ผจญภัยในญี่ปุ่นแบบหมาป่าโดดเดี่ยว วันที่12.5 -หุ่นยนต์ทำไอติม-
ตอนนี้แคธีเริ่มเข้าโหมดช็อปแล้ว พอออกจากถนนกบมาเจอร้านขนมญี่ปุ่นก็เข้าไปอีก
คราวนี้ซื้อของฝากให้โอโต้ซัง
แคธีเลือกของไปผมก็ชมร้านไปเรื่อยๆ และก็มาสะดุดเข้ากับของสองสิ่ง
สิ่งแรกเป็นของเรียบๆง่ายๆแต่เป็นของที่ผมชอบที่สุดในการไปญี่ปุ่นครั้งนี้เลยครับ
สิ่งนั้นคือ...
...เว้นให้ลุ้น
คือ...
ถุงกระดาษธรรมดาแต่ช่างคิดนี่แหละครับ
ส่วนสะดุดตาที่สองนั่นก็คืออออ
เครื่องหน้าตาแปลกๆในตู้กระจก...
พอแคธีซื้อของเสร็จก็เดินมาบอกผมว่ามันเป็นหุ่นยนต์ขายไอติม!
ซึ่งกระบวนการซื้อขายทั้งหมดตั้งแต่สั่งของ-จ่ายเงิน-ทอนเงิน ไปจนรับของนั้นไม่ต้องมีมนุษย์มาคอยควบคุมใดๆทั้งสิ้น
ผมฟังแล้วก็อยากเห็นสิ ไอติมน่ะไม่อยากกินแล้ว (ก็วันนี้ล่อไป2โคนแล้วนี่ แหะๆ)
ผมก็เลยยุให้แคธีซื้อกิน
และแคธีก็เชื่อคำยุของผมซะด้วย
ขั้นตอนการซื้อไอติมก็มีดังนี้ครับ
1 ดูตาราง(จากกระดาษด้านขวาในรูปที่มีสีเหลี่ยมสีฟ้า7อัน)ก่อนว่าวันนี้ทางร้านขายไอติมรสอะไร
2 หยอดเงินและรอรับเงินทอนจากตู้หยอดเหรียญด้านขวามือถัดไปอีก(ตู้อยู่นอกเฟรมครับ แหะๆ)
3 หุ่นยนต์ก็จะคว้าโคนเปล่าไปกดไอติม
4 แล้วนำไอติมมาเสียบบนแท่นที่หมุนได้
5 แท่นก็จะหมุนไอติมออกมาด้านนอก
6 สุดท้ายก็หยิบมาถือแล้วเอากระแทกปากซ้าาาาาา
...รสชาติธรรมดาครับ (แคธีแบ่งให้กิน อิอิ)
พอออกจากร้านไอติมหุ่นยนต์แล้วไม่รู้ว่าเพราะหมดมุกหรืออะไรมาดลใจให้แคธีเลือกที่จะเข้าห้าง
ไม่รู้เพราะเป็นห้างตามต่างจังหวัดรึเปล่าขนาดมันถึงได้เล็กกระจิ๋วหลิวเช่นนี้
(ถ้าจำไม่ผิดอาคารมี3ชั้น ชั้นใต้ดินเป็นร้านอาหารและร้านขนม
ชั้น1และชั้น2ขายสินค้าแฟชั่น โดยมีร้านหนังสือขนาดใหญ่มากแชร์พื้นที่ชั้น1ไปราว1ใน3
ทั้งห้างก็มีแค่เนี้ยล่ะครับ)
...แต่ห้างตามต่างจังหวัดที่บ้านเราก็ไม่เห็นเล็กนี่นา
แคธีเดินดูเสื้อผ้าจนทั่วห้างแล้วก็จบที่การลองเสื้อที่ร้านๆหนึ่ง
ถึงแม้จะลองแล้วไม่ซื้อแต่เสียงขอบคุณตามหลังตอนเราออกจากร้านยังฟังรื่นหูไม่ผิดกับคำทักทายตอนเราเข้าไปในร้านเลย
พนักงานญี่ปุ่นนี่ทำให้ผมอยากจะห่อกลับบ้านได้เสมอเลยนะ
ช่วงต่อไปเป็นเวลาของผมมั่ง ผมมุ่งหน้าไปสู่ร้าน muji
เนื่องจากอ่านเจอจากหนังสือนำเที่ยวเล่มนึงมาว่าร้านมูจิเนี่ยจะมีมุมสินค้าเจ๋งๆจากประเทศต่างๆอยู่
และสินค้าจากประเทศไทยที่มูจิเห็นว่าเจ๋งจนเลือกเข้ามาขายในร้านก็คือ...
