Catch dream in my Cheeks^o^จับฝันใส่กระพุ้งแก้ม Return to the beach BY NALINNOVEL
Group Blog
 
All blogs
 

รังไรลวงรัก รังที่ 23



รังไรลวงรัก
รังที่ 23

รังที่ 23

พลอยพิณกับชุดสูทสวยวางมาดนิ่งอยู่กลางห้องประชุม เธอดูทะมัดทะแมงและพูดคุยงานอย่างฉะฉาน ระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ๆ กับงานโฆษณาโปรเจคยักษ์ที่เจ้าของสินค้าต้องการทำให้เป็นเรื่องสั้นกับชาดังยี่ห้อหนึ่ง เธอจัดแจงวางแผนงานและนั่งฟังความคืบหน้าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทีมงานวางแผนไว้

“ดิฉันได้ส่งเรื่องดาราที่แคสติ้งให้เจ้าของชาทราบแล้วนะคะ ถือว่าเป็นคู่ขวัญที่ทางลูกค้าชอบมากอีกอย่างทั้งสองคนก็มีชื่อเสียงมาก และส่วนเรื่องเสื้อผ้ายังไงทางฝ่ายเสื้อผ้าก็นัดเจ้าตัวมาฟิตติ้งได้เลยขอให้ทุกอย่างเรียบร้อยไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า สไตล์การแต่งหน้า เครื่องประดับต่าง ๆ อันไหนจะต้องติดต่อกับทางซัพพลายเออร์แล้วมีปัญหาก็แจ้งดิฉันได้นะคะ เผื่อจะได้ช่วยกันอีกทาง อ้อแล้วด้านโปรดักส์ชั่น จุลได้เตรียมงานพร้อมหรือยังคะ” พลอยพิณหันมาถามจุล วันนี้เขาแต่งตัวเรียบร้อยเพื่อเข้าร่วมประชุม

“สักเก้าสิบเปอร์เซ็นแล้วครับทุกอย่างพร้อมแล้วครับ ผมได้จัดส่งให้ทีมโลเกชั่นไปดูสถานที่ล่วงหน้าแล้วรวมถึงเรื่องสตอรี่บอร์ดและบทต่าง ๆ ได้ส่งให้นักแสดงแล้วเหมือนกัน ติดต่อที่อุปกรณ์ประกอบฉากบางอย่างซึ่งยังมีบางบริษัทยังลังเลอยู่และกำลังต่อรองเรื่องค่าเช่าของอยู่ครับ” จุลยื่นภาพอุปกรณ์ที่ยังยืมไม่ได้ให้พลอยพิณดู

“อืม ได้ค่ะ บริษัทนี้ดิฉันพอจะรู้จักเจ้าของ ยังไงคงต้องเอาชื่อไปรับประกันความเสียหายก่อน” เธอหัวเราะออกมา

“ถ้าอย่างนั้นวันจันทร์หน้าพวกเราก็จะเริ่มงานกันได้เลย” ผู้กำกับพูดออกมา

“ถ้าทุกอย่างพร้อมดิฉันก็พร้อม ว่าแต่งานนี้พวกคุณว่าจะใช้เวลาสักกี่วัน”

“ผมว่าน่าจะสักสามวันเต็ม ๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด” ผู้กำกับแสดงความเห็น

“อย่ากะเกณฑ์แบบนั้นนะคะ พอว่าดาราไม่สามารถให้คิวเราได้ขนาดไหน” พลอยพิณกล่าว

“ฝ่ายดาราว่าไงคะ” เธอหันไปถามทีมงานคนอื่นอีก

“คิวที่ดาราให้ไว้คือสามวันค่ะ”

“คุณพลอยครับ ผู้กำกับหมายถึงว่าสามวันสำหรับดารา เราจะเจาะถ่าย แต่ส่วนวันที่เหลือก็น่าจะเป็นการเก็บรายละเอียดอื่น ๆ ที่ทางทีมงานจะทำต่ออีกสักประมาณสองถึงสามวันน่าจะเสร็จ ผู้กำกับต้องการความละเอียดอ่อนของภาพที่จะออกมาด้วยครับ” จุลอธิบายเพิ่มเติม

“อ้อ โอเคเข้าใจค่ะ ตามนั้นนะคะ งานนี้ดิฉันจะไปร่วมงานกับคุณด้วย ถ้าไม่เสร็จคงไม่หนีกลับกรุงเทพฯก่อน ฝ่ายจัดหาคะ ยังไงเตรียมที่พักให้ทีมงานและทีมนักแสดงด้วยนะคะ ถ้าทุกคนอยู่สบายงานก็จะออกมาดีว่าไหมคะ” พลอยพิณยิ้ม

“แหมตั้งแต่ทำงานมาสงสัยจะมีแต่เจ้านายอย่างคุณพลอยพิณนะฮะ ที่ห่วงใยสวัสดิภาพพนักงาน” ช่างแต่งหน้าคนหนึ่งพูดออกมา

“จริงหรือคะ ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ตั้งใจทำงานด้วยนะคะ งานชิ้นนี้จะถือเป็นหน้าเป็นตาของบริษัทเลยค่ะ คิดถึงคุณปวินท์นะคะ ดิฉันอยากให้เขาได้เห็นผลงานของพวกเราจังเลยค่ะ” พลอยพิณยิ้มเหงา ๆ ออกมา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ปิดประชุมค่ะ” พลอยพิณลุกขึ้น ทุกคนทยอยเดินออกมาจากห้อง แต่ทีมงานบางส่วนยังจับกลุ่มประชุมกันต่อ

“จุล เดี๋ยวไปพบพี่ที่ห้องด้วย” เธอเดินฉับ ๆ ออกไปพร้อมกับเลขานุการและนั่งดื่มกาแฟรออยู่ที่ห้องทำงาน สีหน้าเธอค่อนข้างเครียดหลังจากประชุมแล้ว

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เชิญค่ะ จุลมานั่งนี่ซิ” จุลเดินไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกในห้องทำงานสุดหรู พลอยพิณหันไปสั่งเครื่องดื่มให้กับเขา

ไม่นานนักเลขานุการก็เข้ามาเสิร์ฟชาร้อน ๆ พร้อมชุดน้ำชาที่สวยงาม

“ชาจากอังกฤษจ้ะ” เธอยกแก้วชาใบสวยขึ้นจิบทั้งที่ยังร้อนอยู่

จุลนั่งยิ้มออกมาเมื่อเห็นพลอยพิณเป่าชาไปจิบชาไปทั้งที่มันร้อน

“ยิ้มอะไรจ้ะจุล มีอะไรน่าขำงั้นหรือ อ้าวแล้วไม่ดื่มหรือไงเรา ชากานี้มาไกลนะรสนุ่มทีเดียวแก้เครียดหลังประชุม” พลอยพิณพูดอย่างอารมณ์ดี

“การดื่มชามีคำทำนายนิสัยด้วยนะครับ”

พลอยพิณเอียงหน้ามองจุลอย่างแปลกใจ

“จริงหรือจ้ะ เอามาจากไหน หรือว่าเป็นพล็อตโฆษณา”

“พล็อตโฆษณาหรือครับ น่าจะใช่ ผมคงต้องเพิ่มเรื่องนี้ลงไปเพื่อเป็นหนึ่งในความทรงจำของชิ้นงาน” จุลยกแก้วชาขึ้นแล้วหมุนไปมาอยู่หลายรอบและจิบชานั้นอย่างละมุนละไม ชาอุ่น ๆ พอกลืนลงคอมันช่างสบายคอและสบายไปถึงท้องอย่างที่โสมนัสเคยพูดไว้

“พูดจาแปลก ๆ นะเรา”

จุลยิ้ม “ว่าแต่พี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ เมื่อกี้ผมเห็นสีหน้าพี่พลอยไม่สู้ดีนัก”

“ดูออกด้วย” พลอยพิณยิ้มและนั่งพิงเก้าอี้พร้อมถอนใจออกมา

“พี่ส่งสายสืบไปตามหาวินท์แล้วนะ”

จุลรู้สึกใจหายแว้ปขึ้นมา ทั้งที่เขารู้เรื่องทั้งหมดแต่กลับไม่บอกอะไรให้กับพลอยพิณรู้สึกนิด

“แล้วคืบหน้าไปถึงไหนแล้วครับ”

“สายสืบบอกว่าเขายังอยู่ในจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุ เพราะเช็คตามโรงพยาบาลแล้วทราบชื่อว่าเป็นคนไข้และรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ตอนนี้เขาหายดีแล้วแต่อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เขายังไม่กลับมาเพราะว่าเขาความจำเสื่อม” พลอยพิณก้มหน้าและเงยหน้าขึ้นมาพร้อมน้ำตา

“พี่พลอยจะตามไปไหมครับ”

“มันจะดีหรือจุล เขาความจำเสื่อมเขาจะจำพวกเราได้ไหม” พลอยพิณกล้า ๆ กลัว ๆ

“แล้วพี่ทราบหรือเปล่าว่าเขาอยู่กับใคร ใครเป็นคนดูแลพี่ปวินท์”

พลอยพิณส่ายหน้า “แต่นี่จ้ะ“

เธอเลื่อนกระดานแผ่นหนึ่งให้กับจุลดู จุลหยิบกระดาษขาวแผ่นนั้นขึ้นมาดู ไร่ชา “ไร่ชา”

“ใช่จ้ะ ไร่ชาที่เราจะไปถ่ายทำโฆษณา จุลกำลังปิดบังอะไรพี่อยู่หรือเปล่า” พลอยพิณเสียงเศร้า เธอมองหน้าเขา แววตาที่ส่งออกมาไม่ได้แสดงความผิดหวัง หรือ ความโกรธแต่อย่างใด ดูเหมือนพลอยพิณค่อนข้างจะโล่งอกด้วยซ้ำ

“พี่พลอยครับ” น้ำเสียงของจุลแหบเศร้า

“พี่เลยจะไปงานนี้ด้วย”

“ไม่เกี่ยวหรอกจ้ะ เพราะถึงยังไงคงไม่มีประโยชน์ที่พี่จะต้องตามตัวของเขากลับมา”

“หมายความว่ายังไง” จุลทำหน้าสงสัย

“วันก่อนวินท์โทรศัพท์มาหาพี่ถามถึงเรื่องงาน”

จุลยิ่งทำหน้าสงสัยไปกันใหญ่

“สงสัยใช่ไหม ในเมื่อใบทะเบียนคนไข้บอกว่าเขาความจำเสื่อม แต่ทำไมถึงโทรศัพท์กลับมาหาพี่ได้” พลอยพิณลุกขึ้นยืนและกอดอกเดินวนไปวนมาสักพัก จุลเริ่มใจคอไม่ดีนักกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินได้ฟัง

“เกิดอะไรกันแน่ครับพี่พลอย”

“วินท์ตั้งใจความจำเสื่อมเพียงเพื่อที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เขารัก” พลอยพิณน้ำตาร่วงพรู แต่เธอก็ฝืนยิ้มออกมา

“อุบัติเหตุวันนั้นเกิดขึ้นเพราะพี่เอง ตอนที่เรากำลังจะไปเที่ยวดอยชิดฟ้า จู่ ๆ วินท์ก็ขอเลิกกับพี่ทั้งที่งานแต่งงานของเรากำลังจะเริ่มขึ้น ตอนนั้นพี่รับไม่ได้เลย เรามีปากเสียงกันและพี่ก็เป็นคนหักพวงมาลัยรถเองตอนนั้นแค่โมโหมันควบคุมสติไม่ได้ ทุกอย่างมันจบลงแล้วเพราะพี่เอง” พลอยพิณยิ้มทั้งน้ำตา นี่คือน้ำตาแห่งความเสียใจที่ดูสุขุมที่สุดตั้งแต่เขาเคยเห็นมา

“พี่พลอยครับ แต่มันไม่ใช่ความผิดของพี่เลย”

“ไม่หรอก พี่ผิดเองที่พยายามผลักดันให้งานแต่งงานเกิดขึ้นทั้งที่วินท์ไม่พร้อมกับเรื่องแบบนี้ ตลอดเวลาพี่เองก็รู้สึกว่าลึก ๆ ในใจของวินท์เหมือนมีใครบางคนซุกซ่อนอยู่พี่เดาไม่ออกจริง ๆ ว่าคนที่เขารักคือใครกันแน่ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่พี่สบายใจคือไร่ชาที่วินท์ไปพักรักษาตัวคือไร่ชาของโสมนัสเพื่อนสนิทของเขา” พลอยพิณยิ้มและถอนใจออกมา

“ทำไมพี่พลอยถึงไม่กระโตกกระตากอะไรออกมา”

“พี่เริ่มทำใจได้บ้างตอนที่พี่หายป่วยแล้วจริง ๆ มานั่งคิดทบทวนงานที่ทำทุกวันนี้มันดึงเวลาฟุ้งซ่านไปได้หมดทีเดียว วินท์บอกว่าถ้าเขาพร้อมเขาจะกลับมาทำงานต่อ แต่ตอนนี้ขอเวลาเขาพักผ่อนก่อนน่ะ” พลอยพิณพูดอย่างปลง ๆ

“เรื่องแบบนี้ก็มีด้วย พี่ได้คุยอะไรกับพี่ปวินท์มากกว่านั้นหรือเปล่าครับ”

“เปล่าจ้ะ เขาโทรศัพท์มาบอกแค่นั้นรีบพูดรีบวาง”

“เขาทราบหรือเปล่าว่าพวกเรากำลังจะไป” จุลถามด้วยความร้อนใจ

“ยังไงเขาก็ต้องรู้อยู่ดีนะ เพราะพวกเราต้องแจ้งโสมนัสเขาอยู่แล้ว”

“ก็จริงครับ แย่จังทำไมวันนี้สมองผมตื้อ ๆ ชอบกล” จุลส่ายหน้าไปมา ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนโดนน็อค

“แต่เราสองคนควรจะแวะไปเยี่ยมเขาก่อนวันเริ่มงานนะ วันศุกร์นี้จุลไปกับพี่ก่อนจะได้ไหม” น้ำเสียงเธอจริงจังมาก

“ผมหรือครับ”

“นะจุล ส่วนตัวนิดนึง เข้าใจพี่นะ”

“ครับ” จบประโยคนั้นจุลยิ่งสมองตันเข้าไปใหญ่ หลังจากคุยกันเรื่องนั้นแล้วมันมีหลายความคิดที่เข้ามากระทบกระเทือนสภาวะทางความรู้สึกของเขามากมายจนเหมือนจะควบคุมความรู้สึกคับคั่งในใจไม่ได้เลย ถ้าปวินท์ไม่ได้ความจำเสื่อม แล้วรังไร แม่มดของเขาตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง จากที่แม่สาวรังไรจะลวงรัก ตอนนี้เธอกำลังเดินชายคนที่เธอรัก ลวงรักเธอแล้วงั้นหรือ

“รังไร รังไร” จุลพร่ำชื่อนี้ออกมา จนเขาขับรถมาถึงหน้าร้านของลันนา แต่ก็ไม่ได้ลงมาจากรถจนลันเห็นเข้าจึงมาเคาะกระจกเรียก

“จุลเป็นอะไรไปแล้วทำไมไม่ลงมาจากรถ” ลันนาเห็นจุลหันหน้ามาพร้อมดวงตาแดงกล่ำ เธอตกใจมากที่วันนี้รอยยิ้มแสนทะเล้นและคำพูดจาแบบเด็ก ๆ มันหายไปไหนจากชายคนที่เธอคุ้นเคย

