ริมหาด พรายทราย ฟองคลื่น จิบกาแฟ ริมหน้าต่างข้างๆ สวน
...สตูดิโอริมหาด...
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 มีนาคม 2555
 
All Blogs
 
จากฟากฟ้าสุราลัย...สู่แดนดิน บทที่ 8 "อุปริยา"











จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน "อุปริยา"



....ฉันจะตามไปทั่วฟ้า ทั่วจักรวาลผ่านพื้นผิวแห่งทุกดวงดาว
สุดฟ้าสุราลัย สุดขอบแห่งห้วงมหรรณพ
ขอเพียงแต่ให้เธอรอฉันอยู่ เพื่อพบพาน.......


**************************************************




บทที่ 8


ผ่านไปถึงสองวัน วิษุวัตจึงได้รับการติดต่อจากอาจารย์ภาณุมาทางโทรศัพท์ คราวนี้อาจารย์เป็นผู้โทรศัพท์มาด้วยตัวเอง แจ้งข่าวให้เขาเข้าไปเริ่มต้นทำงานที่สำนักงานได้ทันที ในระหว่างที่อาจารย์ภาณุต้องเดินทางไปฝรั่งเศส ซึ่งใช้เวลาสองหรือสามอาทิตย์เป็นอย่างน้อย กว่าจะกลับมาได้พบกันอีกครั้ง

อาจารย์ยังไม่ลืมแจ้งถึงรายได้ที่เขาจะได้รับ ในฐานะที่ปรึกษาทางวิชาการ และเป็นหนึ่งในทีมออกสำรวจ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงจนเขาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องมากน้อยเพียงใดนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญมากไปกว่าการได้ร่วมงาน และออกสำรวจกับอาจารย์ภาณุอยู่ดี

โอกาสดีๆ แบบนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นกับใครหลายๆ คน...



ห้องทำงานของวิษุวัตภายในสำนักงานของอาจารย์ภาณุ ถูกจัดขึ้นใหม่ที่ส่วนของปีกขวา ซึ่งอยู่ติดกับห้องทำงานของอาจารย์ภาณุ มีประตูเปิดถึงกันได้โดยตรง บรรยากาศของด้านในส่วนที่แบ่งเป็นที่ทำงานถูกตกแต่งด้วยสีสัน และเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ ต่างจากห้องทำงานที่วิษุวัตเคยเข้าไปพบอาจารย์ภาณุที่ตึกของมหาวิทยาลัย

สมัยเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก บรรยากาศของที่นี่ต่างจากห้องทำงานเดิมอย่างมาก ไม่แลขรึม ขลัง ทรงค่าทางวิชาการ ขาดมนต์แห่งประวัติศาสตร์อย่างที่เขาคาดคิดไว้ นอกจากภาพวาด ภาพถ่ายตรงโถงทางเดินซึ่งจัดแต่งเหมือนกับด้านหน้าส่วนรับรองแขก

มีเพิ่มเติมต่างออกไปคือวัตถุโบราณบางชิ้นที่ไม่สำคัญเท่าใดนัก อย่างเช่นเครื่องประดับหิน เหรียญเงิน ภาชนะโบราณพวกจาน หรือไห ที่หาดูได้ไม่ยากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกเก็บรวบรวมอยู่ในตู้กระจกที่มีการล็อกอย่างแน่นหนา



น่าแปลกที่สถานที่แห่งนี้กลับทำให้เขารู้สึกอึดอัด อาจจะเพราะความเงียบของที่ทำงาน ลักษณะของงานที่ดูไม่กลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่ ซึ่งเขาคิดว่าสำนักงานทางวิชาการทางโบราณคดีไม่ควรตกแต่งด้วยลักษณะเช่นนี้ ตามวิสัยของคนเรียนมาทางสถาปัตย์ ที่พอจะมีความรู้ของงานตกแต่งภายในอยู่บ้าง

รวมถึงท่าทีเงียบ ๆ แปลกๆ ของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยทางวิชาการด้านงานเอกสารอีกสามคน อณรรพ วันชัย และหิรัญ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย

