Catch dream in my Cheeks^o^จับฝันใส่กระพุ้งแก้ม Return to the beach BY NALINNOVEL
Group Blog
 
All blogs
 
รังที่ 9



รังไรลวงรัก
รังที่ 9

เช้านี้รังไรอิดออดนิดหน่อยไม่อยากจะแต่งตัวหรือกระตือรือร้นที่จะออกไปกับโสมนัส เธอแกล้งทำเป็นนอนตื่นสายและปิดประตูเงียบอยู่ในห้อง แต่เหมือนโสมนัสจะไม่ยอมง่าย ๆ เขาไม่รู้ว่าน้องสาวจอมยุ่งของเขาได้พบกับปวินท์หลายครั้งแล้ว

“รังไร น้องตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย” โสมนัสเข้าไปดึงผ้าห่มออกจากตัวเธอ

รังไรพยายามดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเธอไว้อีกแต่เหมือนมันไม่ได้ผล เพราะโสมนัสเลยโดดลงไปแกล้งทับตัวของน้องสาวไว้

“โอ้ย พี่นัสมันเจ็บนะ ลุกออกไปเลย” เธอพยายามทั้งผลักและทั้งถีบขาตัวเอง ดิ้นเท่าไหร่พี่ชายเธอยิ่งหันมากอดรัดตัวไว้แน่น

“ไม่ปล่อยจนกว่าจะตอบรับว่าไปด้วยกัน” เขาเอาแขนกดทับน้องสาวเขาอีก

“หายใจไม่ออกแล้ว ไปก็ได้” เธอตะโกนออกมา

“นี่เล่นอะไรกันเสียงดังลั่นบ้าน ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะ” แม่เดินเข้ามาปาม

“นิดหน่อยเองแม่ มีคนจะผิดคำพูดเลยต้องโดนลงโทษ” โสมนัสยอมปล่อยน้องสาวและลุกออกจากเตียงน้อยยืนกอดอกมองดูรังไรที่แกล้งทำเป็นคลุมผ้าห่มต่อ

“สายแล้วรังไรทำไมไม่ลุกจากที่นอน มีนัดกับปวินท์ไม่ใช่หรือไง อย่าปล่อยให้เขารอนาน” แม่ยังเรียกเธออีกแรง ก็เพราะแม่ไม่รู้ว่าลูกคนนี้กำลังเจ็บปวดเป็นที่สุดกับผู้ชายชื่อปวินท์

“รังไรถ้าไม่ไปกับพี่โดนดีแน่ เราไม่ได้เจอปวินท์หลายปีแล้วนะ ลืมเขาไปแล้วหรือไง เขาบ่นอยากเจอเรานะ” โสมนัสพูดให้เธอสนใจการนัดครั้งนี้มากขึ้

“ไม่อยากเจอแล้ว”

“ไง เราแค่รู้ว่าเขาจะแต่งงานก็เลยไม่อยากพบหน้าเขางั้นหรือ” โสมนัสยังแกล้งน้องอีก

“รังไรลูกลุกได้แล้วนะ” แม่ดึงผ้าห่มออก เธอนอนตัวขดและหันหน้าไปทางอื่น

“อ้อรังไรแอบชอบโสมนัสงั้นหรือ” แม่ถาม

เธอรีบลุกพรวดขึ้นนั่ง “เปล่าค่ะแม่ ไม่จริง พี่นัสเพ้อเจ้อ รังไรง่วงนอนเฉย ๆ” เธอแก้ตัวพัลวัน

“แล้วทำหน้าแดงทำไม” โสมนัสเดินมาหยิกแก้มเธอ

“เจ็บนะ” รังไรเอามือถูแก้มไปมา

“ไม่อยากคุยด้วยแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า” เธอเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำปิดประตูเงียบ ความเงียบตอนนี้มันมีความเจ็บปวดวิ่งพล่านไปหมด น้ำตาเธอไหลเอ่อออกมา มันคงห้ามน้ำตาไม่ได้แล้วจริง ๆ ชบาฉาย จุล หรือใครต่อใครคงไม่เห็นด้วยถ้าเธอจะตอบรับรักกับคนที่กำลังจะแต่งงาน