จุลเปิดประตูรถออกมาพร้อมกับกอดลันนาไว้แน่น ลันนากอดเขากลับ

“ใจเย็น ๆ นะจุล มีอะไรในใจก็พูดกับลันได้นะ จุลก็เหมือนน้องชายของลันนะ”

จุลเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขายังคงกอดลันนาไว้แน่นอยู่แบบนั้น พอเงยหน้ามายิ่งทำให้เขาประหลาดใจและตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เขารีบผละตัวเองออกจากลันนาทันที ลันนาหันไปมองตามที่จุลมอง

“รังไร” เขาเรียกชื่อเธอออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว แม่มดตัวแสบของเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าและถือของเต็มไม้เต็มมือ ดวงตาสวยของเธอมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง

“รังไรมาแล้วเหรอ” ลันนาเดินเข้าไปจับไม้จับมือ เธอยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าพร้อมกับรอยยิ้ม

“ลันมีนัดนี่เอง ถึงว่าทำไมปิดร้านเร็วจัง”

“พอดีรังไรลงมากรุงเทพฯ สักระยะหนึ่งแล้ว เธอโทรศัพท์มาลันอยากเจอรังไรมากจริง ๆ ตั้งใจจะให้ของตอบแทนที่มาช่วยตกแต่งร้านแต่สิ่งสำคัญคืออยากจะอวดร้านมากกว่า” ลันนาหัวเราะ

“ร้านน่ารักดีนะคะ ลูกค้าเยอะไหมคะ”

“พอควรจ้ะ ตอนนี้ใกล้วาเลนไทน์เลยมีสาว ๆ มากันเยอะหน่อย นี่จุลตอนนี้หนูนิปมาเป็นลูกค้ากับพี่ด้วยนะ หนูนิปบอกว่าอยากจะถักผ้าพันคอให้กับคนสำคัญ” ลันนาหัวเราะเสียงใส

“ไม่ได้เจอหนูนิปนานแล้ว อยากเจอแกอยู่เหมือนกัน” จุลพูดเสียงเรียบ เขาหันหลังและทำทีท่าล็อคประตูรถ

“งั้นเย็นนี้ทานข้าวด้วยกันก่อนกลับนะ ไปร้านอาหารญี่ปุ่นของพ่อหนูนิปดีกว่า รถมันติดมากเดินทางไปมาก็เสียเวลาว่าไหม” ลันนามองหน้าจุลและรังไร ซ้ายทีขวาทีแต่ทั้งสองคนก็เอาแต่ยิ้มไม่ได้ปริปากอะไรออกมา

“อ้าว ไม่มีใครตอบลัน งั้นเจ้าภาพจะเป็นคนเลือกร้านเอง ไป ไป เดินตามกันมาเร็ว” บรรยากาศแสนจะอึดอัดชอบกล แต่ลันนาพอจะรู้อยู่แล้ว เพราะจุลเคยบอกว่าเลิกรากันไป มันคงไม่แปลกเมื่อทั้งสองคนกลับมาพบหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย

“สั่งเลยจ้ะ” ลันนาเลือกนั่งที่โต๊ะมุมใกล้ ๆ เคาน์เตอร์เธอเปิดโอกาสให้ทั้งสองคนได้นั่งคุยกัน เธอเลือกเดินไปที่หน้าบาร์อาหารแล้วสั่งอาหารกับพ่อของนิปอย่างคุ้นเคย

พนักงานนำชามาเสริฟ์ จุลสังเกตการดื่มชาของรังไร มันกลายเป็นเรื่องตลกในเช้าวันนั้นจากโสมนัสที่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาชอบสังเกตอาการดื่มชาของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว แต่ในเรื่องตลกนั้นกลับฝังใจเขาตลอดเวลาเขาเผลอยิ้มออกมา ยิ่งตอนนี้ท่าทางในการดื่มชาของเขากับรังไรช่างเหมือนกันเสียจริง ทั้งสองคนโอบแก้วชาร้อนไว้ในมือทั้งสองข้างและหมุนไปมาสักพักพออุณหภูมิอุ่นพอได้ที่ก็ยกมันขึ้นดื่มพร้อม ๆ กัน

“ชารสชาติดีนะคะ” รังไรเริ่มก่อน

“อุ่นกำลังดีเหมือนกับ...” เขาหยุดพูด เขาก้มหน้าลงไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอ ตอนนี้สายตาเขาได้แต่มองแสงจากหลอดไฟที่ส่องกระทบกับผิวชา

ลันนาทิ้งระยะไว้สักครู่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้นเลยจึงเดินกลับมาที่โต๊ะแทน ไม่นานนักอาหารญี่ปุ่นหลายอย่างก็พร้อมวางบนโต๊ะ ทุกคนทานอาหารเหมือนกับว่ามันไม่อร่อย ส่วนลันนาก็ทานอย่างอร่อยจนท้องตึง

“นี่ไม่อร่อยหรือไง ทานกันนิดเดียว”

“เปล่าค่ะ เปล่าครับ” ทั้งสองคนปฏิเสธ

“เก็นจิ” เธอเรียกพ่อครัวหนุ่มน้อยผู้ช่วยพ่อของนิปมาที่โต๊ะ

“ช่วยใส่ห่อกลับบ้านแบ่งเป็นสองห่อนะคะ” ลันนาหันไปสั่ง


ทั้งสามคนเดินกลับมาที่หน้าร้าน

“ลันเดี๋ยวจุลไปส่ง”

“ไม่ต้องจุลลืมไปแล้วหรือไงว่าลันซื้อรถแล้วน่ะ จุลแวะไปส่งรังไรเถอะนะ วันนี้ลันมีความสุขมากเลยที่ได้เลี้ยงอาหารผู้มีพระคุณทั้งสองคนไม่อย่างนั้นร้านนี้คงไม่สวยน่ารักแบบนี้หรอก” ลันนายิ้ม

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ น่าจะเป็นที่การบริการของพี่ลันมากกว่า” รังไรยิ้มน้อย ๆ ออกมา

“ไปดีกว่าดึกแล้ว นี่รังไรยังไงก่อนกลับแวะมาที่ร้านอีกนะ พี่มีเรื่องจะคุยกับเรามากมายแบบสองต่อสองไม่มีชายหนุ่มคนนี้มาขัดจังหวะ” ลันนาหันมาโบกมือให้ จุลเดินไปปิดประตูรถให้ที่ข้างรถ

“จุลจ้ะ ลันเชื่อนะว่าจุลต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเองเลยนะ ถ้าคิดจะรักก็รักอย่างที่หนูนิปบอก” ลันนายิ้มและจับมือเขาอย่างแผ่วเบา

“ขอบคุณมากคนดีของผม” จุลยิ้มและยืนล้วงกระเป๋า

“ฉันกลับนะ” เธอยิ้มและหันหลังเดินกลับไป ตลอดเวลาที่อยู่ร้านอาหารถ้าลันนาไม่โยงเรื่องถามนั่นนี่ทั้งสองก็คงไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก

จุลยืนมองเธอเดินออกไปจากหน้าร้านของลันนาตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว ร้านลวงสำหรับตอนกลางคืนย่านญี่ปุ่นเมืองไทยก็เริ่มทยอยปิดร้าน รังไรดูเศร้า ๆ และเหงาเขาสัมผัสได้ หรือว่าเธอกับปวินท์จะจบกันแล้ว เรื่องความจำเสื่อมของพี่ปวินท์ถูกเผยแล้วหรือยังทำไมรังไรทำหน้าแบบนั้น แต่เขาเคยสัญญากับเธอไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่ง ไม่ให้ทักทายกัน แต่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยสักนิด

จุลหันไปมาอยู่ข้างรถแล้วก็ต้องรีบออกวิ่งอย่างสุดแรง จนถึงตัวเธอเขากอดเธอจากด้านหลังไว้แน่นเชยคางของเขาไว้ที่ไหล่ของเธอ ความรู้สึกท่ามกลางสายลมกลางดึกช่างแสนเงียบเหงา แต่ทว่าความรู้สึกในหัวใจตอนนี้แสนอบอุ่นเหลือเกิน




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2555 12:56:05 น.
Counter : 1916 Pageviews.  

รังไรลวงรัก รังที่ 22



รังไรลวงรัก
รังที่ 22

รังที่ 22

ถือเป็นเช้าที่หมอกเริ่มเบาบางลง แสงอาทิตย์ทอดลำแสงอย่างอ่อนโยนทะลุละอองหมอกบาง ๆ และสะท้อนบนยอดชาภาพนี้ช่างแสนงดงามและอบอุ่น จุลยืนถอนใจที่ริมระเบียง ตอนนี้กระเป๋าเดินทางใบย่อมวางอยู่ข้างกายของเขาแล้ว ใจจริงเขาตั้งใจจะเดินทางไปสนามบินเองแต่ดูแล้วมันคงแสนลำบากน่าดู เลยต้องยืนรอเจ้าของไร่อย่างโสมนัสเป็นธุระจัดการให้

“ไงเรา เมื่อคืนได้ยินเสียงรถกลับเข้าไร่ตอนใกล้รุ่งสาง ไปไหนกันมา” โสมนัสถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ และนั่งเปิดหนังสือพิมพ์อ่านพร้อมกับจิบชาร้อน ๆ ไปด้วย

“ขอโทษทีนะครับพี่นัส” จุลยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“เฮ้ย ขอโทษอะไรกัน พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเราสักหน่อยเลย”

“จะว่าก็ได้ครับ” เขายิ้มแหย่

โสมนัสพับหนังสือพิมพ์เก็บตามเดิมและพยักหน้าให้จุลมานั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ ด้วยกัน

“เป็นอะไรเราหน้าบอกบุญไม่รับเลย” โสมนัสยิ้ม

“เปล่าหรอกครับ สงสัยพักผ่อนน้อย” จุลตอบสั้น ๆ

“น้ำชาอุ่น ๆ เวลาที่ดื่มเข้าไปมันก็ทำให้เรารู้สึกโล่งคอและสบายท้องไม่ทรมานปาก กลิ่นของมันทำให้เรารู้สึกสดชื่น แต่ถ้าเราดื่มน้ำชาที่ร้อนไปทรมานตั้งแต่ปากยันท้อง ถ้าเย็นไปมันก็ชืดซะหมดไร้ซึ่งความรู้สึก มันก็เหมือนกับคนเรานั่นแหละว่าจะเลือกดื่มน้ำชาที่อุณหภูมิไหนถึงจะเหมาะกับเรา บางคนอาจจะชอบเป่าไล่ความร้อนไปดื่มไปก็อร่อยไปอีกแบบเรียกว่ายอมทรมาน” โสมนัสยกแก้วค่อย ๆ เป่าและจิบมันอย่างละเมียดละไม

จุลหัวเราะและยิ้มออกมา “ผมรู้แล้วว่าพี่ชอบดื่มชาแบบไหน”

“รู้ได้ไง” โสมนัสทำหน้าเดียงสา ยิ่งทำให้จุลหัวเราะออกมาได้

“พี่ก็ทำท่าทางไปอย่างนั้นแหละ” โสมนัสยิ้มแก้เก้อ

“จุลพี่ก็รู้ว่าจุลชอบดื่มชาแบบไหน ท่าทางของจุลที่ใช้มือสองข้างโอบแก้วไว้อย่างเบามือและใช้มือเป็นตัวสัมผัสไออุ่นจากอุณหภูมิของชา พอมันอุ่นได้ที่เราก็จะดื่มมัน พี่สังเกตหลายครั้งแล้ว” โสมนัสพูดจาอย่างอบอุ่น เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้หัวใจของจุลกำลังเหี่ยวเฉามากทีเดียว แววตาและรอยยิ้มของเขาไม่ได้เจือบนใบหน้าเหมือนทุกครั้ง

“พี่ก็ช่างสังเกตนะครับ” จุลก้มหน้าและจิบชาจากแก้วในมือของเขาอย่างละเมียดละไม

“การดื่มชามีความหมายและทำนายความรักได้นะ”

“จริงหรือครับ แหมพี่นัสมีอารมณ์พวกนี้ด้วยเหรอ ทำเป็นพวกสาว ๆ ไปได้ บอกมานะว่าพี่คิดเองหรือเปล่า”

โสมนัสยกนิ้วชี้ส่ายไปมาพร้อมรอยยิ้ม “พี่ปลูกชามาหลายปีนะ มันก็ต้องมีเรื่องโรแมนติคเข้ามาผสมบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ น่า เผื่อเป็นข้อมูลในการทำโฆษณาไง ไม่อยากฟังหรือไง”

“ฟังครับพี่ แหมอย่าเพิ่งน้อยใจ” จุลหัวเราะออกมามากขึ้น

โสมนัสเปลี่ยนอิริยาบถให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นกับเรื่องที่เขาจะพูดต่อไป ทั้งที่ใจจริงของเขาตอนนี้กำลังคิดหาคำพูดเพื่อปลอบโยนหนุ่มน้อยตรงหน้ามากกว่าคำทายสนุก ๆ เกี่ยวกับเรื่องชา แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีจึงเฉไฉมาถึงเรื่องนี้จนได้

“อืม เริ่มจากคนที่ชอบดื่มชาที่เย็นแล้ว แสดงว่าเป็นคนไม่กระตือรือร้นในเรื่องความรัก เหมือนกับว่าถ้าความรักมาก็มา ไม่มาก็ไม่อยากจะไขว่คว้า ถ้าคนรักมีปัญหาก็ไม่ได้ขวนขวายที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนชาร้อนก็ประเภทแบบว่าเป็นฟืนเป็นไพถ้าคนรักของเรามีปัญหา แค่เพียงเอ่ยเท่านั้นก็ทำตัววุ่นวายยื่นมือให้ความช่วยเหลือก่อนซะแล้ว” โสมนัสหัวเราะให้กับตัวเอง

“พี่พูดจริงหรือตั้งศาสตร์การดื่มชาขึ้นมาเองครับ” จุลมองหน้าคู่สนทนาแล้วก็ยิ้มออกมา

“ผมล้อเล่นครับ แล้วชาอุ่น ๆ ล่ะ”

“ก็เป็นคนอืม ค่อนช้างใจเย็นแต่ไม่เย็นซะทีเดียว เป็นคนที่ดูจังหวะในการเข้าไปแก้ไขปัญหามากกว่าน่ะ คนประเภทนี้จะเป็นคนมีเหตุมีผลแต่ในขณะเดียวกันในความอุ่นมันคือส่วนผสมของความเย็นและความร้อน จุดตรงกลางของความรู้สึกบางครั้งก็เป็นคนไม่เข้าใจตัวเอง” โสมนัสมองหน้าจุลเหมือนกำลังจะบอกให้เขารู้ว่า อะไรที่มันคับอกคับใจ จุลควรจะพูดออกมาซะบ้าง

