All Blog
|
WWOOF Japan : Day 16 Let's go to Nagano . ร่ำลาเกียวโต มุ่งหน้าสู่นางาโน่ . สองวันสำหรับการพักผ่อนจบลง ภารกิจ wwoof เริ่มขึ้นอีกครั้ง ก้าวสู่จุดหมายต่อไปด้วยหัวใจดวงเดิม (อ้วก!!) . วิธีเดินทางไปยังบ้านโฮสคนที่ 2 นั้นต้องนั่งรสบัสไปค่ะ รสบัสที่ว่านี้เป็นรสบัสพิเศษ ที่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า เรื่องตั๋วนี้ต้องขอบคุณ Mari โฮสคนเก่าของพวกเราที่ช่วยจัดการโทรไปจองให้ ช่วยเหลือพวกเราตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆค่ะ . ปัญหาที่ทำเอามิ้งกับน้องดาวหัวหมุนไปได้พักใหญ่ก็คือ การตามหาป้ายรถบัสนี่แหละค่ะ แผนที่ที่มีก็น่ามึนมาก มันบอกว่าต้องไปขึ้นรถบัสบนทางด่วน! มิ้งกับน้องดาวเดินงมทางหาวิธีไปทางด่วนที่ว่ากันไปเรื่อยๆ โชคดีที่เผื่อเวลาตื่นเอาไว้ เลยมีเวลาเดินหลงได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบร้อน จากเช้ากลายเป็นสาย พวกเราเดินตามแผนที่มาจนเจอกับสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซึ่งในแผนที่เนี่ย มันบอกว่าตรงจุดนี้คือป้ายรถบัสที่อยู่บนทางด่วน "ไหนวะ" คือคำพูดที่มิ้งกับน้องดาวพูดขึ้นมาพร้อมกัน คือไม่ว่าจะมองไปทางไหน ที่นี่ก็เป็นแค่สวนสาธารณะดีๆนี่เอง ไม่เห็นจะมีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นป้ายรถบัสและทางด่วนเลยค่ะ เมื่อไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ต้องพึ่งพาเจ้าถิ่น กะเหรี่ยงทั้งสองระบุเป้าหมายเป็นลุงแก่ๆคนนึงแล้วพุ่งเข้าประชิดตัวทันที สอบสวนได้ความว่า สวนสาธารณะแห่งนี้มันอยู่ใต้ทางด่วนค่ะ ลุงแกชี้นิ้วไปตรงกำแพงหนาๆริมสวนสาธารณะ แล้วบอกว่าตรงนั้นแหละคือทางออกที่จะไปรอรถบัสบนทางด่วน (ความรู้สึกเหมือนทางเข้าฐานทัพลับอะไรซักอย่าง ดูมันลึกลับจัง) หลังจากขอบคุณลุงแกเรียบร้อย เราก็เดินไปตรงกำแพงที่คุณลุงชี้นิ้วเมื่อกี้ ตรงกำแพงจะมีช่องที่ทำเป็นบันไดอยู่ค่ะ ข้างบนบันไดนี้จะมีประตูเหล็กบานย่อมๆ พอผลักประตูเข้าไปก็จะเจอป้ายรถบัสที่อยู่ติดขอบถนนทางด่วน . ปัญหาน่ามึนอีกอย่างก็คือ มันมีรถบัสหลายคันทยอยจอดรับผู้โดยสาร ซึ่งพวกเราไม่รู้ว่าต้องขึ้นคันไหนแน่ ก็เลยจำเป็นต้องเข้าไปถามคุณป้าท่านหนึ่งที่ยืนรอรถอยู่ใกล้ๆกัน คุณป้าบอกว่าจะขึ้นรถคันเดียวกับพวกเราพอดี ยังไงถ้ารถมาแล้วจะบอก (ใจดีจังเลย) . เมื่อรถบัสมาถึง คุณป้าก็จูงมือน้องดาวขึ้นรถ (เหมือนกลัวพวกเราหลง ) แล้วน้องดาวก็ทำการแจ้งยืนยันชื่อที่ใช้จองกับคนขับรถ และจ่ายเงินค่าโดยสารประมาณ 2000 กว่าเยน ครึ่งทางผ่านไป รถบัสก็เลี้ยวเข้าไปใน car park แห่งหนึ่ง ให้ผู้โดยสารได้แวะดื่มน้ำ ปัสสาวะกันไป มิ้งกับน้องดาวก็เลยเข้าไปซื้อข้าวกล่องของมินิมาร์ทมากินกันบนรถ รวมทั้งขนมที่จะใช้เป็นเสบียงไว้กินเล่นที่บ้านโฮสด้วย (โดนความสวยงามภายนอกหลอกตาอีกแล้ว) . . พวกเราลงรถที่ Sawando ตามที่โฮสบอกมาค่ะ ซึ่งรถบัสก็จอดตรงหน้าสถานีรถไฟเล็กๆแห่งหนึ่ง ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายโมง แต่โฮสบอกว่าจะว่างมารับตอนหลัง 4 โมงเย็น ซึ่งหมายความว่าเราต้องนั่งรอที่จุดนัดหมายประมาณ 3 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่จะให้นั่งเฉยๆก็คงไม่ได้ ต้องเดินสำรวจซะหน่อย เผื่อจะเจอร้านอาหารให้เข้าไปนั่งฆ่าเวลาได้บ้าง เดินๆไปก็ชักร้อน แถมละแวกนั้นมีเพียงแค่ร้านขนมปังเล็กๆร้านหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นก็เป็นบ้านคนที่ปิดประตูเงียบเชียบ สุดท้ายจึงได้แค่เข้าไปกดน้ำกระป๋องจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติมาแล้วกลับมานั่งแหง่วอยู่ในสถานีรถไฟตามเดิม ระยะเวลาเกือบสามชั่วโมง สถานีรถไฟเล็กๆแห่งนี้มีผู้เข้ามาใช้บริการไม่ถึง 10 คน เจ้าหน้าที่เป็นชายวัยกลางคนสองคนก็ยังคงนั่งๆเดินๆ ทำนู่นนี่ไปเรื่อยๆอย่างเงียบๆ บรรยากาศดูเงียบเหงา พวกเรานั่งหาวแล้วหาวอีก ถ้าไม่เกรงใจคุณอาเจ้าหน้าที่ก็คงจะนอนมันตรงนั้นเลย . เมื่อถึงเวลานัดหมาย โฮสก็มาถึง เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปีค่ะ แต่ยังดูแข็งแรง และดูสาวกว่าวัยมากๆด้วย บ้านของโฮสอยู่ห่างจากจุดนัดหมายประมาณ 15 นาที แต่โฮสบอกว่าถ้าเดินจากสถานีรถไฟมาที่บ้านจะเหนื่อยมาก เพราะว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนเขา และทางก็ค่อนข้างชันด้วยค่ะ . (อยู่บนเขาเลย ) . . . . บ้านของโฮสคนที่ 2 เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดปานกลาง ตกแต่งสไตล์คันทรี่สวยงาม สมาชิกบ้านหลังนี้เป็นสองสามีภรรยา โฮสผู้หญิงชื่อโยชี่ มีอาชีพเป็นครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ ส่วนสามีของโยชี่ซัง ชื่อว่าเท็ตสึโระ เป็นช่างยนต์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองค่ะ ซึ่งโยชี่ซังบอกว่าอยู่ไกลมาก ดังนั้น สามีของเธอจึงไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านเท่าไหร่ ส่วนการทำสวน ปลูกผักนั้นเป็นเพียงงานอดิเรกค่ะ แต่เนื่องจากที่ดินสำหรับเพาะปลูกนั้นกว้างเกินไป โยชี่ซังทำเองคนเดียวไม่ไหว บ้านหลังนี้จึงจำเป็นต้องรับ WWOOFer เข้ามาช่วยงานค่ะ ที่นี่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ 2 ตัว คือหมาและแมวอย่างละตัว น้องหมาพันธุ์ชิบะมีชื่อว่าดีด้าจัง นิสัยขี้เล่นและร่าเริ่งที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมาเลยค่ะ ส่วนน้องแมวชื่อว่าทามะ นี่ก็เป็นแมวที่ขี้เกียจที่สุดตั้งแต่เคยเจอมาเช่นกัน โยชี่ซังบอกว่า แมวของเธอไม่ชอบออกกำลังกาย วันๆ she นอนอย่างเดียว แล้วก็เตือนว่า ห้ามวางขนมไว้เรี่ยราดเด็ดขาด ไม่งั้นเสร็จทามะจังแน่ๆ . พวกเราไม่ได้นอนบ้านหลังเดียวกันกับเจ้าของบ้านหรอกค่ะ โยชี่ซังให้เราไปนอนที่ Pao ซึ่งเป็นที่ที่โยชี่ซังใช้สอนพิเศษเด็กนักเรียน เป็นเหมือนกระโจมของอินเดียนแดง ภายใน Pao ตกแต่งได้อย่างน่ารักมากๆเลยค่ะ ทางเดินและบริเวณรอบๆตกแต่งสวยงาม .
