|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
จากฟากฟ้าสุราลัย...สู่แดนดิน บทที่ 1+2+3 "อุปริยา"
จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน "อุปริยา"
....ฉันจะตามไปทั่วฟ้า ทั่วจักรวาลผ่านพื้นผิวแห่งทุกดวงดาว สุดฟ้าสุราลัย สุดขอบแห่งห้วงมหรรณพ ขอเพียงแต่ให้เธอรอฉันอยู่ เพื่อพบพาน.......
**************************************************
บทที่ 1
ฝนตั้งเค้ามืดครึ้มไปทั่วบริเวณ ไม่มีทีท่าว่าพระอาทิตย์จะปรากฎดวงให้เห็น แม้ว่าจะสายมากแล้วก็ตาม อีกไม่นานฝนก็คงจะตก บรรยากาศรอบตัวดูมัวซัว มันเป็นบรรยากาศที่ไม่ชวนให้ทำอะไรเลยจนนิดเดียว
ท้องทะเลเรียบ นิ่ง มีเพียงสายลมอ่อนพัดมาเอื่อยๆ ชายหาดเงียบ ปราศจากผู้คนเดินผ่านไปมา มันเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนใกล้ๆ
อธิปเหลือบตาไปมอง ไม่แน่ใจว่าคนข้างๆ จ้องมองฟ้าอยู่นานแค่ไหนแล้ว แต่คงนานมาก เพราะเขาไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย
ตั้งแต่สั่งเบียร์มาจนถึงตอนนี้หมดไปกว่าครึ่งขวด เธอก็ยังเอาแต่มองท้องฟ้าสีตุ่นๆ เหมือนว่าไม่มีเขานั่งอยู่ด้วย เหมือนเจ้าหล่อนเลื่อนลอยไม่รับรู้โลกภายนอก จะว่าไปอธิปก็ชินเสียแล้วกับอาการแบบนี้ ทุกครั้งที่ฟ้ามืดครึ้มฝนเช่นนี้
"อยากกลับบ้าน..." เสียงพึมพำแผ่วๆ เล่นเอาอธิปแทบสำลักเบียร์ที่เพึ่งจะดื่มเข้าไป
แม่คุณเอ๋ย เขาไม่เคยตามอารมณ์เจ้าหล่อนถูกเลย เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เพึ่งจะผ่านพ้นไปเมื่อไม่นาน
2 ชั่วโมงที่ผ่านมา...
เธอและเขาออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด พระยังไม่ออกบิณฑบาตเสียด้วยซ้ำ เธอบอกอยากมาทะเล แต่พอมาถึงทะเล แค่หย่อนตัวลงนั่งริมหาดสั่งเบียร์มาดื่มยังไม่หมดขวดด้วยซ้ำ จู่ๆ เธอก็บอกว่าอยากกลับบ้าน
"โหย โหย!! คุณชนิเจ้าคะ ไม่เห็นใจคนขับรถเลยหรือไง ข้าวเช้าก็ไม่ได้กิน แค่ขอเบียร์ให้มันหมดสักขวดก็ยังดีนะ"
"อ้าว! ทำไมจะรีบกลับแล้วเหรอ! เพึ่งจะมาถึงเอง" คราวนี้อธิปสำลักเบียร์จริงๆหลายนาทีกว่าเขาจะตั้งสติใหม่ได้
"อ้าว! ก็เห็นตัวเองบอกอยากกลับบ้าน"
"ใคร!?...ใครอยากกลับบ้าน ชนิเหรอ ชนิพูดจริงๆ อะ? ....แล้วชนิพูดอะไรบ้าง!!??" ดวงหน้าใสๆ ราวกับไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา หรือว่าเขาเมาเบียร์ไปเอง
"ก็เห็นพึมพำว่าอยากกลับบ้าน"
"จริงอะ??!! ไม่เห็นรู้ตัวเลย...เฮ้อ! นี่ชนิต้องเป็นอะไรไปแล้วแน่ๆ เลย แน่ใจนะว่าได้ยินชนิพูดว่าอยากกลับบ้าน"
"เฮ้ๆ นี่มันเบียร์แค่ขวดแรกน่ะ เราไม่ได้เมานะโว้ย อยู่แค่นี้มีกันสองคน เราไม่ได้พูด แล้วใครที่ไหนจะมาพูด"
"เฮ้อ! ชนิเป็นอย่างงี้บ่อยมั้ย ธิป"
"เห็นบ่อยๆ เวลาชนิ เพลีย เวลาละเมอน่ะ ไม่เห็นมีอะไรซีเรียสเลย"