“โม้อะไรแต่เช้าเลยพี่นัส” เสียงต้นเตยดังแว่วมาแต่ไกล

“ปากดีแต่เช้าเลยเจ้าเตย” สองพี่น้องส่งเสียงโหวกเวกกันใหญ่

“มีเรียนฮะ อ้าวพี่จุลจะกลับแล้วเหรอ เอ ว่าแต่ทำไมหน้าบูดแต่เช้าเลย อ้อ อ้อ แสดงว่าไม่อยากกลับแน่ ๆ เลย ก็ถ้าเป็นเตยก็ไม่อยากกลับหรอกในเมื่อพี่สาวคนสวยของเรากลับมาแล้วนี่นะ จริงไหมฮะพี่จุล” ต้นเตยหันไปมองหน้าคนตกเป็นจำเลย เขาถึงกลับหน้าแดงขึ้นมา

“ไปเรียนไปจะขับรถไปเองหรือให้ไปส่ง”

“ไปเองครับ” ต้นเตยหันมาหัวเราะก่อนจะเดินหนีจากวงสนทนาไป แต่คำพูดนั้นก็เล่นเอาจุลใจแป้วเหมือนกัน

“วันนี้อากาศดีนะครับ เป็นวันแรกที่ผมรู้สึกว่าแสงอาทิตย์มีสีสวยและอบอุ่น” จุลถอนใจออกมาก่อนที่จะลุกขึ้นยืนบิดตัวแก้เมื่อย

“จุลทุกอย่างมันก็จะดีเอง ยังไงนายกลับไปวางโปรเจคงานให้เรียบร้อยแล้วรีบกลับมาถ่ายทำนะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีแสงและหมอกจาง ๆ ภาพที่จุลอยากได้คงจะโรแมนติกน่าดู” โสมนัสลุกขึ้นหาวหวอดพร้อมกับจะเดินไปหยิบกุญแจรถแต่รังไรก็ถือมันออกมาซะก่อน พร้อมกับปวินท์ที่นั่งอยู่บนรถเข็น

รังไรหยุดรถเข็นและล็อคล้อให้เรียบร้อย เธอนั่งชันเขาตรงหน้าปวินท์แบบนี้เสมอและจับมือทั้งสองข้างของเขาไว้

“พี่ปวินท์คะ รังไรไปส่งเพื่อนที่สนามบินและแวะไปส่งของให้ลูกค้าก่อนนะคะ แล้วจะรีบกลับมาทานข้าวเที่ยงกับพี่ให้ทันนะคะ” เธอยิ้ม

ปวินท์ลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนแลกรอยยิ้มให้แก่กันและกันอย่างมีความสุข

แบบนี้ซินะที่รังไรรอคอยเสมอมา จุลได้แต่เบนสายตามองไปทางอื่น

“พี่นัสฝากพี่ปวินท์ด้วยนะคะ รังไรจะไปส่งจุลเองค่ะ”

“เฮ้ย พี่ไปเองได้รังไรอยู่ไรดีแล้ว” โสมนัสรู้ว่าปวินท์ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

“รังไรต้องไปทำธุระด้วยค่ะ นี่ก็ส่งงานให้ลูกค้าช้ามาหลายวันแล้ว รังไรต้องไปขอโทษลูกค้าด้วยตัวเองด้วย แวะไปส่งจุลแป็ปเดียวไม่เสียเวลาหรอกค่ะ ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้ว” น้ำเสียงเธอตัดพ้อเล็กน้อย

“ตามใจ”

“ผมลาครับพี่นัส พี่วินท์ครับ ผมกลับก่อนนะครับหายป่วยเร็ว ๆ นะครับ เราจะได้กลับมาช่วยกันคิดงานอีกครั้ง ตอนนี้...” จุลหยุดพูดเพราะถ้าเขาพูดชื่อพลอยพิณออกมา อาจจะทำให้รังไรไม่สบายใจนัก

“แล้วผมจะกลับมาใหม่ครับ”

“โชคดีจุล” โสมนัสตบไหล่เขาอย่างสนิทชิดเชื้อ


ระหว่างทางที่นั่งรถไปจุลได้แต่นั่งหลับตาไปตลอดทาง เหมือนกับว่าเขาพยายามลบความทรงจำอะไรบางอย่าง เขาไม่อยากแม้จะเห็นแสงอาทิตย์ที่ทอดลำแสง หรือหมอกจางที่คลุ้งเต็มถนน ไม่อยากมองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบตัว อยากให้ทุกอย่างจบลงและจบลง พอถึงสนามบินจุลเปิดประตูรถและเดินไปหยิบกระเป๋าที่ท้ายกระบะ เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปในสนามบินเอง แต่สาวน้อยคนนี้ก็เดินตามเขาต้อย ๆ จนเขาจัดการธุระเรื่องสัมภาระเรียบร้อยก็ไปนั่งรถที่เก้าอี้มองเห็นรันเวย์และผู้คน เครื่องบินที่จอดและเหินขึ้นลงบนท้องฟ้าสลับกันไป รังไรนั่งอยู่ใกล้ ๆ เขา

“กลับไปคราวนี้แล้วคุณจะกลับมาที่ไร่ของเราอีกเมื่อไหร่”

“ไม่รู้ซิ คงต้องประชุมด่วนตอนนี้คุณพ่อของพี่ปวินท์สั่งให้คุณพลอยพิณมานั่งตำแหน่งงานแทนพี่ปวินท์แล้ว คุณพลอยพิณต้องรับภาระมากมายทีเดียว แต่เธอก็เต็มใจทำ” จุลถอนใจออกมา

“แล้วคุณพลอยพิณเธออาการดีขึ้นหรือยังคะ”

“สุขภาพดีแล้ว แต่เธอเป็นโรคซึมเศร้า บางครั้งเธอดูเหม่อลอยพิกล แต่ใจสู้มาก ทุกคนอยากจะตามหา แต่คุณพลอยพิณบอกไม่ให้ตาม ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเกิดอะไรขึ้น” จุลยกข้อมือดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา

“ผมไปนะ” เขายิ้มเหงา ๆ ออกมา รังไรรีบลุกขึ้น

“โชคดีนะคะจุล” เธอยิ้มให้เขา

จุลเดินออกห่างเธอไปและหันกลับมามองหน้าเธออีกครั้ง

“รังไร ความรู้สึกแบบนี้ที่ผมไม่ชอบเลย ผมไม่ชอบบรรยากาศสนามบิน ผมไม่ชอบการจากลากันที่สนามบิน แต่นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะรู้สึกแบบนี้ ต่อไปเราจะไม่รู้จักกันแล้ว คุณดูแลตัวเองดี ๆ นะ แม่มดตัวแสบของผม แต่ทางที่ดีแฟนเก่าหนึ่งวันอย่างผมคุณก็ลบมันไปจากความทรงจำให้หมดเลยนะ ไม่ต้องจำเรื่องราวระหว่างเรา ไม่ต้องจำเสียงของผม ไม่ต้องจำอะไรเกี่ยวกับตัวผม ถือว่าคุณไม่เคยรู้จักผมมาก่อนเลยแล้วกัน มันจะได้ดีกับตัวคุณเองที่ไม่ต้องลังเลกับการที่คุณจะตัดสินใจเลือกทางเดินเป็นของคุณเอง ขอให้มีความสุขนะ” จุลเดินกลับมาและหยุดยืนตรงหน้าเธอ

“คุณสั่งให้ฉันทำแบบนั้น แล้วคุณทำได้เหมือนกันหรือเปล่า คุณลืมฉันได้จริง ๆ หรือเปล่า ชีวิตวุ่นวายของฉันที่สร้างปัญหาให้คุณตลอดคุณเองก็ลืมมันได้เหมือนกันใช่ไหม บรรยากาศแบบนี้ไม่ดีเลยนะ ฉันเคยคิดว่าจะมีความทรงจำที่แสนดีกับสนามบินบ้างสักครั้งก็ยังดี แต่แล้วมันก็เหมือนเดิม การจากลาแบบที่ไม่มีความเข้าใจกัน” รังไรยืนก้มหน้าตอนนี้เหมือนกับบ่อน้ำตามันกำลังจะแตกออกมาแล้ว เธอเงยหน้ามองเพดาน แต่มันก็ห้ามไม่ได้จริง ๆ น้ำตามันหล่นสายออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างเธอยืนกำกุญแจรถไว้แน่น

จุลเดินเข้ามากอดเธอไว้ “อย่าร้องไห้นะคนดีของผม ผมเชื่อถ้าวันนี้เรายังคิดถึงกันมันก็จะไม่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย การลืมมันจะทำให้เราไม่ต้องเจ็บปวด”

จุลจับแก้มทั้งสองข้างของเธอไว้และค่อย ๆ ปาดน้ำตาให้กับแม่มดตัวแสบของเขา

“น้ำตาของคุณมีค่าอย่าเสียน้ำตาให้กับคนอย่างผมเลยนะ”

“ขอบคุณนะคะจุล ชายแปลกหน้าที่แสนดีของฉัน” เธอยิ้มทั้งน้ำตาออกมา

จุลรีบหันหลังและเดินจากไปก่อนที่เธอจะพูดประโยคนั้นจนหมด เขารีบจ้ำเข้าไปประตูขาออกและเดินไปขึ้นเครื่อง พอนั่งลงบนเบาะผู้โดยสารน้ำตาเขาก็ไหลออกมา แสงดาวพราวเมื่อใกล้รุ่งและของขวัญแห่งการจากลายังติดตรึงอยู่ไม่เลือนหาย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แม้กระทั่งน้ำตาจากดวงตาแสนเศร้าของแม่มดตัวแสบจะให้ลืมกันอย่างที่ปากบอกได้อย่างไร


เย้ เสียงปรบมือกับการร่วมฉลองเปิดร้านใหม่ของลันนานำพามาซึ่งรอยยิ้ม จุลช่วยลันนารับแขกเหรื่อไม่กี่สิบคนที่มาร่วมงานฉลองเปิดร้านในเช้าวันนี้

“คิดถึงน้องรังไรจังเลยนะคะ เธอมีส่วนร่วมออกแบบด้วย แต่เสียดายที่เธอติดงานเลยลงมาไม่ได้”

“มีคนมากมายที่มาร่วมงานทุกคนก็สำคัญหมดแหละ” จุลส่งเสียงหวานออกไป

“นั่นซิ ยิ่งคนสำคัญอย่างจุล ถ้าไม่มานะ ลันโกรธจริง ๆ ด้วย” ลันนาหัวเราะเสียงใสออกมา

“ร้านของลันเริ่มเติบโตแล้วนะ จุลขอให้ลันมีลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ นะ ส่วนเรื่องโปสเตอร์สำหรับทำเวิร์คช้อปและป้ายโฆษณาสวย ๆ รอสักไม่กี่อึดใจรับรองสวยถูกใจลันแน่” จุลเดินแจกขนมให้กับแขกในงานอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

“จุล ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ช่วงนี้จุลไม่ค่อยได้พักผ่อนเลยนี่ ไหนจะงานโฆษณาแล้วก็ยังมีงานของลันอีก” เธอไม่สบายใจเท่าไหร่นัก เพราะดูจุลไม่ค่อยมีความสุขหรือพูดจากยียวนเหมือนแต่ก่อน บางทีอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับจุลก็เป็นได้

“นี่ลันทำไมมองจุลแบบนั้น จุลไหวไม่ต้องห่วงมากนักหรอก” จุลนั่งที่เคาน์เตอร์และตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง

“จุลจะไปไร่ชาเมื่อไหร่ ลันอยากจะฝากของให้กับรังไร”

“สักสองสามวันนี้แหละ” สีหน้าเขาเศร้าขึ้นมาทันที

“นี่ลันถามจริง ๆ นะ จุลกับรังไรทะเลาะกันหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ลันไม่เคยได้ยินจุลเอ่ยถึงรังไรอีกเลยตั้งแต่กลับมาจากไร่ชาคราวนั้น หรือว่าเลิกกันแล้ว” ลันถามซื่อ ๆ

“เลิกกัน น่าจะแบบนั้น เราเลิกกันแล้ว แต่อย่าสนใจเรื่องของจุลเลยนะ วันนี้วันเปิดร้านจุลมีของขวัญพิเศษจะมอบให้ด้วยนะ” จุลเปลี่ยนเรื่องทันควัน

“อะไรจ้ะ น่าตื่นเต้นจัง” เธอยิ้มออกมา

“ลันยิ้มแบบนี้ เพราะว่าจุลทำตัวเหมือนเด็กใช่ไหม รู้ทันนะ” จุลหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับหยิบกล่องของขวัญกล่องจิ๋วออกมาจากกระเป๋า เขายื่นให้เธอ

“อย่าเปิดตอนนี้นะ เจ้าของเขาสั่งมาว่าให้เปิดตอนที่ลันกำลังจะเข้านอน”

“พิธีรีตรองเยอะจังเลยนะคุณเจ้าของ”

“เชิญครับ เชิญครับ” เขาเดินไปต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มแย้มแจ่มใส

“ว้าวร้านน่ารักจัง”

“อ้าวหนูนิปนั่นเอง วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง” ลันนาหันไปทักเด็กสาววัยมัธยมต้นที่เดินเข้าออกร้านนี้อย่างสนิทสนมตั้งแต่เธอเริ่มมาตกแต่งร้าน

“วันนี้อาจารย์ประชุมเลยไม่ต้องไปเรียน แต่ต้องไปเรียนชดเชยวันอื่นเบื่อแทบแย่” สาวน้อยเดินไปนั่งที่เก้าอี้และกอดตุ๊กตาหมีที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวถัดไป

“ไงเจ้าแต้มสี นายแสดงความยินดีกับพี่ลันหรือยัง” เธอพูดกับตุ๊กตาหมีเหมือนทุกครั้ง

“อ้อนี่หนูนิป นี่พี่จุลนะจ้ะเป็นน้องชายของเพื่อนพี่เอง พี่คนนี้ไงที่มาออกแบบร้านให้”

“สวัสดีครับน้องนิป”

“ดีค่ะ พี่จุล” เธอกล่าวกับมาอย่างสนิทสนม

“แหมเด็กสมัยนี้นี่สนิทกับคนง่ายดีเนอะ” จุลหัวเราะในความสดใสของเธอ พลานนึกไปถึงต้นเตยที่พูดจาห้วนห้าวแต่ก็ไม่ได้ปีนเกลียว หรือว่าตัวเขาเองเริ่มจะมีอายุแล้วนะ ถึงรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกกับเด็กสมัยนี้ ก็คงจะจริงไม่อย่างนั้นเขาที่อายุน้อยกว่ารังไรตั้งสี่ปี แต่ทำตัวเทียบรุ่นกับเธอ คำพูดที่บอกว่าเขาเด็กกว่าและอนาคตยังไกลที่รังไรพูดออกมา ประโยคนั้นมันหมายถึงว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอเลยใช่หรือเปล่า

“พี่จุล เหม่อเชียว”

นิปเดินมาโบกมือไปมาที่หน้าเขา

“พี่ลันนิปหายเบื่อละ กลางวันนี้แวะไปร้านพ่อด้วยนะ จะให้พ่อทำอาหารเลี้ยงห้ามเบี้ยวนะ” เธอพูดจบก็เปิดประตูออกจากร้านไป

“เด็กสมัยนี้ปู๊ดป๊าดดีจริง หรือเราจะแก่นะ” จุลหัวเราะออกมาพร้อมกับเดินไปนั่งข้างเจ้าหมีที่ชื่อว่าแต้มสี

