ริมหาด พรายทราย ฟองคลื่น จิบกาแฟ ริมหน้าต่างข้างๆ สวน
...สตูดิโอริมหาด...
Group Blog
 
<<
เมษายน 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
29 เมษายน 2555
 
All Blogs
 
จากฟากฟ้าสุราลัย...สู่แดนดิน บทที่ 11 "อุปริยา"











จากฟากฟ้าสุราลัย....สู่แดนดิน "อุปริยา"



....ฉันจะตามไปทั่วฟ้า ทั่วจักรวาลผ่านพื้นผิวแห่งทุกดวงดาว
สุดฟ้าสุราลัย สุดขอบแห่งห้วงมหรรณพ
ขอเพียงแต่ให้เธอรอฉันอยู่ เพื่อพบพาน.......


**************************************************




บทที่ 11



“เท่าที่ผมเข้าใจในตอนนี้ อย่างน้อยอนิตตระปุราก็ไม่ใช่แอตแลนติส แต่เป็นเมืองหนึ่งที่มีความสำคัญมากๆ เพราะเป็นเมืองกลางทะเล อึมม์...เพราะเป็นหน้าด่านประตูเข้าสู่แหลมสุวรรณภูมิ ของยุคอาณาจักรทวาราวดี ศรีวิชัย แล้วก็ล่มสลายไปด้วยธรรมชาติ...ความจริงก็อยากรู้มากอะนะว่าสำคัญยังไง ทำไมธรรมชาติต้องทำให้ล่มสลาย...แต่ก็คงต้องรอเมื่อถึงเวลาใช่หรือเปล่า …องค์... หญิง”

อธิปพึมพำทบทวนความเข้าใจของตัวเอง ขณะนั่งอยู่บนเครื่องบิน หลังจากฟังข้อมูลตำนานของชนิกรรดาจบ เธอหันไปมองดุๆ กับสรรพนามท้ายที่เรียก

“แหะ แหะอย่างน้อยก็เพิ่มรอยหยักในสมอง อาณาจักรทวาราวดี ศรีวิชัย เจนละ ความจริงจะว่าไปก็สนุกดีนะนี่”

“ไม่เกี่ยวกับ ลังกาสุกะ ที่ปัตตานีใช่มั้ยครับ”

วิษุวัตเอ่ยปากถามเพิ่มเติมกับข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่ส่วนตัวขึ้นมาบ้าง

“ไม่ใช่ค่ะคนละยุคกันค่ะ คนละพื้นที่ด้วย อนิตตระปุรา อยู่ทางด้านนี้ ทางฝั่งอันดามัน มหาสมุทรอินเดียนี่”

หญิงสาวหลับตาเป็นการตัดบทสนทนา วิษุวัตยังคงคร่ำเคร่งอ่านเอกสารในมือ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากข้อมูลเบื้องต้นที่ชนิกรรดาเสริมมาให้

“ไม่รู้อะไรมากนักหรอกค่ะ ที่รู้ก็อย่างที่บอกเป็นเพียงแค่ตำนาน”

วิษุวัตเลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจ ที่เหมือนชนิกรรดาจะได้ยินความคิดในใจของเขา หญิงสาวอมยิ้ม ในขณะที่ยังหลับตาอยู่

“แปลกนะ...บางครั้งความจริงที่น่าเชื่อถือมักจะมาจากตำนานมากกว่าสิ่งที่ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์”

อธิปพึมพำอย่างเลื่อนลอย ชนิกรรดาหัวเราะเบาๆ

“คงจะจริง ขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้บันทึก ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ล้วนขึ้นอยู่กับการสงครามเป็นหลัก”

“เราจะได้เห็นเมืองนั้นด้วยกันใช่มั้ยชนิ แม้ว่าจะเป็นตำนานหรือไม่....อย่างน้อยพวกเขาก็เชื่อแล้วว่ามีเมืองนี้จริง ๆ และเราก็จะไปค้นหากัน”

อธิปอยากรู้อะไรมีมากมาย แต่ท่าทีของชนิกรรดา ดูจะไม่สนใจอีกแล้ว เขาได้แต่สบตาเชิงถามวิษุวัตแทน

“ผมเชื่อว่าพวกเราจะพบอนิตตระปุราแน่นอน”

วิษุวัตพยักหน้าตอบคำถามอธิปอย่างเชื่อมั่นอย่างที่สุด แม้บางสิ่งจะรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับอาจารย์ภาณุก็ตาม



หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว กัปตันประกาศแจ้งอีกไม่นานจะถึงจุดหมายปลายทาง บรรยากาศฟ้าด้านนอกตัวเครื่องก็มืดลงฉับพลัน เสียงฟ้าร้องดังติดๆ กันอย่างน่ากลัว

จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นราวกับมีมือยักษ์มาจับเครื่องให้เขย่าไปทั้งลำ สัญญาณเตือนรัดขัดเข็มขัดปรากฎขึ้น…

กัปตันแจ้งเตือนสภาพอากาศและให้รัดเข็มขัดอีกครั้ง น้ำเสียงของกัปตันเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ ให้น่าวิตก เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ ในระยะนี้

อธิปหันมาสบตากับชนิกรรดาเหมือนเริ่มคุ้นกับเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อใดที่ฟ้ามืดมีฝนในฉับพลัน เริ่มหมายถึงต้องมีสิ่งแปลกๆ เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น ในใจนึกสยองๆ ไม่แน่ใจนักว่าชนิกรรดาจะปล่อยร่างทิ้งไว้เหมือนเคยๆ ในขณะที่เครื่องบินจะร่อนลงเช่นนี้หรือไม่

ชนิกรรดาเม้มริมฝีปาก และส่ายหน้าแทนคำตอบ แววตากร้าวๆ ของเธอ อธิปแทบไม่อยากสบตาด้วยเลยในตอนนี้

“ไม่ใช่หน้าฝนสักหน่อย...ฝนตกแทบทุกวันเลย...อากาศช่างปรวนแปรจริงๆ ...ภูเก็ตจ๋า อธิปไม่ได้มานานแล้ว ตอนรับแบบฟ้าเปิดหน่อยเหอะนะ”

อธิปเริ่มพึมพำเหมือนบ่นๆ ฟ้าข้างนอกยังวิปริต ลมแรงมากจนอธิปเริ่มไม่แน่ใจว่าเครื่องบินจะต้องวนอีกนานแค่ไหนก่อนจะได้ลงจอด

“เมื่อกี้อากาศยังดีๆ อยู่เลย แต่อย่างว่านะครับ ติดทะเลแบบนี้อากาศยิ่งแปรปรวนได้ง่ายตลอดเวลา...อย่างคุณอธิปว่า ความจริงเป็นฤกษ์ดีนะครับผมว่า อากาศชุ่มฉ่ำ...ทะเลกลางฝน”

“แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไรแหะ”

อธิปเริ่มไม่ค่อยชอบบรรยากาศรอบๆ ตัว เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ก่อนดึงเข็มขัดขึ้นมารัดโดยอัตมัติ เช่นเดียวกับผู้โดยสารบางคน อย่างน้อยมันก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้นได้บ้าง

หญิงสาวข้างๆ ถอนหายใจ และเม้มริมฝีปากแน่นหลายรอบ วิษุวัตเผลอตัวแตะแขนเธอของเธอเบาๆ

“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกนะครับ เดี๋ยวก็ปกติ...ทำใจสบายๆ ดีกว่า ”

วิษุวัตยิ้มอย่างสดใส เมื่อชนิกรรดาหันมามองหน้าวิษุวัตอย่างเครียดๆ วิษุวัตไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไปอีก

“ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งเราได้หรอก...พวกเขาทำได้แค่ยั่วๆ เท่านั้นแหละ...อย่าไปกังวลตามเลย”

อธิปขมวดคิ้วหันกลับมามองทางวิษุวัตเมื่อได้ยินประโยคแปลกๆ คราวนี้จะเป็นเพราะเครื่องบินเขย่ามากจนตาลายหรือเช่นไร

แต่ที่แน่ๆ เขาเห็นประกายสีเงินระยิบๆ อยู่รอบตัววิษุวัต อธิปอมยิ้มกับตัวเอง เอนศีรษะลงพิงพนักเก้าอี้ อดรู้สึกไม่ได้ว่า คนอื่นจะเห็นอย่างที่เขาเห็นหรือไม่


คนหนึ่งมีประกายระยิบระยับรอบๆ ตัวเป็นสีเขียว อีกคนเป็นสีเงิน และของเขาจะเป็นสีอะไร

