้อหาข้างในต่างคนต่างใส่ลงไปตามใจชอบ ไม่มีอะไรตรงกันสักอย่างเดียว

แ ละในบรรดาผู้ใส่เนื้อหาลงไปตามใจชอบนั้น กลุ่มคนที่มองแคบที่สุดคือนักการเมือง เพราะมองกันแค่กติกาสำหรับเกมการเมืองในการแย่งกันมีอำนาจในฝ่ายบริหาร (จัดตั้งหรือร่วมจัดตั้งรัฐบาล) ไม่มีใครสนใจสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่มีใครศรัทธาที่จะเพิ่มอำนาจของประชาชน ไม่มีใครอยากเพิ่มอำนาจการตรวจสอบให้แก่สังคม ไม่มีใครอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการและตัดสินใจกิจการสาธารณะ ไม่มีใครสนใจสร้าง "ประชาธิปไตยที่กินได้" อย่างที่สมัชชาคนจนเรียกร้องอยู่เวลานี้

พรรคการเมืองทุกพรรค (ซึ่งเคยได้ที่นั่งในสภา) แล้วมีประวัติอันเลวร้ายของการละเมิดและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนมาแล้วทั้งนั้น

ด ้วยเนื้อหาที่แคบอย่างนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงสรุปการปฏิรูปการเมืองลงเหลือเพียงแก้รัฐธรรมนูญ แล้วเสนอให้ลงสัตยาบันร่วมกัน ขอเปิดการเจรจาแบบ "จับเข่าคุยกัน" ซึ่งจะลงลึกถึงรายละเอียด รัฐบาลถูกบีบให้เล่นเกมปฏิรูปการเมืองด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญเช่นกัน แต่หลีกเลี่ยงการลงสัตยาบันด้วยการเสนอให้ใช้เป็นคำสัญญาในการหาเสียงเลือกต ั้งแทน เรียกว่าสัญญาประชาคม

ปฏิรูปการเมืองหดแคบลงเหลือการแก้รัฐธร รมนูญ และการแก้รัฐธรรมนูญหดแคบลงไปอยู่ในกำมือของนักการเมือง ซึ่งไม่เคยมองรัฐธรรมนูญมากไปกว่ากติกาของเกมแย่งอำนาจ

ประชาชนต้องร่วมกันถามให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า "ใครบอกว่า รัฐธรรมนูญเป็นสมบัติของพวกมึง"



ร ัฐธรรมนูญฉบับนี้ล้มเหลวจริงในบางเรื่อง แต่ในหลายเรื่องไม่ได้มาจากรัฐธรรมนูญ หากมาจากปัจจัยอื่นๆ ที่แวดล้อมรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีรัฐธรรมนูญอะไรในโลกนี้ที่ถูกใช้ในสุญญากาศ แต่ถูกใช้ในสังคมซึ่งมีรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมกำกับควบคุมอย่างได้ผลอยู่แล้ วทั้งนั้น ฉะนั้น การซัดความล้มเหลวทั้งหมดให้แก่รัฐธรรมนูญก็ตาม การแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่มองปัจจัยให้รอบด้านก็ตาม จึงเป็นการมองปัญหาอย่างตื้นเขิน เหมาะสำหรับนักการเมืองและสถาบันที่รับเงินวิจัยมาเสนอรายงานตื้นเขินแก่ผู้ ให้ทุน

คนที่พบทางตันทางการเมืองที่สุดเวลานี้คือประชาชนไทย อยากรักษาระบบไว้ให้มีโอกาสแก้ความบกพร่องของตนเอง อันเป็นคุณสมบัติของระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ไม่มีทางเลือก ครั้นจะยอมให้มีการแก้ไขนอกระบบ ก็หมายถึงปล่อยให้ระบบถูกไขไปตามผลประโยชน์และโลกทรรศน์ของกลุ่มคนชั้นกลาง ซึ่งไม่เคยเห็นหัวคนจนมาก่อนทั้งนั้น (นอกจากการกระทำเชิงสัญลักษณ์เพื่อเคลือบความอยุติธรรมในระบบเอาไว้)

ประชาชนต้องเชื่อตัวเองว่า ไม่มีใครผ่าทางตันนี้ให้เราได้ นอกจากตัวเราเอง

หน้า 6<

.....................

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01060349&day=2006/03/06


Create Date : 06 มีนาคม 2549
Last Update : 6 มีนาคม 2549 10:16:41 น. 7 comments
Counter : 616 Pageviews.

 
ฟั่นเฟือน โดย..กาแฟดำ กรุงเทพธุรกิจ

6 มีนาคม 2549 09:47 น.
ใ ครฟังทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยที่ท้องสนามหลวงเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมา คงจะได้หลักฐานเพิ่มเติมอีกหลายข้อว่าผู้นำคนนี้พูดอะไรเมื่อวานกับพูดอะไรว ันนี้ไม่จำเป็นต้องตรงกันเลยแม้แต่น้อย

ไ ม่ต้องเอ่ยถึงการเบี่ยงประเด็นให้เห็นว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องการเล่นกับ "ตัวเลข" อย่างเดียว ไม่สนใจเรื่องความชอบธรรมหรือจริยธรรม