“หนูนิปเป็นเด็กน่ารักมากนะ ลันหายเหงาเพราะเธอเลยหล่ะ แถมเธอยังมีคู่หู ชื่อปอนด์ อันนั้นก็แม่เขาเปิดร้านขนมชูครีมอยู่ที่นี่เหมือนกันร้านใกล้ ๆ กันนี่แหละ แต่ดูท่าทางปอนด์เขาจะแอบปลื้มหนูนิปอยู่ แต่เธอไม่รู้ตัวน่ะ” ลันนายิ้มในความสดใสของเด็กสมัยนี้

“ลันมองออกขนาดนั้นเชียว”

“อืมใช่จ้ะ เวลาที่เรามองหรือคบกับเด็ก ๆ พวกนี้ ทำให้ลันกลับมาย้อนคิดถึงตัวเอง การที่เราซื่อสัตย์ต่อหัวใจและความรู้สึกตัวเองน่ะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทุกวันนี้ลันรู้ว่าบางทีตุลย์อาจจะไม่กลับมาหาลันอีกแล้ว ลันคงต้องเริ่มทำใจแล้วหล่ะ” เธอหันมองหน้าจุล

“อย่ามายิ้มแบบนี้ ยังไงตอนนี้หัวใจลันก็ไม่ว่างอยู่ดี”

“ทำไมล่ะ ลันใจร้ายกับจุลเกินไปแล้วนะ” เขาเอื้อมไปจับมือเธอ

“ลันไม่ขอเวลาทำใจนะจุล เพราะลันคิดไว้ว่ายังไงตุลย์คงต้องกลับมาสักวัน แต่ลันจะไม่เศร้า ลันจะมีความสุขทุกวัน” ลันนายิ้มและดึงมือเธอออก

“เพื่ออะไรล่ะ”

“เพื่อตัวเราเอง ลันเชื่อว่าตุลย์คงไม่อยากให้ลันเศร้ากับการรอคอยการกลับมาของเขาหรอก ลันมีความรู้สึกลึก ๆ ในหัวใจ อาจจะเรียกว่าความเชื่อมั่นก็เป็นได้ ว่าตุลย์ต้องกลับมา” เธอยิ้มออกมาแบบเหงา ๆ จุลรู้ดีว่าเธอกำลังพยายามทำในสิ่งที่ตัวเธอเองพูด

จนตอนนี้ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว หัวใจของเขาที่สั่งบอกให้รังไรลืมเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขากับเธอ เอาเข้าจริง ๆ จุลเองก็ยังคิดถึงแต่รังไรอยู่ทุกวี่วัน




 

Create Date : 12 พฤศจิกายน 2555    
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2555 12:50:13 น.
Counter : 497 Pageviews.  

รังไรลวงรัก รังที่ 21



รังไรลวงรัก
รังที่ 21


รังที่ 21



รังที่ 21
เสียงเพลงพื้นเมืองแบบภาคเหนือเคล้าคลอเบา ๆ ผู้คนต่างชาติมากหน้าหลายตากำลังสนุกและตื่นเต้นกับวัฒนธรรมต่างบ้านต่างเมืองและเพลิดเพลินกับอาหารที่ถูกตกแต่งสวยงามแบบล้านนา แต่สำหรับจุลแล้วไม่ได้สนใจในสิ่งที่กล่าวถึงเลย เขาใช้ช้อนส้อมเขี่ยอาหารไปมาอยู่อย่างนั้นทั้งที่หิวจนไส้แทบขาด

“จุลคะทานอะไรสักหน่อยเถอะ ฉันรู้ว่าคุณโกรธฉันมากแค่ไหน แต่ท้องของคุณไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย” รังไรบุ้ยปาก นั่งกอดอก เมินหน้าไปทางอื่น

จุลได้แต่นั่งเงียบ เขาเริ่มใช้ช้อนส้อมตักข้าวและอาหารเข้าปากสองสามคำและจิบน้ำตาม เสียงถอนหายใจของเขาดังออกมาจนทำให้คู่สนทนาตรงหน้าหันกลับมาสนใจเขาอีกครั้ง

“ฉันขอโทษจริง ๆ” รังไรพูดแค่นั้น

“ดูคุณร้อนรนจะรีบกลับไร่ มากกว่าเป็นห่วงท้องไส้ของผมนะ คุณรู้หรือเปล่าการที่เราหิวจัดเป็นเวลานาน ๆ จู่ ๆ ให้รีบกิน รีบกิน อาจจะทำให้ข้าวติดคอจนผมหายใจไม่ออก ผมทานข้าวแน่ไม่ต้อง่ห่วงหรอกแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย” จุลพูดด้วยน้ำเสียงเครียด

“แต่ฉัน..”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” เขารีบตักอาหารใส่ปากอย่างเร็วจนสำลัก ข้าวพุ่งออกจากปากเธอรีบวิ่งไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างเขาและหยิบน้ำให้เขาทาน ไม่นานนักเขาก็อาเจียนออกมา

“จุลคะดื่มน้ำค่ะ ค่อย ๆ นะคะ” เธอเอามือลูบหลังและยื่นน้ำให้กับเขา

สักพักเขาก็ดีขึ้นเธอเลยรีบเช็คบิลและพาเขาออกมานั่งรับลมเย็น ๆ ที่ด้านนอกของร้าน

จุลดื่มน้ำจากขวด เขาก้มหน้าไม่พูดไม่จา รังไรเลยไม่กล้าสักอะไรจากเขามากนัก ดูจุลมีสีหน้าไม่สู้ดีนักหนึ่งด้วยเหตุผลที่เขาอาจจะโกรธเธอและสองคือหิวข้าวจัดจนท้องรับอาหารไม่ได้และเหตุผลอื่นเธอเดาไม่ออกจริง ๆ

“ดีขึ้นหรือยังคะ” รังไรทำเสียงอ่อน

“อืม” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ รังไรรีบวิ่งตามเขาไปติด ๆ และเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง

“ผมยังไม่อยากกลับไร่ คุณไปหาอะไรดื่มกับผมได้ไหม”

รังไรใช้นิ้วชี้หน้าตัวเอง “ฉันนี่นะไปนั่งดื่มกับคุณ ฝันไปเถอะ”

“จริง ๆ ขอร้องเถอะ”

แววตาที่แสดงออกมาตอนนี้ทำให้เธอไม่กล้าขัดใจเขาจริง ๆ

“ถ้าคุณดื่มจนเมาเละ ขากลับให้ฉันเป็นคนขับรถนะ คุณก็รู้ว่าการเมาแล้วขับมันอันตราย”

“ก็คงจริง ๆ แต่สำหรับพี่ปวินท์ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเมาแล้วขับ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่นะ”

“พี่ปวินท์” เธอรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมา แต่จุลกลับดึงโทรศัพท์เธอเอามาเก็บไว้เอง ทำท่าทางแบบเดียวกับที่เธอเคยทำกับชบาฉาย

“จุลขอโทรศัพท์ฉันคืนด้วย”

“ผมไม่อยากให้คุณคุยกับใคร คืนนี้คุณกับผมก็เหมือนกับแฟนเก่าที่กำลังต้องมีเรื่องคุยกันสองต่อสอง” เขามุ่งหน้าขับรถต่อดูเขาเริ่มชำนาญทางเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาตระเวนไปกับโสมนัสทุกวันจนเริ่มจะรู้เรื่องเส้นทางในเมืองนี้มากขึ้นแล้ว

เขาขับรถมาจนเกือบจะใกล้ถึงไร่ก็ผ่านตลาดตอนกลางคืนเล็ก ๆ บรรยากาศดีสมัยก่อนจะเงียบเหงามากแต่ตอนนี้คนเริ่มพลุกพล่านเป็นพิเศษเพราะเริ่มมีร้านเก๋ ๆ มาเปิดบ้างแล้ว เขาจอดรถและข้ามถนนไป รังไรจำได้ว่านี่เป็นร้านที่สั่งชาจากไร่ของเธอ

“ทำไมคุณถึงเลือกร้านนี้ ฉันคิดว่าคุณจะไปนั่งเมาซะอีก”

“ผมยังมีสติอยู่ หิวจนอาเจียนต้องหาอะไรอ่อน ๆ เข้าท้อง นึกได้ว่าร้านชาข้างทางนี้พี่นัสเคยขับรถพาแวะมามีน้ำเต้าหู้อร่อย อีกอย่างเจ้าของร้านปิดร้านดึกก็เลยอยากมาทานกับคุณน่ะ” เขาเริ่มยิ้มนิด ๆ ให้กับเธอ

“ดีจังค่ะ ชาที่นี่ก็มาจากไร่ของเรากลับไปดื่มที่ไร่ก็ได้” รังไรครึ่งวิ่งครึ่งเดินตามจุลไปติด ๆ ไปถึงเขาก็นั่งลงที่โต๊ะนั่งอาหารอย่างคุ้นเคย พอถึงเวลาน้ำเต้าหู้ร้อน ๆ พร้อมปาท่องโก๋ก็มาเสริฟ์ กลิ่นหอมโชยยั่วน้ำลายจริง ๆ เจ้าของร้านเดินตามมาเสริฟ์ขนมรังผึ้งด้วยอีกสองจาน ตอนนี้ให้ไม่หิวยังไงก็อดใจไม่อยู่แล้ว

“อ้อคุณที่มากับโสมนัสนี่เอง วันนั้นขอบคุณมากนะคะที่ซื้อชาจากที่นี่ไปเยอะแยะเชียว”

“ก็ชาอร่อย อีกอย่างบรรจุภัณฑ์ก็น่ารักเหมาะกับเป็นของฝากและของสะสมน่ะครับ” จุลยิ้มให้เจ้าของร้านและยกน้ำเต้าหู้ซดต่ออย่างอร่อย

“คุณไม่รู้หรือคะ สาวสวยคนนี้ที่นั่งหน้าคุณเป็นคนออกแบบ” เจ้าของร้านยิ้มและหันมาทางรังไร

“รังไรไม่ได้บอกคุณเขาหรือไง” เจ้าของร้านถาม

“เปล่าค่ะน้า”

รังไรพยายามมองหน้าเขารู้ว่าตอนนี้เขาแอบยิ้มตอนที่น้าเจ้าของร้านเอ่ยชม จริง ๆ เขาก็รู้แหละถึงแกล้งพูดจาเฉไฉไป แต่ดูเขาตอนนี้ซิทำไมเธอถึงอยากจะมองเขาอยู่แบบนี้ก็ไม่รู้ซินะ เขานั่งฉีกปาท่องโก๋และจุ๋มมันลงไปในน้ำเต้าหู้พอมันชุ่มก็รีบกัดปาท่องโก๋ที่ขอบแก้วเหมือนกลัวน้ำเต้าหู้จะหยดเลอะเทอะ แถมด้วยยังเทน้ำผึ้งจากธรรมชาติราดบนขนมรังผึ้งและตัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ตอนนี้เขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังหิวโซทีเดียว

“นี่คุณมองผมนานแล้วนะ รู้ไหมว่าน้ำผึ้งตอนนี้หวานสู้ตาคุณไม่ได้เลย”

รังไรก็ยังยิ้มและมองเพลิน ๆ อยู่อย่างนั้น

“รังไร รังไร”

“ค่ะ ค่ะ”

“นี่มองผมแบบนี้บ่อย ๆ ไม่ดีนะ”

“ฉันไม่ได้มองคุณสักหน่อย”

“ยังมาเถียงอีก ดูซิคุณมองผมเหมือนกับว่าคุณกำลัง...แอบรักผมนะ” จุลหัวเราะออกมาได้คงเพราะได้ความหวานและความอิ่มลงท้องไปแล้วเลยอารมณ์ดีขึ้นมา

“หนาวจังเลยนะทั้งที่เป็นปลายฤดูหนาวแล้ว”

“อยากให้ผมกอดไหมยายแม่มด” จุลถามซื่อ ๆ แต่แววตาของเขาไม่ได้ซื่ออย่างที่คิด มันมีอะไรบางอย่างกำลังบอกให้รับรู้ถึงความห่วงใยจากเขา รังไรต้องรีบเฉไปมองทางอื่นเพราะเหมือนกับว่า ถ้าปล่อยให้ตัวเองมองเขานานกว่านี้บางทีหัวใจอาจจะเดินผิดทางก็เป็นได้

“ดีขึ้นไหมจุล น้ำเต้าหู้นี้อร่อยมากนะ”

“ใช่อร่อยมาก แต่รู้เคล็ดลับอะไรบางอย่างไหม” จุลพูดเชื้อเชิญให้คู่สนทนาอยากจะฟังประโยคต่อไป

รังไรยื่นหน้าเข้าไปใกล้และทำทีท่าตั้งอกตั้งใจฟัง

“เคล็ดลับอยู่ที่ว่าไม่สำคัญว่ากินอะไร แต่สำคัญที่ว่ากินกับใครต่างหาก” จุลยิ้มและดื่มน้ำชาอุ่น ๆ กลั้วคอต่อตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกสบายท้อง

“ท่าทางคุณจะอิ่มจนอารมณ์ดีแล้วหล่ะ ถึงพูดจายียวนออกมาได้ แต่บางทีก็อาจจะจริงของคุณนะจุล สำคัญว่ากินกับใครบางทีถ้าอาหารมื้อเย็นคุณได้รับประทานกับพี่ลันนาคุณอาจจะไม่อาเจียนออกมาเหมือนตอนที่นั่งทานกับฉันก็ได้” รังไรพูดแกมน้อยใจเธอนั่งพิงพนักเก้าอี้และกอดอก หันหน้าออกด้านข้าง สีหน้าแสนงอนแบบนี้ที่ทำให้จุลหลงใหลอยู่บ่อยครั้ง

“พูดไปนั่นเลย ยายแม่มดนี่ขาดสติจนไม่เข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูดสักนิด” จุลถอนใจออกมา

“ทำไมต้องถอนใจด้วย อยู่กับฉันทำให้คุณเครียดตลอดเลยหรือไง” จู่ ๆ รังไรก็พูดจาตีโพยตีพายขึ้นมา

“นี่เบา ๆ หน่อยทำไมต้องเสียงดังด้วย” จุลยื่นมือไปปิดปากเธอ เธอพยายามแกะมือออกแต่ไม่ได้ผลเธอเลยกัดมือเขาและเดินตะบึงงอนออกมายืนรอเขาที่ข้างรถ

“เจ็บเป็นบ้าเลย น้าครับคิดเงินเลยครับ” เขารีบจ่ายเงิน พร้อมกับหิ้วน้ำเต้าหูและปาท่องโก๋จำนวนหลายชุดไปฝากคนที่ไร่ด้วย

“ผู้หญิงหึงนี่รุนแรงนะทำตัวเป็นแมวก็ได้” จุลหัวเราะและเดินกลับเข้าไปนั่งรถ รังไรก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมเข้ารถอีก เขาเลื่อนกระจกรถลงและตะโกนเรียกเธอ

“นี่ยายแม่มดไหนบอกว่าหนาวไงไปยืนตากลมอยู่ทำไม ดึกแล้วนะไม่ห่วงสามีคุณบ้างหรือไงป่านนี้ชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟแล้วมั้ง” จุลยิ้มขัน ๆ แล้วก็เปิดประตูรถออกไปเรียกเธออีกครั้ง

“นี่เลิกหึงได้แล้วผมเป็นแค่แฟนเก่าอย่ามาอะไรกับผมนักเลย”