ไม่ซีเรียสหรือ บางความรู้สึกบอกว่าเขากำลังหลอกตัวเอง อธิปนึกไปถึงอาการเมื่อครู่ว่ากันตามจริง เขาเองก็เริ่มรู้สึกว่า เพื่อนสาวของเขามีอะไรแปลกๆ ไม่ใช่แค่หนสองหน แต่ค่อนข้างหลายครั้ง โดยเฉพาะเวลากลางคืน หรือเวลาฟ้าครึ้มฝนแบบนี้
แรกๆ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าละเมอ เพลีย แต่เมื่อหลายๆ ครั้ง เขาก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้หลับ แต่ที่ทำให้เริ่มมาจับอาการผิดปกติมากขึ้น เห็นจะเป็นเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่ขับรถกลับจากงานเลี้ยงของลูกค้า คืนนั้นฝนตกหนัก เจ้าหล่อนตีตั๋วหลับมาตั้งแต่ออกจากโรงแรม จู่ๆ เธอก็ละเมอพร่ำรำพันฟังไม่ได้ศัพท์ เหมือนเรียกหาใครบางคนชื่อแปลกๆ แถมเรียกตัวเองว่า “ชนิกรรดา”
ซึ่งตั้งแต่รู้จักเธอมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่เคยได้ยินเธอเรียกชื่อเต็มของตัวเองสักครั้ง อีกอย่างเธอก็ออกจะเกลียดชื่อเต็มๆ อย่างกับอะไรดี โดยไม่มีเหตุผล และไม่ทราบสาเหตุ
อธิปคาดเดาว่า อาจจะยาว และแปลกจนเหมือนลิเก "ชนิกรรดา” ชื่อที่เขามีความรู้สึกว่าเป็นชื่อที่เพราะ เก๋ แทบไม่ค่อยได้ยินว่ามีใครใข้ชื่อนี้มาก่อน
แต่หากใครเผลอ ขืนไปเรียกเข้าล่ะก็ เธอไม่ยอมพูดด้วยไปหลายวัน...แม้แต่สมัยเรียนเธอยังกล้าขอให้คุณครูที่สอนทุกคน ทั้งโรงเรียน เรื่อยมาจนมหาวิทยาลัย ให้เรียกเธอแค่สั้นๆ ว่า “ชนิ”
อธิปเคยแนะนำให้เธอไปเปลี่ยนชื่อตั้งหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยแม้แต่จะคิดก็ตาม...
เขาและเธอ บ้านอยู่ใกล้กัน พ่อของเขากับพ่อของเธอสมัยก่อนก็เคยเป็นหมอโรงพยาบาลเดียวกัน เห็นกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เรียนหนังสือหนังหาก็ที่เดียวกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย
หลายครั้งที่ถูกเพื่อนแซว ว่าเขาและเธอเป็นแฟนกัน เคยเหมือนกันที่บางความรู้สึกฉันคนรักจะแว่บเขามา แต่มันก็จางหายไปทุกครั้ง …
เธอเป็นอะไรสำหรับเขาที่สูงค่ามากมาย เหมือนน้องสาวที่เขาต้องดูแล... เหมือนเขามีหน้าที่เป็นเพียงผู้อภิบาล...เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
"ละเมอเหรอ!? เมื่อไหร่อะ" ดวงหน้าสวยหวาน ตาใสๆ เหมือนเด็กเล็กๆ จ้องมองหน้าเขา เหมือนคาดคั้นเอาจริงเอาจังกับคำตอบ
"ก็เมื่อวันที่ฝนตกหนักสามวันสามคืนนะ คืนที่กลับมาจากงานเลี้ยงคุณบัญชาน่ะ เธอละเมอคร่ำครวญหาใครสักคน ชื่ออะไรหว่า จำไม่ค่อยได้แล้ว ชื่อแปลกๆ ประหลาด งือจำไม่ได้ เอ่อ! แล้วก็พูดแบบนี้...ใช่! ชนิบอกอยากกลับบ้าน ไอ้เราไม่ได้เอะใจนึกว่าชนิเหนื่อย อยากจะรีบกลับบ้าน อยากให้ถึงไวๆ"
"ฟังแปลกๆ แหะ แม่ก็บอกว่าชนิละเมอบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กๆ ระยะนี้ชักถี่แหะ..ชนิละเมอชื่อใครเหรอ ธิปจำได้หรือเปล่า” เสียงนั้นฟังเหมือนเจือปนไปด้วยความไม่สบายใจ ทำให้อธิปเริ่มไม่สบายใจตามไปด้วย
เขาพยายามนึกถึงชื่อแปลกๆ นั้นอยู่นาน แต่ก็ดูเหมือนไร้ผล...