“จริง ๆ ถ้าพี่นัสมาคุยงานไม่เห็นจะต้องเอารังไรมาด้วยเลย” เธอบ่นอุบขณะที่นั่งหน้าไม่สบอารมณ์อยู่บนรถ

“เขาติดต่อจะไปถ่ายโฆษณาที่ไร่ของเรา เขาเลยอยากรู้รายละเอียด เพราะว่าเขาต้องสำรวจจากหลาย ๆ ที่ยังไงอีกหน่อยน้องก็ต้องไปอยู่กับพี่ที่ไร่อยู่แล้วจะได้ช่วยกัน อีกอย่างนะ ปวินท์เขารู้แล้วว่าน้องไม่ได้ทำงานเขาเลยอยากชวนไปทำงานด้วยก็เท่านั้นเอง” โสมนัสอธิบาย

“แล้วพี่นัสถามรังไรบ้างหรือเปล่า ว่ารังไรอยากทำไหม”

“อยากซิ ยังไงรังไรก็สนิทกับปวินท์ แล้วก็ทำงานพวกนี้น้องน่าจะถนัดกว่าพี่เป็นไหน ๆ พี่ก็แค่ชาวไร่ธรรมดาไม่รู้เรื่องศิลปะหรอก” โสมนัสหันมายิ้ม

“พูดจาโอเว่อร์มาก ชาวไร่ที่กำลังทำดอกเตอร์นี่นะคะ แหมดูต้อยต่ำเหลือเกิน” รังไรค่อนขอดให้

“ถามจริง ๆ เถอะรังไร เราน่ะรู้สึกอะไรพิเศษกับปวินท์มากเกินกว่าน้องสาวหรือเปล่า” โสมนัสถามตรง ๆ เล่นเอาน้องสาวตั้งตัวไม่ถูก

“ไม่หรอก” เธอตอบเสียงไม่มั่นใจนักแล้วเบนหน้าไปทางอื่น

“นั่งรถชายแปลกหน้านี่ ทำไมมาจอดที่นี่ได้นะ”

“อะไรเหรอ” โสมนัสถาม

“เปล่าค่ะ ถึงแล้วใช่ไหม ข้างล่างตึกมีร้านกาแฟไหม” รังไรถาม

“ไปกินข้างบนก็ได้” โสมนัสแนะ

“ไม่ค่ะ รังไรอยากดื่มเอสเพรสโซ่เข้ม ๆ สักหน่อย” เธอยิ้มแหย่ให้พี่ชาย พอลงรถก็เดินตามพี่ชายต้อย ๆ เดินหาร้านกาแฟทันที

“เอสเพรสโซ่เข้ม ๆ ร้อน ๆ สักแก้วค่ะ” เธอสั่งเสียงใส

“พี่นัสดื่มอะไรคะ”

“อะไรก็ได้” โสมนัสเดินไปนั่งรถ เขาเหลือบดูนาฬิกาข้อมือยังพอมีเวลาให้รังไรได้นั่งทำใจสักพัก

“ผมขอเอสเพรสโซ่เข้ม ๆ ร้อน ๆ อีกแก้วครับ คิดเงินรวมเลยครับ”

รังไรต้องหันตามเสียงนั้น “คุณจุล”

เขายื่นธนบัตรจ่ายค่าเครื่องดื่มทั้งหมดแล้วก็ทำหน้ากวน ๆ ใส่

“อยากเมากาแฟแต่เช้าเลยหรือไง” เขาหันมาถามเธอ

รังไรไม่ได้พูดอะไร แค่รู้สึกดีใจเมื่อได้พบหน้าเขา แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนเธอก็เลยแกล้งทำสีหน้าไม่พอใจนักใส่เขา

“ดูทำหน้าเข้าซิ ดีใจละซิ บอกแล้วไงว่าไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนบนโลกใบนี้ ผมต้องหาคุณจนเจอ”

“แหวะ น้องคะกาแฟได้ยังคะ พี่รู้สึกเลี่ยน ๆ ชอบกล” รังไรรับกาแฟจากบริกรก็เดินออกจากเคาน์เตอร์ตามไปนั่งข้าง ๆ โสมนัส