เ อ่ยถึงตัวเลข 19 ล้านเสียงทุกครั้งที่มีโอกาสแล้วยังไม่พอ ทักษิณ ยังออกมุขใหม่ด้วยการประกาศว่าถ้าไม่ได้เสียงเกินครึ่งจะไม่ขอเป็นนายกรัฐมน ตรี ทั้งๆ ที่ไม่มีการแข่งขันจากพรรคฝ่ายค้าน

เหมือนขึ้นเวทีไม่มีคู่ชกแล้วบอกว่าถ้าเขาชกลมแล้วมีเสียงเชียร์ดังเกินครึ่ง, กรรมการก็จะต้องประกาศว่าเขาเป็นคนชนะ

แต่ที่ประหลาดเอามากๆ คือภายในเพียงอาทิตย์เดียว ทักษิณ พูดถึงคนกลุ่มที่ต่อต้านเขาชนิดดำเป็นขาว, ขาวเป็นดำ

เ ขาเป็นคนที่พูดอะไรกลับกลอกไปมาได้อย่างนี้เชียวหรือ ? เขาสามารถอ้างเหตุผลอย่างหนึ่งเพื่อทำเรื่องระดับชาติ (ยุบสภา) และภายในหนึ่งสัปดาห์เหตุผลนั้นถูกปัดทิ้งหน้าตาเฉย กลายเป็นตาลปัตรได้เลยเชียวหรือ ?

เ หตุผลหลักที่อ้างเพื่อการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ คือกลุ่มต่อต้านที่เรียกร้องให้เขาลาออกเป็น "กฎหมู่ที่อยู่เหนือกฎหมาย" กำลังจะก่อความไม่สงบในบ้านเมืองจนถึงขั้นที่จะต้องยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตั ดสินใจเลือกระหว่างระบบของเขากับกลุ่มต่อต้าน

คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ทักษิณพูดอย่างนี้

"... ผมอยากให้เพื่อนสนธิ (ลิ้มทองกุล) แวะมาคุยกันหน่อย จะให้ไปกินข้าวที่ท่าพระอาทิตย์ก็ได้ หันหน้าเข้ามาหากันเถอะ เพื่อชาติเพื่อในหลวงของเรา ส่วนท่านจำลอง (ศรีเมือง) ไม่สบายใจอะไรก็มาบอกกัน มาบอกลูกน้องผมก็ได้ ใครไม่ให้พูดสายกับผมหรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมจะเขกกบาลให้ ท่านจำลองก็เคยรักผมเหมือนศิษย์เอกคนหนึ่ง แต่วันนี้เข้าใจผิดกัน ผมพร้อมจะไปหา ส่วนพี่เหนาะ (เสนาะ เทียนทอง) ที่บอกว่าถึงขนาดจะแขวนคอผม พี่เหนาะใจร้ายกับผมขนาดนี้ มากเกินไปหรือเปล่า ขนาดลูกน้องพี่เหนาะที่อยู่วังน้ำเย็น ด่าผมประจำ ผมยังไม่ใจร้ายกับเขาเลย วันนี้ ผมส่งลงสมัคร ส.ส.หมดแล้ว..."

คงจำได้ว่าทักษิณ เคยเรียกกลุ่มที่ชุมนุมเรียกร้องให้เขาลาออกว่า "พวกกุ๊ย" บ้าง "ง่าว" บ้าง

ทักษิณ อาจจะอ้างว่าอารมณ์ตอนนั้นดุเดือดไปหน่อย, ปากร้ายใจร้อนไปหน่อย ตอนนี้เย็นลงแล้ว รับปากว่าจะไม่เป็นอย่างนี้อีก

แต่ต้องไม่ลืมว่าเหตุผลทางการของการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์นั้นคืออะไร ?

ตอนหนึ่งของแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรีที่ชี้แจงสาเหตุการยุบสภาบอกอย่างนี้ครับ

"... แต่บัดนี้ ได้มีความสับสนการเมืองเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการที่มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม ่พอใจตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะ ตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้า นเมือง จุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันจนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลว ุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังที่ได้ปรากฏว่ามีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดการระเบิดในสถานที่ของผู้ประกา ศตัวว่าจะมาร่วมชุมนุมเมื่อเร็วๆ นี้...."

ว ันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทักษิณ บอกว่า คนที่ชุมนุมเหล่านี้กำลังทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ไม่ทำอะไรอยู่ในกรอบของกฎหมาย "ไม่ยึดกติกาโดยวิธีแห่งรัฐธรรมนูญ..." ร้ายแรงถึงขั้นต้องยุบสภาและนำมาสู่สภาวะ "ทางตัน" ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

แ ต่ 7 วันให้หลัง คือวันที่ 3 มีนาคม ทักษิณ คนเดียวกันนี้กลับพูดเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่ได้ร้ายแรงอะไร เป็นเรื่องของความเข้าใจผิดระหว่างเพื่อนฝูงเก่ากันมากกว่า

เ พราะทักษิณบอกว่า "ขอให้เพื่อนทั้งหลาย ที่เคยรักกันในอดีตมาคุยกัน โทรมาก็ได้ ให้ไปหาก็ได้ ผมไม่ได้ถือตัวอะไรเลย เพราะผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง..."