พวกเจ้าหน้าที่เก่าเพียงแค่ยิ้มตอบ หรือพยักหน้าทักทายเขาเฉยๆ เมื่อเดินผ่านหน้าโต๊ะทำงานของแต่ละคน ขณะแนะนำตัว ไม่มีใครเอ่ยพูดจาใดๆ หรือแม้แต่คุณนฤมลเลขานุการของอาจารย์ภาณุ ผู้ซึ่งยังคงเรียกชื่อเขาผิดอยู่ดี เธอจะสนทนาพูดคุยกับเขาเฉพาะเรื่องงานที่อาจารย์ภาณุฝากไว้ให้เท่านั้น


อาจจะเป็นเพราะนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่มักจะเงียบขรึม ไม่ค่อยสุงสิง สนทนากับผู้ใดมาก เกินความจำเป็น อีกทั้งในสำนักงานแห่งนี้ก็มีพนักงานเพียงไม่กี่คน และเป็นผู้ชายเกือบทั้งสิ้น บรรยากาศของที่นี่จึงดูเงียบ เหงาไปอย่างถนัดใจ


งานเอกสารวิจัยเก่าๆ ถูกส่งมาให้เขาแยกแยะสิ่งก่อสร้างของสมัยทวารวดี และศรีวิชัย และแสดงความคิดเห็นเทียบเคียงกับประวัติศาสตร์ของยุโรปในยุคสมัยเดียวกัน ไม่มีงานใดน่าสนใจ และไม่มีเค้าเงื่อนใดที่จะทำให้เขาแน่ใจได้ว่า อาจารย์ภาณุกำลังจะออกสำรวจเมืองใหม่ ณ ที่แห่งใด

แม้ว่าในเนื้อหาของจดหมายที่ส่งไปหาเขาที่อังกฤษ จะเอ่ยถึงการสำรวจเมืองโบราณแห่งใหม่ก็ตาม น่าแปลกที่ยังไม่มีหลักฐานข้อมูล หรือการเตรียมการใดๆ อย่างที่ควรจะเป็น ของการเตรียมตัวออกสำรวจ

แต่อย่างน้อยจากเอกสารเหล่านี้คงหนีไม่พ้นเมืองในยุคทวารวดี หรือศรีวิชัย วิษุวัตจึงเลือกฝังตัวเองอยู่กับตำราในห้องสมุดเล็กๆ ของสำนักงานที่แม้จะมีหนังสือข้อมูลไม่มากนัก แต่ก็ยังพออุ่นใจที่มีอินเตอร์เน็ตให้เขาช่วยค้นหาเพิ่มเติมได้บ้าง

บางความรู้สึกของเขายังโหยหาถึงหอสมุดในมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ที่นั่นล้วนแล้วแต่มีหนังสือมากมาย ที่เขาสามารถใช้เวลาเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ ก็ยังหาข้อมูลได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น


และทุกครั้งที่เขาโหยหาถึงอังกฤษ เสียงเรียกของหญิงสาวในฝันก็จะแว่วผ่านเข้ามา พร้อมด้วยกลิ่นหอมแปลกๆ ที่ทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น

เธอเป็นใครกันนะ..
และเรียกหาเขาเพื่อสิ่งใด...

แต่อย่างไรก็ตาม เสียงอันแสนอบอุ่นของเธอก็อยู่เป็นเพื่อนเขาในสำนักงานที่เงียบเชียบแห่งนี้...




เวลาอาหารกลางวัน คนในสำนักงานนี้เลือกที่จะสั่งอาหารง่ายๆ ขึ้นมาทานที่โต๊ะทำงาน หรือที่ห้องกาแฟ บางคนก็เตรียมอาหารกันมาไว้ตั้งแต่เช้า แต่คงไม่ใช่เขาแน่ๆ เขาอยากออกไปเดินเล่น ไปพบปะผู้คนอื่น

การจมอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน ไม่ต่างอะไรกับการถูกกักขังจองจำให้อยู่เพียงลำพัง...อยู่แต่ในโลกของงาน โลกของตัวเอง...