จุลเดินตามมานั่งโต๊ะข้าง ๆ และหันหน้ามองรังไรอยู่แบบนั้น เขารู้ว่ารังไรกำลังหลบสายตาของเขา วันนี้รังไรทำอย่างกับคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“พี่นัสได้เวลาหรือยัง”

“แล้วกาแฟเข้ม ๆ ช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นหรือยัง เรานี่มันชักยังไงแล้วนะ”

“ชักยังไงพี่นัสหมายถึงอะไร” เธอทำหน้าบูดใส่

“ก็หมายความว่าน้องไม่อยากพบหน้าปวินท์ เพราะว่าทำใจไม่ได้หรือเปล่าที่เขาจะแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะได้ไม่พาน้องขึ้นไปด้วย ไม่ต้องอายหรอก” โสมนัสกอดคอเธอ

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เราไปคุยเรื่องงานนี่คะ” รังไรเดินตามพี่ชายเธอออกมานอกร้าน พอหันไปมองในร้านอีกที จุลก็หายวับไปแล้ว เธอกวาดสายตามองหาเขาไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบ

“ยังไม่ได้ขอบคุณค่ากาแฟเลย” เธอบ่นพึมพำ

“มองหาใครรังไร”

“เปล่าค่ะพี่นัส หาลิฟท์ อ้อโน้นไงเจอลิฟท์แล้ว เราไปชั้นไหนกันคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของโสมนัสลง

บรรยากาศห้องทำงานของปวินท์แสนหรูหรามาก เธอและพี่ชายขึ้นไปนั่งรอเขาในห้องนั้น สักพักเขาเดินเข้ามาในห้อง ณ วินาทีนั้น รังไรไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาเลย เพราะมีคำตอบที่เธอยังค้างคาในใจจะส่งผ่านถึงเขาอยู่

“ปวินท์ นายหล่อขึ้นเป็นกองเลย” โสมนัสเดินเข้าไปกอดเพื่อนรัก

“นายก็เหมือนกัน เป็นไงใกล้จบดอกเตอร์หรือยัง” เขาทักกลับโสมนัส แต่สายตาเหลือบมองไปที่รังไร

“นี่ปวินท์ นายจำน้องสาวเราได้หรือเปล่า รังไรไง” โสมนัสเดินกลับมาผลักหลังน้องสาวตัวเองให้เดินเข้าไปทักทายคนอายุเยอะกว่า

“สวัสดีค่ะพี่ปวินท์” รังไรทำตัวเหมือนเดิมคือการก้มหน้ามองพื้นและไม่กล้าสบสายตาของปวินท์เหมือนสมัยเมื่อยังเป็นเด็ก  เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ปวินท์จะกล่าวทักเธอยังไง หรือจะบอกโสมนัสว่าเราพบกันแล้ว ความสับสนมันวิ่งพล่านไปมา

“นี่รังไร ยังขาดความเชื่อมั่นเหมือนเดิม บางทีเราต้องให้เวลาน้องสาวคนนี้สักหน่อยนะนัส” ปวินท์เอื้อมมือมาตบไหล่เธอเบา ๆ คำพูดของเขาแฝงความนัยบางอย่าง รังไรเข้าใจดี

“รังไรมานั่งนี่ซิ ยืนทำอะไรอยู่นั่น” โสมนัสตะโกนเรียกเธอที่ยืนแข็งเป็นหุ่นยนต์

“ค่ะ”

ช่วงเวลานั้นรังไรแค่หูดับไปเท่านั้นเอง โสมนัสและปวินท์คุยกันถึงเรื่องสมัยในอดีตและคุยกันถึงเรื่องปัจจุบันกันอย่างสรวญเสเฮฮา เว้นแต่เธอที่ไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกไป ปวินท์ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรที่โหยหาเธอเหมือนเวลาที่อยู่กันสองต่อสองเลยสักนิด เขาเนียนมากต้องบอกว่าอย่างนั้น บางครั้งรังไรเองอยากจะพูดขึ้นมาเลยว่าอยากจะจบบทละครเรื่องนี้ลงสักที

“รังไรลุกเร็ว ไปอะไรน้องไม่พูดอะไรสักคำ”

“ไปนะคะพี่นัส”