จากสัมผัสเพียงแผ่วเบา ทำให้ชนิกรรดารู้สึกผ่อนคลายลงทันตาเห็น อมยิ้มอย่างขำๆ กับคลื่นความคิดของอธิป

และถ้าอธิปมองเห็นตัวเอง เขาคงเห็นประกายเกล็ดสีฟ้าจางๆ อยู่รอบๆ ตัวของเขาเช่นกัน



อธิปไม่เห็นประกายสีรอบตัววิษุวัต หรือชนิกรรดาอีก ตั้งแต่เครื่องบินลงจอด และยังไม่มีทีท่าฝนตกจะตก เหมือนลมหอบพัดพาไปที่อื่นแทน

เจ้าหน้าที่จากรีสอร์ตที่พักมารอรับคณะของพวกเขาจากสนามบิน เพื่อเดินทางไปยังที่พัก

“เจ้าหน้าที่รีสอร์ตแจ้งว่าอาจารย์ภาณุจองที่พักเป็นบังกะโลหลังใหญ่มีสองห้องนอนสำหรับพวกเรา คิดว่าคงจะสะดวก... แต่หากคุณชนิกรรดาต้องการพักแยกต่างหาก ผมก็จะดำเนินการให้”

“ไม่ต้องวุ่นวายหรอกค่ะ พักรวมน่ะดีแล้ว”

อธิปตอบในใจยืนยันว่าดีแล้วเช่นกัน เพราะเหมือนว่าเขารู้หน้าที่สำคัญของตัวเองเป็นอย่างดี ชนิกรรดาตั้งใจหันมาค้อน แต่อธิปทำไขสือ มองวิวผ่านจากกระจกในรถ

แม้ไม่มีฝน...แต่อากาศก็ยังขมุกขมัว เสียงฟ้ายังครืนเบาๆ เหมือนพร้อมที่จะตกได้อยู่ตลอดเวลา…



อมารีพิมานรีสอร์ต เบื้องหน้าสวยงามราวกับเมืองเนรมิตบนพื้นดิน บริเวณทางเข้าที่รถแล่นผ่านเต็มไปด้วยสวนดอกลั่นทม หลายหลากสี ทั้งขาว เหลือง และชมพู

“สวยจริง ๆ”

อธิปเอ่ยอย่างตื่นตาเมื่อลงจากรถ รีสอร์ตตกแต่งสไตล์บาหลี หิน ต้นไม้ และธารน้ำที่ไหลเลื้อยรอบบริเวณต้อนรับ ต่อเนื่องออกไปถึงส่วนที่พักด้านใน ทำให้บรรยากาศแสนจะร่มรื่น รวมทั้งเครื่องดื่มรับรองพร้อมด้วยสาวหน้าแฉล้มที่เข้ามาเสิร์ฟ ทำให้อธิปรู้สึกเพลิดเพลินเหมือนได้มาเที่ยวมากกว่ามาทำงาน

กลิ่นดอกลั่นทมหอมอบอวลจากสวนด้านหน้าและด้านใน ทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนสวนสวรรค์แห่งการพักผ่อนอย่างแท้จริง

“อาจารย์ภาณุฝากโน้ตไว้ครับ... เขาให้เราเข้าที่พักผ่อนตามสบายกันก่อน แล้วค่อยพบกับคณะคนอื่นตอนอาหารค่ำ...คืนนี้”

อีกครั้งแล้วที่เขายังไม่ได้พบอาจารย์ภาณุ ความประหลาดใจยังก่อตัวอย่างเงียบๆ วิษุวัตพยายามกระโดดข้ามความรู้สึกที่เกิดขึ้น แม้มันจะเริ่มใหญ่ขึ้นทุกที


ฟ้าครืนๆ ส่งเสียงทักทายใหม่อีกครั้ง เหมือนกำลังตอบรับความคิดของวิษุวัต ทางด้านชนิกรรดา เริ่มหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีดำ มีแสงวับๆ ของฟ้าแลบอยู่หลายครั้ง เธอถลันรีบเข้าห้องนอนด้านซ้าย โดยแทบไม่รอให้พนักงานเปิดประตูบ้านพัก และแนะนำส่วนต่างๆ ของห้อง

อธิปแทบร้องเจี๊ยก เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่โรงแรมทำหน้าประหลาดใจ เขาหันไปเห็นวิษุวัตที่ตั้งท่าหาวแล้วหาวอีกอย่างไรเหตุผล ตัวรู้ภายในกระตุ้นให้เขารีบหยิบเงินออกมาทิปให้กับเจ้าหน้าที่โรงแรม

“ขอบคุณนะครับ เหนื่อยครับเหนื่อย พวกเราไม่ได้นอนกันมาหลายคืนแล้ว....”