นฤมลแนะนำร้านอาหารบางร้านที่เธอเคยผ่าน แต่ไม่เคยเข้า ทั้งภายในตึก หรือนอกตึกก็ตาม...



บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน แบบที่ฝนพร้อมจะตกได้ตลอดเวลาเช่นนี้ วิษุวัตเลือกห้องอาหารรวมของตึกที่ชั้น 23 น่าจะเหมาะมากกว่า อย่างน้อยจากคำแนะนำของนฤมล ที่นั่นก็มีอาหารให้เลือกมากมาย และดูจะสบาย ไม่เสียเวลามากกว่าในร้านอาหาร หรือภัตตาคารภายในอาคาร

ช่วงเวลากลางวัน ภายในห้องอาหาร ผู้คนหนาแน่นต่อแถวหน้าเคานท์เตอร์อาหารยาวเหยียด แม้จะมีหลายร้าน หลายประเภทก็ตาม

วิษุวัตแลกเงินเป็นบัตรซื้ออาหารสีสวยรูปดอกไม้สีขาวไม่คุ้นตา มันสวยเสียจนเขาอยากจะเก็บไว้เองมากกว่า ที่จะต้องแลกคืน เขาเลือกร้านข้าวแกงอาหารสำเร็จง่ายๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเข้าแถวต่อสักเท่าใด อาหารไทยที่เขาห่างเหินไปเสียนาน...

อาหารเบื้องหน้าหลายอย่าง แลถูกตาถูกใจไปหมด เพราะความที่ไม่ได้กินข้าวแกงแบบนี้มาเนิ่นนานหลายปี ต่อมความอยาก และความหิวถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจเลือกปลาช่อนทอดผัดขิงกับเห็ดหูหนู ผัดพริกขิงถั่วผักยาวกับกากหมู และไข่ลูกเขยราดข้าว แถมพ่วงด้วยขนมจีนแกงเขียวหวานเนื้อ ซึ่งส่งกลิ่นหอม ควันฉุยอยู่ตรงหน้าอีกจาน...

สิ่งหนึ่งที่เขาลืมไป คือการเลือกหาที่นั่ง ก่อนการซื้ออาหาร แต่ก็นั่นแหละ การมาเพียงลำพัง การจะจองที่นั่ง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

เขาถือถาดอาหารยืนเก้ๆ กังๆ สอดส่ายสายตาหาโต๊ะว่าง เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนบนสำนักงานไม่ยอมเสียเวลาลงมาทานอาหารข้างล่าง ...


ไฟฟ้าภายในห้องอาหารกระตุกวูบเล็กน้อย เสียงฟ้าด้านนอกดังขึ้นเป็นสัญญาณของฝนกำลังจะตก แต่ท้องฟ้าไม่ได้มืดมิดเหมือนครั้งก่อน ฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าอ่อนจางๆ ฝนสาดสายลงมาเหมือนแพรริ้วสีขาว ทำให้บรรยากาศในห้องเย็น และวิวที่เป็นกระจกรอบด้านทำให้ปรากฎเป็นภาพที่งดงาม

เสียงใสๆ ดังกังวานของใครคนหนึ่งดังอยู่ข้างๆ …



“เชิญทางนี้สิคะ...” รอยยิ้มหวานของหญิงสาว เหมือนมีมนต์สะกดให้เขาเดินตามเธอไปอย่างง่ายๆ

ความคุ้นเคยบางอย่างแทรกเข้ามามากกว่าความเอื้อเฟื้อธรรมดา


น่าประหลาดใจ ที่โต๊ะสองตัวของมุมห้องด้านขวา ติดกระจกด้านนั้นว่างเปล่าไม่มีคนนั่ง อาจจะเพราะมีเสาต้นใหญ่สองต้นบังตาไว้ หรือไม่ก็ต้องเสียเวลาเดินอ้อมมาไกลจากเคานท์เตอร์ขายอาหาร คนจึงไปกระจุกรวมตัวกันที่โต๊ะกลางห้อง หรือมุมด้านซ้ายไปเสียหมด ทั้งๆ ที่ด้านนี้เป็นมุมเงียบ และวิวภายนอกดูดีกว่ามุมด้านอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ

“นั่งด้วยกันนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

น้ำเสียงและสายตาคู่นั้นเป็นมิตรไมตรี จนเขาไม่อาจปฏิเสธได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมาจากตัวของหญิงสาวตรงหน้า เสียงของเธอช่างละม้ายคล้ายกับเสียงของหญิงสาวในฝัน ที่เรียกหาเขาอยู่ตลอดเวลา

“เลือกกับน่าอร่อยจังนะคะ”

“แล้วเอ่อ...คุณไม่ทานหรือครับ”

เธอยิ้มอย่างอ่อนหวาน วิษุวัตพยายามนึกถึงรอยยิ้มนี้ ดวงหน้านี้ แต่ยิ่งนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เหมือนเป็นละอองฝุ่นเล็กๆ ในความว่างเปล่าของรอยหยักในสมองแห่งความทรงจำ

“เดี๋ยวเพื่อนก็มาค่ะ...เชิญทานก่อนเถอะค่ะ”

“งั้นแบ่งกันทานดีมั้ยครับ ผมคงทานไม่หมดหรอก...ความที่เพิ่งกลับมาเมืองไทย พอเห็นอาหารไทยน่าทาน ก็ตะกละอยากทานไปหมด… เดี๋ยวผมไปเอาช้อนมาให้”

วิษุวัตเดินไปหยิบช้อนที่เคานท์เตอร์อีกครั้ง รู้สึกประหลาดใจ กับความคุ้นเคยกับหญิงสาวคนนั้น

หรือเธอคือเสียงของหญิงสาวในฝันของเขาจริงๆ วิษุวัตอมยิ้ม และขบขันในความคิดของตัวเอง

ภาพหญิงสาวที่นั่งรอคอยเพียงลำพัง กับสายฝนนอกกระจกนั้น กระตุ้นความทรงจำบางอย่างให้กลับมา แต่ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะปะติดปะต่อรวมกันเป็นภาพได้

เหมือนเหตุการณ์คล้ายๆ กันแบบนี้จะเคยเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้ว แต่ก็ติดค้างที่เขาไม่สามารถนึกให้ความทรงจำกลับคืนมาได้

“เหมือนเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

เสียงหัวเราะอย่างอ่อนโยน แลหยอกเย้า กลิ่นหอมของเธอกระจายไปรอบๆ บริเวณ

“เคยสิคะ...ดูเหมือนคุณจะจำไม่ได้มากกว่า”

“เอ...นั่นสินะครับ ผมเหมือนจำไม่ได้จริงๆ เสียด้วย”

วิษุวัตส่ายหน้า พยายามคิดใหม่อีกรอบ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเช่นเดิม มีเพียงเสียงจากในฝันเท่านั้นที่เขาจดจำได้อย่างไม่ลืมเลือน

“เสียงคุณคล้ายๆ กับหญิงสาวในฝันของผม เมื่อไม่กี่วันมานี้”

เธอยังคงหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด

“หรือคะ จำได้แค่นั้นเอง...เฮ้อ!”

วิษุวัตได้ยินเสียงถอนหายใจยาว ก่อนดวงหน้านั้นจะเมินหนีออกไปนอกหน้าต่าง ฝนยังตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ ถึงแม้จะเป็นฝนที่บางเบาก็ตาม

“ในลิฟต์ไงคะ เราเจอกันในลิฟต์ เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง”

“นั่นเอง!! ใช่แล้ว คุณที่วิ่งตามเข้าลิฟต์ วันที่ผมมาตึกนี้เป็นครั้งแรก คุณเอง...ผู้หญิงที่ชั้นสิบเอ็ด”