“ไปประชุมงานด้านล่าง”

“ค่ะด้านล่าง”

“ตกลงว่าไงรังไรจะมาทำงานกับพี่หรือเปล่า ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์เหมาะกับรังไรนะ รังไรจบงานด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่เคยฝึกทำงานด้านโฆษณามาไม่ใช่เหรอ แล้วก่อนเราจะไปทำงานที่โรงงานก็ทำโฆษณามาเป็นปี มาทำงานกับพี่ดีกว่าหรือเกี่ยงเรื่องเงินเดือนล่ะ” ปวินท์หันมาถามเธอ

“เปล่าค่ะ รังไรแค่อยากจะไปทำงานให้พี่นัสเต็มที่เท่านั้นเอง”

“เป็นผู้หญิงไปอยู่ไกล ๆ แบบนั้นเดินทางไปไหนมาไหนจะปลอดภัยหรือคะ” ปวินท์ถามเธอ

“ก็...”

“นี่รังไร ถ้าน้องห่วงงานที่ไร่เลิกคิดได้เลย ถ้าอยู่นี่อนาคตดีกว่าก็ทำไปเถอะ” โสมนัสพูดจาไม่รู้จังหวะเอาซะเลย รังไรคิดแบบนั้น

รังไรหันมองหน้าพี่ชายของเธอ

“หรือทำฟรีแลนซ์ล่ะ นี่พี่ก็รับโปรดิวเซอร์มาใหม่นะเดี๋ยวเราจะไปพบเขาข้างล่างกัน” ปวินท์เดินนำมาลงลิฟท์ บรรยากาศในลิฟท์มันแสนอึดอัดเหลือเกิน ถ้าไม่มีโสมนัสมาด้วย รังไรคงจะควบคุมความรู้สึกไม่ได้แน่ ๆ เธอมองปวินท์จากเงาสะท้อนประตูลิฟท์ สายตาของเขากำลังมองจ้องอยู่ที่เธอเช่นกัน วินาทีนั้นเธอเหมือนถูกเขาดึงเข้าไปในความรู้สึกอีกครั้ง ถ้าคิดอีกทีไม่มีโสมนัสยืนอยู่ด้วย ปวินท์จะปฏิบัติต่อเธออย่างไร

กริ๊ง เสียงประตูลิฟท์ดังขึ้นรังไรเลยต้องตื่นจากพะวัง ลงมาชั้นด้านล่างผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ละคนแต่งตัวกันเต็มที่เพราะบริษัทโฆษณาทุกคนก็ทำตัวตามสบายกันอยู่แล้ว หลายคนหันมาทักทายปวินท์เขาช่างเป็นเจ้านายที่ไม่วางตัวห่างไกลจากลูกน้องเลย ดูเป็นกันเองแต่ก็น่าเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน

ก๊อก ก๊อก ปวินท์เคาะประตูห้องทำงานของพนักงานคนหนึ่ง ชายคนนั้นเลยเดินลุกขึ้นมาต้อนรับเขา รังไรไม่ได้หันมองเลยสักนิด เธอคิดแต่ว่าคงจะนั่งรออยู่หน้าห้อง

“พี่ปวินท์จะลงมาไม่บอกก่อนล่ะครับ ให้ผมขึ้นไปหาก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกจุล แล้วเป็นไงคุยกับทีมหรือยัง”

เสียงผู้ชายสองคนสนทนากัน แต่ชื่อนั้นค่อนข้างจะคุ้นหูทีเดียวเลย รังไรหันไปตามเสียงนั้น ชายคนที่สนทนาด้วยก็เดินหันหลังเข้าห้องไปแล้ว

“รังไรมานี่เร็ว” โสมนัสจูงมือเธอเดินเข้าห้องไปด้วย

“นี่ว่าที่ด๊อกเตอร์โสมนัส และน้องสาวเขา รังไร “ เขาแนะนำอย่างสนิทสนม

เธอเงยหน้าขึ้นคนแปลกหน้าของเธอนั่นเอง ทำไมโลกช่างแสนแคบแบบนี้นะ รังไรมองหน้าเขา แต่เขากลับทำไม่สนใจและเขาแนะนำตัวเองกับโสมนัสอย่างเป็นกันเอง รวมถึงหันมาส่งยิ้มให้กับเธอเล็กน้อยพอเป็นพิธี รังไรได้แต่คิดในใจว่าวันนี้ได้พบผู้ชายสองคนที่เล่นละครบทไม่รู้จักกันได้แสนแนบเนียนมาก ชายทั้งสองนี้คิดอะไรในสมองขณะที่พบเธอ และเขาจริง ๆ แล้ว มีความจริงใจซ่อนอยู่ในตัวของเขาบ้างไหม