ต กลงบ้านเมืองนี้เป็นของเล่นส่วนตัวของทักษิณ ที่จะทำอะไรก็ได้หรือ ? วันหนึ่งบอกว่าคนกลุ่มนี้ทำเรื่องร้ายแรงต่อบ้านเมืองถึงขั้นต้องยุบสภา

อีกไม่กี่วันต่อมาบอกว่าทั้งหมดเป็นเพื่อนกันมาก่อน เพียงเข้าใจกันผิด เพียงเพราะทักษิณทำงานยุ่งไม่มีเวลาคุยกันเท่านั้น

บ้านเมืองนี้ฟั่นเฟือนแล้วจริงๆ หรือครับ ?.

...............


โดย: เด็กชายก้อง วันที่: 6 มีนาคม 2549 เวลา:10:23:08 น.  

 
เปลวสีเงิน

คนปลายซอย

6 มีนาคม 2549 กองบรรณาธิการ

ปรากฏการณ์ 3 และ 5 มีนา.

"สนามหลวง" ไม่เคยทรยศประชาชนผู้มี "ประชาธิปไตย-คุณธรรม" อยู่ในหัวใจ เมื่อ 3 มีนา ถูก "ขบวนการประชาธิปไตยโจร" บังคับใช้เป็นพื้นที่แสดงภาพ "สังคมปริมาณ" แต่เย็นวานนี้ที่ 5 มีนา หญ้าทุกต้น-ดินทุกก้อน ณ ท้องสนามหลวง ต่างเริงร่าได้ต้อนรับ..สังคมคุณภาพ
ครับ..ปรากฏการณ์ 3 มีนา กับปรากฏการณ์ 5 มีนา เกิดปฏิกิริยาสะท้อนภาพสังคมขณะนี้ได้หลากหลายจริงๆ
ไม่ใช่แค่ "ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์" หรือ "ประพัฒน์ แซ่ฉั่ว" ในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ได้สำนึก "กลับใจคือฟากฝั่ง" หันหลังให้ "ทักษิณ-ไทยรักไทย" แล้วโดดมาอยู่กับประชาชนผู้เทิดทูนคุณธรรมประชาธิปไตยเท่านั้น
มันยังมีอีกมากเท่าที่ผมสังเกตเห็น ทั้งจากวงการสื่อ โดยเฉพาะโทรทัศน์ ทั้งจากวงการข้าราชการ จากวงการนักวิชาการ และทั้งจากประชาชนในแต่ละสาขาอาชีพด้วยกัน
แต่สิ่งแรกที่เน้นการนำมาพูดกันมากเป็นพิเศษคือ การวัดจำนวนผู้มาชุมนุมร่วมฟังปราศรัยที่ท้องสนามหลวงว่า
"ของใครจะมากกว่ากัน?"
ของ "ทักษิณ-ไทยรักไทย" เมื่อ 3 มีนา สร้างปรากฏการณ์เชิงปริมาณเป็นสถิติใหม่ไว้ให้ คือมีประชาชนทั้งในและนอกกรุงเทพฯ ทั้งมาเอง ทั้งถูกระบบทักษิณกวาดต้อนมา
ล้นสนามหลวงตั้งแต่ก่อนตะวันชิงพลบ!
ล้นกระทั่งไหลจากสนามหลวงสู่ราชดำเนิน ไม่มีฝ่ายไหนไม่ยอมรับว่า ผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดินจริงๆ
2 แสนขึ้น..ไม่หนี!
แต่เมื่อคืนที่ 5 มีนา "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่เป็นสถิติประชาธิปไตย "หัวใจมีตีน" เช่นกันว่า
ทั้งที่พร้อมใจกันมาอย่างที่เรียกว่า "ขาประจำ" และทั้งที่รู้เช่นเห็นชาติของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ก็กลับใจมาร่วมขับไล่ เพิ่มจำนวนคนที่ท้องสนามหลวงขึ้นไปเป็น
หลักเกินแสน!
เมื่อตัดแต้มต่อจากการใช้อำนาจไล่ต้อนมาเชียร์ ภาพที่ค่อยปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ "ประชาธิปไตย-คุณธรรม" นับวันจะเพิ่มจำนวน "สังคมคุณภาพ" ขึ้นครั้งแล้ว-ครั้งเล่า
ในขณะที่สังคม "ประชาธิปไตยระบบทักษิณ" เริ่มสำแดงสัจจะแห่งอำนาจ คือ "อำนาจนอกธรรมไม่คงแท้" เงินซื้อทาสได้ แต่เงินซื้อคนไม่ได้
ฉะนั้น ประชาชนผู้มีคุณธรรมในหัวใจ ที่สุดก็ยากขืน-ฝืนธาตุแท้แห่งความเป็นคนของตนเอง ประหนึ่งแม่น้ำจากต่างสาย ก็ต้องไหลมารวมในมหาสมุทรแห่งอิสรชน.. คนเสรีประชาธิปไตย
ซึ่งกว้างใหญ่ และสุดคณานับ "เหนือปริมาณ" จะรองรับได้ในความเป็นจริง
ระบบทักษิณ..
ยิ่งนาน คนคะนองอำนาจอย่างทักษิณ ยิ่งนับวันจะสิ้นคนเก็บศพ!
