Catch dream in my Cheeks^o^จับฝันใส่กระพุ้งแก้ม Return to the beach BY NALINNOVEL
Group Blog
 
All blogs
 

รังที่ 3



รังไรลวงรัก
รังที่ 3


รังที่ 3

รังไรปล่อยเวลาในการดูหนังสือแก้เบื่อเพลินจนถึงเวลาจวนจะปิดทำการ เธอลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและเก็บหนังสือเข้าที่ แถมยังเผลอลืมตัวหาวหวอดออกมาอีก

“ปวดต้นคอจังเลย” รังไรหมุนคอซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วถึงหันไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าพอเดินออกจากห้องสมุดก็นึกขึ้นได้ว่า ระหว่างอ่านหนังสืออยู่ ชายแปลกหน้าคนนั้นก็หายตัวไป สงสัยจะหนีกลับบ้านไปแล้ว พอหันหลังกลับมากะว่าจะชะเง้อมองหาเขาแต่กลับชนเข้าอย่างจังกับชายหนุ่มหุ่นสูง พอเงยหน้ามอง

“คนแปลกหน้า” เธอเผลอหลุดเรียกเขาออกมา เสียงเธอดัง ทำให้คนที่ยังใช้บริการห้องสมุดนั้นหันมามอง เขาเลยรีบดึงข้อศอกเธอพาเธอออกมานอกประตูนั้นทันที

“เสียงดังทำไมอายคนอื่นเขาบ้าง นี่ชะเง้อมองหาผมอยู่ใช่ไหมล่ะ ยายแม่มด” ชายแปลกหน้ายิ้มและเดินนำเธอออกมา

“คิดไปเองแล้วหล่ะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว”

“อ้าวแล้วบอกผมทำไม”

เธอเลยหยุดและมองหน้าเขาพร้อมคิ้วขมวด แถมด้วยยืนกอดอก พลางนึกในใจไอ้หนุ่มหน้าตากวนประสาทคนนี้จะเอายังไงกับเธอกันแน่

“เออ แม่มดคุณรู้ไหมว่าที่นี่เขาฝากนามบัตรขายตัวเองกันเองไว้ตรงไหน”

“ไม่บอกมีอะไรไหม” เธอยังยืนกอดอก แต่เขากลับยิ้มอย่างได้ใจ

“เอาน่า ขอโทษแล้วกัน อย่างอนนะ เดี๋ยวรอยตีนกาตีนไก่ก็มาไวกว่ากำหนดหรอก” เขายังยียวนเธอ

“จะฝากไว้ทำไม ทำงานอะไร” เธอถามเสียงห้วนเพราะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ กับการกวนโทสะของเธอหลายดอก

“ผมเพิ่งรับทำโฆษณาแบบฟรีแลนซ์น่ะ เคยได้ยินว่าใคร ๆ ก็สามารถทิ้งนามบัตรไว้ที่แผงนามบัตรของที่นี่ได้ เผื่อมีใครสนใจเขาก็จะมาติดต่อเรากลับไปน่ะ” เขาทำหน้าซื่อเหมือนสำนึกผิดที่แกล้งโมโหเธอไว้เยอะ

“ตามมา” รังไรพาเขาไปที่แผงเสียบนามบัตร ตอนนี้มีคนมาวางนามบัตรไว้หลายร้อยใบเลย

“โห เยอะขนาดนี้ ใครจะเล็งเห็นความสามารถของผมได้ล่ะ” เขาถอนใจออกมา

“ป๊อดจังเลย คนแปลกหน้า วางนามบัตรไปเถอะ ต้องมีคนตาดีสักคนเล็งเห็นเองแหละ อย่างน้อยก็มีฉันหนึ่งคนนะ” เธอแบมือพร้อมกระดิกเรียกหานามบัตร

ชายแปลกหน้ายิ้มออกมาแบบเขิน ๆ “ก็ยังดี” เขาวางนามบัตรไว้ในมือรังไร เธอเก็บนามบัตรนั้นลงกระเป๋าโดยไม่ได้ดูรายละเอียดจากนามบัตรนั้น

“ทำอย่างกับเศษกระดาษ ได้ปุ๊ป โยนลงกระเป๋ารก ๆ ทันทีเลย”

“กลับไปดูที่บ้านก็ได้” รังไรพูดเก้อ ๆ เพราะเธอก็เสียมารยาทกับเขาเหมือนกัน

“ยายแม่มดชื่ออะไร” เขาถามน้ำเสียงซื่อ

“ไว้คราวหน้าพบกันค่อยทำความรู้จักกันแล้วกันนะ”

“จะมีคราวหน้าอีกเหรอ” เขาแกล้งเมินหน้าไปทางอื่นพร้อมบุ้ยปาก แต่ก็หันมายิ้ม

“ได้ไว้คราวหน้า โลกใบนี้ทั้งกลมทั้งเล็ก ไม่ว่าแม่มดจะอยู่ซอกไหนของมุมโลก สักวันผมก็ต้องพบหน้าคุณเข้าสักวัน” เขายิ้มกว้างออกมา ดวงตาส่งประกายสดใส เหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรให้เขาได้ติฉินเลยสักนิด รังไรมองปุ๊ปถึงกับต้องหลบสายตาของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

“อืม มั่นใจมากเลยนะว่าเราจะได้พบกัน” รังไรยิ้มเจื่อนออกไป

เขาพยักหน้า “ชะตาลิขิตไง” เขายังยิ้มตอบเธออีก

“เพ้อเจ้อ” รังไรยกข้อมือดูนาฬิกาข้อมือ แล้วก็หาวหวอดออกมาอีก

“กลับก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก ไหน ๆ จะเลิกทำงานแล้วขอลุยงานให้เต็มที่ก่อนเกษียรตัวเองสักหน่อย” เธอหันมายิ้มให้เขาแล้วก็สาวเท้าเดินออกมา แต่เขากลับวิ่งตามเธอ

“แม่มดทำงานอะไร”

“ไม่บอกหรอก ก็มั่นใจไม่ใช่เหรอว่าเราสองคนต้องได้พบกันอีก ไว้ถึงวันนั้นค่อยทำความรู้จักแล้วกัน” เธอหันหลังให้เขา พร้อมยกมือขึ้นโบกไปมา ไม่ได้หันไปสนใจชายแปลกหน้าเบื้องหลังด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขามีสีหน้าอย่างไร


รังไรเดินเตร่และหาอาหารเย็นรองท้องสักพัก เธอเดินอย่างอ้อยอิ่งไปลานจอดรถ สายลมที่โบกโบยยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ระหว่างทางขับรถกลับบ้านเธอโทรศัพท์หาเพื่อนรักอย่างชบาฉายแต่หล่อนไม่รับโทรศัพท์เธอเลย

“สงสัยหลอกเด็กไปดูหนังแน่เลย” แล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อจู่ ๆ พลันนึกไปถึงหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น ทำไมเขามองโลกนี้อย่างลงตัวไปซะทุกเรื่อง

เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังขึ้น

“ว่าไงจ้ะคุณรังไร” เสียงสดใสจากชบาฉายทักทายก่อนที่เธอจะตอบกลับไป

“วันนี้เจอพี่ปวินท์” น้ำเสียงเธอเศร้าลง

“จริงเหรอ” ชบาฉายรู้สึกตื่นเต้นแทน

“แล้วไงต่อ เธอเล่าเลย ฉันอยากรู้”

“ไม่มีอะไรนี่ เขามากับว่าที่เจ้าสาวของเขา คุณพลอยพิณผู้งดงาม” น้ำเสียงเธออ่อนแรงมาก เหมือนคนใกล้จะร้องไห้

“เอาน่า ได้พบหน้าเขาก็ดีแล้ว ว่าแต่ตอนนั้นเธอรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

“รู้สึกเหรอ”

รังไรเงียบไปสักพัก

“รู้สึกแย่ชอบกล แต่พี่ปวินท์ก็ยังหวังดีกับฉันเสมอ เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาฉัน เพราะเขาคิดว่าฉันถูกคนแปลกหน้าเกาะแกะน่ะ” รังไรถอนใจออกมา

“ใครมาเกาะแกะไม่เข้าใจ”

“เอาเถอะ มันผ่านไปแล้ว ยังไงฉันคงไม่สามารถเอาตัวพี่ปวินท์กลับมาเคียงข้างฉันได้อีกต่อไปแล้ว”

“รังไร อย่าคิดมากนะ แต่จริง ๆ นะ ถ้าเธออยากเคลียร์ความรู้สึกที่มันคาใจ ฉันว่าเธอควรจะนัดพี่ปวินท์เพื่อคุย หรือ เพื่อ เพื่อ เพื่ออะไรก็ช่าง ตอนนั้นเธอก็ลองสังเกตปฏิกิริยาของพี่เขาก็ได้นะว่าเขายังรู้สึกดีกับเธออยู่หรือเปล่า” ชบาฉายร่ายยาว

“จะลองดู แต่ฉันคงต้องรวบรวมความกล้ามาก ๆ เลย”

สิ้นเสียงเพื่อนสนิทไปแล้ว เธอขับรถขึ้นทางด่วน เส้นทางสูงโค้ง ลาดต่ำ คดเคี้ยวไปมาละกับดวงไฟสีส้มแสงแห่งความเหงา ที่เมื่อดึกทีไรขับรถคนเดียวแบบนี้มันชวนให้เปลี่ยวหัวใจซะทุกครั้งไป แล้วก็เข้าคอนเซปท์แห่งการอกหัก ฤดูหนาวปลาย ๆ แบบนี้จู่ ๆ ฝนก็โปรยสายลงมาเหมือนตั้งใจให้คนหัวใจช้ำเกิดอาการตั้งตัวและหาศูนย์ถ่วงให้หัวใจไม่ได้ช้ำชอกเข้าไปอีก