“นี่จุลพี่ว่าจะให้รังไรเขามาเป็นครีเอทีฟร่วมน่ะ สนใจไหม”

“เขาจบอะไรมาครับ” จุลถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“จบออกแบบผลิตภัณฑ์ ทำงานโฆษณามาประมาณหนึ่งปี แล้วก็ทำงานด้านออกแบบผลิตภัณฑ์อีกสามปี อ้อ คงจะแก่กว่าน่ะ” ปวินท์แนะนำฉะฉาน

“งั้นผมต้องเรียกว่าพี่รังไรใช่ไหมครับ” จุลหันมายิ้ม

รังไรเงยมองหน้าเขาเต็ม ๆ นี่เขาอายุน้อยกว่าเธองั้นหรืออะไรกัน แต่ความคิดอ่านของเขามันไม่ใช่เลยสักนิดที่ผ่านมาเขาอาจจะมีอารมณ์ขันแบบเด็ก ๆ แต่การแสดงออกของเขามันไม่ได้เด็กเลยสักนิด

“จุลเขาเพิ่งจบมา แต่ว่าไปทำงานอยู่เมืองนอกมาปีหนึ่งแล้วกลับมารับปริญญาตรีก็ยังไม่ได้กลับไปอีกเลย เราเลยรีบดึงตัวเขาไว้ก่อนตอนไปเจอนามบัตรของเขาที่ห้องสมุดของพวกนักออกแบบ ถ้าคว้าไม่ทันเสียดายแย่” ปวินท์หัวเราะออกมา

“เก่งจริง ๆ เลยนะครับอายุยังน้อยอยู่เลย ไม่เหมือนน้องสาวผมนี่ก็ลาออกจากงานแล้ว จะตามไปทำงานที่ไร่ชาด้วยกัน” โสมนัสไม่ได้พูดเสริมแถมยังขายน้องต่อหน้าเขาอีก

“พี่นัสพูดมากไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ ถ้ามาทำงานผมคงต้องขอคำแนะนำจากพี่รังไรซะมากกว่า” น้ำเสียงของเขาเวลาเรียกชื่อคำว่า พี่รังไร แหม มันทำให้รังไรรู้สึกจี๊ด ๆ ที่ใจแปลก ๆ จนตอนนี้อยากจะลุกหนีไปให้พ้น เธอเหมือนขายหน้าที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเข้าใจว่าเขาอาจจะโตกว่าหรือรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอแผลงฤทธิ์กับเขาไว้เยอะ แต่พอมาตอนนี้เขาอายุน้อยกว่าเธอตั้งสี่ปี นึกถึงคำที่ว่าชบาฉายไว้เลย ให้ตายซิ

“ว่าไงรังไร” ปวินท์หันมาจับศีรษะเธอโยกเบา ๆ

รังไรเงยหน้ามองปวินท์ แววตาแสนอ่อนโยนของเขาแสดงออกมาทำให้เธอหวั่นไหวเหมือนทุกคน แต่พอมองหน้าจุล หัวคิ้วเขาขมวดเล็กน้อยและเลี่ยงไปสนทนากับโสมนัสแทน

“เห็นพี่วินท์บอกว่าพี่โสมนัสมีไร่ชาที่สวยมาก เท่าที่ผมคุยกับทีมเขาบอกว่าพวกเราคงต้องไปสำรวจพื้นที่กัน” จุลคุยเรื่องงานอย่างจริงจัง

“ไม่ขนาดนั้นครับ ถ้าพวกคุณไปผมว่าจะพาไปดูไร่ชาใกล้ ๆ แถวนั้นด้วยครับจะได้ดูโลเกชั่นหลาย ๆ ที่” โสมนัสถ่อมตน