หญิงสาวเผลอหัวเราะเสียงดัง กับสรรพนามแปลกๆ ที่เขาเรียก จนวิษุวัต รู้สึกเก้อเขิน

“ขอโทษนะครับที่จำคุณไม่ได้จริง ๆ ...”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ... เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง”

เธอถอนหายใจทุกครั้ง ที่ตักอาหารเข้าปาก เขาอยากคุยกับเธอมากกว่านี้ แต่ก็เหมือนไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอ ทั้งๆ ที่ความคุ้นเคยมีมากกว่าที่คาดคิด แต่ในเวลาทานอาหารเช่นนี้ก็ไม่สะดวกกับการสนทนาสักเท่าใด

ความเงียบปรากฏขึ้นเป็นช่วงๆ ...

“ทำงานอะไรที่ชั้นสิบเอ็ดหรือครับ”

“ฉันเป็นนักเขียน นักแปล อยู่ในกองบรรณาธิการ นิตยสารวีเม่นทูเดย์ ค่ะ”

“งานน่าสนใจนะครับ คงเป็นนิตยสารผู้หญิงฟังจากชื่อ...”

“ค่ะผู้หญิง แต่เนื้อหาของเราค่อนข้างเป็นสาระมากกว่านิตยสารผู้หญิงฉบับอื่นๆ ...”

หญิงสาวพยายามอธิบาย นิตยสารของเธอ แต่เขาก็ไม่ได้รู้จักนิตยสารของเมืองไทยมากมายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิตยสารเกี่ยวกับผู้หญิงด้วยแล้ว แทบไม่มีอะไรอยู่ในสมองของเขาเลย

“งั้นยิ่งน่าสนใจมากเลยครับ ไว้ผมจะลองหามาอ่านบ้าง ถึงจะไม่ได้เป็นผู้หญิงก็คงอ่านได้นะครับ”

เธอยิ้มบางๆ เหมือนกำลังผิดหวังอะไรบางอย่าง เขารู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่สนทนาที่เก่งนัก วิษุวัตรู้สึกถึงบรรยากาศ เธอคงอึดอัด และน่าเบื่ออยู่ไม่น้อย

“เพื่อนคุณล่ะครับ”

“เดี๋ยวก็คงมาละค่ะ...ไปๆ มาๆ คุณไม่ได้ทานข้าวไปสักเท่าไรเลย ฉันแย่งคุณทานเกือบหมดแล้วล่ะนี่...ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลย”

"ไม่เป็นไรครับ วันหน้าก็คงมาทานได้อีก”

คำว่าของโปรดทำให้วิษุวัตสะดุ้งเล็กน้อย บางรอยหยักในสมองกระตุก เหมือนมีคลื่นบางอย่างมากระตุ้นความทรงจำ

แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี อะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาหารสามอย่างตรงหน้า หญิงสาวและสายฝน เหมือนมีความทรงจำมากมายที่เขาไม่สามารถปลดล็อกออกมาได้หมด


เวลาเหมือนเดินทางเชื่องช้า และผ่านไปอย่างยาวนาน...หากเสียงของผู้ชายอีกคนที่ถือถาดอาหารตรงเข้ามา จะไม่เรียกเขาออกมาจากภวังค์ เขาคงยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ แม้จะไม่มีการสนทนาใดๆ ก็ตาม

“โหยยยย คุณหญิง... สปาเก็ตตี้ผัดปลาเค็มมาแล้วจ้า นึกไงจะกินเจ้านี้วันนี้ รอแทบกระอักเลือด ...อ้าว!!??”

“เพื่อนคุณมาพอดี ผมถือโอกาสขอตัวเลย”

ฟ้าด้านนอกส่งเสียงครางอีกครั้ง ฝนเพิ่มปริมาณหนาเม็ดมากขึ้น...

“อ้าว!!??”