"ไม่อะ นึกไม่ออก ชนิอาจจะไปจำมาจากไหน เอามาละเมอหรือเปล่า" อธิปรู้สึกเหมือนว่ากำลังโกหกตัวเองอีกแล้ว เขาพยายามนึกถึงคืนนั้นอีก แต่ทุกอย่างก็เหมือนเดิม
เธอทำหน้ามุ่ย หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
"เนี่ยะ! ชนิถึงอยากมาทะเล ท่าทางจะเครียด ทำงานหนักเกินเหตุอีกแล้วแน่ๆ เลย" เธอส่ายหน้า ยักไหล่ทำหน้าเนือยๆ กับตัวเอง ก่อนวางแก้วน้ำลง แล้วลุกเดินออกไปยังริมทะเล
ท้องฟ้าสีมืดเมื่อครู่ เริ่มจางออกเป็นสีเทาอย่างน่าแปลก เหมือนเค้าฝนไม่ได้ปรากฏ ลมคงหอบไปตกที่อื่น แต่ลมแบบอ่อนๆ อย่างนี้นะหรือ
แต่แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบฟองคลื่นเป็นประกาย เหมือนจะบอกว่าอย่างน้อยฝนก็คงไม่ตกตรงนี้...ในเวลานี้
อธิปส่ายหน้าบ้าง ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ฉับพลัน... เขาก็แทบสำลักเบียร์อีกครั้งชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ เสมือนไม่เชื่อสายตาตัวเองกับภาพตรงหน้าที่เห็น
เขาพยายามกะพริบตาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า มองร่างที่กำลังเดินห่างออกไป ร่างเพรียวที่ห่างไปไม่เกินครึ่งเมตร พระอาทิตย์ฉายแสงเฉพาะลงมาราวกับใครเปิดสปอตไลต์
แค่นี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว แต่สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ตัวเขาต้องทะลึ่งพรวดผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบราวกับคนเสียสติ...
ชั่ววินาทีที่แสงตกกระทบทั่วร่างของหญิงสาวราวกับร่างนั้นเป็นแผ่นกระจกที่สะท้อนแสงกลับมาได้ แสงสีเขียวเข้มราวกับมรกตฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ ตัวของเธอ
ไม่ใช่!! แสงอาทิตย์สะท้อนกับน้ำทะเลแน่ๆ ไม่ใช่!! ภาพสะท้อนลวงตา ไม่ใช่!! เบียร์แค่ครึ่งขวด
ตลอด 25 ปีที่รู้จักเธอ ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้คืออะไร!!??.....
"ชนิกรรดา!!..." เป็นครั้งแรกที่ เขาหลุดเอ่ยพึมพำเรียกชื่อเต็มๆ ของเธอ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงกล้าเรียกชื่อเธอออกจากปากของเขาเอง
บทที่ 2
...บางทีเขาอาจจะลองตัดสินใจใหม่อีกครั้ง... ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา วิษุวัตรู้สึกสับสน คิดแล้วคิดใหม่อยู่หลายครั้ง วนเวียนตั้งแต่ก่อนเก็บกระเป๋า ก่อนออกจากบ้าน ก่อนเช็คอิน และถึงแม้แต่จะขึ้นมาอยู่บนเครื่องแล้วก็ตาม
แน่ะล่ะ เขายังคิดได้อีกครั้ง ถ้าเครื่องบินยังไม่ออกจากสนามบิน...เขายังมีเวลาอีก อย่างน้อยก็ตั้ง 20 นาที จริงๆ แล้ว วิษุวัตรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนลังเล เป็นคนที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น กล้าตัดสินใจ แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป....