รังไรตัดสินใจกดโทรศัพท์หาปวินท์ รอสัญญาณนานพอสมควรที่เธอคงต้องตัดใจวางสาย เบอร์โทรศัพท์ของเธอคงไม่เคยได้รับการบันทึกในหน่วยความจำของโทรศัพท์ปวินท์เลยซินะ เหมือนกับที่เบอร์ของปวินท์ที่มันถูกบันทึกในหน่วยความจำของเครื่องโทรศัพท์ของเธอมานานหลายปีแล้วโดยมนัสเป็นคนบอกเบอร์พิเศษนี้แด่เธอ

“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มและอบอุ่นของเขาส่งผ่านมาถึงเธอ

เธอตกใจจนตั้งตัวแทบไม่อยู่ “ค่ะพี่ปวินท์ รังไรเองค่ะ ขอโทษที่โทรศัพท์มารบกวนกลางดึก พี่นอนหรือยังคะ คือวันนี้รังไรจะโทรศัพท์มาขอบคุณที่พี่ปวินท์ยังเป็นห่วงรังไร คือว่ารังไร...”
ปวินท์หัวเราะใส่ปลายสายมา น้ำเสียงของเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ขนาดเสียงหัวเราะยังทำให้เธอรู้สึกดีทุกครั้งเมื่อได้ยิน

“จะให้พี่ตอบคำถามไหนก่อนดีครับ รังไรไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ พูด พูด พูด ใส่พี่แล้วก็ไม่รอคำตอบ” เขาพูดจาล้อเล่นกับเธอ

“ก็...” รังไรรู้สึกหน้าแตกชอบกล

“ดีใจจังเลยที่รังไรโทรศัพท์มาหาพี่ วันไหนเรานัดทานข้าวกันไหม” เขาชักชวนเธอ

“อ้อ ค่ะ” เธอเผลอหลุดปากรับคำเขาง่ายดาย โดยไม่ได้ยั้งคิดหรือถามเลย ว่าเขาจะมาคนเดียว หรือ มากับว่าที่เจ้าสาวของเขา

“รังไรสบายดีนะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่คำถามนี้เหมือนเป็นคำถามที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความห่างไกล

“ก็ดีค่ะ คือ รังไรดีใจกับพี่ด้วยนะคะ เรื่องข่าวการแต่งงาน” น้ำเสียงเธอผ่อนเบาลงอย่างไม่ตั้งใจ

“แต่งงาน หลายคนก็ยินดีกับพี่ทั้งนั้น แล้วรังไรก็เป็นอีกหนึ่งคนที่พูดว่ายินดีกับพี่” เขาพูดเหมือนเหม่อลอยแปลก ๆ

“น่ายินดีออกค่ะ มีคนมาเคียงข้าง ไม่เหมือนรังไร” เหมือนอะไรจุกอยู่ที่ลำคออีกแล้ว เธอบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นที่ได้คุยกับปวินท์หลังจากไม่ได้คุยกันมานานหลายปี หรือว่า เสียใจกับการพูดว่ายินดีกับเขาที่เขากำลังจะแต่งงาน

“รังไร เรื่องวันนั้นที่สนามบิน” เขาเว้นจังหวะหายใจก่อนจะพูดต่อ

“พี่ไม่เคยลืม ขอโทษนะที่ไม่ได้ตอบคำถามรังไรในวันนั้น”

“ไม่เป็นไรค่ะ มันผ่านไปแล้ว พี่ปวินท์คะ รังไรขับรถอยู่ เหมือนสัญญาณไม่ค่อยดีเลยค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ” เธอพร้อมจะกดสายทิ้งทันทีในตอนนี้ เพราะถ้าเขาขุดเรื่องนั้นขึ้นมาอีกเธออาจจะหลุดปากบอกเขาว่าอย่าแต่งงานเลยจะได้ไหม แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอก็เป็นผู้หญิงที่รักคนโดยขาดจิตสำนึกจริง ๆ

“พรุ่งนี้พบกันตอนเลิกงานนะพี่จะไปรับที่บริษัท ขับรถดี ๆ นะ” ปวินทร์ตัดสายเธอลงหลังจากพูดจบ

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด

“พรุ่งนี้จะมารับเหรอ”

จังหวะการเต้นของหัวใจมันไม่เป็นจังหวะสักเท่าไหร่ เม็ดเหงื่อเหมือนจะซึมออกตามไรผมและที่มือ ทำไมมันตื่นเต้นชอบกล แล้วจะทำยังไงดีนะ รังไรคิดวนไปวนมาในสมอง

“นี่เรากำลังสร้างเรื่องปวดหัวให้พี่ปวินท์หรือเปล่า”


กลางดึกแล้วปวินท์ยังคงนั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม เขากำลังนั่งดูคลิปงานโฆษณาที่ทีมงานส่งมาให้ตรวจสอบอีกครั้งก่อนจะส่งไปให้ลูกค้า เขาเหลืองมองนาฬิกาจวนตีสองเข้าไปแล้ว เขาถอดแว่นสายตาออกพร้อมยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ แต่ต้องผิดหวังเพราะกาแฟดำที่ชงไว้เย็นชืดจนไม่ได้รสชาติแล้ว

เขาเลื่อนลิ้นชักดูภาพถ่ายของเขากับรังไรเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กมัธยมปลาย ดวงหน้าของเธอสดใสน่ารัก แววตาซุกซนเล็กน้อย ผมม้าปรกหน้าผากดูน่ารักสมวัย แต่บ่ายนี้รังไรตัวสูงขึ้นมาก ร่างกายผอมลงมีทรวดทรงสวยงาม ดวงหน้าเรียวเล็ก มวยผมสูงเปิดเห็นหน้าผากสวยงาม ดวงตายังคงส่องประกายงดงามรีสวยเหมือนเดิม โดยเฉพาะรอยยิ้มเวลาสาวน้อยขาดความมั่นใจช่างเป็นรอยยิ้มที่เขารู้สึกประทับใจมาตลอด

“รังไร จะรู้ไหมว่าพี่คิดยังไงกับรังไร ถ้าเพียงแต่วันนั้นพี่ตอบกลับรังไรตรง ๆ ชีวิตพี่คงจะไม่ลงเอยแบบวันนี้ ถ้าเพียงแต่ระหว่างที่พี่อยู่อเมริกา แล้วบอกความในใจให้รังไรได้รับรู้ รังไรคงไม่เปลี่ยวเหงาแบบนี้ใช่ไหม” เขายิ้มออกมาพร้อมกับถอนใจไปในตัว

ปวินท์ออกมายืนมองนภาผืนกว้างสีดำดวงดาวในคืนนี้สวยงามกว่าทุกค่ำคืนที่มองเห็น ย้อนนึกไปถึงวันเก่าที่ไปนอนกางเต็นท์บนยอดเขาด้วยกันกับเพื่อน ๆ โดยมีรังไรสาวน้อยตามไปนั่งหนาวจนตัวสั่นอยู่ข้างกองไฟ คืนนั้นคงมีเพียงดวงดาวบนฟ้าเท่านั้นที่มีให้เธอนับแก้เหงาระหว่างที่พวกพี่ชายของเธอมัวแต่ร้องรำทำเพลงกัน เขายังจำแววตางดงามเวลาที่เธอยิ้มอย่างมีความสุขได้ดีตอนที่เราชี้ไปบนท้องฟ้าและนับดาวไปด้วยกัน

“หนึ่ง สอง สาม สี่….”

“หนึ่ง สอง สาม สี่...” รังไรเอ่ยเสียงนับดวงดาวยังแผ่วเบาและยิ้มออกมาอย่างชื่นใจ ค่ำคืนนี้เธอไม่สามารถหลับตาลงได้เลย ตื่นเต้นดีใจกับการนัดหมายทานอาหารเย็นในวันพรุ่งนี้

“พี่ปวินท์ยังจำดวงดาวบนนภาผืนดำที่เราเคยนับร่วมกันได้ไหมคะ” รังไรเปรยอยู่คนเดียวแล้วยิ้มออกมา


เสียงนาฬิกาปลุกดังอยู่หลายรอบจนเงียบเสียงไป

“รังไรตื่นหรือยังลูก” เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกจากแม่ดังอยู่หลายรอบ สาวน้อยค่อย ๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา แม่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาเห็นหมอนข้างกลิ้งตกลงมาอยู่ที่พื้น พร้อมผ้าห่มก็ชายห้อยมาอยู่ข้างเตียงส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งพาดอยู่บนตัวคนที่กำลังนอขี้เซา

“ไม่ไปทำงานแล้วหรือไงรังไร” แม่ทำเสียงดุเล็กน้อย

“ทำค่ะแม่ กี่โมงแล้ว” เธอยังนอนปิดตาสนิทแต่ปากก็ถามเวลากับผู้เป็นแม่

“เจ็ดโมง”

“เจ็ด เจ็ดโมงแล้ว” เธอตัวเด้งขึ้นมานั่งทันที พร้อมกับรีบลุกออกจากเตียง สะบัดผ้าห่มไว้อยู่อย่างนั้นและรีบจัดแจงตัวเองอย่างรวดเร็ว

“แม่คะ แม่ออกไปก่อนนะ รังไรรีบแต่งตัวแป๊ป สายแล้ว สายแล้ว”

“เออ เด็กคนนี้ ไม่รู้จักโตเลยนะเรา” แม่บ่นเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้อง

เสียงฝีเท้าวิ่งไปมาอยู่ด้านบนห้องของรังไร จนพ่อต้องหัวเราะออกมา สักพักก็ได้ยินเสียงของล่วงหล่นพิ้นอีก