ข้อสังเกตที่ 2 จากปรากฏการณ์ 3 และ 5 มีนา เป็นปรากฏการณ์จากสื่อ โดยเฉพาะสาขาวิทยุ-โทรทัศน์ อันเป็นสื่อก่อตั้งด้วยเงินประชาชน แต่โจรประชาธิปไตยมันเอาไปใช้ปิดหู-ปิดตาประชาชน
เมื่อเย็นวันที่ 3 มีนา ถึงขั้นพูดได้ว่าถนนทุกสายมุ่งสู่ท้องสนามหลวง การจราจรเปิดโล่งให้กับสารพัดขบวนระบบทักษิณ กระทั่งการตรวจค้นอาวุธก็ดูเหมือนได้รับ "ความสะดวกเป็นพิเศษ" จากเจ้าหน้าที่
นับตั้งแต่ขบวนการทักษิณบนเวทีท้องสนามหลวงขับเคลื่อนระบบ ผมนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ กดรีโมตดูแต่ละช่องตั้งแต่ช่วง "จอมนางแห่งวังทักษิณ" นามว่าสุดารัตน์ ขึ้นเสยผม-สยายรอยยิ้ม ก็บอกได้ว่า
ไม่ต้องไปด้วยตัวเองก็เหมือนไป!
เพราะถึงจะไม่ใช่รายการ "ถ่ายทอดสด" แต่ผู้บริหารสื่อโทรทัศน์ในแต่ละช่องดูเหมือนจะเคร่งครัดในคำว่า "ข่าวคือข่าว-สื่อมีหน้าที่ต้องรายงาน" กันอย่างจริงๆ จังๆ เพราะต่างรายงานบรรยากาศที่ท้องสนามหลวงกันชนิดต่อเนื่อง
ช่วงนายกฯ ทักษิณขึ้นเวที ช่วงนี้..ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นการถ่ายทอดสดระบบ "ทีวีพูล" ในมิติใหม่ ใครเป็นเจ้าเล่ห์-เจ้าความคิดนี้ ผมขอคารวะ
5-7-9-11-ITV-UBC ยกเว้นช่อง 3 ใช้สไตล์ "รายงานข่าว" คนละช่วงคนละตอน แล้วตัดโยนรับช่วงต่อกันไปเป็นทอดๆ ในแต่ละช่อง สร้างเงื่อนไขพร้อมไว้อ้าง
ถ้าใครหาเรื่องโดยกล่าวหาว่า "สื่อโทรทัศน์" ดับเบิลสแตนดาร์ด ทีนายกฯ ปราศรัย-เปิดใจละก็ ถ่ายทอดสดให้ชาวบ้านดูกันตัวเป็นเกลียว
แต่ทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขาปราศรัย-ชุมนุม ไม่เคยรายงานข่าวสด หรือถ่ายทอดสดให้ชาวบ้านได้ดูเลย
เขาก็พร้อมจะอ้างว่า "ไม่ได้ถ่ายทอดสด หรือรายงานสด" เพียงแต่รายงานข่าวให้ประชาชนทราบตามหน้าที่สื่อ ในช่วงของเวลาข่าวปกติเท่านั้น
อ้อ..ลืมบอกไปนิด TTV ช่องเนชั่น ซึ่งเป็นโทรทัศน์ระบบต้องบอกรับเป็นสมาชิก ใครเป็นสมาชิกก็โชคดี-ประชาธิปไตย เพราะเขาถ่ายทอดสด-รายงานสด ให้ดู-ให้ฟังเต็มหูเต็มตา ในแต่ละช่วงสถานการณ์เด็ดๆ!
มิติใหม่ของทีวีพูล คืออย่างนี้ครับ ผมเปิด ITV เป็นหลัก ซึ่งเขาจะรายงานสดถี่และยาวเป็นพิเศษ ซักพักก็ตัดไปรายการปกติ ผมก็กดรีโมตไปสำรวจตามช่องอื่นๆ ซักพักก็จับเคล็ดลับเพื่อการติดตามชื่นชมท่านนายกฯ ทักษิณได้ต่อเนื่อง
คือดูอยู่ช่องไหน ถ้าเขาตัดภาพบอกว่าจบการรายงาน ท่านก็รีบกดรีโมตไปช่องอื่นๆ เป็นการด่วน ก็ต้องเจอช่องใดช่องหนึ่งระหว่าง 5-7-9-ITV-UBC 7 ที่จะรับสัญญาณรายงานสดต่อเนื่องมาจากช่องที่ตัดภาพไป
เขาจะตัดโยนภาพการรายงานสดไปอย่างนี้ จนกระทั่งนายกฯ จบการเปิดใจ ฉะนั้นแฟนๆ ทางบ้านในช่วงเวลาปราศรัยของนายกฯ ใครเปิดช่องไหนก็จะได้ชม-ได้ฟังทั่วถึง
เว้นแต่ใครใช้เทคนิคอย่างผม ก็จะได้รับชม-รับฟังต่อเนื่องเหมือนนั่งอยู่หน้าเวทีด้วยความชื่นชมว่า
ทักษิณ..น่าลิงจั๊กๆ..น่ารักจริงๆ!
ส่วนช่อง 3 ต้องขอบอกว่า ช่วงเวลานั้นเขา "การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่แดจังกึม" หัวทิ่มหัวตำ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ตำหนิ หรือต่อว่าสื่อโทรทัศน์ ผมขอบใจ และชอบใจมากๆ ที่ทำเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไร..นี่ก็คือ "ข่าวคือข่าว" อันสื่อทั้งหลายสมควรทำหน้าที่รายงานให้ประชาชนได้รู้-ได้ฟังจริงๆ