ครั้งนี้เขารู้สึกสับสน จนต้องคิดแล้วคิดอีกหลายรอบ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของวิษุวัต รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากเหลือเกิน เพราะอะไร...จู่ๆ เขาก็กำลังตัดสินใจจะเลือกกลับเมืองไทย บางทีถ้าตั้งแต่มาอังกฤษใหม่ๆ แล้วเขาเลือกเรียนสายบริหารธุรกิจ วรรณคดี วิทยาศาสตร์ หรือ กฎหมาย ทั้งหมดจะง่ายกว่าวิชาโบราณคดีอย่างนี้หรือไม่ หรือว่าเพราะลิเดีย... ลิเดีย ผู้หญิงที่เขาหลงรักเธอมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่อังกฤษใหม่ๆ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา ผู้หญิงอังกฤษเอาจริงเอาจังคนนั้น ผมของเธอเป็นสีน้ำตาลทอง ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย รูปหน้าไข่ เหมือนเธอก้าวออกมาจากศตวรรษที่ 16
เสน่ห์ของเธอเหมือนกับภาพสะท้อนจากห้วงอดีตในประวัติศาสตร์ เธอหลงใหลหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ เธอเลือกตามรอยสงครามครูเสดเป็นวิทยานิพนธ์ของเธอ ตามแผนการของเธอ ป่านนี้เธอคงอยู่ในตุรกี หรือไปจนถึงอิสราเอลแล้วก็ได้... และถ้าทั้งหมดไม่ใช่จดหมายจากเมืองไทยฉบับนั้น เขาก็คงมีส่วนร่วมในวิทยานิพนธ์ตามรอยสงครามครูเสด ของลิเดียอย่างแน่นอน สิ่งหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่เมืองไทย ต้องเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของสงครามครูเสด บางสิ่งในใจที่ลึกที่สุดของวิษุวัตกระซิบปลอบตัวเองอย่างแผ่วเบา จนทำให้เขารู้สึกสับสน ลาก่อนลิเดีย.... จดหมายจากอาจารย์ภาณุ คือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับเมืองไทย โดยยังไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยว่าจะต้องทำอะไร
วิษุวัตไม่มีวันลืม วันที่พบอาจารย์เป็นครั้งแรก อาจารย์ที่ทำให้หลงใหลทุกหน้าของประวัติศาสตร์โลก ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เขาจำวันที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยติดในคณะอื่น ทำให้เขาพลาดการได้เรียนในสิ่งที่เขารัก แต่การเรียนทางสถาปัตยกรรม ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า ทุกๆ สาขาวิชาเกี่ยวข้องกัน ต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันเสมือนลูกโซ่ หลายคนแปลกใจว่าทำไมจู่เขามาเรียนเพิ่มเติมวิชาโบราณคดี เขาเองก็ยังแปลกใจแต่มันทำให้เขามีความสุข และเมื่อเลือกมารวมกับงานสถาปัตยกรรมโบราณแล้ว ทำให้เขาได้เห็นอีกแง่มุมมองหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์
ดังนั้นจดหมายของอาจารย์ภาณุที่ยินดีให้เขาไปร่วมงานสำรวจโบราณคดีในเมืองไทย แผ่นดินเกิดมาตุภูมิของเขา บางทีสิ่งที่เขาคิด และกำลังทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะกับเขาแล้ว
วิษุวัตยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับภาพที่เห็นนอกกระจก เขารู้ดีว่า... แม้จะไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์ แม้จะไม่ได้กลับมาเรียนต่อ การได้เข้าร่วมงานกับอาจารย์ภาณุ เป็นความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่ ที่เขารอคอยมาแสนนาน
เขาไม่มีวันปฏิเสธความฝันของตนเอง เพื่อตามผู้หญิงเพียงคนเดียวแน่นอน...
ไฟสัญญาณเตือนตรงเบื้องหน้านี้ วิษุวัตรัดเข็มขัดอย่างเต็มไปด้วยมั่นใจ ไร้ซึ่งความสับสน เขาปิดเปลือกตาลง...
....ลาก่อนอังกฤษ ลาก่อนลิเดีย...