“ลูกคนนี้ น่าจับมาตีนัก” แม่พูดแบบหมั่นเขี้ยวแต่ก็ยิ้มออกมา

“เอาน่า พ่อว่าให้ลูกเราเป็นเด็กแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“สงสัยเมื่อคืนนั่งทำงานจนดึกแน่เลย” แม่เตรียมอาหารเช้าไว้เต็มโต๊ะสำหรับลูกสาว

“ช่างแกเถอะ ยังไงก็ทำงานทำการรับผิดชอบตัวเองได้ เออ แต่ตกลงว่ารังไรลาออกสิ้นเดือนนี้จริง ๆ ใช่ไหม” พ่อหันมาถามผู้เป็นแม่

“จ้ะพ่อ เห็นบอกว่าพอลาออกแล้วจะไปอยู่ช่วยงานนัสที่ไร่ชา”

“ก็ดีนะ พี่น้องจะได้อยู่ด้วยกัน แต่เราสองคนคงจะเหงานะไม่มีสาวน้อยจอมป่วนให้ได้บ่นน่ะ โดยเฉพาะแม่” พ่อหัวเราะอารมณ์ดี สักพักรังไรก็รีบวิ่งลงมาจากชั้นบน

“เฮ้ย วันนี้ลูกสาวพ่อแต่งตัวสวยจังเลย มีเดทหรือไง” พ่อตะโกนแซวตั้งแต่เท้ายังไม่แตะบันไดขั้นแรก

“แหมพ่อก็นิดนึง แม่คะ วันนี้รังไรไม่ทานข้าวนะ สายแล้ว”

“อ้อเย็นนี้ก็ไม่ทานนะ เพราะมีนัด” เธอหันมายิ้มพร้อมจับแต่งทรงผมให้เข้าที่

“วันนี้นุ่งกระโปรงซะด้วย น่ารักเชียวลูกสาวพ่อ”

รังไรวิ่งไปกอดคอพ่อพร้อมหอมแก้มหนึ่งฟอดใหญ่ “พ่อน่ารักที่สุดเลยค่ะ”

“โอ๋กันเข้าไป แล้วกลับดึกไหมลูก” แม่หันมาถาม

“ไม่แน่ใจค่ะ นัด นัดเพื่อนน่ะ” เธอยิ้มแบบเขิน ๆ

“เอาเถอะ ยังไงก็อย่ากลับดึกมากนัก”

“อ้อ แม่คะ วันนี้รังไรไม่เอารถไปด้วยนะ เดี๋ยวเพื่อนมาส่ง” เธอพูดเสร็จก็วิ่งแจ้นออกจากบ้านไปเลย ด้วยสีหน้าเบิกบานแจ่มใสเป็นพิเศษ


“โอ้ คนสวย วันนี้แหมใส่กระโปรงเอวสูงลายสก็อตมีสายเอี๊ยมคาดเก๋ไก๋ เกล้าผมสวยงาม เปิดหน้าผากเนียนใส” ชบาฉายพูดจบก็ตบหน้าผากเหม่งนิด ๆ ของเพื่อนสาวหนึ่งที

“นี่ชบาเลิกพูดได้แล้ว แซวกันได้ตลอดทั้งวันเลยนะ”

“ก็เธอทำตัวแปลกกว่าทุกวัน อ่ะ ๆ ดูวันนี้ปากสีโอรสประดุจกุหลาบแรกแย้ม แสนเย้ายวน” ชบาฉายทำท่าจูจุ๊บส่งจูบให้รังไรอีกรอบ

รังไรเลยแก้เขินด้วยการหมุนเก้าอี้นั่งทำงานต่อ แต่ชบาฉายยังลากเก้าอี้ของเธอเข้ามานั่งเบียดอยู่ข้าง ๆ “ตกลงว่าไงมีนัดกับใครบอกมา”

“มีแล้วกัน”

“แหมไฟแรงจริงนะ หรือว่านัดหนุ่มแปลกหน้าที่พูดถึงเมื่อวาน” ชบาฉายใช้นิ้วชี้จิ้มที่กลางจมูกของรังไร

“โอ้ย ตาบ้านั่นเหรอ คนแปลกหน้าแบบนั้นเจอกันรอบเดียวก็พอแล้ว เจอกันครั้งต่อไปคงจำกันไม่ได้แล้วหล่ะ แล้วอีกอย่างนะก็ไม่รู้จะไปตามตัวเขาได้ที่ไหนชื่อก็ไม่รู้จัก เบอร์โทรศัพท์ อีเมลล์ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค พินบีบี ไม่มีอะไรที่ทำให้ฉันอยากจะทำความรู้จักกับเขาต่อเลยนะ” รังไรหยิบดินสอขึ้นมานั่งร่างภาพงานต่อ

“ทำเป็นพูดดี ถ้าเกิดเจอกันอีก แล้วเขาจำเธอได้จะทำหน้ายังไง”


รังไรไม่พูดได้แต่หันมาแลบลิ้นใส่เพื่อน แต่พอนึกอีกที เธอเลยต้องรีบหยิบกระเป๋ารก ๆ ของเธอเหมือนที่ชายแปลกหน้าว่าเธอขึ้นมารื้อค้นดู ก็พบนามบัตรของเขา จุล ทรัพย์ประสาน ครีเอทีพ ไดเรคเตอร์ บริษัท ไจแอนท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด พร้อมด้วย เบอร์ติดต่อ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ พร้อม เวปไซด์ส่วนตัวสำหรับดูผลงานของเขา ทุกอย่างมีครบอยู่ในนามบัตรนั้น

รังไรโยนนามบัตรของเขาลงในกระเป๋ารก ๆ ของเธออีกครั้ง

“ชบา” เธอเรียกเพื่อนอย่างกระซิบ

“ถ้าเกิดว่า คือ ฉันหมายถึง เวลาออกเดทกับผู้ชาย เอ้ยไม่ซิ สมมติว่าเราไปกินข้าวเย็นกับผู้ชายที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถ้าเขาถามว่าจะทานอาหารประเภทไหนดี คือ ชบาว่าอาหารแบบไหนที่เราไปทานแล้วมันดูสวยน่ะ” รังไรถามแบบอาย ๆ เพราะมุมปากของเธอมันยิ้มเชิด ๆ ผิดปกติ

ชบาฉายทำเป็นชำเลืองมองหน้ารังไร

“เธอนี่มันตลกชะมัดเลย อยากทานอะไรก็ทานซิ เอาที่เราชอบ ยังไงผู้ชายต้องตามใจเราอยู่แล้ว”

“เฮ้ย ตอบแบบนี้ไม่เอา เอาดี ๆ เร็ว” เธอคะยั้นคะยอเพื่อนของเธอ

“ไม่รู้ซิ ก็ฉันอยากกินอะไรก็กินไม่เคยคิดว่ามันต้องสวยเวลากิน” ชบาฉายพูดจบก็อดขำท่าทีกังวลใจของรังไรไม่ได้

“อ่ะ ๆ ไม่แกล้งแล้ว ถ้าจะเป็นอาหารอิตาลีก็เน้นเส้น เกิดสั่งสปาเก็ตตี้ปลาหมึกดำตายเลย ทั้งปาก ฟัน ลิ้น ดำน่าเกียจ ถ้าอาหารจีนก็ยังโอเค แต่ถ้าไม่ถนัดใช้ตะเกียบก็แย่ ถ้าอาหารฝรั่งเศส ใช้อุปกรณ์บนโต๊ะไม่ถูกก็แย่เข้าไปใหญ่ ถ้าอาหารไทย โอ้ยกลิ่นรุนแรง เผื่อมีเฟริสคิสจบกัน อาหารญี่ปุ่นเกิดเธอสั่งของที่มีวาซาบิ เผ็ดจี๊ดแล่นขึ้นสมองเสียภาพพจน์หมดกัน”

“อ้าวไอ้ที่พูดมามันก็ครบทุกชาติแล้ว อะไรที่เหมาะที่สุดล่ะ”

“อาหารที่เป็นตัวของเธอเองเหมาะสุด” ชบาฉายไม่อธิบายอะไรต่อ แล้วเธอก็รีบแจ้นไปส่งงานที่ห้องหัวหน้า ปล่อยให้รังไรนั่งครุ่นคิดวิตกจริตเพียงลำพัง

“ออกเดทมันยากอย่างนี้เหรอ”

จนแล้วจนรอด รังไรก็เลือกไม่ถูก คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรม พอใกล้เลิกงานปวินท์ก็โทรศัพท์ติดต่อมาว่าใกล้จะถึงบริษัทของเธอแล้ว ทำให้เธอตื่นเต้นกระวนกระวายเดินเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น พร้อมกับแต่งหน้าจับผมอยู่แบบนั้น

“ตกลงว่านัดใคร”

“อยากรู้จริงป่ะ” เธอหันไปกระเซ้าชบาฉาย

“นัดพี่ปวินท์” รังไรหันมายักคิ้ว

“พี่ปวินท์” ชบาฉายเสียงดังขึ้นมา

“รังไร ฉันบอกอะไรแกตรง ๆ นะ การนัดกินข้าววันนี้มันไม่ใช่การออกเดทนะ แต่มันเป็นการทิ้งทวนสำหรับความรู้สึกในอดีต เธอจะรักใครฉันไม่ว่าแต่ให้มันอยู่ในเส้นทางแห่งความถูกต้อง ถ้าวันนี้ก็ผลีผลามคิดอะไรออกไปโดยขาดการยั้งคิด มันจะไม่มีทั้งกับตัวเธอและคุณพลอยพิณนะ ไม่โกรธใช่ไหมรังไร” ชบาฉายเดินมาโอบกอดเพื่อนรักไว้

รังไรถึงกับหุบยิ้มทันที นี่เธอลืมคิดเรื่องแบบนี้ไปได้ยังไง ความถูกต้อง เหตุผลที่ดี และการรักเขาโดยไม่ลืมหูลืมตา กำลังทำให้เธอเดินทางผิดใช่ไหม แต่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าปวินท์ก็จะมาจอดรถรับเธอแล้ว แล้วระหว่างอาหารเย็นเรื่องอะไรกันแน่ที่เธอและปวินท์จะพูดคุยกัน หวังว่า เขาคงไม่ได้บอกรักเธอหรอกนะ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น....