“ใช่ ฉันไม่เคยมีความสำคัญอะไรกับคุณทั้งนั้นแหละ แล้วคุณมาห่วงใย มาตามหาฉันทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันมีชีวิตเป็นของตัวเอง คราวหน้าถ้าไม่ร้องขออย่ามาให้ความช่วยเหลืออีก ฉันไม่ต้องการ” เธอตะโกนใส่เขา จุลได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ข้างรถเหมือนอะไรจุกที่ลำคอ

“ขอโทษที่วุ่นวาย พรุ่งนี้ผมก็กลับกรุงเทพฯ แล้ว ผมคงไม่ได้วุ่นวายกับคุณอีกแล้วหล่ะ” เขาเดินเข้าไปนั่งรถเธอในรถสักพักเธอก็เข้ามา เขารู้ดีว่าเธอร้องไห้ บางทีเธออาจจะเหนื่อยมากเกินไปและสมองก็สับสนกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทั้งที่วันนี้เธออยู่กับเขามาเกือบทั้งวันเธอยังไม่ปริปากพูดเรื่องทุกข์ในใจให้เขาได้รับรู้สักนิดเลย ยายแม่มดเป็นอะไรมากหรือเปล่า เขาอยากจะถามเธอออกไปจริง ๆ ให้ตายซิ


ปวินท์นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อหมุนของเขาชะเง้อมองไปจนสุดปลายไร่ที่จะมองเห็นว่ารถขับเข้ามาแต่จนถึงตอนนี้ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ หรือ ไฟของรถส่องให้เห็นเป็นสัญญาณสักนิดโทรศัพท์ไปก็ปิดเครื่องเสียอย่างนั้น

“ปวินท์ไปนอนเถอะดึกมากแล้ว”

“นี่ตีสองกว่าแล้วนะ นายคนนั้นพารังไรไปที่ไหนทำไมยังไม่กลับมาอีก”

“จุลน่ะเหรอ”

“อืม” ปวินท์หมุนรถกลับมามองหน้าโสมนัส เขาดูออกว่าปวินท์ห่วงใยน้องสาวของเขามากแค่ไหน แต่ตอนนี้ความจริงหลาย ๆ เรื่องที่ซุกซ่อนภายในหัวใจของรังไร ปวินท์ และ จุล มีอะไรมากกว่าที่โสมนัสคาดเดาได้หรือไม่ เขาคงต้องรอระยะเวลาใช่ไหมที่ทุกคนจะบอกความจริงออกมา

“จุลไว้ใจได้ เขาเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“นานแล้วหรือไง นายถึงไว้ใจนายจุลคนนั้น” ปวินท์ซักต่อ

“ไม่นานนะ แต่พ่อกับแม่บอกว่าจุลคอยรับส่งรังไรบ่อย ๆ อีกอย่างเขาก็ทำงานออกแบบร้านด้วยกัน ที่สำคัญนายจำได้หรือเปล่าว่านายเองที่เป็นคนรับจุลเข้ามาทำงานโปรเจคโฆษณาที่จะใช้ไร่ชาเป็นสถานที่ถ่ายทำแล้วก็นายยังอยากให้รังไรไปทำงานเป็นช่วยจุลเลย ที่สำคัญจุลก็รู้จักกับคุณพลอยพิณเป็นอย่างดีนะ” โสมนัสพยายามอธิบาย

“แล้วรังไรรับปากทำงานกับจุลด้วยไหม”

“ไม่น่ะซิถึงมาทำงานที่ไร่นี่ไง”

“ค่อยโล่งอก”

“อ้าวทำไมล่ะ นายเป็นคนบอกให้จุลติดต่อรังไรมาทำงานให้ได้ พอความจำเสื่อมเข้าหน่อยไม่อยากให้ทั้งสองคนทำงานร่วมกันแล้ว ว่าแต่นายคิดถึงพลอยพิณบ้างหรือเปล่า คุณพลอยพิณเป็นคนเก่ง สวย รวยและ น่ารัก เพียบพร้อมทุกอย่าง ตอนที่นายตกหลุมรักคุณพลอยพิณที่เมืองนอกน่ะนายจำได้บ้างหรือเปล่า นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลอยพิณเป็นผู้หญิงว่าที่คู่หมั้นที่พ่อกับแม่แกส่งมาให้ทำความรู้จักกันน่ะ” โสมนัสพยายามเท้าความหลังบางทีอาจจะทำให้เรื่องที่วุ่นวายตอนนี้ดีขึ้น

“จำไม่ได้หรอก ผมอยากพักแล้ว ถ้ารังไรกลับมาช่วยปลุกผมด้วยนะ” เขาพยายามจะหมุนล้อรถเข็นของตัวเองแต่เหลือแขนเพียงข้างเดียวแต่มันอ่อนล้าลงทุกที โสมนัสเลยพาเขาเข้าไปส่งที่ห้องนอนแทน

คืนนั้นปวินท์นอนไม่ค่อยหลับอาจจะแปลกที่และเหมือนกับทุกอย่างเป็นสิ่งแปลกหน้าไปหมดสำหรับเขาหลังจากที่ฟื้นร่างกายขึ้นมา มีเพียงรังไรเท่านั้นที่เขาไว้ใจ แต่ตอนนี้เธอไปอยู่ไหน ก็ไหนบอกว่าเป็นภรรยาของเขาแต่ทำไมถึงไปกับผู้ชายอื่นจนดึกดื่นยังไม่กลับมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ


บรรยากาศในรถกระบะสี่ประตูแสนเงียบเหงาทีเดียวแม้แต่บทเพลงก็ไม่ได้เปิดเพื่อให้สมองตื่นตัวระหว่างขับรถมีเพียงแต่เสียงไฟเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเป็นระยะ จุลปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดให้ลมเข้ามาเมื่อใกล้จะถึงไร่ พอรถเลี้ยวเข้าไร่

“พอถึงตรงแยกนั่นเลี้ยวรถไปอีกทางของไร่จะได้ไหม”

ตาเธอแดงกล่ำ

“อืม” เขาตอบสั้น ๆ ตอนนี้หัวใจเขามันบินหายไปไหนก็ไม่รู้ บางทีถ้าไม่มีเขาสักคนชีวิตของรังไรก็อาจจะเดินไปตามทางเดินของเธอก็เป็นได้ เธอชี้บอกทางเป็นระยะจนไปถึงลานกว้างที่พอจะมองเห็นบ้านกลางไร่ของครอบครัวเธอถึงเหลือเพียงไฟส่องระเบียงสลัว ๆ แต่สวยงามและอบอุ่น รังไรเปิดประตูรถเดินไปเปิดท้ายกระบะเธอหยิบเสื่อที่วางทิ้งไว้หลังรถพร้อมข้าวของบางอย่างเขยิบให้เหลือพื้นที่กว้าง พอปูเสื่อเสร็จเธอก็นอนราบไปบนพื้นเสื่อนั้นอีกที

“ดูซิดาวบนท้องฟ้าสวยมากเลยนะ อย่างนี้เขาเรียกว่าฟ้าเปิดหรือฟ้าปิดกันนะ”

“คงจะเรียกฟ้าเปิดมั้งเห็นดวงดาวเรียงสวยเชียว แต่ผมก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันคือดาวอะไรบ้าง อืม ขอโทษนะที่ผมยุ่งกับเรื่องของคุณมากไป บางทีถ้าวันนั้นเราไม่พบกันเลย คุณอาจจะไม่ต้องเครียดเท่าวันนี้ ผมคงไปรบกวนการตัดสินใจของคุณหลาย ๆ เรื่อง แต่พรุ่งนี้ผมก็กลับแล้ว เอาเป็นว่าต่อไปผมจะไม่ติดต่อหาคุณอีกแล้ว คุณสบายใจได้นะ ถ้าบังเอิญว่าเราได้พบกันก็ไม่ต้องทักแล้วกันนะ” เขายิ้มด้วยความไม่มั่นใจ

“ก่อนที่เราจะจากกันจริง ๆ ฉันอยากบอกเรื่องบางอย่างกับคุณ คุณยังอยากฟังอยู่ใหม่” เธอถามกลับไป

จุลยืนเก้ ๆ กัง ๆ ที่ข้างรถ เธอเลยลุกขึ้นนั่งและกระโดดลงมาจากรถแบบเด็ก ๆ พร้อมกับดึงมือเขาไปนั่งที่ท้ายรถด้วยกัน

“ถ้าคุณยินดีจะเล่าผมก็พร้อมจะฟัง แต่คงไม่แสดงความคิดเห็น”

“แล้วแต่คุณค่ะจุล” รังไรถอนใจออกมาสักพัก ตอนนี้น้ำตาคงหมดแล้วเพราะตลอดทางเธอก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย

“เช้าวันนั้นฉันตั้งใจจะไปพักผ่อนกับชบาฉายที่ดอยชิดฟ้า แต่ระหว่างทางจู่ ๆ ก็คิดถึงพี่ปวินท์ขึ้นมาในความเป็นจริงแล้วฉันตัดใจให้เลิกรักเขาไม่ได้สักนิดเลย ตอนเกิดอุบัติเหตุวันนั้นหมอกลงจัดฉันจอดรถข้างทางกำลังเปิดประตูและก้าวขาออกไปพอจะลุกขึ้นนั่งฉันเห็นรถคันหนึ่งวิ่งผ่านหมอกออกมาดวงไฟสองข้างของรถส่ายไปมาพร้อมกัน ฉันรู้สึกที่โชคดีรถคันนั้นหักหลบและฉันก็รีบปิดประตูเข้ามานั่งในรถทัน แต่เสียงนั้นมันดังสนั่นหวั่นไหวตอนแรกไม่กล้าไปดูด้วยซ้ำ แต่จิตใจรู้สึกไม่ค่อยดีเลยเลยตัดสินใจจะไปช่วยเหลือแต่พอไปเห็นสภาพ

ฉันเห็นพี่ปวินท์กำลังคลานออกมาจากที่เกิดเหตุ ฉันเรียกชื่อเขาและร้องไห้ออกมา พยายามติดต่อมูลนิธิให้มาช่วยเหลือ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคุณพลอยพิณอยู่บริเวณนั้นด้วย เพราะพอพี่ปวินท์เห็นหน้าฉัน เขาเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วเขาก็สลบไป ฉันตัดสินใจส่งโรงพยาบาลตอนนั้นไม่ได้คิดเลยจริง ๆ ว่าจะลักพาตัวหรือขโมยพี่ปวินท์ไปเพียงขอให้เขาปลอดภัย พี่ปวินท์อยู่ในห้องฉุกเฉินนานมาก พยาบาลที่นั่นรวมถึงคุณหมอเข้าใจว่าฉันเป็นภรรยาของเขา

ทุกคนพูดให้กำลังใจตลอดแล้วจู่ ๆ ความคิดเลวร้ายมันก็ผุดขึ้นมา ฉันเคยคิดเล่น ๆ นะ ถ้าเขาความจำเสื่อมขึ้นมาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าวินาทีแรกเขาเห็นหน้าฉันก่อนใคร ฉันจะบอกเขาว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากัน” เธอพูดด้วยสายตาแช่มชื่น จุลได้แต่รับฟังเงียบ ๆ แต่หัวใจเหมือนจะสลายบอกไม่ถูก

“แล้วทุกอย่างมันก็ไปราวกับความฝัน แต่มันแปลกตรงที่พี่ปวินท์ไม่เคยสงสัยในความรักของเราเลย พี่ปวินท์มีความสุขทุกวันฉันดูออก และเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกดีมากด้วย ฉันเลยตั้งใจว่าขอแค่พี่ปวินท์หายดีจนผ่าเฝือกออกแล้วฉันจะบอกความจริงให้พี่ปวินท์รับรู้ ถ้าพี่ปวินท์รักฉันเพราะการปรนนิบัติดูแลของฉัน มันอาจจะลงเอยด้วยดี แต่ถ้าเขาโกรธฉันก็จะยอมรับสภาพ” เธอหันมายิ้มน้อย ๆ

“แล้วคุณจะไม่เสียใจหรือไง เวลาที่คุณทุ่มเทให้กับเขา”

เธอส่ายหน้า “ไม่หรอก การที่เราได้รักใครสักคน บางครั้งอาจจะดูเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น แต่รู้ไหมคนโง่คนนี้มีความสุขมากแค่ไหนที่ได้รับโอกาสแบบนั้น ฉันต้องทำใจอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าความจริงต้องปรากฎขึ้นสักวัน ฉันคงไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรมากนั้น ขอแค่พี่ปวินท์หายป่วยและกลับไปทำงานได้ก็พอแล้ว ถึงตอนนั้นก็รอรับสภาพกันไป”

“แล้วคุณจะร้องไห้อีกไหมถ้าถึงวันนั้น”

พอเขาพูดจบเธอก็น้ำตาล่วงพรูลงมา นี่คงเป็นคำตอบจากเธอซินะรังไร

“เหนื่อยไหมรังไร” เขาถามเสียงอ่อนโยน

เธอปาดน้ำตาและส่ายหน้า

จุลรู้ดีว่าตอนนี้รังไรและเจ็บปวดมาก แต่เขาสัญญากับเธอแล้วว่าจะแค่รับฟัง และคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้รับฟังเรื่องของเธอ ทำไมชีวิตช่างแสนตลกขนาดนี้นะ จากเล่นสนุกเป็นแฟนกันเพียงหนึ่งวัน วันนั้นที่บอกเลิกกันมันก็รู้สึกแปลบ ๆ ที่หัวใจ แต่พอวันนี้เขาเอ่ยที่เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาว่าต่อไปเราจะเลิกคบกันเป็นเพื่อนมันกลับเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

“รังไรก่อนที่เราสองคนจะไม่รู้จักกันแล้ว ผมอยากบอกบางอย่างกับคุณสักหน่อยได้ไหม” เขาส่งเสียงหวานให้เธอ

“เอาซิ พูดมาเลย ฉันจะตั้งใจฟัง” ตอนนี้รังไรคงสบายใจขึ้นมากแล้วจริง ๆ

“ผมดีใจที่คุณเล่าความรู้สึกให้ผมฟัง รู้อะไรบ้างไหมว่าผมคิดตลอดเวลาว่าคุณคงมีเหตุผลและไม่ตั้งใจจะลักพาตัวพี่ปวินท์ไป ผมก็ไม่รู้นะว่าทำไมผมถึงคิดแบบนั้น วันที่ผมได้พบคุณผมดีใจมาก พอ ๆ กับพี่นัส ความรู้สึกตอนนั้นมันมากมายทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งรู้ไหมว่าคืออะไร” เขายิ้มให้กับเธออย่างอบอุ่น

รังไรเอียงคอฟังและยิ้มออกมา เธอเสยผมเล็ก ๆ กับลมที่พัดปลิว

“ผมดีใจที่คุณปลอดภัยและมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”

พอได้ยินแบบนั้น น้ำตาใส ๆ ของเธอก็ไหลออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม จุลเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้และเลื่อนมาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ

“รังไรครับ เหนื่อยไหม กับการที่ต้องไหล่ตามใครสักคนที่ไม่ได้รักเรา ผมไม่รู้ว่าคุณจะหยุดมันได้เมื่อนไหร่”

รังไรเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ผมก็ไม่รู้นะว่าผมเป็นอะไร รู้แต่ว่าตอนที่คุณหนีมาอยู่ไร่ชา เราสองคนไม่ได้เจอกันจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ ตอนที่คุณหายตัวไป ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน รู้แต่ว่าวันไหนไม่ได้ปั่นหัวคุณเล่น ไม่ได้กวนประสาทคุณ ผมเหมือนขาดอะไรไปบางทีผมคงจะเริ่มรักคุณหรือเปล่านะ” เขายิ้มเขิน ๆ รังไรยังตั้งใจฟังเขาอย่างนิ่ง ๆ

“คำว่ารัก คำนี้สั้น แต่เจ็บนานเชียว มันน่ากลัวสำหรับผมเหมือนกัน”

รังไรเงียบและไม่ตอบโต้อะไรกับสิ่งที่เขาพูด มีเพียงแววตาของเธอเท่านั้นที่ยังคงรอรับฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป

“ผมแค่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณไม่รู้จะหยุดยั้งความรู้สึกรักของคุณกับพี่ปวินท์ยังไง ขอให้คุณหยุดหัวใจช้ำ ๆ ของคุณไว้ที่ผมแล้วกัน มันอาจจะทำให้คุณดีขึ้นได้” เขาถอนใจและยิ้มออกมาเมื่อบอกความรู้สึกออกไป สายลมยังคงพัดปลิวปอยผมที่มัดรวบไว้ ดวงหน้าเธอซีดเซียวเหลือเกินในค่ำคืนนี้ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่กำลังจดจ้องชายแปลกหน้าคงนี้อย่างหวานซึ้งเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง

“จุลค่ะ ขอบคุณทุกอย่างที่ผ่านมา ต่อไปถ้าฉันไม่ทักคุณคงไม่โกรธนะ สิ่งสำคัญคือคุณอายุยังน้อยและยังมีความสุขกับการทำงานขอให้คุณประสบความสำเร็จและสนุกกับมันนะ” รังไรยิ้ม จุลเข้าใจได้ดีว่าเขาไม่ควรเรียกร้องอะไรเลยสักนิด

“ฉันมีอะไรจะมอบให้คุณนะ”

จุลหันมองหน้าเธอ รังไรเขยิบตัวเข้าใกล้จุลมากขึ้น เธอยกมือจับแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา มือของจุลทำงานโดยอัตโนมัติตอนนี้มือของเขากำลังเลื่อนไปโอบหลังเธอไว้ทั้งสองข้าง รังไรยื่นหน้าไปใกล้เขาและใช้ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปากของเขาเบา ๆ จุลรับรู้ทันทีว่าตอนนี้เขาควรรับของขวัญชิ้นงามจากเธอในค่ำคืนนี้ รสชาติหวานจากของขวัญวันจากลาช่างหอมหวาน แต่ตอนนี้มันกำลังทำให้ต่อมน้ำตาของจุลกลับมาทำงานอีกครั้งแล้ว




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2555    
Last Update : 7 ตุลาคม 2555 22:05:34 น.
Counter : 1092 Pageviews.  

รังไรลวงรัก รังที่ 20



รังไรลวงรัก
รังที่ 20


รังที่ 20



รังที่ 20

จุลและโสมนัสช่วยกันเข็นรถและประคองปวินท์มานั่งที่หน้าด้านผู้โดยสารบนรถของโสมนัส เขารู้สึกเจ็บที่แขนและขามากพอสมควร ส่วนรังไรกำลังเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กระบะคันที่เธอขับออกมาจากไร่ ตอนนี้ดวงตาเธอแดงกล่ำในสุดที่แล้วเธอตัดสินใจพาปวินท์กลับไปที่ไร่ของโสมนัส เพราะหลังจากที่เธอพยายามสงบสติอารมณ์และพูดคุยกับปวินท์ตามลำพัง ปวินท์ก็เห็นด้วยที่จะกลับไปพักฟื้นที่ไร่ของโสมนัสคงจะดีกว่าอยู่กันสองคนที่บ้านเช่าหลังนี้อีกอย่างปวินท์ให้เหตุผลกับเธอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนความรักของเขาก็จะงอกงามต่อไปคงมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้กันมากขึ้นเธอเลยยอมดื้อดึงกับพี่ชายของเธอ

“ขอกุญแจให้ผมด้วย” จุลพูดเสียงเรียบยืนพิงอยู่ข้างประตูรถ

“ฉันขับเองได้”

“อย่าดื้อเลยรังไร” เขาดึงกุญแจออกจากมือของเธอและเปิดประตูรถเข้าไปนั่งหน้าบอกบุญไม่รับ สายตาของเขาตอนนี้ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ได้อยากจะมองหน้าสาวน้อยคนนี้เท่าไหร่ รังไรเองก็ไม่สามารถรู้ความรู้สึกของเขาได้เลยว่าเขาทำหน้าแบบนี้ด้วยเหตุผลอะไร

“เห็นพี่นัสบอกว่าคุณกับพี่นัสยังไม่ได้ทานอะไรกันเลย ถ้าขับรถไปอีกสักสองกิโลเมตรกว่า ๆ จะมีร้านค้าขายของอยู่ฉันจะลงไปซื้อน้ำและขนมปังให้คุณลองท้องนะ” รังไรพูดด้วยน้ำเสียงสดใสกับเขา

“ผมไม่หิว ถึงไม่ได้กินอะไรคงไม่ปวดท้องตายหรอก”

“จุล” เขาเรียกชื่อเธอ

“ผมว่าเรารีบกลับกันดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลาปรนนิบัติสามีของคุณ” เขาประชดประชันเธอ

“อย่าพูดแบบนี้เลย”

“ผมกำลังพูดความจริงกับคุณอยู่ไม่ใช่หรือไงรังไร อย่าถือสาอะไรผมเลยผมก็แค่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงเวลาผมก็จะไปตามทางของผมคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” จุลส่งน้ำเสียงไม่ดีหนัก แต่เขาก็ไม่ได้ขับรถด้วยความประมาทหรือเร่งความเร็วมากมายตามอารมณ์ขุ่นมัวแต่อย่างใด

ระหว่างทางเขาก็ไม่ได้อยากจะพูดพร่ำทำเพลงอะไรกับรังไรนัก รังไรชวนให้เขาจอดพักรถอยู่หลายหนเพราะเห็นสีหน้าเขาไม่สู้ดีนักเพราะนี่ก็จวนบ่ายแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของชายแปลกหน้าคนสนิทของเธอเลย แต่พอถึงแยกหนึ่งจู่ ๆ เขาก็หักพวงมาลัยหมุนรถกลับไปและเลี้ยวรถไปทางอื่นแทนที่จะกลับเข้าตัวเมือง

“จุลจะไปไหนคะ นั่นไม่ใช่ทางกลับไร่นะคะ”

“ผมไม่พาคุณไปหลงหรอก”

“แต่ว่า...”

“ขอเวลาให้ผมสักนิดไม่ได้หรือไง” เขาจอดรถและหันมองหน้าเธอ

จุลฟุบศีรษะลงหมอบบนพวงมาลัยและผ่อนลมหายใจเข้าออกอยู่พักใหญ่ รังไรจับไหล่ของเขาและเรียกเขาเป็นระยะ ๆ เพราะเขาเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“จุลคะเป็นอะไรหรือเปล่า”

จุลเงยหน้ามาพร้อมด้วงตาแดงกลับและอิดโรย เขาโน้มตัวอย่างรวดเร็วและดึงรังไรมากอดไว้แน่น พร้อมคำพูดแสนอ่อนโยน

“เหนื่อยไหมรังไร คุณเหนื่อยบ้างไหม”

รังไรไม่ได้ยกแขนกอดกลับเขา เธอแค่นึกแปลกใจกับปฏิกิริยาของจุลเท่านั้นเอง

“ปล่อยเถอะค่ะ” เธอผลักเขาออกเบา ๆ

“ผมขอโทษ” เขายิ้มเธอรู้ดีว่ามันคือการพยายามยิ้มแบบน่ารัก ๆ ของเขา ที่ทุกครั้งเธอเห็นรอยยิ้มแบบนี้ทีไรจะใจอ่อนกับเขาทุกที

“ไม่เป็นไรว่าแต่ชายแปลกหน้าคนนี้แอบร้องไห้หรือเปล่า คิดถึงที่ลันนาหรือคะ ได้ข่าวว่าคุณอยู่ที่ไร่ร่วมอาทิตย์แล้วร้านของพี่ลันนาเป็นยังไงบ้าง” เธอเบี่ยงไปพูดเรื่องอื่นแทน

เขาถอนใจและปล่อยมือลงบนพวงมาลัย

“ผมเบื่อแม่มดอย่างคุณมากเลยให้ตายซิ”

“หาร้านอร่อย ๆ ให้ผมทานข้าวสักมื้อกับคุณได้ไหม”

“แต่ว่า...”

“ผมบอกพี่นัสแล้วว่าไปพบกันที่ไร่เลยไม่ต้องรอกัน” เขายักคิ้วให้หล่อนและขับรถย้อนกลับไปทางเดิม

ตอนนี้รังไรอยากจะต่อว่าเขาแรง ๆ สักประโยคแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายิ้มไม่ยอมหุบก็ไม่รู้ หลายวันแล้วซินะที่ไม่ได้ยิ้มแบบนี้ ไม่ได้อิ่มเอมหัวใจแบบนี้ ทั้งที่ตลอดเวลาที่อยู่กับปวินท์มันเหมือนจะมีอะไรมาเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์แต่ในเวลานั้นมันก็หนักอึ้งที่หัวใจตลอดเวลา แต่ตอนนี้เวลาได้อยู่ ได้มองหน้าชายแปลกหน้าคนนี้หัวใจมันเบาหวิวบอกไม่ถูกเลย

“ขับรถย้อนมาไกลแล้วนะจุล”

“ก็อยากจะไปเรื่อย ๆ หรือว่าคุณรีบจะกลับไปดูแลสามีคุณล่ะ” เขาประชดเธอต่อ แต่การพูดครั้งนี้ออกแนวน้อยใจเล็ก ๆ ไม่ได้ผสมอารมณ์โกรธเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้

“จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้ชอบคำนี้เท่าไหร่ คุณจะเชื่อฉันหรือเปล่าว่าเป็นการเข้าใจผิด” เธอก้มหน้าพร้อมถอนหายใจออกมา

“อยากจะเล่าอะไรให้ผมฟังบ้าง เผื่อว่าคุณจะได้ไม่หนักใจเกินไป”

ไม่ได้มีเสียงตอบรับกลับมา แต่เขากลับได้ยินเสียงสะอื้นเล็ก ๆ จากเธอแทน

จุลเลยไม่ได้ถามต่อเขาเอื้อมมือไปจับที่ไหล่เธอไว้และหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง วิวตรงนี้คงสวยพอที่จะทำให้หัวใจที่บอบช้ำของสาวน้อยคนนี้เย็นลงได้ไม่มากก็น้อย จุลจอดรถและเดินลงไปยืนมองสายน้ำที่ไหล่จากเขามุมไกลที่พอจะมองเห็นว่ามันคือน้ำตก อากาศยามบ่ายแก่ตอนนี้เริ่มหนาวขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ดวงอาทิตย์ก็เริ่มจะคล้อยต่ำลงแม้ว่าท้องของเขาจะแสบจนหายแสบแล้วก็ตามที เขาเดินไปที่กระบะหลังพอจะหาน้ำเปล่าได้สักสองขวดเขาดื่มรวดเดียวหมดเพื่อประทังความหิว เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา

“พี่นัส”

“ว่ายังไงเราถึงไหนแล้ว” เสียงดังอู้อี้ไม่ชัดเจนนัก

“ครับพี่พอดีผมจะขออนุญาตแวะทานอะไรสักหน่อย อีกอย่างอยากให้รังไรสงบจิตใจก่อนจะกลับเข้าไร่บางทีเธออาจจะอยากคุยอะไรให้ผมฟังบ้าง ที่สำคัญผมไม่อยากให้พี่นัสดุรังไรมากนัก”

“ก็ได้ตามใจกลับมาดึก ๆ เลยก็ได้นะ ตอนนี้พี่อยู่กับปวินท์คงมีเรื่องต้องปรับความเข้าใจในฐานะเพื่อนสักหน่อย นายจะพารังไรไปไหนก็ตามสบายจะพากลับกรุงเทพฯ พร้อมกันเลยก็ได้”

“โอย ไม่ขนาดนั้นหรอก พี่นัสใจเย็น ๆ แล้วกันนะครับ แล้วเจอกันคืนนี้ครับ” จุลวางสายไปแล้ว แต่รังไรก็ยังไม่ลงมาจากรถ เขาเห็นเธอปรับเบาะเอนลงนอนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของสาวน้อยคนนี้บ้าง คราวก่อนที่บ้านริมทะเล สาวน้อยคนนี้ก็เลือกวิธีการนอนหลับเพื่อลดระดับความเครียด

“ตามสบายนะสาวน้อย ผมจะอยู่เคียงข้างคุณแบบนี้ไม่ทิ้งคุณไปไหน แม้ว่าผมจะหิวมากก็ตาม” จุลยิ้มออกมาและกลับเข้าไปนั่งฝั่งคนขับข้าง ๆ เธอ


โสมนัสขับรถเข้ามาถึงไร่และเรียกให้ต้นตาลกับต้นเตยมาช่วยกันพยุงพาปวินท์ไปพักในห้องที่จัดเตรียมไว้ สีหน้าปวินท์ไม่สู้ดีหนักเขารู้สึกเจ็บแผลและปวดหัวเข่ามากเป็นพิเศษ

“พรุ่งนี้เช้าเราจะพานายไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เรารู้ว่านายฉันไม่อยากกลับกรุงเทพฯ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที” โสมนัสนั่งลงที่ปลายเตียง ปวินท์ได้แต่นั่งก้มหน้าไม่พูดจาอะไรออกไป

“ปวินท์นายอยากจะบอกอะไรเราหรือเปล่ากับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“ผมแค่อยากถามว่าคุณเป็นพี่ชายของรังไร ภรรยาผมจริงหรือเปล่า”

โสมนัสมองหน้าเพื่อนรักของตัวเอง เขาพยายามเพ่งมองแววตาและสีหน้าของเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กมันไม่มีอะไรบ่งบอกสักนิดว่าไม่คุ้นเคยกัน มีเพียงแต่คำพูดเท่านั้นที่ดูไม่สนิทชิดเชื้อ

“นายความจำเสื่อมจริงหรือเปล่า” โสมนัสถามกลับไป

“ไม่แน่ใจรู้แต่ว่าตอนตื่นขึ้นมาจากโรงพยาบาลก็ได้ยินแต่เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่มายืนร้องไห้อยู่ข้างเตียงและเรียกผมว่าปวินท์ ผมเลยคิดว่าปวินท์ก็คงใช่ชื่อของผม อีกอย่างที่โรงพยาบาลก็บอกว่าผู้หญิงที่ชื่อรังไรเป็นภรรยาของผม รวมถึงเพื่อนของเธอที่ชื่อชบาฉาย” ปวินท์อธิบายอย่างไม่มีติดขัด

“ชบาฉายเหรอ”

ปวินท์พยักหน้า

“นี่แสดงว่าคุณก็ได้พบชบาฉายตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ” โสมนัสถามกลับ

“ใช่ครับ ตอนแรกผมก็แปลกใจและไม่อยากจะเชื่อ ในสมองของผมมันไม่ได้มีความทรงจำอะไรเลย ผมจำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง”

“แล้วเคยแบบปวดหัวหนัก ๆ ไหม”

“ก็มีบ้างนะ ทุกครั้งที่เห็นรังไรร้องไห้ผมจะรู้สึกปวดหัวและอยากนึกให้ออกเร็ว ๆ ว่าผมเป็นใคร แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจที่จะไม่ตามหาอดีตของตัวเองแล้ว” ปวินท์เริ่มยิ้มได้

“ทำไมล่ะ”

“ก็ผมมีรังไรเป็นภรรยาของผม เธอน่ารักและดูแลผมได้ดีทีเดียว”

“บางที....”