บทที่ 3
แม้จะกลับกรุงเทพฯ มาหลายวันแล้วก็ตาม แต่แสงสีมรกตที่ริมหาดวันนั้นก็ยังสว่างวาบๆ อยู่ในห้วงความรู้สึกของอธิป
มันเหมือนคำถามที่เขายังหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งความจริงแล้ว เขาจะหาคำตอบไปทำไม มันอาจเป็นแค่แสงกระจายแค่นั้นเอง หรือบางทีเขาเองก็อาจจะเหนื่อย แล้วก็มึนไปเท่านั้นเอง แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือเขารู้สึกเหมือนว่าชนิกรรดาหลับง่ายมากขึ้นในเวลากลางวัน เธอเหมือนคนอ่อนเพลียทุกครั้ง ที่แดดร้อนแรง และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เธอก็จะกลับบ้านเร็วขึ้น เข้านอนเร็วขึ้น และทุกครั้งที่เธอขึ้นรถ เธอก็จะหลับทุกที เป็นอันว่าในฐานะเพื่อนบ้านใกล้เคียง ทำงานที่เดียวกัน เขาก็กลายเป็นคนขับรถให้เธอไปโดยปริยาย "เท่ดีอะ ชนิมีบอดี้การ์ดอะ อิอิมีอัศวิน มีคนขับรถ ข้อสำมะคัน ประหยัดน้ำมันดี" "เออดีโว้ย!...ไอ้เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง รับปากจากแม่หล่อนมาดิบดี ใครๆ เขา ก็เป็นห่วง กลัวเวลารถติดเผลอหลับไปจะทำไง กลับมาเป็นเรื่องตลก...ไม่เห็นใจเลยโว้ย สาวๆ ก็ไม่ได้ไปหา ใครก็คงไม่อยากเข้าใกล้อีกแล้ว" อธิปถอนใจยาว แต่ดวงหน้าใสนั้นยังหัวเราะ ทำหน้าตาคิกคัก ราวกับเด็กเล็กๆ "น้าาาา ความดีครั้งนี้ เป็นทานบารมีนะ เดี่ยวจะไปหานางฟ้าสวยๆ เซ็กซี่ๆ มาให้ธิปสักองค์... ดีป่าว?" "เอานางฟ้านางสวรรค์มาล่ออีกแล้ว มุขนี้ ถึงอย่างที่บอกอบอก หล่อนน่ะชอบ แว่บไปเฝ้าพระอินทร์ หลับเป็นเด็กนอนกลางวันทุกที" "จริงอะ?! ตอนกลางวันชนิมีหลับด้วยเหรอ" น้ำเสียงและวงหน้านั้นสะดุ้ง ราวกับตัวเองไม่รู้เรื่องด้วยจริงๆ จนอธิปเริ่มประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม "ไปหาพ่อเรามั้ย....บางทีตัวเองเครียดกับงานหรือเปล่า" "เฮ้ย! ชนิปกตินะ ไม่ได้ไม่สบายเป็นอะไรไปสักหน่อย ต้นฉบับงานก็ส่งตามปกติ งานก็สบายๆ ดูเสียงธิปแปลกๆ อ่ะ ชนิไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงมากหรอก" รอยยิ้มหวานฉาบทั่วใบหน้า มือเรียวสวยได้รูปวางบนบ่าของอธิป น้ำเสียงหวานเรียบฟังแปลกออกไป จนอธิปรู้สึกประหลาดใจ
"ขอบคุณนะอธิป ที่ดูแลชนิมาตลอด ถ้าชนิไม่มีอธิปคงจะแย่....ไปเหอะ กลับขึ้นข้างบนเหอะ งานแปลยังค้างเต็มโต๊ะเลย....เดี๋ยวขอล้างมือแป๊บ"
ทุกย่างก้าวของชนิกรรดาสง่างามราวกับราชินี เหมือนนางพญาที่ก้าวออกมาจากตำนาน…
อธิปเลี่ยงเข้าห้องน้ำบ้าง ยังคิดถึงอากัปกริยา และน้ำเสียงแปลกๆ ของเธออยู่ดี บางครั้งชนิก็ดูเข้มแข็ง เหมือนผู้ใหญ่เกินตัว บางครั้งเธอก็ร่าเริง บอบบางเหมือนเด็กเล็กๆ ชายหนุ่มออกจากห้องน้ำ เขามองเห็นชนิกรรดายืนคุยอยู่กับเอมอร เออีของออฟฟิศตรงโถงทางเดินของตึก ชนิกรรดาทำท่าทางราวกับกำลังทักทายตัวเล็กในท้องของเอมอร ราวกับคุยกันรู้เรื่องจริงๆ
อธิปเผลอจ้องมองภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างลืมตัว...