อธิปรีบปิดประตูลงกลอนห้องพักอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจหน้าขมวดคิ้วงุนงงของพนักงานที่ยังทำหน้าที่แนะนำห้องพักค้างคาไม่จบ

“เฮ้ยยยย! ตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ...อย่าบอกนะว่าข้าพเจ้านี่มิต้องเฝ้าร่างทั้งสองคนเลยหรือไร”

อธิปพึมพำ เหมือนบ่นอีกเช่นเคย เขาต้องเกาหัวแกรกๆ อดไม่ได้ที่จะเดินตามไปดูเพื่อนสาว ชนิกรรดาหลับไปเรียบร้อยบนเตียงนอน เขาแทบไม่ต้องคิดอะไรต่ออีกแล้ว เมื่อเดินกลับออกมา และเห็นวิษุวัตหลับตานิ่งราวกับกำลังเข้าสมาธิอยู่บนโซฟา

เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเบาะโซฟาฟากตรงข้าม กำลังคิดวางแผนเอกเขนก ว่าจะทำอะไรฆ่าเวลา ในขณะที่ต้องเฝ้าร่างของคนคู่นี้

อธิปค่อยๆ ลุกอย่างเงียบๆ เดินรี่ไปมุมห้องอีกด้าน หยิบรีโมทแล้วเอนเตรียมตัวดูทีวีจอใหญ่ตรงหน้า

ฉับพลันจู่ๆ เหมือนความง่วงจะเข้าแทรกซอนครอบงำไปทั่วทุกอณูของความรู้สึก

ภาพสวนสวยๆ ปรากฎขึ้นให้เห็นบนหน้าจอโทรทัศน์อย่างพร่าเลือน สลับก้ำกึ่งกับความคมชัด ราวกับภาพสามมิติที่บิดเบี้ยวซ้อนไปมา

และดูเหมือนการเห็นภาพนั้นจะเป็นสติสุดท้ายของตัวเขาเองเช่นกัน...




***โปรดติดตามอ่านบทต่อไป***





Create Date : 29 เมษายน 2555
Last Update : 29 เมษายน 2555 13:17:17 น. 1 comments
Counter : 900 Pageviews.

 
เลยไปกันหมดเลย อธิปไม่ต้องเฝ้าแล้วววว


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 5 มิถุนายน 2555 เวลา:1:23:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พรายทราย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








** ภาพสวยๆ เล็กตรงนี้ Tuscan Terrace ผลงานของ Sung Kim

เคยมั้ยนั่งอยู่ในสวนสวย พร้อมกับจิบกาแฟนั่งมองเกลียวคลื่นซึมซับเข้าหาทราย มันเป็นมุมพักผ่อนที่แสนจะเป็นสุขของเรา...

ขอยืมภาพวาดสวยๆ มาใช้ประดับบ้านเฉพาะกิจก่อน
เก็บไว้นานแล้ว ของใครบ้างหนอ...



**สำหรับคนชอบลอก แอบโกปี้ และตัดปะ**

คิดเอง เขียนเองเถอะค่ะ ...

ความสนุกของการเป็นนักเขียนเรื่องสั้น นิยาย มันอยู่ตรงนี้
แม้มันจะเหนื่อย ล้า เปลี้ย หมดพลัง แค่ไหนเราก็ยังพอใจ ที่ได้สนุกสนาน ได้ร่วมโลดลิ่ว..

ได้รัก ได้เกลียด ได้กินข้าว ได้เต้นระบำ ได้ตบตี ได้เจ็บช้ำ ไม่สบาย ร้องไห้ หัวเราะ ได้ร่วมไปในทุกๆ อารมณ์ กับตัวละคร

ที่พวกชอบลอกนี่จะไม่มีวันได้รู้แน่ๆ ว่าอารมณ์อย่างนั้นมันเป็นอย่างไร...

**และคุณก็ไม่มีวันเป็นคนเขียน เป็นนักเขียนได้เลย


******************************


Friends' Blogs

ลายปากกา

นิตยสารออนไลน์รายสัปดาห์ อ่านสนุก


Branica Web Counters
Friends' blogs
[Add พรายทราย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.