 

Create Date : 31 มกราคม 2555    
Last Update : 31 มกราคม 2555 0:21:45 น.
Counter : 660 Pageviews.  

รังที่ 2



รังไรลวงรัก
รังที่ 2


รังไรนั่งเก็บเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวกลับไปทำงานต่อ ครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจอีกรอบว่าเธอจะอยู่ทำงานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่โรงงานขนมอีกหรือไม่

“เฮ้ย จะไปไหน”

“กลับไปทำงานซิ พรุ่งนี้ครบกำหนดลาพักร้อนแล้วนี่คะ” เธอหันไปตอบพี่ชาย

“แล้วตกลงจะเอายังไงทั้งเรื่องงานและเรื่อง...”

“คิดแต่เรื่องงานเท่านั้นค่ะ ส่วนเรื่องอื่นไม่อยากจะคิดในตอนนี้” เธอยักไหล่แล้วเดินเก็บข้าวข้องลงกระเป๋าใบโตต่อ

“เอางั้นก็ได้ แต่พี่จะไปงานแต่งงานของปวินท์แน่นอนอยู่แล้ว” โสมนัสเดินมานั่งบนเตียงน้องสาว และมองหน้าเธอ

“รังไร อย่าคิดมากเรื่องปวินท์เลยนะ ความรู้สึกในวัยเด็กเมื่อโตมามันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ถ้าน้องมัวแต่คิดถึงแต่เขาฝ่ายเดียว ปวดใจเปล่า ๆ นะ เปิดใจให้กับคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาดีกว่านะ” เขาจับศีรษะเธอโยกเบา ๆ

“ขอบคุณค่ะพี่นัส ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกนะคะ” เธอหันไปหยิบกล่องของขวัญกล่องยาวให้กับพี่ชายของเธอ โสมนัสทำหน้าแปลกใจ

“อะไร” เขาเขย่ากล่องไปมาเหมือนเด็ก ๆ

“ของขวัญ” รังไรตอบห้วนพร้อมยิ้มมุมปาก

“รู้แล้ว กวนนี่เรา” โสมนัสหัวเราะ

“ฝากให้พี่ปวินท์กับคุณพลอยพิณค่ะ” เธอเก็บกระเป๋าเสร็จพอดี ก็ลากกระเป๋าไปเตรียมพร้อมวางไว้คู่กับของฝากสำหรับพ่อแม่และเพื่อนร่วมงาน รวมถึงตั๋วเครื่องบินที่วางไว้อย่างเรียบร้อย

“ปวินท์คงจะดีใจ หรือไม่งั้น พูดกันตรง ๆ คือ บางทีเขาอาจจะลืมน้องสาวพี่ไปแล้วก็ได้นะ”

“พอเถอะค่ะ เราสองคนเลิกพูดถึงพี่ปวินท์กันจะดีกว่านะ” เธอผลักพี่ชายเธอออกนอกห้องนอนและปิดประตูเงียบ

รังไรใช้ความคิดพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อาจจะจริงอย่างที่โสมนัสบอกก็เป็นได้ ว่าบางทีเขาอาจจะลืมเธอไปแล้ว


พลอยพิณเดินยิ้มร่ามาถึงบริษัทของปวินท์ เธอคุ้นเคยกับพนักงานที่นี่เป็นอย่างดีตั้งแต่พนักงานระดับล่างและเลขานุการหน้าห้อง เธอยื่นของฝากเล็กน้อยให้เลขานุการหน้าห้อง

“คุณฉัตรคะ วินท์กำลังมีแขกหรือเปล่าคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงน่ารัก

“ไม่มีค่ะคุณพลอย เชิญด้านในได้เลย”

“รบกวนแจ้งวินท์ก่อนดีกว่า เพราะพลอยไม่อยากให้เขามู้ดดี้ ที่จู่ ๆ พลอยก็เข้าห้องเขาโดยพลการ” เธอพูดจาด้วยความเกรงใจเขาอย่างมากมาย

“คุณพลอยกำลังจะแต่งงานกับคุณปวินท์แล้วนะคะ ไม่ใช่แขกสักหน่อย” ฉัตรฤดี พูดเชิงหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม แต่เธอก็ปฏิบัติตามที่คนรักของเจ้านายบอก

“พลอยมีธุระอะไรหรือเปล่า” เขาถามเสียงห้วน

“เอ่อ..” เธอเสียงความรู้สึกเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มออกมา

“วันนี้ทางสตูดิโอนัดให้ไปเลือกภาพที่เราไปถ่ายด้วยกันไว้สำหรับจัดเข้าอัลบั๊ม”

“ไม่ต้องเลือกหรอก ผมว่าพลอยคงสวยทุกรูป พลอยโทรศัพท์ไปบอกสตูดิโอเลยก็ได้ครับว่าเอาทุกรูป” เขาหันหน้าเซ็นเอกสารกองโตบนโต๊ะต่อและไม่เงยหน้าขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ

“แต่จริง ๆ แล้ว เลือกหน่อยก็ดีนะคะ พลอยตื่นเต้นอยากเห็นภาพก่อนด้วย”

“ผมให้คนขับรถไปส่งแล้วกัน”

“วินท์คะ” เธอส่งเสียงอ้อนกลับไป

เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอเหมือนมีคำถาม

“ก็ได้ค่ะ ไม่ไปก็ไม่ไป นี่ใกล้จะเลิกงานแล้วไปดินเนอร์ด้วยกันนะคะ พลอยอยากทานอาหารจีน จะได้ไม่อ้วนมาก” เธอยังยิ้มอย่างร่าเริง

เขาเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานคุณนั่งรอก่อนแล้วกัน”

ปวินท์พยายามตามใจพลอยพิณทุกอย่าง แต่ในความรู้สึกของเขาบางครั้งเพียงแค่อยากให้พลอยพิณไม่โต้แย้งกับสิ่งใด ๆ ที่เขาเสนอให้เธอเลย แต่สิ่งที่เขาทำให้กับเธอมันเหมือนเป็นการให้ความหวังและความรักแบบที่ผู้หญิงหลายคนต้องการ พลอยพิณเลยกลายเป็นคนว่านอนสอนง่ายคงเป็นเพราะความหัวอ่อนของพลอยพิณที่ไม่ว่าเขาจะบอกจะพูดอะไร เธอไม่เคยขัดเขาสักครั้ง การที่ปวินท์ได้พบกับพลอยพิณและสนิทสนมกัน เพราะเป็นการแนะนำจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายที่สนิทสนมกันอย่างดี พลอยพิณมาจากตระกูลที่ดีและถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี นิสัยเธอเอาแต่ใจนิดหน่อยแต่ไม่เกินงามเหมือนผู้หญิงทั่วไป พอครั้งแรกที่ได้รู้จักกันพลอยพิณก็หลงรักเขาในทันที เธอบอกครอบครัวของเธอว่าอยากจะแต่งงานกับเขา แต่สำหรับเขาแค่รู้สึกดีกับเธอเท่านั้น แต่ไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน

จะให้หวนกลับไปเลิกรากันกับพลอยพิณในตอนนี้มันคงเป็นเรื่องยากซะแล้ว เพราะเขาพาตัวเองเข้าไปพัวพันในวงเวียนความรักของพลอยพิณมาเกือบห้าปีเต็ม

“วินท์คะ แวะภัตตาคารจีนทางนั้นนะคะ ร้านนี้อร่อยมากเลย พลอยเคยมาทานกับคุณแม่แล้ว ยิ่งช่วงนี้พลอยต้องไดเอทด้วย ไม่อย่างนั้นจะเป็นเจ้าสาวที่แสนสวยให้กับวินท์ไม่ได้นะคะ” เธอหัวเราะเสียงใส

“พลอย คุณรักผมมากไหม” เขาถามออกไปขณะที่ขับรถเลี้ยวเข้าลานจอดรถ

“มาก มาก มาก มากที่สุดเลยค่ะ” เธอยิ้มแก้มใส

เขาถอนใจออกมา

“ผมจะทำให้ได้แบบคุณแล้วกัน”

“ทำอะไรคะ” เธอหันมาย้อนถามด้วยแววตาเดียงสา

“เปล่าครับ”

เขาเดินเคียงข้างไปกับเธอเข้าภัตตาคารจีน เหมือนกับว่ามีหลายคนในร้านนี้ที่ทั้งสองคนคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะต้องกล่าวทักทายกันอยู่หลายโต๊ะทีเดียว ทุกคนถามถึงแต่เรื่องการแต่งงานทั้งนั้น เขาคงไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรชีวิตคู่ไปได้อีกแล้ว


รังไรตัดสินใจยื่นจดหมายลาออกให้กับหัวหน้างานของเธอ

“รังไร พี่รู้นะว่าเธอเบื่องานและสังคมในโรงงานเต็มทีแล้ว เธอสนใจจะทำโฆษณาไหม พี่จะแนะนำให้” หัวหน้างานกล่าวกับเธอ

“ก็น่าสนนะคะ แต่ตอนนี้หนู สภาพจิตใจไม่พร้อมเท่าไหร่ คงจะเบื่องานเต็มทีค่ะ หนูวางแผนไว้ว่าจะไปทำงานกับพี่ชายสักพัก” เธออธิบาย

“ทำอะไรล่ะ”

“พี่ชายจะเปิดร้านน้ำชาเล็ก ๆ ค่ะ มีเบเกอรี่ ของฝากเล็ก ๆ น้อย ขายด้วย หนูเลยจะไปช่วยพี่ดูร้านแล้วก็ออกแบบผลิตภัณฑ์ในร้านด้วยค่ะ” รังไรยิ้มน้อย ๆ ออกมา

“ถ้ามีงานทำแล้วก็ไม่เป็นไร ยังไงถ้าเธออยากเปลี่ยนงานหรืออยากทำอะไรก็บอกพี่ได้นะ พี่พอจะแนะนำให้เธอได้ อีกอย่างถ้ากลับมาทำงานที่นี่อีกพี่ก็ไม่ขัด” หัวหน้าสาวแก่ใจดี รู้สึกเสียดายความสามารถที่มีอยู่ของรังไรในตอนนี้มาก

เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนในการเคลียร์งานทั้งหมด รังไรนั่งถอนใจอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นึกอีกทีก็เสียดายงานนี้เหมือนกันมันสนุกและได้ใช้ประสบการณ์มากมาย แต่สามปีที่ผ่านมาก็สั่งสมประสบการณ์มากมายจนบางครั้งเกิดอาการเบื่อหน่ายขึ้นมาซะเฉย ๆ

“เป็นเวลาที่เหมาะสมมาก พอลาออกปุ๊ป ก็ลาออกไปพักใจต่อ” ชบาเพื่อนร่วมทีมงานเดียวกันที่แสนสนิทและรับรู้ในทุกเรื่องของเธอ

“ไม่ขนาดนั้นหรอก”

“นี่รังไร คิดดีแล้วหรือไงที่จะไปอยู่ในที่แสนไกล บรรยากาศเหงา ๆ ขนาดนั้นน่ะ มันจะไม่ทำให้เธอยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือไง” ชบาพูดไปพร้อมหยิบมาสคาร่าขึ้นมาเติมขนตาให้เด้งงอนงามตามแบบฉบับของเธอ

“เหงาตรงไหนล่ะ ไปอยู่นั่นมีงานทำนะจ้ะ ไม่ได้ไปอยู่ว่าง ๆ แถมยังมีพี่โสมนัส ลูกชายของป้า เจ้าน้องชายจอมแสบอีกสองคนทั้งต้นตาล ต้นเตย จะให้เบื่อยังไงไหว” เธอหันมายิ้มน้อย ๆ

“ก็จริงนะ โดยเฉพาะพี่ชายปากมากของเธอน่ะ คงใช้เธอทั้งวัน” ชบาทำหน้าตาเหมือนหมั่นเขี้ยวขึ้นมา

รังไรเลยหัวเราะออกมาได้ “ถามจริงเถอะ ทำไมเวลาพูดถึงพี่นัสทีไร ชบาต้องมีอาการแบบนี้ทุกที”

“ก็พี่นัสชอบว่า ฉันนี่ ไม่ซิเจอทีไรก็บ่นใส่ทุกที เรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำอย่างกับสนิทกันตายหล่ะ” ชบาบ่นอุบพร้อมจับผมที่รวบสวยให้เข้าที่

“เขาห่วง”

“เกี่ยวอะไรกัน ฐานะอะไร”

“จะให้บอกอีกเหรอ ไม่รู้หรือไงว่าพี่นัสเขากำลังตกหลุมรัก สาวชบาฉายคนนี้อยู่นะ ทีแบบนี้ทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ” รังไรเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อจะเริ่มทำงาน

“รู้ แต่ไม่อยากได้พี่นัสเป็นคนรัก คนอะไรไม่รู้ ไม่เคยดูแลตัวเองเลย ทำตัวโทรม อายุก็ไม่เยอะ แต่ทำตัวแก่เข้าไปทุกวัน” ชบาเบะปากพร้อมกับยิ้มปรายเสน่ห์ออกมา

“เอาหล่ะ ถ้าพี่นัสมาได้ยินคงเสียใจแย่นะ ชบาต้องเห็นใจพี่นัสเขาหน่อยนะ ตั้งแต่เขาจบเกษตร เขาไม่เคยทำงานในกรุงเลย พอจบปุ๊ปก็ไปช่วยป้าทำงานเลย ไม่ได้เห็นแสงสี ทีวีก็ไม่ค่อยได้ดี วัน ๆ เห็นแต่ต้นไม้ แสงแดด และคนงาน แล้วจะให้พี่นัสเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวให้เป็นเคป๊อปถูกใจแม่สาวชบาฉายได้ล่ะคะ” รังไรหัวเราะ

“จ้ะ ๆ แต่เย็นนี้ฉันมีนัดออกเดทด้วยนะจะบอกให้”

“กลับเด็กมหาลัยไหนเหรอ” เธอทำหน้าเชิงหยอกล้อ

“แหมไม่ได้เด็กขนาดนั้น น้องเขาเพิ่งได้งานทำวันแรก เลยจะไปฉลองกันสักหน่อย” ชบาฉายยิ้มเขิน ๆ

“อยากรู้จังเลยนะ มีแฟนเด็กมันรู้สึกยังไง” รังไรนั่งพิงเก้าอี้ แล้วก็เปิดข่าวบนหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าดู เธอคลิกไปหน้าข่าวสังคมเพื่อดูผลงานของเธอที่เพิ่งจะเปิดตัว แล้วก็นั่งยิ้มภูมิใจกับผลงานตัวเองกับการออกแบบซองขนมยี่ห้อใหม่ของโรงงานแห่งนี้

“นี่คุณปวินท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทโฆษณา คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง เอ ฉันจำได้ว่านี่คือคนที่เธอเล่าให้ฉันฟังใช่ไหม เขากำลังจะแต่งงาน น่าเสียดายแทนสาว ๆ บนโลกใบนี้ซะจริง” ชบาเลื่อนเก้าอี้ตัวเองออกไป

รังไรปิดข่าวนั้นทิ้ง และนั่งวาดงานบนโต๊ะต่อ เธอหยิบภาพขึ้นมาดูแล้วนำไปสแกนลงคอมพิวเตอร์ ไม่ได้หันมาสนใจกับชบาฉายที่เดินตามมายืนข้าง ๆ

“รังไร ทำใจเถอะเพื่อน คือฉันก็ไม่รู้จะปลอบใจเธอยังไง แต่อะไรที่ไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่นะ”

“ฉันรู้ ขอเวลาสักพักเถอะชบา เดี๋ยวมันคงดีขึ้นมาเอง”

“มีทางเดียวนะ รังไร ถ้าเกิดว่า คุณพลอยพิณเขามีคนรักใหม่ ป่วยกระทันหัน หรือไม่งั้นก็ตาย คงจะทำให้คุณปวินท์ยุติการแต่งงานลงได้” ชบาฉายแนะ

“อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ถ้าคุณพลอยพิณเป็นอะไรไป พี่วินท์คงจะเสียใจมาก ฉันไม่อยากให้พี่เขาทรมานเพราะการจากไปของคนรัก” เธอเดินกลับมานั่งที่โต๊ะและทำงานต่อ

“เอาอย่างนี้ซิ เพื่อเป็นการพิสูจน์ นัดเขากินข้าวเลย จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วคุณวินท์ยังคิดกับรังไรมากกว่าน้องสาว

“ไม่ดีมั้ง” เธอส่ายหน้า

“ถ้าจะนัดคงต้องให้พี่นัส เป็นคนติดต่อแล้วฉันไปด้วยจะเหมาะกว่า แต่จริง ๆ มันคงไม่เกิดประโยชน์อะไรอีกแล้วหล่ะ” รังไรพูดจบก็หันหน้ากลับมาตั้งอกตั้งใจทำงานที่ค้างไว้ต่อ เมื่อเธอออกจากบริษัทแห่งนี้ไปแล้วจะได้ไม่ทิ้งภาระไว้ให้ใคร


เย็นวันนั้น รังไรขับรถไปส่งชบาฉายยังที่นัดหมายไว้ที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง รถราติดขัดพอสมควร แต่สำหรับเย็นวันจันทร์ผู้คนไม่ได้หนาแน่นอย่างที่คิด และเป็นการแก้เบื่อ รังไรเลยไปกับชบาฉายซะด้วยเลย เหตุผลสำคัญคืออยากจะไปเห็นหน้าเจ้าเด็กหนุ่มที่ชบาฉายบอกว่าจะหยุดกับเขาคนนี้แล้ว ซึ่งเพื่อนสนิทกับเธอฟังจนเอียนหูแล้วหล่ะ

“นี่ เอางี้ไหม ไว้วันหลังฉันจะนัดเพื่อน ๆ ของเด็กใหม่ฉันมาให้เธอดูตัวดีไหม”

“พูดเป็นบ้า ฉันแค่แวะมาแอบมองว่าไอ้หนุ่มหน้าใสของเธอมันน่ารักแค่ไหน เดี๋ยวฉันจะแวะไปห้องสมุดชั้นบนสักหน่อย” เธอยิ้มจาง ๆ ออกมา

“อ่ะตามใจ โน้นไง น่ารักไหม เดินยิ้มแป้นมาเชียว” เธอชี้แฟนใหม่ของเธอให้รังไรดู

รังไรทักทายหนุ่มรุ่นน้องตามมารยาท แต่เขาก็หน้าใสจริง บุคคลิกภาพดูไม่หน่อมแน้มจนเกินไป แต่ก็เอาเถอะนะ ขอให้เพื่อนโชคดีแล้วกัน รังไรร่ำลาเพื่อนเสร็จก็รีบปลีกตัวออกมา ตรงขึ้นบันไดเลื่อนไปห้องสมุดชั้นบนที่เพิ่งเปิดใหม่สำหรับนักออกแบบ ดีไซเนอร์โดยเฉพาะ ซึ่งเธอเพิ่งเสียค่าสมาชิกรายปีราคาค่อนข้างสูงไปให้กับห้องสมุดแห่งนี้ เธอต้องยอมจ่ายเงินเพื่อแลกกลับการได้ดูหนังสือดี ๆ จากเมืองนอกและหาข้อมูลอื่น ๆ ที่เปิดโลกทรรศน์ให้กับตัวเธอด้วย