ลำแสงที่ทอดผ่านกระจกบริเวณทางเดิน ฉาบร่างของชนิกรรดา เหมือนอาบประกายแสง เขาเห็นแสงสีเขียวฟุ้งเป็นเกล็ดวับวาวอยู่รอบๆ ตัวเธอ เขาเริ่มรู้สึกเหมือนว่า ชนิกรรดาเรืองแสงได้เองอีกครั้ง เหมือนกำลังดูดซึบแสงจากดวงอาทิตย์ ถ้าเป็นเวลากลางคืนเธอคงมีแสงสว่างในตัวเอง....
แต่ที่ต้องประหลาดใจมากขึ้น เมื่อเกล็ดแสงสีเขียวเหล่านั้น ไหลเวียนออกจากแขนของเธอ ไปวนรอบ ๆ ท้องของเอมอร
อธิปส่ายหัว เผลอขยี้ตาตัวเองอย่างตกใจ แสงแดดคงหลอนให้เห็นภาพฟุ้งกระจายอีกแล้ว เขานิ่งอึ้งกับภาพเบื้องหน้าไปชั่วขณะ เหมือนร่างกายถูกตรึงสนิทอยู่กับที่ ก่อนที่เสียงของชนิกรรดาจะเรียกเขาให้สติสัมปชัญญะคืนกลับมาอีกครั้ง...
***โปรดติดตามอ่านบทต่อไป***
Create Date : 10 ธันวาคม 2554 |
|
21 comments |
Last Update : 2 มกราคม 2555 14:02:14 น. |
Counter : 649 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 31 ธันวาคม 2554 20:31:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 2 มกราคม 2555 6:22:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) 3 มกราคม 2555 6:32:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: วรบรรณ 4 มกราคม 2555 10:38:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลูมิน่า IP: 58.8.69.195 4 มกราคม 2555 22:01:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุหลาบมอญ IP: 180.180.146.226 7 มกราคม 2555 21:13:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุหลาบมอญ IP: 180.180.144.27 8 มกราคม 2555 23:26:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: พิญาดา 12 มกราคม 2555 15:43:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรายทราย 12 มกราคม 2555 19:30:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
** ภาพสวยๆ เล็กตรงนี้ Tuscan Terrace ผลงานของ Sung Kim
เคยมั้ยนั่งอยู่ในสวนสวย พร้อมกับจิบกาแฟนั่งมองเกลียวคลื่นซึมซับเข้าหาทราย มันเป็นมุมพักผ่อนที่แสนจะเป็นสุขของเรา...
ขอยืมภาพวาดสวยๆ มาใช้ประดับบ้านเฉพาะกิจก่อน เก็บไว้นานแล้ว ของใครบ้างหนอ...
**สำหรับคนชอบลอก แอบโกปี้ และตัดปะ**
คิดเอง เขียนเองเถอะค่ะ ...
ความสนุกของการเป็นนักเขียนเรื่องสั้น นิยาย มันอยู่ตรงนี้ แม้มันจะเหนื่อย ล้า เปลี้ย หมดพลัง แค่ไหนเราก็ยังพอใจ ที่ได้สนุกสนาน ได้ร่วมโลดลิ่ว..
ได้รัก ได้เกลียด ได้กินข้าว ได้เต้นระบำ ได้ตบตี ได้เจ็บช้ำ ไม่สบาย ร้องไห้ หัวเราะ ได้ร่วมไปในทุกๆ อารมณ์ กับตัวละคร
ที่พวกชอบลอกนี่จะไม่มีวันได้รู้แน่ๆ ว่าอารมณ์อย่างนั้นมันเป็นอย่างไร...
**และคุณก็ไม่มีวันเป็นคนเขียน เป็นนักเขียนได้เลย
******************************
Friends' Blogs
นิตยสารออนไลน์รายสัปดาห์ อ่านสนุก
|
|
|
|
|
|
|
ถ้าใครจอปกติอ่านแล้วมันใหญ่เกินเหตุบอกด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