All Blog
|
WWOOF Japan : Day 17 Great Yoshii-san Day 17 . ที่เกียวโตว่าหนาวแล้ว ยังเทียบไม่ติดกับอากาศที่นี่เลยค่ะ ทรมานไปถึงขั้วหัวใจ มิหนำซ้ำ เจ้าผ้าห่มผืนอุ่นยังไม่ยอมปล่อยเราให้เป็นอิสระอีกด้วย . หลังจากที่สู้รบกับผ้าห่มและถูกกดดันจากเสียงปลุก(ที่ในตอนหลังถึงขั้นจะลงไม้ลงมือ)อยู่นาน ในที่สุดก็ยอมจำนนค่ะ เดินฝ่าความหนาวออกจาก pao ไปล้างหน้า แปรงฟัน ในบ้านของโยชี่ซัง . ที่นี่ในตอนเช้าจะไม่มีน้ำอุ่นให้อาบค่ะ ถ้าอยากจะขัดถูเนื้อตัวจริงๆก็ต้องยอมกัดฟันใช้น้ำหนาวๆไป อ่อ ลืมบอกไปว่าที่นี่เค้ามีแผงโซล่าเซลล์ด้วยนะเออ แต่โยชี่ซังบอกว่า ไม่ได้ช่วยให้พลังงานได้มากเท่าไหร่นัก เพราะแดดที่มีก็ไม่สม่ำเสมอกันในแต่ละวัน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่อุณหภูมิแทบจะติดลบเลยทีเดียวค่ะ . ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างครอบครัวของมาริซัง กับ ครอบครัวนี้ ทั้งสองยึดวิถีเกษตรและไลฟ์สไตล์แบบออแกนิคหรือปลอดสารพิษทั้งคู่ค่ะ แต่มิ้งคิดว่าครอบครัวโยชี่ซังดูจะละเอียด พิถีพิถันมากกว่า หากจะเรียนรู้วิถีชีวิตแบบ self-sufficient จริงๆ ที่นี่เป็นเสมือนอีกหนึ่งโรงเรียนที่น่าสนใจมากๆทีเดียวค่ะ . อาหารเช้าของครอบครัวนี้จะเป็นขนมปังโฮมเมดค่ะ โยชี่ซังทำเอง อบเองกับมือ ลักษณะจะหยาบ และกรอบกว่าขนมปังที่เราเห็นตามท้องตลาด ที่สำำคัญคือก้อนใหญ่ม๊าก . แยมที่ใช้ทานคู่กับขนมปังก็โฮมเมดค่ะ ที่โยชี่ซังนำมาให้พวกเราทานก็จะมีแยมส้มซึ่งเป็นฝีมือของเพื่อนบ้าน และแยมสมุนไพรสีเขียวๆ กลิ่นแปลกๆแต่รสชาติอร่อยเลิศมาก แยมตัวนี้ก็ได้มาจากเพื่อนบ้านเช่นกันค่ะ . งานวันนี้สบายมากค่ะ มิ้งกับน้องดาวมั่นใจมากว่าโคจิได้ฝึกฝนให้เราสองคนกลายร่างเป็นผู้หญิงถึกและบึกบึนได้อย่างสง่างาม ปรบมืออออ . โยชี่ซังให้ช่วยปลูกผักสวนครัวเล็กๆน้อยๆ โดยเริ่มจากมันสำปะหลัง และต้นหอมญี่ปุ่นไซส์ยักษ์ ตอนแรกรู้สึกแปลกใจกับคอสตูมของโยชี่ซังอยู่เล็กน้อย เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวตัวเก่า รองเท้าบูท ถุงมือ หมวกปีกกว้าง ที่ร่ายมานี่ธรรมดาค่ะ ชาวสวนชาวไร่ที่ไหนก็แต่งแบบนี้ทั้งนั้น แต่ที่เด็ดคือ โยชี่ซังสวมแว่นกันแดดด้วยล่ะ อันใหญ่ๆเหมือนแว่นกันแดดแฟชั่นที่ดาราใส่ปิดหน้าเวลาไปเดินห้างน่ะค่ะ ดูแล้วมันขัดกับเครื่องแต่งกายชิ้นอื่นจริงๆ . แล้วคำถามก็ได้รับความกระจ่าง หลังจากที่ใช้จอบขุดดินลงไปหนึ่งจึ้ก ลมที่ไหนก็ไม่รู้กระหน่ำพัดฝุ่นและเศษดินตรงดิ่งเข้าสู่เบ้าตา ซีนอารมณ์เลยทีนี้ ขุดดินกันแบบดราม่า น้ำตาไหลพรากๆ เหมือนอยู่ท่ามกลางพายุทราย เอาไว้พรุ่งนี้จะขอยืมแว่นกันแดดของโยชี่ซังมาใส่เก๋ๆดูบ้าง . (จากรูปเป็นแปลงมันสำปะหลัง ขุดเอง เตรียมแปลงเอง และปลูกเองกับมือค่ะ) . เกือบครึ่งวันผ่านไป การทำงานได้สอดแทรกบทสนทนาไว้เยอะมากค่ะ ยิ่งได้ทำความรู้จักกับผู้หญิงคนนี้ ก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาในความกล้าคิด กล้าทำ มารู้สึกตัวเองอีกที