“พี่วินท์ครับเราจะไปกันเมื่อไหร่ดีครับ”

“ก็จุลนัดลูกค้าไว้เมื่อไหร่ล่ะ พอได้คอนเซปท์จริง ๆ ก็ลุยกันเลย พี่ว่าจะไปด้วยผสมกับถือโอกาสไปเที่ยวไร่เพื่อนสักหน่อย” ปวินท์พูดจาอย่างมีความสุข

“ก็ดีครับไปกันหลาย ๆ คน”

“หรือว่าคุณจุลจะไปดูที่ก่อนดีครับ ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยกันเลย”

“เออ นั่นซิจุล จะได้มีข้อมูลไว้ก่อน” ปวินท์ส่งเสริม

นี่ชายสามคนนี้กำลังคิดทำอะไรกัน ตอนนั้นรังไรเหมือนไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องนั้นเลย แน่ ๆ หล่ะ เธอเข้าใจว่าปวินท์อาจจะตามไปดูที่ ๆ เธอจะไปใช้ชีวิตทำงานหลังจากวันนี้ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปเขาอาจจะมีเวลาส่วนตัวกับเธอ แต่จุลซิ สีหน้าเขาดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อเวลาเขาส่งสายตามมาทางเธอ

“ไงรังไรเบื่อหรือเปล่า” ปวินท์หันมาถามเธอ

“ไม่ค่ะ”

“งั้นกลางวันนี้ไปทานข้าวด้วยกันดีกว่านะ จุลไปด้วยกันนะ” ปวินท์หันไปชวนเขาด้วย

“อย่าดีกว่าครับเผื่อพี่จะคุยกับเพื่อน” เขาปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าคุณจุลได้คุยกับรังไรมากขึ้น เผื่อน้องผมจะเปลี่ยนใจอยู่ทำงานที่นี่ต่อน่ะครับ” โสมนัสหันมายักคิ้วให้เธออีก

“แต่” รังไรเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็เงียบไว้ดีกว่า

“งั้นไปกันเลย พี่ให้เลขาฯ โทรศัพท์ไปจองโต๊ะดีกว่า ไปร้านใกล้ ๆ แถวนี้แหละ” ปวินท์เดินนำออกไปจากห้องเรียบร้อย ทั้งสามคนเดินไปรออยู่หน้าอาคารเพื่อรอรถส่วนตัวของเขามารับ

รังไรกับจุลเข้าไปนั่งอยู่เบาะด้านหลังสุด ส่วนปวินท์กับโสมนัสนั่งคุยกันไปตลอดทาง ตอนนี้เขาไม่ต้องแสดงบทผู้บริหารเหมือนเวลาอยู่ในบริษัท เขาเลยพูดเล่นกับโสมนัสได้เต็มปาก ส่วนจุลกับรังไรน่ะเหรอ ตอนนี้จู่ ๆ จุลก็ถือโอกาสนั่งจับมือของเธออยู่อย่างนั้น ทั้งที่เธอพยายามดึงออกแต่เขากลับจับมือเธอไว้ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้




Create Date : 17 เมษายน 2555
Last Update : 17 เมษายน 2555 8:33:17 น. 0 comments
Counter : 600 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nalinnovel
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นลินโนเวล เป็นบล็อกที่รวบรวมผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย โดยมีนามปากกาว่า
นลิน คือ รักหวาน - Sweet
ฟุ้งรัก คือ รักสดใส - Pastel
จุล คือ เรื่องสั้นและบทความ - A love aleart -Aom
อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านผลงานของนลินแล้วรู้สึกว่ากำลังทำสปาอยู่เลยค่ะ เลยแยกผลงานไว้ให้เข้าใจและเลือกประเภทที่จะทำให้ทุกคนRelax ได้ตามอัธยาศัย
และสักวันหนึ่งหวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้พบกับผลงานของนลินตามแผงหนังสือนะคะ ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้นลินด้วยนะ ขอบคุณค่ะ

ตัวอักษรทุกตัวของบล็อกนลินโนเวล สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมด หรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดใน Blogไปเผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของBlogเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!
Friends' blogs
[Add nalinnovel's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.