น้ำจิ้มไก่แม่ประนอม!
ทำเอาผมอยากเห็นแม่ประนอมในร้านมูจิ
ผมก้มๆเงยๆเดินวนหาน้ำจิ้มแม่ประนอมอยู่2-3รอบก็ไม่เจอ ...สงสัยว่าสาขานี้จะไม่มี
รายการสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นรถกลับบ้านก็คือหาซื้อของไปทำเต้าส่วนให้โอโต้ซังและโอค่าซังลองกิน
เมื่อลงไปชั้นใต้ดินเพื่อจะหาซูเปอร์มาเกตผมก็ได้รู้ว่าห้างนี้เล็กเกินไปจนไม่มีซูเปอร์ฯ
แต่เรื่องแค่นี้หาทำให้ผมเลิกล้มความตั้งใจไม่!
ผมส่งแคธีผู้สื่อสารภาษาญี่ปุ่นได้ให้ไปถามเรื่องซูเปอร์จากคนแถวนั้นเอา
แล้วเราก็ได้เบาะแสจากคุณป้าคนนึงว่าจากห้างนี่เดินไป10นาทีจะถึงห้างจัสโก้
...ห้างที่เราอยู่ขณะนี้ห่างจากสถานีรถไฟราวๆ5นาที
ถ้าเดินไปจัสโก้อีก10นาที ตอนขากลับเราต้องเดิน15นาทีเพื่อมาสถานี
ก็ไกลอยู่นะแต่เพื่อทำของอร่อยให้โอโต้ซังและโอค่าซังได้กิน เรายอมเดินใช่มั้ยแคธี?
...ผมถามในใจและเดินนำไปลิ่วๆ
เมื่อมาถึงจัสโก้เราไม่มีเวลาไปสำรวจอย่างอื่นแล้วนอกจากมุ่งตรงไปที่ซูเปอร์อย่างเดียว
สิ่งแรกที่ผมมองหาสำหรับการทำเต้าส่วนคือกะทิ...
ผมและแคธีช่วยกันหาก็แล้ว แยกกันหาก็แล้วก็ยังหาไม่เจอจนเกือบ10นาทีผ่านไป
จนแคธีต้องไปถามคนญี่ปุ่นนั่นแหละถึงจะได้กะทิมาอยู่ในมือหนึ่งกระป๋อง
...ตอนหาผมก็มองหาแต่แบบกล่องซะด้วยสิ มิน่าถึงไม่เจอซักที
ด่านแรกเคลียร์ ด่านต่อไปที่ต้องหาก็คือถั่วเขียวซีก
...ซึ่งมันไม่มี (หรือหาไม่เจอก็ไม่รู้แต่เราไม่ได้ถามใครอีก)
*ขอเผาตัวเองซักดอกนะครับ แหะๆ
ตอนที่หาถั่วเขียวซีกเนี่ยผมดันใช้คำว่า dried green bean
ซึ่งหาให้ตายก็ไม่มีใครเค้าเอา green bean ไปอบ/ตากแห้งหรอกครับ
พอแคธีหยิบ green bean แบบสดขึ้นมาถามว่าใช่แบบนี้มั้ย
ไอ้ผมก็ดันโชว์โง่เพิ่มไปอีกว่าว่า green bean ที่ไทยมันเม็ดเล็กกว่านี้นะ!