ระหว่างที่เธอยืนเหม่อลอยขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อจะไปห้องสมุด เธอต้องตกใจหน้าซีดเผือด เพราะสายตาคู่นั้นส่งตรงมาที่เธอด้วยสีหน้าตระหนกไม่แพ้กัน

“พี่ปวินท์” เธอรีบหลบหน้าเขาทันที เหมือนทำความผิดอะไรมา

ด้วยความที่ไม่ได้มองทางเลยชนเข้าอย่างจังกับผู้ชายคนหนึ่งที่ทางขึ้น เธอล้มลง เขาฉุดมือเธอขึ้นมา

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่าค่ะ ไม่เป็นอะไร” เธอพูดเสร็จก็เงยหน้าขอบคุณเขา เขาส่งยิ้มมาที่เธอ และเดินตามเธอมาจนถึงห้องสมุด

“นี่ ตามมาทำไมคะ ฉันไม่ได้เจ็บตรงไหน อีกอย่างก็บอกขอบคุณไปแล้ว” เธอพูดห้วน ๆ พร้อมชักสีหน้าไม่ดีนัก

“ผมไม่ได้ตามคุณ ผมจะมาที่ห้องสมุดนี้เหมือนกัน”

“กวนหรือเปล่าเนี่ย” รังไรถามคนแปลกหน้า

“เปล่า” เขาตอบสั้น ๆ เช่นกัน ท่าทางเซอร์นิด ๆ ของเขาผสมความเป็นคุณหนูบอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าบุคคลิกอย่างเขาจะมาห้องสมุดแบบนี้นี่นะ ช่างไม่เข้ากันซะเลย

“รังไร” ปวินท์เดินปรี่มาที่เธอ

“เป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อกี้พี่เห็นรังไรล้ม เลยวิ่งตามมาดู” ปวินท์พูดจาห่วงใยเธอ จนเขาลืมไปหรือเปล่าว่าพลอยพิณยืนอยู่ข้าง ๆ ในตอนนี้

“พี่ อ้อ เปล่าค่ะ ไม่เป็นไร”

“แล้ว นายคนนี้เป็นใคร” ท่าทางปวินท์เหมือนอยากจะมีเรื่องยังไงชอบกล

“อ้อ เพื่อนค่ะ บังเอิญนัดกันมาดูหนังสือ” เธอตอบมั่วไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ จนชายหนุ่มแปลกหน้าต้องหยุดชะงักและมองหน้าเธอ แต่เหมือนสถานการณ์พาไปเขาเลยต้องตามน้ำ

“พี่ปวินท์มาทำธุระเหรอคะ” รังไรถามด้วยน้ำเสียงนั่นเครือเล็กน้อย ทั้งที่ก็เห็นภาพอยู่แล้วที่ในมือของเขาถือถุงเสื้อผ้าแบรนด์ดังอยู่หลายถุง

ปวินท์ไม่ตอบคำถามใด ๆ และเหมือนจะยิ้มไม่ออก

“นี่พลอยพิณ เธอเป็น”

รังไรอยากจะวิ่งหนีไปเสียแต่ตอนนี้

“ว่าที่เจ้าสาว” เสียงปวินท์แผ่วเบา

“ค่ะ สวัสดีค่ะ” รังไรยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า

“สวัสดีค่ะ” พลอยพิณทักทายเธอ

“อย่าลืมมางานของเรานะคะ”

“ค่ะ” รังไรรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกอยู่ที่คอหอย บอกไม่ถูกเหมือนกัน

“รังไรขอตัวนะคะพี่ปวินท์ เฮ้ยแกไปซิ ชักช้าเดี๋ยวห้องสมุดปิดพอดี” เธอร่ำลาคนทั้งสองแล้วกึ่งลากกึ่งจูงชายแปลกหน้าเดินตามเข้าไป จนเข้าแทบจะหยิบบัตรผ่านเข้าห้องสมุดออกจากกระเป๋าแทบไม่ทัน

เสียงเรียกของปวินท์ยังดังก้องหูอยู่ เธอไม่หรอกว่าตอนนี้เขามีสีหน้าอย่างไร อาลัยอาวรณ์ หรือ ว่าเฉย ๆ รวมถึงน้ำเสียงของเขาเธอก็แยกไม่ออก เหมือนประสาทไม่รับรู้มันอึ้งอึงไปหมด

เธอจูงเขาเข้าไปจนสุดห้องตรงเก้าอี้ที่บรรยากาศเงียบงันและนั่งลงนิ่ง ๆ

“เป็นอะไรมากไหมคนแปลกหน้า” เขาถามเธอ

“ขออยู่เงียบ ๆ ก่อนได้ไหม”

“งั้นผมไปนะ” เขาเตรียมจะลุก พอเห็นท่าไม่ดีว่าสาวแปลกหน้าอย่างรังไรไม่อยากสนทนาด้วยก็เลยหายตัวไปจากตรงนั้นสักพัก แล้วเขาก็หอบหนังสือมานั่งอ่านอยู่ข้างเธอ

“ขออยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน”

รังไรมองหน้าเขาแล้วก็ยิ้มออกมา

“ก็ดี อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเลยไหม” เธอพูดเชิงประชด

“เอาซิ แต่ขอทำงานที่นี่ก่อนแป๊ปนะ หิวยังล่ะ” เขาถามกลับมา

รังไรส่ายหน้าและไม่ตอบคำถามใด ๆ เธอเดินไปหาหนังสือแล้วเอามานั่งอ่านอยู่ข้าง ๆ เขา

มิตรภาพที่เกิดขึ้นใหม่ในตอนนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกดีได้พอสมควร แต่ในหัวใจอยากจะตะโกนร่ำร้องออกมา ถึงชายในฝันสมัยวัยเยาว์ ถ้าปาฎิหาริ์ยมีจริง และ เธอเป็นเนื้อคู่กับปวินท์ ฟ้าคงดลใจให้เราได้พบกันและรักกันโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ

“เพี้ยง ๆ” อยู่ ๆ คำพูดนี้ก็หลุดปากออกมา

“เสกอะไรอยู่เหรอ คุณแม่มด”

รังไรลืมตัวเลยเผลอหน้าแดงออกมา “ถ้าพรหมลิขิตมีจริง ชีวิตคงไม่ยุ่งเหยิงใช่ไหม”
ชายแปลกหน้า พยักหน้าและยักคิ้วพร้อมยิ้มออกมา ดวงหน้าของเขาทำให้เธอยิ้มออกมาได้อย่างลืมตัว





 

Create Date : 16 มกราคม 2555    
Last Update : 16 มกราคม 2555 8:20:32 น.
Counter : 615 Pageviews.  

รังที่ 1



รังไรลวงรัก
บทที่ 1

“เอ่อ คือ คือ” สาวน้อยผมสั้นแค่บ่า ยืนก้มหน้าและพูดจาอึกอัก แก้มสองข้างของเธอฉาดสีเหมือนลูกตำลึงทั้งพวง อาการเขินอายแสดงออกต่อหน้ารุ่นพี่คนหนึ่ง เขา ปวินท์เป็นเพื่อนของพี่ชาย ด้วยความสนิทสนมทำให้เธอคิดกับเขามากกว่าความเป็นพี่น้องกัน

“ว่ายังไงจ้ะ รังไร มีอะไรจะบอกพี่หรือไง แล้วทำไมต้องทำหน้าเขินแบบนั้นด้วย” ปวินท์ยืนยิ้มและจ้องมองหน้าเธออยู่แบบนั้น

“รังไร อยากจะบอกพี่ปวินท์ว่า คือ รังไรไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดีนี่คะ”

“ถ้าเราไม่พูด พี่กลับบ้านดีกว่า เพราะอีกสักพักคนขับรถก็จะมารับพี่กลับบ้านแล้ว ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณนะที่นายนัสกับรังไรมาเลี้ยงส่งพี่ นึกแล้วก็ใจหายนะ อีกตั้งสี่ปี กว่าเราจะได้พบกันอีก หรือไม่แน่นะ ถ้าพี่ปิดเทอมอาจจะบินกลับมาเมืองไทย พี่สัญญาว่าจะแวะไปเยี่ยมรังไรกับนายนัสถึงบ้านเลย” ปวินท์หยิบของในกระเป๋าของเขาเป็นกล่องของขวัญเล็ก ๆ ยื่นให้เธอ

“อะไรคะ” เธอรับกล่องไปและเขย่าดูเบา ๆ

“ของที่ระลึก ไม่ต้องเปิดตอนนี้หรอกนะ เก็บไปเปิดดูที่บ้าน”

รังไรยกมือไหว้ตอบขอบคุณ

“อ้าวตกลงว่าไง โน้นนายนัสเดินมานั่นแล้ว” เขาหันไปส่งยิ้มให้นายโสมนัสพี่ชายของรังไร

“ได้เวลาคนที่บ้านมารับนายแล้วนี่” โสมนัสกล่าว พร้อมดึงของขวัญในมือน้องสาวมาดู

“นี่ของเค้านะพี่นัส” เธอโวยวายออกมาและชักสีหน้าเล็กน้อย ที่พี่ชายเธอเข้ามาขัดจังหวะในตอนนี้