คืนที่ 3 มีนา จากเหตุการณ์ ณ ท้องสนามหวง ขอมอบดอกไม้ให้คุณ-โทรทัศน์ทุกช่องที่ทำหน้าที่สื่อครบถ้วน
แต่เมื่อคืนนี้ที่ 5 มีนา ผมก็นึกบรรยากาศเมื่อปี 2500 ผมเป็นเด็กวัดอยู่แม่กลอง ทั้งวัดมีวิทยุ 2 หลอดของหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสอยู่เครื่องเดียว ตั้งไว้บนหิ้งสูงแล้วเปิดฟังกันทั้งวัด
ฟังรายงานการนับคะแนนบัตรเลือกตั้ง และบรรยากาศการเลือกตั้งในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม
จากยุคนั้นถึงยุคนี้ 50 ปีพอดี!
ถึงยุคนายกฯ ประเทศไทยเป็นเจ้าของดาวเทียมใหญ่ที่สุด-ทันสมัยที่สุดในโลก ถึงยุคมีกระทรวงไอซีที ถึงยุคยกกรมประชาสัมพันธ์ขายพ่อค้า แต่ใครจะไปเชื่อว่าคนในกรุงเทพฯ อันเป็นสถานที่ชุมนุมคนเรือนแสนเองแท้ๆ อยู่ที่เดียวกันเหมือนตูดกับก้น และมีการปราศรัยตามวิถีทางประชาธิปไตยคุณธรรม
แต่เปิดวิทยุก็-ใบ้
เปิดโทรทัศน์-ก็บอด!
มันป่าเถื่อน ด้อยพัฒนา ปิดหู-ปิดตา ล้าหลังยิ่งกว่ายุคจอมพล ป. เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เพราะรัฐบาลปิดกั้นข่าวสาร "ยึดอำนาจสื่อ" ไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ความเป็นไปในบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
เปิดช่อง 3 "แดจังกึม" โดยไม่สน "แดกจังมึง" เหมือนเดิม
เปิดช่อง 5 เป็นรายการ "ช่วงดูดี" เละๆ ไปตามมาตรฐานสื่อทหารเขาล่ะ
เปิดช่อง 7 คร่ำเคร่งกับละครเรื่อง "ดวง" กลวงๆ ตามประสาช่อง 7
เปิดช่อง 11 ทำไก๋ว่าอยู่ในช่วงรายการข่าวภาคค่ำ เอาข่าวอะไรก็ไม่รู้ไถลไถเถือกไปตามเรื่อง ไม่เหมือนคืนวันที่ 3 ที่ขมีขมันรายงานสดจากเวทีไทยรักไทยชนิดติดชายกระโปรงเจ๊
จะมีข่าวจากเวที "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่สนามหลวงพอไม่ให้ยางอายเยิ้มหน้าอยู่หน่อยก็ที่ ITV และที่ช่อง 9 อสมท
แต่ถึงอย่างไรต้องขอชม อสมท ทั้งที่เป็นสื่อของรัฐ (บาล) โดยตรง แต่ผมสังเกตเห็นว่า เป็นช่องที่บริหารความสมดุลระหว่างข่าวคนเชียร์รัฐบาล กับข่าวคนชังรัฐบาลได้น่าชมเชย
เถอะ..อยู่ใต้ตีนเขา แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่า "ใจถึง" คือดำรงเอกราชแห่งวิญญาณสื่อเพื่อสังคมชาติได้น่าเชิดชู ทั้งนักข่าวและฝ่ายบริหารข่าว
ครับ..อาศัยได้ติดตามความเคลื่อนไหวจากท้องสนามหลวงฝ่าย "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ได้มากกว่าจากทุกช่อง
ITV เสียอีก สายพันธุ์แห่งชาติกำเนิดคือ "สื่อเสรี" แต่วันนี้ ทั้งที่ถูกเขาเฉดหัวเลหลังขายไปเป็นทาสเทมาเซก-สิงคโปร์แล้วก็ตาม ก็ยังเป็นวิญญาณทาสที่ไม่ยอมรับการปลดปล่อย
กอดขาประชาธิปไตยทักษิณอยู่นั่นแหละ!
วันนี้ กองทัพ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" แค่เคลื่อนจากสนามหลวงถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยังสะท้านสะเทือนถึง "จันทร์ส่องหล้า" นายกฯ และครอบครัวต้องพากันหลบไปนอนที่อื่น คิดดู..ถ้ายังไม่ลาออก แล้ววันต่ อไปสถานที่ "แค่พอนอน" ในประเทศไทย ก็จะหาไม่ได้นะท่าน!