“พี่นัสโทรศัพท์จากกรุงเทพฯ” เสียงต้นตาลเข้ามาขัดจังหวะ

“เป็นไงบ้างครับพี่” ต้นตาลเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้รับแขกในห้องอีกคน

“เจ็บหัวเข่านิดหน่อยคงจะนั่งรถนานเกินไป” ปวินท์ยิ้มและวานให้ต้นตาลพยุงเขาไปนั่งที่รถเข็นแทน เพราะตอนนี้เขารู้สึกอยากจะสูดอากาศข้างนอกบ้าง ต้นตาลเลยเข็นเขาออกไปที่ระเบียงกว้างหน้าลานบ้าน

“นี่ครับชาเขียวร้อน ๆ” ต้นตาลรินชาร้อนจากกาลงสู่แก้ว

ปวินท์ยกแก้วชาใบจิ๋วขึ้นดื่มเขารู้สึกสบายที่ท้องแต่ก็อดเป็นห่วงรังไรไม่ได้เพราะจวนจะอาหารเย็นแล้วเธอยังไม่กลับมาถึงไร่เลย

“พี่ชะเง้อมองหาอะไรครับ”

“มองหารังไร” เขายิ้มและดื่มชาแก้วต่อไป

“รสชาติดีนะ บรรยากาศที่นี่ก็งดงามมากน่าจะถ่ายโฆษณาหรือทำพรีเซนเตชั่นท่องเที่ยวได้” เขามองซ้ายมองขวา

“พี่ทำงานอะไรหรือครับ”

“งานเหรอ ไม่รู้ซิ”

“อ้อผมลืมไปว่าพี่ความจำเสื่อม แล้วโรคความจำเสื่อมนี่มีอาการยังบ้างครับ” ต้นตาลถามด้วยความสุภาพ

“ก็ไม่รู้ซิครับพี่ก็เพิ่งเคยเป็น บางครั้งถ้าพยายามนึกอะไรมันจะปวดหัวน่ะ แต่ภาพบางอย่างมันก็ผุดขึ้นมาบ้างในความฝันตอนที่เราหลับตามันเป็นภาพสลับไปมาทำให้เราสับสนแล้วก็เหมือนจะจำได้แต่ก็จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั้นคืออะไรที่ไหน” ปวินท์ถอนใจออกมา

“แล้วต้นตาลเรียนคณะอะไร”

“ผมก็เรียนวิศวกรรมน่ะ ส่วนเจ้าน้องชายตัวแสบเรียนคณะเดียวกับพี่รังไร สองคนนั้นเลยสนิทกันเป็นพิเศษ” เขาส่ายหน้าเมื่อพูดถึงน้องชาย

“งั้นเราก็คงสนิทกันเจ้านัสซิ”

“พี่รู้ได้ไง”

“อ้อ เดาน่ะ”

“แล้วพี่ล่ะเป็นเพื่อนกับพี่นัสเหรอผมไม่เคยเห็นหน้าเลย” ต้นตาลถามด้วยหน้าตาซื่อ ๆ

“พี่ก็..”

“อ้าวทำไมมานั่งตากลงตรงนี้ล่ะปวินท์” โสมนัสเดินเข้ามาสมทบด้วย

“ผมมานั่งรอรังไรทำไมป่านนี้รังไรยังไม่ถึงบ้านอีก ก็ขับรถตามกันมาติด ๆ”

“อย่าห่วงเลย รังไรแวะไปทำธุระกับจุลเดี๋ยวค่ำ ๆ คงกลับ”

“ทำธุระ มีอะไรให้ต้องทำ” ปวินท์เสียงเขียวขึ้นมาและสีหน้าส่อแววไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“จริง ๆ รังไรน่าจะบอกผมสักนิด เธอเป็นภรรยาของผมกลับไปกับคนอื่น”

“ภรรยา พี่ปวินท์หมายถึงใครครับ” ต้นตาลถามซื่อ ๆ เหมือนเคย

“ไม่ใช่เรื่องของเด็กไปดูอาหารเย็นให้หน่อยแม่ครัวตั้งโต๊ะหรือยัง หิวไส้จะขาดแล้ว ไปไป” เขาไล่น้องชายตัวดีออกไปจากวงสนทนา

“รังไรเป็นภรรยาผมจริง ๆ” เขายังยืนยันเสียงแข็ง

โสมนัสถอนหายใจออกมาและมองหน้าเพื่อนอย่างห่วงใย

“เรามาพูดกันดี ๆ นะ ปวินท์ เราว่านายไม่ได้ความจำเสื่อม ตอนนี้เราอยู่กันสองคนแล้วไม่เห็นต้องสร้างเรื่องน้ำเน่านี้ขึ้นมาเลย”

“คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ” ปวินท์เฉมองไปทางอื่น

“เอาเป็นว่าไม่พร้อมจะพูดอะไรในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร อีกอย่างถ้ายังไม่พร้อมจะกลับกรุงเทพฯ ก็อยู่ด้วยกันไปก่อนละกัน ในฐานะเพื่อนสนิทของเจ้าของไร่” โสมนัสไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาลุกมาและเข็นรถของเพื่อนรักเข้าไปที่โต๊ะรับประทานอาหารทันที เย็นวันนั้นต้นเตยกลับมาจากมหาวิทยาลัยก็นั่งร่วมวงและพูดคุยอย่างสนุกสนาน สำหรับจุลกับรังไรแล้วดึกจนค่อนคืนแล้วยังไม่เห็นวี่แววว่ารถจากไร่ที่หายไปนานจะกลับเข้ามาที่ไร่ชาเขียวเลยในตอนนี้




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2555    
Last Update : 1 ตุลาคม 2555 0:06:34 น.
Counter : 924 Pageviews.  

รังไรลวงรัก รังที่ 19



รังไรลวงรัก
รังที่ 19


รังที่ 19




รังที่ 19

รังไรรู้สึกไม่สบายใจหนักในเช้านี้ เพราะสีหน้าเธอไม่สู้ดีเท่าไหร่ หลังจากเธอขับรถกลับจากสนามบินเพื่อส่งเพื่อนรักอย่างชบาฉายให้ไปใช้ชีวิตในแบบของเธอเอง

‘เราคงจะเหงามากกว่า หรือว่าเราจะไม่สบาย เพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงและเริ่มอุณหภูมิสูงขึ้น’ รังไรยกมือคลำหน้าผากตัวเอง

สายลมแรงพัดมาวูบหนึ่งและแสงแดดก็เริ่มทอแสงส่งพลังอุ่น ๆ มายังตัวเธอที่นั่งหลับตาเพื่อทบทวนเรื่องที่วกวนในสมอง

“รังไร” เสียงของปวินท์ดังอยู่ที่ประตูหน้าตัวบ้าน

“ค่ะพี่ปวินท์ ทำไมถึง...” เธอยังไม่ได้คำตอบจากความสงสัย ว่าทำไมเขาถึงสามารถลงจากเตียงและพาตัวเองนั่งรถเข็นและเคลื่อนรถมาถึงหน้าประตูบ้านได้ทั้งที่ขาเข้าเฝือกด้านหนึ่ง แขนทั้งสองข้างยังอักเสบขนาดอาบน้ำยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

“ทำไมกลับมาเร็วจังเลย ไหนบอกพี่ว่าจะมาถึงใกล้ ๆ เที่ยง”

“ค่ะ รังไรไม่ได้อยู่รอจนเครื่องบินออกจากรันเวย์นี่คะ ส่งเสร็จก็รีบบึ่งรถกลับมาหาพี่ปวินท์ทันที รังไรเป็นห่วงพี่ปวินท์มากนะคะ” เธอยิ้มและลืมเรื่องที่วิตกกังวลไปเมื่อครู่

“ฟังแบบนี้ชื่นใจจังเลยค่ะ”

“พี่ปวินท์คะ ความทรงจำของพี่เริ่มกลับมาบ้างหรือยัง มีสิ่งหนึ่งที่รังไรสงสัย คือ” เธอกระอักกระอ่วนที่จะพูดออกไปเพราะกลัวว่าเขาจะเสียความรู้สึก

“มีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ ได้นะ การที่เราเก็บความรู้สึกไว้มันไม่ดีนักหรอก เพราะมันอาจจะทำให้เรื่องเล็กน้อยที่เราแอบเก็บไว้ในใจทำให้กลายเป็นปัญหาสู่เรื่องใหญ่ได้” เขาดูซีเรียสเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

“คือว่า...” รังไรเม้มปากแน่น เธอเดินขึ้นไปบนบ้านและเข็นรถของเขาไปที่ห้องรับแขกและนั่งลงที่พื้นและจับมือของปวินท์ขึ้นมาแนบแก้มของเธอ

“สิ่งที่รังไรจะพูดกับพี่ปวินท์ มันเป็นเพียงแค่ความสงสัยเท่านั้นนะคะ ซึ่งคำว่าสงสัยของรังไรไม่ได้รวมความรู้สึกที่แท้จริงเข้าไปด้วยเต็มร้อย” เธอยิ้ม

“เกริ่นกันมาขนาดนี้ทำให้พี่ตื่นเต้นมาก อยากจะฟังเต็มแก่แล้วหล่ะ” เขาหัวเราะร่วน

“เริ่มนะ” ใบหน้าขี้อ้อนของเธอทำให้ปวินท์ยิ้มไม่หยุด

“ทำไมพี่ปวินท์ถึงไม่เคยแสดงกับรังไรเลยคะว่า รังไรอาจจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพี่ แล้วเรื่องที่รังไรกับชบาฉายบอกไปว่าพวกเราเป็นใคร พี่ปวินท์เคยสงสัยกลับมาบ้างไหมคะ ว่าบางทีเรื่องที่รังไรพูดกับพี่ไปอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง....ทั้งหมด”

เขาถอนหายใจออกมาและลูบศีรษะเธอ

“จะให้คิดยังไงดีล่ะ” เขาหลับตาสักพัก สีหน้าไม่ได้แย้มยิ้มเหมือนที่ก่อนจะได้ยินสิ่งที่สาวน้อยตรงหน้าเอ่ยปากออกมา

“อาจจะเป็นเพราะแววตาและการแสดงออก การปรนนิบัติที่ดีที่รังไรมีให้พี่มั้งคะ ที่ทำให้พี่เชื่อว่ารังไรไม่ได้โกหกที่มาที่ไปของพี่ว่าพี่เป็นใคร อีกอย่างเราสองคนเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือคะ รังไรมีน้ำตาเวลาเห็นพี่เจ็บปวด รังไรวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุของพี่ทั้งหมดที่รังไรทำให้พี่ถ้าไม่ใช่เพราะความรัก แล้ว รังไรจะโกหกพี่เพื่ออะไร” เขาเพ่งมองไปที่สายตาแสนเศร้าของเธอยามนี้

“ขอบคุณที่พี่ปวินท์เข้าใจ แต่สักวัน บางที” เธอเม้มปากและกำมือแน่น เหมือนมีเรื่องหนักใจซ่อนอยู่

“สักวันพี่อาจจะเกลียดรังไร หรืออาจจะสักวันที่พี่ปวินท์จะกลับมารักรังไร” เธอแค่นหัวเราะออกมา รู้สึกถึงความสับสนใจหัวใจตอนนี้

“ทำไมพูดจาแปลก ๆ หรือว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะว่าเราทะเลาะกันหรือเปล่า เรามีเรื่องอะไรบาดหมาง หรือว่ามีเรื่องที่เราไม่เข้าใจกันหรือเปล่า แต่พี่ว่าอย่าไปสนใจเลยนะคะ ถึงความจำจะไม่กลับมา เราสองคนมาสร้างความทรงใจใหม่ที่ดีระหว่างกันก็ได้นี่คะ” เขาพูดจาอ่อนโยนและแสนสุภาพกับเธอ

รังไรเอื้อมไปจับมือของเขา

“ขอโทษนะคะที่พูดเรื่องปวดหัวแต่เช้าเลย แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่พี่สงสัยมาตลอด ถ้าเราเป็นสามีภรรยากันทำไมเราไม่นอนห้องเดียวกัน ทำไมเราไม่มีการหอมแก้ม หรือว่ากอดกันเลยสักครั้ง อันนี้น่าคิดนะ” เขาหัวเราะเสียงใสออกมาเล่นเอาสาวน้อยที่นั่งอยู่ที่พื้นรีบปล่อยมือออกจากมือของเขาทันทีพร้อมกับโชว์แก้มแดงนวลให้เขาได้เห็นอีก

“พี่ปวินท์คงจะเริ่มหิวแล้ว รังไรไปเตรียมอาหารเช้าให้พี่ดีกว่า”

รังไรรีบวิ่งเข้าห้องครัวไป ปวินท์ได้แต่ยิ้มตามหลังเธอ เขาพยายามยกเท้าที่เข้าเฝือกไว้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าบอกไม่ถูก ขาอีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็มีแผลฟกช้ำที่ตอนนี้รอยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มแล้ว ส่วนแขนทั้งสองข้างยังรู้สึกปวดร้าวบ้างบางขณะและผสมกับความอ่อนแรงบอกไม่ถูก


สองหนุ่มมุ่งหน้าขับรถสีหน้าของโสมนัสเหมือนพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจไม่ได้แสดงออกมาให้กับจุลได้รับรู้ว่าตอนนี้เขาวิตกกังวลหรือว่าสบายใจที่กำลังจะขับรถไปรับน้องสาวที่ยังไม่รู้สถานการณ์ล่วงหน้า แต่แววตาของเขาไม่สามารถปิดบังความรู้สึกห่วงใยน้องสาวของเขาไว้ได้เลย จุลสัมผัสได้กับความเร็วของรถที่มุ่งไปสู่ข้างหน้าอย่างไม่ได้หยุดพักข้างทางกันเลยตั้งแต่ออกจากไร่ชาเขียวในช่วงเช้ามืดวันนี้

“จุลเป็นไงหิวข้าวหรือเปล่า”

“ไม่ครับ” เขาปรับเบาะที่เอนนอนลงยาวมาตลอดทาง ตอนนี้หัวใจของเขาเหมือนกำลังจะหมดเรี่ยวแรงบอกไม่ถูก คืนนี้เขาจองตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ แบบกระทันหัน เพราะพลอยพิณเรียกประชุมทีมงานด่วน โดยเฉพาะเขาที่ต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของงานชิ้นนี้ด้วย

“พี่นัสครับ”

“ว่าไง”