“แล้วนายจะไปส่งเราที่สนามบินหรือเปล่า” ปวินท์ถามกลับไปด้วยสีหน้าเศร้า

“แน่นอนอยู่แล้วเพื่อน” โสมนัสตบไหล่เขาเพื่อยืนยัน

“คนขับรถมาพอดีเลย ยังไงอีกสองวันเจอกันที่สนามบินนะ รังไรพี่ไปก่อนนะครับ แล้วถ้าว่างอย่าลืมไปส่งพี่ด้วยนะ” เขาโบกมืออำลาและเดินไปกับคนขับรถแล้ว

รังไรยืนมองตามหลังเขาด้วยสายตาละห้อย เธอกอดกล่องของขวัญนั้นไว้แนบอก ระยะเวลาสองวันที่ปวินท์จะอยู่เมืองไทยมันสั้นเกินไปเสียแล้ว ตอนไหนกันนะที่รังไรจะมีโอกาสได้บอกความในใจให้เขาได้รับรู้

“นี่ปวินท์ให้ของขวัญอะไร อยากรู้จังเลย แล้วเจ้าปวินท์มันคิดอะไรกับน้องสาวพี่หรือเปล่านะ” โสมนัสเดินกอดคอน้องสาวเพื่อไปโบกรถแท็กซี่นั่งกลับบ้าน

“พี่ปวินท์ให้กลับไปเปิดดูที่บ้านค่ะ” น้ำเสียงเธอเศร้า

“หน้าจ๋อยเลยโว้ย เป็นอะไร ปวดท้อง หรือว่า...”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น รถมาแล้วโบกซิ รังไรอยากกลับบ้านแล้ว” เธอชักน้ำเสียงงองแงใส่พี่ชายเธอ โสมนัสได้แต่เดินหัวเราะตามน้องสาวไป

แล้ววันแห่งการจากลาก็มาถึง สนามบินสุวรรณภูมิคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งไทยทั้งต่างประเทศ สองพี่น้องรีบจ้ำเท้าให้เร็วที่สุด เพราะมัวแต่หลงทางอยู่ในสนามบิน

“นั่นไง ปวินท์ ปวินท์” โสมนัสตะโกนเรียกพร้อมรีบจูงมือน้องสาววิ่งกระหืดกระหอบไป ทั้งสองคนกล่าวทักทายผู้ใหญ่ของครอบครัวเขา

“นึกว่านายจะไม่มาส่งเราซะแล้วนัส” เขาตื่นเต้นดีใจไปด้วย

“รังไรก็มาด้วย” เขาหันไปทักเธอ

“อีกสักสิบนาทีเราจะเข้าไปแล้วนะ”

“ไม่มีเพื่อนคนอื่นมาเลยหรือนี่ แย่จังเลย” โสมนัสกล่าว

“ไม่เป็นไรหรอกมีแค่นายกับน้องสาว เราก็ดีใจมากแล้ว อีกสี่ปีเจอกัน”

ปวินทร์โบกมืออำลาอีกครั้ง เขากอดโสมนัสเป็นการสั่งลาและพอจะเดินเข้าส่วนตรวจคนเข้าเมือง เขากระซิบกับโสมนัสเบา ๆ โดยที่รังไรไม่ได้ยินว่าพี่ชายสองคนพูดอะไรกัน

โสมนัสเดินปลีกตัวไปอีกทาง ส่วนปวินท์ถือวิสาสะจับที่ข้อมือของเธอและจูงเธอเดินไปอีกทางหนึ่ง

“วันนั้น รังไรยังไม่ได้บอกอะไรบางอย่างกับพี่เลยนะ” เขาจำได้ทำให้สาวน้อยตกใจและยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นขึ้นไปอีก เธอก้มหน้าลงและเตะขาขวาไปมา

“พี่จะไปแล้วนะ ตกลงรังไร”

“รังไรชอบพี่ปวินท์ค่ะ”

เขายื่นมือมาจับมือเธอไว้ทั้งสองข้างพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเธอ

“รังไร”

เธอเงยหน้ามองเขา สายตาอ่อนโยนและรอยยิ้มแสนหวานของเขาส่งตรงถึงเธอ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ มือทั้งสองของเขาอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เขาหน้าแดงจนถึงใบหูเลย

“ขอบคุณนะรังไร” เขาปล่อยมือเธอลงช้า ๆ

ไม่ได้ตอบกลับอะไรออกมาอีกเลย เขาเดินนำหน้าเธอไป แล้วคำพูดของปวินท์ที่บอกว่าขอบคุณ หมายความว่าอย่างไร เขาตอบรับ หรือ เขาปฏิเสธ รังไรรู้สึกหน้าแตก และละอายใจมากกลับประโยคสั้น ๆ ที่บอกออกไป จริง ๆ แล้วไม่ควรพูดมันออกไปเลย


ดินสอไม้ที่กำลังถูกมีดปลายแหลมเหลาให้คม ด้วยน้ำหนักแรงมือที่ไร้สมาธิของเธอกดลงไปทำให้ปลายดินสอสีดำเข้มหัก พร้อมกับมีดบาดที่ปลายนิ้วของเธอ เธอวางมีดคัตเตอร์ใบมีดขนาดเล็กลงบนโต๊ะ ดินสอก็กลิ้งตกลงพื้นไป

รังไรเดินอ่อยอิ่งไปทำความสะอาดนิ้วและทำแผลให้กับตัวเอง เธอยืนมองตัวเองที่กระจกส่องหน้าในห้องน้ำ พยายามจะฝืนยิ้มให้กับตัวเอง แต่ก็ยิ้มไม่ออกเหมือนกับริมฝีปากมันตึง ๆ ไม่ใช่เพราะอากาศหนาวเย็นในไร่ชาบนยอดดอยแบบนี้ แต่เป็นเพราะหัวใจเธอไม่อยากยิ้มไปด้วยต่างหาก เรื่องราวในอดีตที่เธอคิดวนไปวนมาถึงเรื่องเมื่อวัยเยาว์ในตอนนั้น

“นานเหลือเกินแล้วนะ มันนานเกินไปแล้ว” เธอพร่ำกับตัวเอง

รังไรเดินเข้าครัวหยิบใบชาเขียวแห้งใส่กาเซรามิคสีขาว แล้วกดน้ำร้อนตามลงไป ทิ้งระยะเวลาสักสิบห้านาทีก็ยกกาน้ำชามาวางลงบนโต๊ะ เธอรินน้ำชาในแก้วใบเล็กอย่างละเมียดละไม และนั่งเหลาดินสอไม้ต่ออย่างนิ่งสงบ

น้ำตาเธอรินออกมาช้า ๆ สายตาเริ่มพร่ามัวมองไม่เห็นว่าตอนนี้ปลายดินสออยู่ตรงไหน เธอวางคัตเตอร์ลงและปาดน้ำตาออกจากสองข้างแก้ม

“ไม่จริงใช่ไหม พี่ปวินท์มันไม่จริงใช่ไหม” เธอร่ำไห้ออกมา แต่ต้องรีบกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพราะตอนนี้โสมนัสพี่ชายของเธอกำลังเดินตรงมาหาเธอแล้ว

“วันนี้อากาศหนาวกว่าทุกวันเลยนะ” เขาถอดหมวกไหมพรมวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับหยิบถ้วยน้ำชาใบจิ๋วยกขึ้นดื่ม

“ใครอนุญาตคะพี่นัส” เธอทำเสียงขุ่น

“นั่งเหลาดินสอทำไมเยอะแยะ” เขานั่งจิบชาที่ร้อนจนปากแทบพองทีละน้อย แล้วรินแก้วต่อไป เพื่อคลายหนาวอย่างต่อเนื่อง

“เหลาไว้ ว่าจะวาดรูปสักหน่อย”

“แล้วตัดสินใจยังไงล่ะ จะทำงานที่เก่าต่อ หรือว่าจะย้ายมาช่วยพี่ทำงานที่ไร่ชาก่อน” โสมนัสนั่งถูมือไปมาเพราะอากาศที่หนาวเย็น

“กำลังคิดอยู่ค่ะ”

“งานออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เก่ามันน่าเบื่อแล้วหรือไง” โสมนัสถามออกไป

“เบื่อคนมากกว่า ไม่ได้เบื่องาน”

“อีกอย่างทำที่นี่มาสามปีแล้วเบื่อ อยากเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ ๆ บ้าง” เธอยังนั่งเหลาดินสออยู่หลายแท่งไม่ยอมหยุด

“แล้วเราจะไปงานแต่งงานของปวินท์หรือเปล่า เขาคงดีใจนะจะได้เจอรังไรน่ะ เขาคงนึกไม่ถึงแน่ว่าน้องสาวพี่ยิ่งโตก็ยิ่งสวยน่ะ” โสมนัสชมน้องสาวตัวเอง

“สงสัยจะมีแต่พี่นัสแหละที่ชมรังไรว่าสวยน่ะ” เธอรวบผมขึ้นมาแล้วบิดผมยาวสลวยขึ้นมวยแล้วใช้ผ้ามัดไว้ลวก ๆ

“ขอรังไรคิดดูก่อนนะคะพี่นัส ไม่อยากเดินทาง”

“นั่งเครื่องไปเหนื่อยตรงไหนเชียว พี่จะได้กลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ ไม่ได้ลงไปเยี่ยมท่านนานแล้ว นะไปเถอะไปด้วยกัน” โสมนัสตื้อน้องสาวเขา

“พี่จะไปวันไหน”

“ก็ก่อนวันแต่งเขาสักสองสามวัน พูดแล้วก็อิจฉาปวินท์ พ่อหนุ่มนักเรียนนอก กลับมาก็รับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดจริง ๆ เลย แถมยังได้แต่งงานกับลูกสาวผู้ดีมีชาติตระกูล สวยซะด้วย” โสมนัสถอนใจออกมา