โดย: เด็กชายก้อง วันที่: 6 มีนาคม 2549 เวลา:10:29:22 น.  

 

อยากพูดมากๆๆเลยแต่เค้าไม่ให้พูดอะ..


โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 6 มีนาคม 2549 เวลา:17:24:56 น.  

 
คนปลายซอย โดยเปลว สีเงิน

6 มีนาคม 2549 กองบรรณาธิการ

ปรากฏการณ์ 3 และ 5 มีนา.

"สนามหลวง" ไม่เคยทรยศประชาชนผู้มี "ประชาธิปไตย-คุณธรรม" อยู่ในหัวใจ เมื่อ 3 มีนา ถูก "ขบวนการประชาธิปไตยโจร" บังคับใช้เป็นพื้นที่แสดงภาพ "สังคมปริมาณ" แต่เย็นวานนี้ที่ 5 มีนา หญ้าทุกต้น-ดินทุกก้อน ณ ท้องสนามหลวง ต่างเริงร่าได้ต้อนรับ..สังคมคุณภาพ
ครับ..ปรากฏการณ์ 3 มีนา กับปรากฏการณ์ 5 มีนา เกิดปฏิกิริยาสะท้อนภาพสังคมขณะนี้ได้หลากหลายจริงๆ
ไม่ใช่แค่ "ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์" หรือ "ประพัฒน์ แซ่ฉั่ว" ในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ได้สำนึก "กลับใจคือฟากฝั่ง" หันหลังให้ "ทักษิณ-ไทยรักไทย" แล้วโดดมาอยู่กับประชาชนผู้เทิดทูนคุณธรรมประชาธิปไตยเท่านั้น
มันยังมีอีกมากเท่าที่ผมสังเกตเห็น ทั้งจากวงการสื่อ โดยเฉพาะโทรทัศน์ ทั้งจากวงการข้าราชการ จากวงการนักวิชาการ และทั้งจากประชาชนในแต่ละสาขาอาชีพด้วยกัน
แต่สิ่งแรกที่เน้นการนำมาพูดกันมากเป็นพิเศษคือ การวัดจำนวนผู้มาชุมนุมร่วมฟังปราศรัยที่ท้องสนามหลวงว่า
"ของใครจะมากกว่ากัน?"
ของ "ทักษิณ-ไทยรักไทย" เมื่อ 3 มีนา สร้างปรากฏการณ์เชิงปริมาณเป็นสถิติใหม่ไว้ให้ คือมีประชาชนทั้งในและนอกกรุงเทพฯ ทั้งมาเอง ทั้งถูกระบบทักษิณกวาดต้อนมา
ล้นสนามหลวงตั้งแต่ก่อนตะวันชิงพลบ!
ล้นกระทั่งไหลจากสนามหลวงสู่ราชดำเนิน ไม่มีฝ่ายไหนไม่ยอมรับว่า ผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดินจริงๆ
2 แสนขึ้น..ไม่หนี!
แต่เมื่อคืนที่ 5 มีนา "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่เป็นสถิติประชาธิปไตย "หัวใจมีตีน" เช่นกันว่า
ทั้งที่พร้อมใจกันมาอย่างที่เรียกว่า "ขาประจำ" และทั้งที่รู้เช่นเห็นชาติของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ก็กลับใจมาร่วมขับไล่ เพิ่มจำนวนคนที่ท้องสนามหลวงขึ้นไปเป็น
หลักเกินแสน!
เมื่อตัดแต้มต่อจากการใช้อำนาจไล่ต้อนมาเชียร์ ภาพที่ค่อยปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ "ประชาธิปไตย-คุณธรรม" นับวันจะเพิ่มจำนวน "สังคมคุณภาพ" ขึ้นครั้งแล้ว-ครั้งเล่า
ในขณะที่สังคม "ประชาธิปไตยระบบทักษิณ" เริ่มสำแดงสัจจะแห่งอำนาจ คือ "อำนาจนอกธรรมไม่คงแท้" เงินซื้อทาสได้ แต่เงินซื้อคนไม่ได้
ฉะนั้น ประชาชนผู้มีคุณธรรมในหัวใจ ที่สุดก็ยากขืน-ฝืนธาตุแท้แห่งความเป็นคนของตนเอง ประหนึ่งแม่น้ำจากต่างสาย ก็ต้องไหลมารวมในมหาสมุทรแห่งอิสรชน.. คนเสรีประชาธิปไตย
ซึ่งกว้างใหญ่ และสุดคณานับ "เหนือปริมาณ" จะรองรับได้ในความเป็นจริง
ระบบทักษิณ..
ยิ่งนาน คนคะนองอำนาจอย่างทักษิณ ยิ่งนับวันจะสิ้นคนเก็บศพ!
ข้อสังเกตที่ 2 จากปรากฏการณ์ 3 และ 5 มีนา เป็นปรากฏการณ์จากสื่อ โดยเฉพาะสาขาวิทยุ-โทรทัศน์ อันเป็นสื่อก่อตั้งด้วยเงินประชาชน แต่โจรประชาธิปไตยมันเอาไปใช้ปิดหู-ปิดตาประชาชน
เมื่อเย็นวันที่ 3 มีนา ถึงขั้นพูดได้ว่าถนนทุกสายมุ่งสู่ท้องสนามหลวง การจราจรเปิดโล่งให้กับสารพัดขบวนระบบทักษิณ กระทั่งการตรวจค้นอาวุธก็ดูเหมือนได้รับ "ความสะดวกเป็นพิเศษ" จากเจ้าหน้าที่
นับตั้งแต่ขบวนการทักษิณบนเวทีท้องสนามหลวงขับเคลื่อนระบบ ผมนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ กดรีโมตดูแต่ละช่องตั้งแต่ช่วง "จอมนางแห่งวังทักษิณ" นามว่าสุดารัตน์ ขึ้นเสยผม-สยายรอยยิ้ม ก็บอกได้ว่า
ไม่ต้องไปด้วยตัวเองก็เหมือนไป!
เพราะถึงจะไม่ใช่รายการ "ถ่ายทอดสด" แต่ผู้บริหารสื่อโทรทัศน์ในแต่ละช่องดูเหมือนจะเคร่งครัดในคำว่า "ข่าวคือข่าว-สื่อมีหน้าที่ต้องรายงาน" กันอย่างจริงๆ จังๆ เพราะต่างรายงานบรรยากาศที่ท้องสนามหลวงกันชนิดต่อเนื่อง
ช่วงนายกฯ ทักษิณขึ้นเวที ช่วงนี้..ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นการถ่ายทอดสดระบบ "ทีวีพูล" ในมิติใหม่ ใครเป็นเจ้าเล่ห์-เจ้าความคิดนี้ ผมขอคารวะ
5-7-9-11-ITV-UBC ยกเว้นช่อง 3 ใช้สไตล์ "รายงานข่าว" คนละช่วงคนละตอน แล้วตัดโยนรับช่วงต่อกันไปเป็นทอดๆ ในแต่ละช่อง สร้างเงื่อนไขพร้อมไว้อ้าง
ถ้าใครหาเรื่องโดยกล่าวหาว่า "สื่อโทรทัศน์" ดับเบิลสแตนดาร์ด ทีนายกฯ ปราศรัย-เปิดใจละก็ ถ่ายทอดสดให้ชาวบ้านดูกันตัวเป็นเกลียว
แต่ทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขาปราศรัย-ชุมนุม ไม่เคยรายงานข่าวสด หรือถ่ายทอดสดให้ชาวบ้านได้ดูเลย