(บ้านชั่วคราวของต่างด้าวทั้งสอง) . (ภายใน Pao) . วันนี้ยังไม่ต้องทำงานใดๆค่ะ เพราะกว่าเราจะมาถึงก็เย็นมากแล้ว โยชี่ซังจึงใช้เวลาในช่วงเย็นที่เหลือพูดคุยทำความรู้จักกับพวกเราไปเรื่อยๆ จากนั้นก็พาไปดูส่วนต่างๆของบ้าน รวมไปถึงห้องน้ำ ซึ่งพอโยชี่ซังทราบว่า โฮสคนที่แล้วไม่ได้สอนเกี่ยวกับการใช้อ่างอาบน้ำญี่ปุ่น ก็เกิดอาการตกใจ แล้วก็บอกว่าพวกเราพลาดแล้วที่ไม่ได้ลองแช่อ่างน้ำร้อนแบบนี้ เธอก็เลยอาสาจะสอนให้พวกเราหัดแช่อ่างให้เป็นเอง โดยวิธีอาบน้ำร้อนแบบญี่ปุ่นก็คือ ขั้นแรกให้ทำความสะอาดร่างกายด้วยฝักบัวให้เรียบร้อยซะก่อน จากนั้นก็ค่อยๆหย่อนเท้าลงไป แล้วค่อยๆลดตัวลงแช่น้ำ เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับอุณหภูมิให้เข้ากับน้ำที่ร้อนจัดได้ ถ้าโดดลงอ่างไปเลยทีเดียว ร่างกายอาจช็อคได้ค่ะ หลังจากแช่น้ำร้อนจนพอใจแล้ว ก็ลุกขึ้นจากอ่าง ออกมาอาบน้ำ ชำระร่างกายอีกทีด้วยฝักบัว โดยนั่งที่เก้าอี้ข้างนอกเพื่อถูสบู่ สระผม ขัดขี้ไคลกันไป เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ การใช้อ่างอาบน้ำร้อนนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนน้ำค่ะ ทุกคนในบ้านจะใช้น้ำในอ่างร่วมกัน และเมื่ออาบกันครบทุกคนแล้ว ก็สามารถนำน้ำในอ่างมาใช้ทำอย่างอื่นได้ เช่น ซักผ้าหรือรดน้ำต้นไม้ในวันต่อไปได้อีก และโยชี่ซังบอกว่า เนื่องจากเธอและสามีแก่กว่าเรามาก เพราะฉะนั้นเจ้าของบ้านจะได้แช่น้ำในอ่างก่อนเป็นอันดับแรก และจากนั้นพวกเราจึงจะสามารถอาบน้ำได้ ซึ่งจะแตกต่างจากโฮสบ้านที่แล้วค่ะ บ้าน Satono จะให้พวกเราใช้ห้องน้ำก่อน เจ้าของบ้านจะอาบทีหลังเอง (แต่ละสถานที่ย่อมมีกฏเกณฑ์ต่างๆเป็นของตัวเอง ในฐานะที่เราเ็ป็นผู้ขออาศัย เราก็ต้องเคารพในกฏเกณฑ์ของสถานที่นั้นๆนะคะ ) . พอถึงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น โยชี่ซังต้องพาเจ้าดีด้าจังไปเดินเล่น พวกเราก็เลยขอตามไปด้วยค่ะ รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะออกไปเดินเล่นอยู่พอดี เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจูงน้องหมามาเดินเล่นเช่นกัน พอเจ้าดีด้าเห็นเข้า ก็รีบพุ่งตัวจะเข้าไปหาน้องหมาตัวนั้น แต่โยชี่ซังก็รีบดึงเชือกห้ามดีด้าจังไว้อย่างสุดกำลังและพยายามบังคับมันให้เดินไปอีกทาง โยชี่ซังเล่าว่า น้องหมาตัวนั้นกับดีด้าจังเป็นแฟนกัน แต่เนื่องจากโยชี่ซังกับเจ้าของน้องหมาตัวนั้นไม่ถูกกัน จึงห้ามไม่ให้ทั้งสองคบกัน (ช่วยบอกหน่อยว่ามิ้งไม่ได้กำลังดูละครไทยอยู่ ) . กลับมาถึงบ้านก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดีค่ะ มื้อนี้โยชี่ซังทำพาสต้าซอสครีมให้กิน ทำไมเราเจอแต่โฮสที่ทำอาหารอร่อยๆทั้งนั้นเลยน้า โยชี่ซังกับสามีชอบฟังเพลงมากค่ะ มีเทปคาสเซ็ทเต็มตู้เลยทีเดียว และที่เด็ดกว่านั้นก็คือมีเทปเพลงไทยด้วย! เป็นเทปของวงคาราวานค่ะ โยชี่ซังเล่าว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สมัยที่ยังอยู่ที่โตเกียว ก่อนที่จะย้ายมาอยู่บ้านนอก คาราวานได้มาเปิดคอนเสิร์ตที่นั่น ซึ่งสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ไปดู และเกิดติดใจเพลงของคาราวานขึ้นมา แม้ว่าจะฟังภาษาไทยไม่ออกก็ตาม ก็เลยซื้อเทปเก็บไว้และยังคงฟังมาจนถึงทุกวันนี้ . หลังจากอาหารเย็นผ่านไป ก็ได้เวลาของการอาบน้ำค่ะ ในเมื่อโยชี่ซังอุตส่าห์สอนแล้ว ก็คงต้องลองแช่อ่างดูซะหน่อย เริ่มแรกก็ทำตามขั้นตอนที่โยชี่ซังบอก ล้างเนื้อล้างตัวด้วยฝักบัวเสร็จเรียบร้อย ก็ค่อยๆหย่อนขาขวาลงไป น้ำยังไม่ทันจะแตะถึงตาตุ่มก็รีบชักกลับเลยค่ะ ทำแบบนี้อยู่หลายรอบ ยังไงก็หย่อนขาลงไปได้ไม่เกินเข่าซะที สุดท้ายก็สำเหนียกตัวเองได้ว่าคงไม่เหมาะกับการอาบน้ำร้อนแบบนี้จริงๆ ขอเป็นน้ำอุ่นๆจากฝักบัวเหมือนเดิมเถอะ . ตอนกลางคืน อากาศหนาวมากค่ะ Pao หลังนี้ไม่ได้ช่วยให้อุ่นได้เท่าไหร่ โชคยังดีที่มีฮีทเตอร์อยู่ ไม่แน่ใจว่าเจ้าของบ้านอนุญาตให้ใช้มั้ย แต่ที่แน่ๆคือเปิดใช้ไปแล้วแหละ . สำหรับกฏของบ้านนี้ ที่นี่กินอาหารเช้าตอน 7.30 น. ซึ่งโยชี่ซังเป็นคนทำให้ค่ะ ไม่ต้องทำกินเองเหมือนบ้านโฮสคนก่อน จะเริ่มงานเวลา 9 โมงเช้า พักกินข้าวกลางวันตอนเที่ยงตรง และให้เวลาทำธุระส่วนตัวจนถึงบ่าย2 จากนั้นก็ทำงานต่อจนถึง 5 โมงเย็น มีพักดื่มชาสองรอบต่อวันค่ะ รอบแรกคือช่วง 10.00 - 10.10 น. และรอบที่สองคือตอน 15.00 - 15.10 น. อาหารเย็นคือเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ถ้าจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เน็ต สามารถใช้คอมพิวเตอร์ของโยชี่ซังได้วันละครั้ง ครั้งละ 20 นาที เวลาที่เหลือนอกตารางก็ฟรีสไตล์ค่ะ . มาดูกันว่า ในวันพรุ่งนี้ มิ้งกับน้องดาวจะต้องเจองานอะไร และพวกเราจะสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์อะไรจากบ้านหลังนี้ไปได้บ้าง . Free TextEditor |
Newbie Traveller
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Yoroshikune~ Link |