น้ำเสียงของคนตรงหน้าแสดงความงุนงง พร้อมกับขมวดคิ้ว มองไปมองมา ระหว่างจากอาหารบนโต๊ะ และตัวเขา

ถึงแม้วิษุวัตเริ่มรู้สึกเหมือนเห็นคนคุ้นเคยอีกครั้ง แต่เหมือนจะไม่เหมาะที่จะอยู่ร่วมโต๊ะอาหารต่อ และเก้าอี้ของโต๊ะนี้ก็มีแค่สองตัว

“อะไรหว่า... ทานแล้วหรือ...แล้ว...อ่า”

วิษุวัตถือโอกาสลุกขึ้น และกล่าวอำลา

“คงมีโอกาสได้คุยกันอีกนะครับ...ยินดีที่ได้รู้จัก...คุณเอ่อ...”

“ชนิกรรดาค่ะ...และนี่อธิปเพื่อนของฉันค่ะ”

“วิษุวัตครับ... ผมทำงานที่ชั้นยี่สิบแปด สำนักงานของอาจารย์ภาณุ...ไว้คงมีโอกาสได้คุยกันนะครับคุณอธิป”

อธิปตกใจที่ได้ยินชื่อออกจากปากของคนตรงหน้า รีบวางถาดอาหารลงบนโต๊ะทันที พร้อมกับยกมือไหว้ และค้อมศีรษะทำความเคารพอย่างอัตโนมัติ เขาหันกลับไปมาระหว่างคนสองคน ด้วยสีหน้าตื่นๆ เล็กน้อย ก่อนหลุบตาลงต่ำ ขณะที่วิษุวัตเดินผ่านออกจากไป

ชายหนุ่มรีบทรุดตัวลงนั่งแทนที่ ชนิกรรดาพิงกระจก ส่ายหน้าด้วยความเศร้าสร้อย และเจ็บปวดสุดทนทาน จนเขารับได้ถึงคลื่นความรู้สึกเหล่านั้น

“เขายังไม่ใช่ท่านวิษุวัต...เขาไม่อาจจำสิ่งใดๆ ได้...เพียงคุยแต่ร่าง ไม่ใช่จิตของท่าน...ทำไมนะทำไม...”

อธิปกลืนน้ำลาย เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกใจที่เธอชวนมากินอาหารที่ห้องอาหารของตึก ซึ่งเธอไม่ชอบคนเยอะๆ เสียด้วยซ้ำ

แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างที่ควรเป็น แต่เขารู้สึกถึงความผูกพันของคนทั้งสองได้อย่างดี….และในขณะเดียวกัน ดูเหมือนเขาจะรู้สึกถึงคลื่นแห่งความเจ็บปวดของคนตรงหน้า ที่แผ่กระจายออกมาอย่างมากมาย...

“ได้โปรด... องค์เทวี พลีส... อย่าเพิ่งไปตอนนี้นะ ขอข้าพเจ้าหม่ำอาหารก่อน...รอจนหิวมากเลย...อ่านะ”

ร่างโงนเงนของหญิงสาว อธิปเริ่มคุ้นเคยกับการถอดจิต และทิ้งร่างของชนิกรรดา เขามองร่างตรงหน้าอย่างเข้าใจถึงความเจ็บปวด และเริ่มตระหนักถึงหน้าที่ของผู้อภิบาลในยามนี้ได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความตระหนก และกังวลใดๆ อีก เมื่อองค์เทวีเสร็จธุระ ชนิกรรดาก็จะฟื้นมาเหมือนเมื่อคราววันที่ไฟดับ เขาตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

ยังดีหน่อยที่ร่างตรงหน้าอยู่ในท่านั่งพิงกระจกสบาย ไม่ฟุบลงไปกองกับโต๊ะ ให้เป็นที่ประหลาดใจของผู้คนภายในห้องอาหาร หากมีใครเดินผ่านไปผ่านมา อย่างน้อยหลืบมุมนี้ก็มีเสาสองต้นปิดบังได้เป็นอย่างดี




หลายสิ่งตามติดกลับมาในห้วงความคิด หญิงสาวกับเพื่อนแปลกหน้า แต่กลับเป็นความรู้สึกของคนที่คุ้นเคยสุดจะบรรยาย เพียงแต่เขาไม่อาจจำได้เท่านั้นเอง