เขาก็พร้อมจะอ้างว่า "ไม่ได้ถ่ายทอดสด หรือรายงานสด" เพียงแต่รายงานข่าวให้ประชาชนทราบตามหน้าที่สื่อ ในช่วงของเวลาข่าวปกติเท่านั้น
อ้อ..ลืมบอกไปนิด TTV ช่องเนชั่น ซึ่งเป็นโทรทัศน์ระบบต้องบอกรับเป็นสมาชิก ใครเป็นสมาชิกก็โชคดี-ประชาธิปไตย เพราะเขาถ่ายทอดสด-รายงานสด ให้ดู-ให้ฟังเต็มหูเต็มตา ในแต่ละช่วงสถานการณ์เด็ดๆ!
มิติใหม่ของทีวีพูล คืออย่างนี้ครับ ผมเปิด ITV เป็นหลัก ซึ่งเขาจะรายงานสดถี่และยาวเป็นพิเศษ ซักพักก็ตัดไปรายการปกติ ผมก็กดรีโมตไปสำรวจตามช่องอื่นๆ ซักพักก็จับเคล็ดลับเพื่อการติดตามชื่นชมท่านนายกฯ ทักษิณได้ต่อเนื่อง
คือดูอยู่ช่องไหน ถ้าเขาตัดภาพบอกว่าจบการรายงาน ท่านก็รีบกดรีโมตไปช่องอื่นๆ เป็นการด่วน ก็ต้องเจอช่องใดช่องหนึ่งระหว่าง 5-7-9-ITV-UBC 7 ที่จะรับสัญญาณรายงานสดต่อเนื่องมาจากช่องที่ตัดภาพไป
เขาจะตัดโยนภาพการรายงานสดไปอย่างนี้ จนกระทั่งนายกฯ จบการเปิดใจ ฉะนั้นแฟนๆ ทางบ้านในช่วงเวลาปราศรัยของนายกฯ ใครเปิดช่องไหนก็จะได้ชม-ได้ฟังทั่วถึง
เว้นแต่ใครใช้เทคนิคอย่างผม ก็จะได้รับชม-รับฟังต่อเนื่องเหมือนนั่งอยู่หน้าเวทีด้วยความชื่นชมว่า
ทักษิณ..น่าลิงจั๊กๆ..น่ารักจริงๆ!
ส่วนช่อง 3 ต้องขอบอกว่า ช่วงเวลานั้นเขา "การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่แดจังกึม" หัวทิ่มหัวตำ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ตำหนิ หรือต่อว่าสื่อโทรทัศน์ ผมขอบใจ และชอบใจมากๆ ที่ทำเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไร..นี่ก็คือ "ข่าวคือข่าว" อันสื่อทั้งหลายสมควรทำหน้าที่รายงานให้ประชาชนได้รู้-ได้ฟังจริงๆ
คืนที่ 3 มีนา จากเหตุการณ์ ณ ท้องสนามหวง ขอมอบดอกไม้ให้คุณ-โทรทัศน์ทุกช่องที่ทำหน้าที่สื่อครบถ้วน
แต่เมื่อคืนนี้ที่ 5 มีนา ผมก็นึกบรรยากาศเมื่อปี 2500 ผมเป็นเด็กวัดอยู่แม่กลอง ทั้งวัดมีวิทยุ 2 หลอดของหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสอยู่เครื่องเดียว ตั้งไว้บนหิ้งสูงแล้วเปิดฟังกันทั้งวัด
ฟังรายงานการนับคะแนนบัตรเลือกตั้ง และบรรยากาศการเลือกตั้งในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม
จากยุคนั้นถึงยุคนี้ 50 ปีพอดี!
ถึงยุคนายกฯ ประเทศไทยเป็นเจ้าของดาวเทียมใหญ่ที่สุด-ทันสมัยที่สุดในโลก ถึงยุคมีกระทรวงไอซีที ถึงยุคยกกรมประชาสัมพันธ์ขายพ่อค้า แต่ใครจะไปเชื่อว่าคนในกรุงเทพฯ อันเป็นสถานที่ชุมนุมคนเรือนแสนเองแท้ๆ อยู่ที่เดียวกันเหมือนตูดกับก้น และมีการปราศรัยตามวิถีทางประชาธิปไตยคุณธรรม
แต่เปิดวิทยุก็-ใบ้
เปิดโทรทัศน์-ก็บอด!
มันป่าเถื่อน ด้อยพัฒนา ปิดหู-ปิดตา ล้าหลังยิ่งกว่ายุคจอมพล ป. เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เพราะรัฐบาลปิดกั้นข่าวสาร "ยึดอำนาจสื่อ" ไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ความเป็นไปในบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
เปิดช่อง 3 "แดจังกึม" โดยไม่สน "แดกจังมึง" เหมือนเดิม
เปิดช่อง 5 เป็นรายการ "ช่วงดูดี" เละๆ ไปตามมาตรฐานสื่อทหารเขาล่ะ
เปิดช่อง 7 คร่ำเคร่งกับละครเรื่อง "ดวง" กลวงๆ ตามประสาช่อง 7
เปิดช่อง 11 ทำไก๋ว่าอยู่ในช่วงรายการข่าวภาคค่ำ เอาข่าวอะไรก็ไม่รู้ไถลไถเถือกไปตามเรื่อง ไม่เหมือนคืนวันที่ 3 ที่ขมีขมันรายงานสดจากเวทีไทยรักไทยชนิดติดชายกระโปรงเจ๊
จะมีข่าวจากเวที "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ที่สนามหลวงพอไม่ให้ยางอายเยิ้มหน้าอยู่หน่อยก็ที่ ITV และที่ช่อง 9 อสมท
แต่ถึงอย่างไรต้องขอชม อสมท ทั้งที่เป็นสื่อของรัฐ (บาล) โดยตรง แต่ผมสังเกตเห็นว่า เป็นช่องที่บริหารความสมดุลระหว่างข่าวคนเชียร์รัฐบาล กับข่าวคนชังรัฐบาลได้น่าชมเชย
เถอะ..อยู่ใต้ตีนเขา แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่า "ใจถึง" คือดำรงเอกราชแห่งวิญญาณสื่อเพื่อสังคมชาติได้น่าเชิดชู ทั้งนักข่าวและฝ่ายบริหารข่าว
ครับ..อาศัยได้ติดตามความเคลื่อนไหวจากท้องสนามหลวงฝ่าย "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ได้มากกว่าจากทุกช่อง
ITV เสียอีก สายพันธุ์แห่งชาติกำเนิดคือ "สื่อเสรี" แต่วันนี้ ทั้งที่ถูกเขาเฉดหัวเลหลังขายไปเป็นทาสเทมาเซก-สิงคโปร์แล้วก็ตาม ก็ยังเป็นวิญญาณทาสที่ไม่ยอมรับการปลดปล่อย
กอดขาประชาธิปไตยทักษิณอยู่นั่นแหละ!
วันนี้ กองทัพ "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" แค่เคลื่อนจากสนามหลวงถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยังสะท้านสะเทือนถึง "จันทร์ส่องหล้า" นายกฯ และครอบครัวต้องพากันหลบไปนอนที่อื่น คิดดู..ถ้ายังไม่ลาออก แล้ววันต่ อไปสถานที่ "แค่พอนอน" ในประเทศไทย ก็จะหาไม่ได้นะท่าน!