พอกลับมาถึงไทยแล้วได้เข้าห้างผมรีบหยิบถั่วเขียวมาดูเลยว่าเค้าเรียกว่าอะไร
เค้าเรียกว่า mung bean ครับ เพล้งงงงงง
พอรู้ว่าถั่วเขียวคือ mung bean แล้วฉลาดล้ำโลกอย่างผมก็ระลึกได้ทันทีว่า...
green bean นั่นมันถั่วลันเตา(เว้ย)
พูดไปได้ว่า green bean ที่ไทยมันเม็ดเล็กกว่านี้นะ! อายโคตรๆ *
เมื่อหาถั่วเขียวไม่ได้ผมเลยแปลงสูตรโดยจะใช้ข้าวโพดแทน
ส่งภาษากับแคธีตั้งนานว่าไม่เอาข้าวโพดแห้งที่เอาไว้ทำป๊อปคอร์น
จะเอาข้าวโพดเม็ดแช่แข็งหรือไม่ก็ข้าวโพดกระป๋อง
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าซูเปอร์ญี่ปุ่นไม่มีทั้งสองอย่าง! (หรือไม่ก็มีแต่เราหาไม่เจอ อิอิ)
เราเลยต้องไปซื้อข้าวโพดฝักต้มซีลสูญญากาศอย่างดี(และแพง )แทน
ข้าวโพดต้ม5ฝัก กะทิ1กระป๋อง แคธีช่วยออกเงินมาส่วนนึงยังเหลือส่วนที่ผมต้องจ่ายอีกเกือบ900เยน
เมื่อรวมค่าขนมที่แคธีซื้อไปฝากโอโต้ซังและโอค่าซังอีก600เยน
ไหนจะค่าไอติม ค่าข้าวข้าว ค่ารถไฟที่ใช้ไปวันนี้อีก
ผมไม่กล้าคิดเป็นจำนวนเงินออกมากลัวอุณหภูมิในร่ายกายจะลดต่ำกว่า0องศา
ออกมาจากจัสโก้สิ่งที่เจอก็คือฟ้ามืดๆ(ทุ่มเศษแล้ว)และฝนปรอยๆ
แคธีขอตัวไปโทรบอกโอค่าซังว่าจะกลับถึงกี่โมง ให้มารับที่สถานีด้วย
ระหว่างที่แคธีโทรศัพท์อยู่ผมก็ไปเจอเข้ากับสิ่งที่กระตุ้นต่อมอยากลองขึ้นมาอีก
แฟนต้า(เฉยๆ)ซีโร่(โอ๊ะ!)รสไซเดอร์(โอ้!!!)
ควัก98เยนมาสนองนี้ดด่วน
ไม่รู้ว่าแคธีเคยกินแล้วหรือว่าที่แคนาดาก็มีขาย พอผมถามว่ากินมั้ยแคธีจึงปฏิเสธ
แล้วปล่อยให้ผมกินของไม่อร่อยอยู่คนเดียว...
อยากลองมากครับ ซื้อปุ๊บกินปั๊บ ลืมถ่ายตอนที่มีน้ำ แหะๆ ป.ล. ไม่แน่ใจว่ารสไซเดอร์รึเปล่านะครับ แต่คุ้นๆว่าใช่
เดินมาจนถึงสถานีแบบเมื่อยๆและหิวนิดๆ แต่จะซื้ออะไรกินก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวตกรถไฟ
เลยเข้าไปซัดน้ำก๊อกในห้องน้ำสถานีประทังหิวไปก่อน เฮ่อ
สำหรับผมก็แค่เมื่อยและหิว แต่แคธีนั้นง่วงนอนจนพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว
พอขึ้นรถได้ ถามไถ่เวลาถึงสถานีปลายทางแล้วตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือ
ผมก็ปล่อยให้แคธีหลับไป แล้วผมก็หลับตาม 55
โอค่าซังมารับจากสถานีกลับถึงบ้านตอน21.30น. พออาบน้ำเสร็จก็นอนมันทั้งหิวๆนั่นแหละครับ ง่วงเหลือเกิน...
31502/558
Create Date : 09 มีนาคม 2554 |
|
7 comments |
Last Update : 15 มีนาคม 2554 18:39:51 น. |
Counter : 1426 Pageviews. |
|
|
ลุ้นๆ ว่าจะหาวัตถุดิบทำเต้าส่วนเจอหรือเปล่านะ 55+
แต่ก็เข้าใจดัดแปลงวัตถุดิบมาประยุกต์ใช้ดีนะ
เดี๋ยวเอาไว้รอดูขนมตอนหน้าดีกว่า ... ว่าแต่จะมีให้ดูมั๊ยล่า