แม้ว่าจะกลับเข้ามาในห้องสมุดของสำนักงานอีกครั้ง หนังสือภาพเล่มเก่าคร่ำคราที่มุมชั้นหนังสือ สะดุดตาเขาอย่างแปลกประหลาด

เหมือนมีอำนาจบางอย่างดึงดูดให้วิษุวัตเอื้อมมือไปหยิบออกมาจากชั้น เขาพลิกไปมา ราวกับค้นหาบางสิ่งก่อนนั่งลงบนโซฟามุมห้อง

ความง่วงเข้าแทรกซอนไปทุกอณูของร่างกาย ...ก่อนสติสัมปชัญญะสุดท้ายจะเลือนหายไป...

เขาเคยเห็นดวงหน้านั้น เรือนร่างนั้นมาก่อน...

ภาพแกะสลักบนบานประตูสมัยทวารวดี ภาพแห่งเทพธิดาที่กำลังร่ายรำกลางสายฝน ท่ามกลางพันธุ์ไม้ดอก และสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือ เบื้องหน้าเขาขณะนี้ ...

ทั้งดวงหน้า และรูปร่าง ไม่ต่างไปจากหญิงสาวที่มีนามว่าชนิกรรดา ผู้ซึ่งเขาเพิ่งได้จากมาเมื่อครู่แต่อย่างใดเลย...

หากต่างกันเพียงแค่เวลา กับภาพแกะสลัก และหญิงสาวผู้มีเลือดเนื้อหนังมังสา ณ กาลเวลาแห่งปัจจุบัน...

“เทวีชนิกรรดา...เทพธิดาผู้พิทักษ์ธรรมชาติ...!!”



***โปรดติดตามอ่านบทต่อไป***





Create Date : 15 มีนาคม 2555
Last Update : 15 มีนาคม 2555 12:08:32 น. 1 comments
Counter : 532 Pageviews.

 
เจอกันอีกแล้ว! สงสารองค์ชนิกรรดานะครับเนี่ย เจ็บปวดทีเดียวเชียว

แล้วมาขำตาอธิป พลีส องค์เทวี ฮ่าๆ


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 5 มิถุนายน 2555 เวลา:1:00:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรายทราย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








** ภาพสวยๆ เล็กตรงนี้ Tuscan Terrace ผลงานของ Sung Kim

เคยมั้ยนั่งอยู่ในสวนสวย พร้อมกับจิบกาแฟนั่งมองเกลียวคลื่นซึมซับเข้าหาทราย มันเป็นมุมพักผ่อนที่แสนจะเป็นสุขของเรา...

ขอยืมภาพวาดสวยๆ มาใช้ประดับบ้านเฉพาะกิจก่อน
เก็บไว้นานแล้ว ของใครบ้างหนอ...



**สำหรับคนชอบลอก แอบโกปี้ และตัดปะ**

คิดเอง เขียนเองเถอะค่ะ ...

ความสนุกของการเป็นนักเขียนเรื่องสั้น นิยาย มันอยู่ตรงนี้
แม้มันจะเหนื่อย ล้า เปลี้ย หมดพลัง แค่ไหนเราก็ยังพอใจ ที่ได้สนุกสนาน ได้ร่วมโลดลิ่ว..

ได้รัก ได้เกลียด ได้กินข้าว ได้เต้นระบำ ได้ตบตี ได้เจ็บช้ำ ไม่สบาย ร้องไห้ หัวเราะ ได้ร่วมไปในทุกๆ อารมณ์ กับตัวละคร

ที่พวกชอบลอกนี่จะไม่มีวันได้รู้แน่ๆ ว่าอารมณ์อย่างนั้นมันเป็นอย่างไร...

**และคุณก็ไม่มีวันเป็นคนเขียน เป็นนักเขียนได้เลย


******************************


Friends' Blogs

ลายปากกา

นิตยสารออนไลน์รายสัปดาห์ อ่านสนุก


Branica Web Counters
Friends' blogs
[Add พรายทราย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.