โดย: IP: 202.149.99.194 วันที่: 6 มีนาคม 2549 เวลา:19:00:47 น.  

 
//www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=6/Mar/2549&news_id=121170&cat_id=200
โดยเปลว สีเงิร


โดย: IP: 202.149.99.194 วันที่: 6 มีนาคม 2549 เวลา:19:01:12 น.  

 




สวัสดีตอนบ่ายแก่ๆของ อุดรธานี จ้า



อยากให้เธออยู่ตรงนี้
เป็นเพื่อนที่แสนดีข้างๆฉัน
มีความรู้สึกดีๆมาแบ่งปัน
เป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดไป...



** มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะจ้า**



โดย: จอมแก่นแสนซน วันที่: 7 มีนาคม 2549 เวลา:16:25:20 น.  

 
นี่เราว่าจะจัดสัมมนาเรื่งเกี่ยวกับการเมือง การเลือกตั้งที่จะ ถึงนี่ ใครมีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจเสนอได้นะ จะเป็นพระคุณมากเลย ส่งมาที่เมลล์ sumalee.ple@hotmail.com หวังว่าคงมีคนสนใจนะจะขอบคุณมากๆเลยเสนอมาเยอะๆนะเพื่อสังคมการเมืองของอุดรธานีจะดีขึ้น ไม่ถูกมองว่าเป็นคนไม่รักประเทศ


โดย: เทพธิดาแห้ว IP: 61.19.125.96 วันที่: 4 ตุลาคม 2550 เวลา:10:04:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เด็กชายก้อง
Location :
แพร่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แม้วันนี้เติบใหญ่
มาได้หลายฝนแล้ว
แต่ในใจก็ยังคง
เผื่อพื้นที่เล็กๆ
ไว้ให้เป็น
"เด็กชาย"

ดังนั้น ในบางครั้ง
พื้นที่บล็อกนี้
จึงมีพื้นที่
ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว
และในบางพื้นที่
ยังคงเก็บไว้บ้าง
ให้สำหรับ
"เด็กชายก้อง"


.................

เพลง Lemon Tree
โดย Fools Garden
Get this widget | Share | Track details



















Friends' blogs
[Add เด็กชายก้อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.