“ผม คือ...” เขาอ้ำอึ้งและถอนใจออกมา

“มีอะไรก็ว่ามาซิ ตอนนี้เราก็สนิทกันพอสมควรแล้วนะ มีอะไรบอกกันตรง ๆ ลูกผู้ชายไม่มีเอาไปพูดต่อความยาวกับคนอื่น ๆ อยู่แล้ว จุลก็เหมือนน้องชายของพี่คนหนึ่งนะ” โสมนัสยื่นมือมาตบบ่าของเขาเพื่อให้เขารู้สึกวางใจ

“ครับ ผมแค่อยากจะขอร้องบางอย่าง”

โสมนัสพยักหน้ารับรู้

“ถ้าไปถึงที่บ้านบนดอยชิดฟ้า ผมขอรอพี่อยู่ที่รถได้ไหมครับ คงไม่เหมาะนักที่จะเข้าไปตามรังไรกับพี่ บางทีเธออาจจะอายหรือว่าตกใจ” จุลหลบสายตามองออกไปนอกรถ

“ถามจริง ๆ เถอะนะ ตอนที่พูดออกมานี่รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่หัวใจบ้างไหม” โสมนัสหัวเราะเสียงใสออกมา

“แหมพี่นัสครับ แซวอะไรก็ไม่รู้นะ” เขาแค่นหัวเราะพร้อมยิ้มแหย ๆ ออกมา สีหน้าขาดความมั่นใจบางขณะ ไม่เหมือนกับตอนที่แรกพบกันที่กรุงเทพฯ ยิ่งเขาแสดงความรู้สึกออกมาเท่าไหร่ โสมนัสยิ่งเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างในตัวจุลมากขึ้นทุกที

จุลมองทิวทัศน์สองข้างทางเขาต้องพยายามยิ้มออกมาเพื่อให้โสมนัสรู้สึกดีขึ้นและอีกส่วนหนึ่งคงต้องให้กำลังใจตัวเอง เมื่อคืนเขานอนคิดตลอดทั้งคืนว่าที่เขาวิตกกังวลและทรมานใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่รังไรหายตัวไปเป็นเพราะว่าเป็นห่วงในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่แม้จะรู้จักกันในเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็เคยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักกันถึงหนึ่งวันเต็ม หรือว่าเขาอาจจะเริ่มมีใจให้กับเธอแล้ว ไม่นานหนักโสมนัสก็ขับรถมาถึงยังจุดหมายปลายทางเขาลงมายืดเส้นยืดสายหลังจากขับรถยาวนานแบบไม่หยุดพัก

“ว่าไงเปลี่ยนใจเข้าไปด้วยกันไหม” โสมนัสเดินอ้อมมาทางประตูรถด้านผู้โดยสาร

“ไม่ดีกว่าครับ” เขาถอนใจออกมาพร้อมยิ้มอย่างอ่อนล้าในความรู้สึก

พอโสมนัสหายตัวเข้าไปในรั้วบ้านหลังงามบนดอยชิดฟ้าแล้ว เขาเปิดประตูลงจากรถและข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งซึ่งพอจะมองเห็นเข้าไปยังสนามหน้าบ้านของหลังนั้น ตอนนี้เห็นแต่ความว่างเปล่าไม่รู้ว่ารังไรจะไหวตัวทันและพาปวินท์หนีไปที่อื่นอีกหรือไม่เขาเดาใจรังไรไม่ออกจริง ๆ จุลก้มหน้ามองพื้นและเตะก้อนหินอย่างเต็มแรงเหมือนกับจะให้มันข้ามผาสูงที่เขายืนท้าลมและแดดอ่อน ๆ อยู่ในขณะนี้


ฮ่า ๆ ๆ เสียงหัวเราะของปวินท์และรังไรผสานกันอย่างมีความสุข รังไรเล่านิสัยในวัยเด็กของเธอให้เขาฟัง ปวินท์หัวเราะในความเปิ่นและช่วงเวลาที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยกับนิสัยที่เพี้ยน ๆ แบบเด็กศิลปะทั่วไป ตอนนี้รังไรเริ่มสบายใจขึ้นและพูดคุยกับปวินท์อย่างมีความสุข

“ถ้าอย่างนั้นวันหลังรังไรสอนพี่วาดรูปแบบหลับตาบ้างนะ”

“จะดีหรือคะ มันจะสกปรกและเลอะเทอะนะ”

“บางทีชีวิตคนเรามันต้องมีสีอื่นที่ไม่ใช่สีขาวบ้างนะคะ รังไรรู้ไหม ชีวิตของพี่มีแต่สีขาวมาตลอดทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักเรามาตลอดจนทุกคนเข้าใจว่าพี่เป็นสีขาว แต่อีกด้านหนึ่งคนเราก็อยากเติมสีอื่น ๆ ให้กับตัวเราเองบ้าง” ปวินท์ยิ้มออกมา

ในขณะที่รังไรวางช้อนและส้อมลงอย่างประหลาดใจ

“เป็นอะไรไปคะรังไร ทำไมทำหน้านิ่งแบบนั้น เอ้าดูซิมองพี่ตาไม่กระพริบเลย”

“อ้อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร รังไรเก็บจานไปล้างก่อนนะคะ อ้อก่อนไปล้างจานรังไรจะเข็นรถของพี่ปวินท์ไปที่หน้าบ้านก่อนนะคะ รับอากาศตอนเช้า ๆ หลังทานอาหารจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น และรังไรก็จะชงชาอุ่น ๆ ให้พี่ดื่มด้วยคะ จะได้สบายท้องนะคะลดไขมัน ไม่งั้นพี่ปวินท์อ้วนแย่เลย” เธอเดินมาเข็นรถของเขาออกไป เขาจับมือเธอไว้อย่างแผ่วเบา

“นัส” เสียงของปวินท์แผ่วเบาออกมา

“พี่นัส” เธอเปล่งเสียงนั้นออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก

“ขอบคุณที่ยังจำได้นะ”

“พี่นัส คือ...” รังไรก้าวขาแทบไม่ออกสีหน้าเธอบอกไม่ถูกเหมือนกันทั้งดีใจเสียใจ มันหนักอึ้งจุกหน้าอกและจุกที่ลำคอบอกไม่ถูก หรือว่าไอ้อาการกังวลแปลก ๆ ในช่วงเช้าหลังจากชบาฉายคงเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างว่าเวลาแห่งความสุขของเธอกับแผนที่ไม่ได้ตั้งใจมันกำลังจบลงแล้ว

“ไงปวินท์มีความสุขดีไหม” โสมนัสเสียงเครียด

ปวินท์ปั้นหน้าไม่ถูก แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเงยหน้ามองรังไร

“พี่ปวินท์คะ นี่พี่โสมนัสพี่ชายของรังไรเองนะคะ และพี่นัสก็เป็นเพื่อนสนิทของพี่ปวินท์ด้วยค่ะ พี่พอจะจำได้ไหมคะ” รังไรคลุกเข่าลงนั่งข้างรถเข็น

“ทำไมความจำเสื่อมหรือไง” โสมนัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกวน ๆ

“พี่ปวินท์รอตรงนี้นะคะ รังไรมีเรื่องต้องคุยกับพี่นัสก่อน” เธอรีบลงจากระเบียงบ้างและลากแขนโสมนัสไปอีกทางพอที่จะพูดคุยโดยที่ปวินท์จะไม่ได้ยิน

“น้องจะลากพี่ไปไหนรังไร” โสมนัสสะบัดแขนของเขาออกจากเธอ

“พี่นัสมาได้ยังไง ใครบอก”

“ไม่มีใครบอกทั้งนั้นรู้บ้างไหมว่าใคร ๆ ก็เป็นห่วงรังไรทั้งนั้นทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” เขาขึ้นเสียงกับน้องสาวของเขา

“ไม่มีเหตุผล รังไรแค่บังเอิญไปพบพี่ปวินท์ตอนเกิดอุบัติเหตุเท่านั้นเอง แล้วรังไรก็พาตัวพี่ปวินท์ไปรักษา” เธอพยายามอ้างเหตุผล

“รักษาเหรอ แล้วทำไมไม่ติดต่อกับใครเลย พี่ยังเป็นพี่ของรังไรอยู่หรือเปล่า ปวินท์เขามีญาติ มีพ่อแม่ มีคนรักและเป็นห่วงเขาอีกนะ รังไรจะมาครอบครองปวินท์เป็นของตัวเองคนเดียวได้ยังไง” โสมนัสพยายามอธิบาย

“แต่ตอนนี้...”

“รังไรฟังพี่นะ วันที่เกิดอุบัติเหตุใช่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่น้องไปพบและช่วยเหลือปวินท์ แล้วน้องทิ้งคุณพลอยพิณอยู่ข้างรถน้องสลบอยู่คนเดียวได้ยังไง”

“คุณพลอยพิณ ไม่จริง รังไรไม่เห็น รังไรไม่ได้ทิ้ง รังไร” เธอมีน้ำตาหล่นสายมาด้วยอาการตกใจ

“คุณพลอยพิณอยู่กับปวินท์ด้วยตอนเกิดอุบัติเหตุ น้องใจดำมากเลยรู้ไหมที่ทิ้งเธอไว้แบบนั้น รังไรจะให้ทุกคนคิดยังไงว่าน้องไม่ได้รักพาตัวปวินท์มา” โสมนัสไม่รู้จะพูดยังไรออกไปแล้ว

“พี่นัสรังไรแค่ รังไรแค่รักพี่ปวินท์เท่านั้น ถ้ารังไรรู้ว่าคุณพลอยพิณอยู่ตรงนั้นด้วย รังไรจะไม่ทำแบบนี้” เธอร้องไห้ไม่ยอมหยุด

“กลับบ้านเราและส่งปวินท์คืนคนรักของเขาเถอะรังไร หมดเวลาเล่นสนุกแล้วนะ” เขาพยายามปลอบน้องสาวของเขา

“พี่นัส รังไรมีความสุขมากเลยรู้ไหม” เธอเอื้อนเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา

“พี่รู้ ยิ่งเขาความจำเสื่อมแบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไร ยังไงเขาก็ไม่รักเราอยู่ดี” โสมนัสต้องพูดตรง ๆ ออกไป

“ไม่จริง คุณเป็นใครกันแน่ถึงมาว่าเราไม่รักกัน” ปวินท์พยายามลุกจากรถเข็นและกระโผลกกระเผลกเดินมาและล้มลงไป รังไรตกใจรีบวิ่งไปประคองเขา

“รังไรเป็นภรรยาของผม สิ่งที่คุณพูดหมายความยังไง” ปวินท์ส่งเสียงดังออกไป

“นายบ้าไปแล้วแน่ ๆ เลย นายมีคู่หมั้นแล้ว นาย”

“พอค่ะพี่นัส อย่าพูดอะไรตอนนี้เลยนะคะ” รังไรพยายามห้ามไม่ให้พี่ชายของเธอพูดอะไรออกมามากกว่านี้ ถึงรู้ว่าสิ่งที่โสมนัสเอ่ยออกมามันคือความจริงก็ตาม

“กลับบ้านกับพี่รังไร”

“แต่พี่นัสคะ รังไรอยากจะอยู่กับพี่ปวินท์”

“ในฐานะอะไร น้องกำลังหลอกตัวเองรู้ตัวบ้างหรือเปล่า รู้ตัวได้แล้ว เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว” โสมนัสเริ่มจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

“รังไรไม่กลับ”

“รังไร” โสมนัสเรียกชื่อเธอดัง ๆ แต่รังไรก็เอาแต่ร้องไห้

“พี่นัสครับพอเถอะครับ” จุลเดินเข้ามาในวงสนทนา เขาไม่ได้มองสาวน้อยตรงหน้าเลยสักนิด และเดินตรงไปหาโสมนัสและพูดเสียงเรียบออกไป

“เอาเป็นว่าคุณไปเก็บของแล้วกัน แล้วกลับไปอยู่กับพี่นัสที่ไร่ ไม่ว่าคุณกับพี่ปวินท์จะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามอย่างน้อยก็อยู่ในสายตาของพี่ชายของคุณ อย่าดื้อกับพี่นัสเลย เขาเป็นห่วงคุณมากรู้ไหม” จุลหันหลังให้เธอ พอพูดจบเขาก็เดินกลับออกไป

“ผมไปรอที่รถนะพี่นัส” เขาไม่สามารถจะมองรังไรได้เต็มตาในตอนนี้ เพราะไม่อย่างนั้นเขาไม่รับประกันว่าจะสามารถควบคุมอารมณ์แบบโสมนัสได้หรือไม่

“จุล” รังไรส่งเสียงเบา ๆ ออกไป เขามาอยู่กับเธอณ ตอนนี้ด้วย ถ้าอย่างนั้นตลอดเวลาที่เกิดเรื่องราวเขาก็อยู่ที่ไร่กับพี่ชายของเธอด้วยงั้นหรือ ข้อความต่าง ๆ ที่ส่งมาหาเธอมันซ่อนความเป็นห่วงอยู่ แล้วเกิดอะไรขึ้นหัวใจของรังไรตอนนี้มันหนักหน่วงจนจะทานไม่ไหวแล้ว น้ำตามาจากไหนทำไมไม่หยุดไหลสักที

‘จะทำยังไง จะทำยังไง’ เสียงพูดแบบนี้ดังกึกก้องในหู

รังไรหันมองตามหลังของเขา ศีรษะของเขาเหมือนมันกำลังก้มลง แผ่นหลังของเขามันดูว่างเปล่าเสียเหลือเกิน ภาพของจุลจากด้านหลังมันช่างลางเลือนเหลือเกิน เขาไม่ได้กำลังจากเธอไปจริง ๆ ใช่ไหม ชายแปลกหน้าผู้แสนดี แต่ภาพที่มองตอนนี้ไม่ชัดเจนเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดเข้าดวงตาทั้งสองข้างที่กำลังบอดสนิทเพราะความรักแบบผิด ๆ อยู่ใช่ไหม

‘ทำไมทุกคนที่ได้พบกับจุล มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าใครส่งเขามาเตือนสติรังไรผู้แสนโง่เขลาคนนี้ให้เดินกลับถูกทางทุกครั้งเลยใช่ไหม จุล จุล’ เสียงเรียกที่ดังจากหัวใจและไร้ซึ่งเสียงที่เปล่งออกมาให้ใครบนโลกนี้ได้ยิน รวมถึงตัวเขาด้วย




 

Create Date : 15 กันยายน 2555    
Last Update : 15 กันยายน 2555 22:08:52 น.
Counter : 1086 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

nalinnovel
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นลินโนเวล เป็นบล็อกที่รวบรวมผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย โดยมีนามปากกาว่า
นลิน คือ รักหวาน - Sweet
ฟุ้งรัก คือ รักสดใส - Pastel
จุล คือ เรื่องสั้นและบทความ - A love aleart -Aom
อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านผลงานของนลินแล้วรู้สึกว่ากำลังทำสปาอยู่เลยค่ะ เลยแยกผลงานไว้ให้เข้าใจและเลือกประเภทที่จะทำให้ทุกคนRelax ได้ตามอัธยาศัย
และสักวันหนึ่งหวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้พบกับผลงานของนลินตามแผงหนังสือนะคะ ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้นลินด้วยนะ ขอบคุณค่ะ

ตัวอักษรทุกตัวของบล็อกนลินโนเวล สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมด หรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดใน Blogไปเผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของBlogเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!
Friends' blogs
[Add nalinnovel's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.