เลเวลความเป็นไอดอลในตัวผู้หญิงคนนี้ก็พุ่งสูงจนหยุดไม่อยู่แล้วจริงๆ . โยชี่ซังเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงมากค่ะ ถึงแม้ว่าจะอายุมากแล้วก็ตาม ยังกระฉับกระเฉงและสามารถทำทุกสิ่งอย่างได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญคือ มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย เธอบอกว่า ตอนแรกเธอกับสามีอาศัยอยู่ที่ชินจูกุในเมืองโตเกียวค่ะ เติบโตและทำงานที่นั่น ใช้ชีวิตแบบคนเมืองตั้งแต่ยังหนุ่มสาว แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจย้ายชีวิตของตัวเองออกมาอาศัยในชนบทที่เงียบสงบและห่างไกล เหตุผลง่ายๆก็คือ"สังคมเมืองมันเร็วเกินไป" ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งตู้ซื้อตั๋วรถไฟยังเปลี่ยนแทบจะทุกเดือน เผลอแปปเดียว เราก็ตามมันไม่ทันแล้ว มันเร็วเกินกว่าที่เราจะต้องใช้ชีวิตวิ่งไล่ตามสิ่งเหล่านั้น . นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่าสาเหตุที่ลมที่นี่พัดแรงมากก็เป็นเพราะแนวป่าไม้ที่ทำหน้าที่ช่วยกันลมนั้นถูกตัดออกไปเยอะ ด้วยน้ำมือของคนเห็นแก่ตัวบางคน ซึ่งเธอกับสามีก็ได้วางแผนไว้ว่าจะช่วยกันปลูกป่าขึ้นมาทดแทน อาจจะใช้เวลาเป็นสิบๆปี แต่เธอก็จะทำ และถ้ามีโอกาส เธออยากให้พวกเราแวะมาที่บ้านของเธออีกในอนาคตข้างหน้า เพื่อดูป่าไม้ที่เธอกับสามีปลูกขึ้น . เราปล่อยให้คนบางกลุ่มซึ่งมีจำนวนเพียงน้อยนิดชดใช้ในการกระทำของคนกลุ่มใหญ่เหล่านี้ได้อย่างไร? เรากำลังให้ความสำคัญกับอะไร และได้ละทิ้งสิ่งใดไปรึเปล่า? . กลับมาที่เรื่องงานต่อค่ะ (กระชากอารมณ์ หลังจากที่พักดื่มชาแกล้มกับขนมเซมเบ้ในตอน 10 โมงเช้า ก็ได้เวลาเริ่มงานต่อ โยชี่ซังสอนว่า เวลาที่เราปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นตนไม้ใหญ่ ดอกไม้ หรือแม้แต่ผักก็ตาม จงหมั่นถามต้นไม้เหล่านั้นว่า " Where do you like?" ต้นไม้ก็มีชีวิตเหมือนคน เราต้องรู้ก่อนว่าพวกเขาต้องการที่จะเติบโตและหันหน้าไปทางทิศไหน ก่อนจะวางต้นไม้ลงในดิน เราต้องพิจารณาก่อนว่าทิศไหนเป็นทางที่เหมาะสมที่สุด ไม่ใช่เพียงแค่ขุดดิน และจับมันยัดลงไป สุดท้ายกลบหลุมเป็นอันจบ เพราะนั่นเท่ากับว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับชีวิตที่เราจะให้กำเนิดจริงๆ . ขณะที่กำลังดื่มด่ำกับบทเรียนจากคุณครูคนใหม่ สามีของโยชี่ซัง หรือ เท็ตสึโระซัง ก็ขับรถกลับมาที่บ้าน พวกเราจึงได้มีโอกาสทำความรู้จักกันซะทีค่ะ เท็ตสึโระซังเป็นชายร่างเตี้ยและผอม พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก อายุประมาณ 60 ปี แต่ก็ยังดูหนุ่มกว่าวัยมากค่ะ หลังจากที่ทักทายกันเสร็จ เท็ตสึโระซังก็ขอตัวไปนอน เนื่องจากทำงานมาหนัก และต้องขับรถกลับจากที่ทำงานซึ่งเป็นระยะทางไกลมาก พวกเราจึงต้องบอกราตรีสวัสดิ์ในเวลาที่ตะวันส่องหัวแบบนี้ และกลับไปทำงานต่อ . หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงเรียบร้อย โยชี่ซังอนุญาตให้เราใช้เครื่องซักผ้าได้ค่ะ ปลาเค็มที่หมักหมมมาจากบ้านของมาริ ตอนนี้รสชาติเข้มข้นมาก ได้เวลาเอาพวกมันไปลงหม้อซะที . จัดการตากปลาเค็มเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับไปทำงานต่อ คราวนี้ โยชี่ซังให้เราคัดแยกสมุนไพรชนิดหนึ่งไปปลูกในแปลงให้สวยงาม โดยการแยกกอสมุนไพรออกจากกัน เพื่อทำให้เป็นต้นเดี่ยวๆ และนำไปจิ้มลงดินให้เป็นระเบียบสวยงาม พร้อมทั้งรดน้ำให้เรียบร้อย ปลูกเสร็จก็ล้างอุปกรณ์และนำไปเก็บให้เข้าที่ . . สเปเชี่ยลทูเดย์วันนี้ โยชี่ซังกับสามีจะพาเราไปดูหนังที่วัดค่ะ ภาพของงานวัด ขนมสายไหม และหลังกางแปลงจอใหญ่กระแทกเข้ามาในหัวทันที มิ้งกับน้องดาวตื่นเต้นออกนอกหน้า อยากจะออกแรดกันเต็มแก่ . เมื่อขึ้นรถเรียบร้อย โยชี่ซังก็เล่าเรื่องย่อคร่าวๆของหนังเรื่องนี้ให้พวกเราฟังค่ะ เพราะหนังเป็นภาษาญี่ปุ่น และไม่มีซับไตเติลใดๆ กลัวว่าพวกเราจะนั่งเป็นกระเหรี่ยงเอ๋อกันอยู่สองคน พอมาถึงวัดแล้ว บรรยากาศเงียบกริบเลยค่ะ เรียกได้ว่าเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหายใจของคนอื่นได้เลย ไหนล่ะงานวัด? ไหนล่ะรำวง? ไหนล่ะขนม? หนายยยยย ! . เก็บความเสียใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด แล้วเดินตามโยชี่ซังเข้าไปในอาคารของวัด เบื้องหน้าที่เห็นมีจอโปรเจ็กเตอร์จอหนึ่ง และเครื่องเล่นซีดีตั้งอยู่ข้างหน้า คุณตา คุณยายแถวๆนั้น แต่งชุดกิโมโนมานั่งรอหนังฉายกันจนเก้าอี้ที่เตรียมไว้แทบไม่พอเลยค่ะ เท่าที่ประเมินแล้ว กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อบุคคลอายุ 60+ แน่ๆเลย . พวกเราได้เข้าไปนั่งที่ด้านหน้า เห็นภาพชัดเลยทีเดียว ดูแต่ภาพ ฟังก็ไม่ออก หนังเรื่องนี้เป็นหนังเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ตกงาน จนโชคชะตาเล่นตลกทำให้เขาต้องมาเป็นสัปเหร่อโดยไม่ได้ตั้งตัว ระยะแรก คนรอบข้าง รวมทั้งตัวเองไม่สามารถยอมรับอาชีพของที่เขาทำได้ แต่เมื่อเขาได้เจอกับหลายๆสถานการณ์ที่เข้ามาทดสอบ สิ่งเหล่านั้นสอนให้เค้ารู้ว่า อาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่มีคุณค่าเทียบเท่ากับอาชีพอื่น สุดท้ายจึงเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีที่จะทำมันต่อไป ดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มได้ยินเสียงคนร้องไห้เป็นระยะๆ หนังซึ้งกินใจสุดๆค่ะ ตัวมิ้งเอง ยังแอบน้ำตาไหลเลย หันไปมองหน้าน้องดาว เห็นมันทำเนียนยกมือปาดน้ำตา ฮันแน่! เห็นหรอกเว้ย! . ลองไปหามาดูกันนะคะ มารู้ชื่อเรื่องก็ตอนที่กลับมาถึงไทยแล้ว ชื่อว่า "The Departure" ค่ะ . วันนี้ประทับใจมากค่ะ รู้สึกว่าได้รับสิ่งดีๆมาเติมใส่ชีวิตมากมาย จากที่เคยจืดชืด ตอนนี้เริ่มมีรสชาตขึ้นเยอะ . To be continue... อยากไป วูฟมั่งจังเลยค่ะ อยากได้คำแนะนำมากก
โดย: ้เมี้ยว IP: 58.11.128.157 วันที่: 10 มิถุนายน 2556 เวลา:14:12:57 น.
|
Newbie Traveller
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Yoroshikune~ | |||