“พี่นัสก็สู้ใคร ๆ เขาได้เหมือนกันนะคะ ตอนนี้เป็นเจ้าของไร่ชาแสนกว้างใหญ่ ฐานะบ้านเราก็ไม่ได้ขี้เหร่สักหน่อย” เธอหัวเราะออกมา

โสมนัสหยุดนิ่งและจ้องมองดวงหน้าน้องสาว เขารู้เลยว่าถ้าน้องสาวของเขาทำสีหน้ากังวลใจและน้ำเสียงไม่สดใส หัวเราะแค่น ๆ ออกมา แสดงว่ากำลังมีเรื่องภายในใจแน่ ๆ

“รังไร น้องเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาส่งเสียงแห่งความอบอุ่นออกไป

เธอส่ายหน้า

“รังไรแค่คิดเรื่องอะไรเพลิน ๆ นิดหน่อย”

“เสียใจหรือเปล่าที่ปวินท์แต่งงาน” เขาพูดตรง ๆ ออกไป รังไรเลยปั้นหน้าไม่ถูก

“พี่รู้นะว่ารังไรคิดอะไรกับปวินท์ นั่นเป็นเรื่องสมัยเด็กผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว น้องยังมีใจให้เขาอยู่อีกเหรอ ผู้หญิงที่มีใจมั่นคงต่อใครคนหนึ่งแบบน้องนี่หนึ่งในร้อยได้มั้ง” โสมนัสยิ้มที่มุมปาก

“ก็”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พี่ไม่เข้าใจหรอกนะ ในเมื่อที่ผ่านมาปวินท์เขาก็ไม่เคยบอกความรู้สึกอะไรต่อน้องเลยไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่างตอนที่เขาอยู่เมืองนอกก็ไม่ค่อยได้ติดต่อมาเลย จนเขากลับมาแล้วส่งการ์ดมาให้ในครั้งนี้” โสมนัสทำหน้าซีเรียส

“ก็จริงอย่างที่พี่พูด แต่การที่เราหลงรักใครสักคนแล้วคิดว่า เขาใช่... มันก็” เหมือนอะไรจุกอยู่ในลำคอเธอหยิบน้ำชาขึ้นจิบ

“ถ้าน้องไม่สบายใจ ไม่ต้องไปร่วมงานแต่งงานของปวินท์ก็ได้ เพราะถ้าเราไปร่วมงานด้วย แล้วไปทำสีหน้าแบบนี้ เจ้าบ่าวเขาจะไม่สบายใจเอาได้นะ”

“พี่นัสไม่โกรธรังไรนะคะ ขอเวลาน้องทำใจสักหน่อย อีกหน่อยคงลืมเขาได้เอง”

“อะไรที่ทำให้เราไม่ยอมที่จะลืมเขาสักที” โสมนัสถามเสียงเข้มแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลใจ เขาลุกขึ้นยืนและเดินโอบไหล่น้องสาวไว้

“ตอนสมัยเด็กเขาดีกับรังไรมากเลยค่ะ บางครั้งเขาทำให้รังไรรู้สึกว่า น้องเป็นคนพิเศษสำหรับเขา วันที่เขาจะบินไปเรียนต่อ เขาจับมือรังไรและยิ้มรับกับคำพูดสารภาพจากรังไร แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรสักนิดเลยค่ะ ระหว่างที่พี่ปวินท์อยู่ต่างประเทศมีหลายครั้งที่เขาโทรศัพท์มาหาแล้วบอกว่าคิดถึง” เธอก้มหน้าลงเพราะรู้สึกอายในเรื่องโง่เขลาของตัวเอง

“บางทีการที่ผู้ชายพูดแบบนั้นกับเรา มันไม่ได้หมายความว่าเขารักเราแบบอื่นนอกจากอาจจะแบบน้องสาวที่เขาสนิทก็ได้นะ”

“แต่ว่าพี่ปวินท์เขา....”

“เอาเถอะแล้วแต่รังไรนะ อยากจะให้ตัวเองปวดใจเพราะคนที่ไม่ได้รักเราก็ตามใจ พี่ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนละกัน” โสมนัสเดินเข้าบ้านไปแล้ว

รังไรนั่งนิ่งอยู่ที่เก้าอี้ ก็สิ่งที่เธอจะบอกกับพี่ชายของเธอก็คือ ปวินท์ พูดว่าเป็นห่วงเธอเสมอ และอยากจะพบหน้าเธอเมื่อกับถึงเมืองไทย ประโยคแบบนี้หมายความยังไงกัน ผู้ชายคิดอะไรขณะที่พูดประโยคนี้กลับเธอ



ปวินท์นั่งกดโทรศัพท์เล่นไปมา ขณะรอว่าที่เจ้าสาวของเขากำลังเลือกแบบชุดแต่งงานอยู่

“วินท์คะ คุณว่าพลอยสวมแบบชุดนี้ทำให้ดูดีไหมคะ” เธอชี้ภาพนางแบบหุ่นใกล้เคียงกับเธอในหนังสือ

“ก็ดีครับ” เขายิ้มน้อย ๆ ผิวขาวอมชมพูของเขาและผมทรงรากไทร ที่ผมด้านหน้าสไลด์เป็นลำดับอย่างพิถีพิถัน ละอยู่ที่หน้าผากและดวงตา ทำให้เขาดูอ่อนกว่าวัย

“แล้ววินท์ไม่เลือกชุดหรือคะ”

“ชุดไหนก็คงเหมือนกัน พลอยเลือกชุดที่เหมาะกับพลอยจะดีกว่านะครับ พอคุณเลือกได้แล้ว ผมค่อยเลือกชุดของผมคงจะง่ายกว่า” เขาพูดจบก็โทรศัพท์กลับไปสั่งงานเลขานุการโดยไม่ได้แสดงความเห็นกับเธอเลือกชุดแต่งงานอีก

“วินท์ตามใจพลอยตลอดเลย คุณน่ารักที่สุดเลยค่ะ” เธอหันไปใช้ปลายจมูกชนแก้มของเขาและยิ้มอย่างเป็นสุข

พลอยพิณไม่ได้หันมองสีหน้าของเขาในตอนนี้ เธอกำลังง่วนและสนุกอยู่กับแบบต่าง ๆ ที่พนักงานนำเสนอ

“พลอยเลือกแบบได้แล้วนะคะ ชุดสำหรับหมั้น วันแต่งงานตอนเช้า และตอนเลี้ยงกลางคืน”

“ของผมก็ให้ทางสตูดิโอเลือกให้แล้วกันครับ ชุดแบบไหนก็ได้ที่คุณคิดว่าเหมาะ แล้วที่พลอยอยากจะถ่ายภาพเวดดิ้ง เลือกสถานที่แล้วก็วันถ่ายภาพได้หรือยังครับ ผมจะได้เตรียมเคลียร์งานได้ทัน” ปวินท์ยืนให้พนักงานวัดตัวอย่างว่าง่าย

พอเสร็จ เขาก็รอให้พลอยพิณวัดตัวต่อ รวมถึงเลือกของชำร่วย คุยถึงรูปแบบงานแต่งงานที่สมัยนี้นิยมให้บริษัทรับจ้างจัดงานดำเนินการให้ ดูเธอจะเพลิดเพลินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ส่วนเขาขอตัวออกมาที่นอกสตูดิโอแล้วกดโทรศัพท์หาเพื่อนรักของเขา

“ไงว่าที่เจ้าบ่าว หน้าชื่นตาบานเลยซิ” โสมนัสแซวผ่านปลายสาย

“ก็ดี แล้วนายสบายดีไหม นายจะมาร่วมงานแต่งงานหรือเปล่า” ปวินท์ส่งเสียงออกไป

“ไปอยู่แล้ว มีอะไรให้เราช่วยไหมล่ะ แล้วคิดที่ฮันนี่มูนไว้หรือยัง”

“ไม่รู้สิ แล้วแต่พลอยพิณ”

“แล้วแต่ แล้วแต่ ยอมเมียตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะนาย” โสมนัสหัวเราะ

“จำเป็นนี่” เขาตอบห้วน

“ยังไงชีวิตใหม่ของนายกำลังเริ่มต้น นายต้องมีความสุขมากแน่ ๆ เจ้าสาวของนายทั้งสวยและเก่ง น่าอิจฉาออก ดูฉันซิอยู่แต่ไร่ชา วัน ๆ เจอแต่คนงานไม่ได้เจอนางฟ้าแบบนายหรอก” เขาหัวเราะออกมา

“นายคิดแบบนั้นเหรอนัส” เขาส่งเสียงเครียด

“แน่นอน เฮ้ย เดี๋ยวเราคุยธุระกับเจ้าหน้าที่อำเภอก่อนค่อยคุยกันใหม่นะ” โสมนัสวางสายโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้กล่าวคำร่ำลา

“วางหูซะแล้ว ยังไม่ได้ถามเลยว่ารังไรเป็นยังไงบ้าง” เขาถอนใจออกมา

“วินท์ ออกมาข้างนอกทำไมคะ มาช่วยกันเลือกของชำร่วยดีกว่าค่ะ” เธอเดินมาคล้องแขนว่าที่สามีของเธออย่างแช่มชื่น

การแต่งงานอีกไม่นานก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ในหัวใจของปวินท์รู้สึกลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง การแต่งงานครั้งนี้ของเขาเป็นการแต่งงานที่สมบูรณ์แบบใช่ไหม เขาได้แต่คิดทบทวนในหัวใจ




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2554    
Last Update : 30 ธันวาคม 2554 17:51:05 น.
Counter : 792 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

nalinnovel
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นลินโนเวล เป็นบล็อกที่รวบรวมผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้น นวนิยาย โดยมีนามปากกาว่า
นลิน คือ รักหวาน - Sweet
ฟุ้งรัก คือ รักสดใส - Pastel
จุล คือ เรื่องสั้นและบทความ - A love aleart -Aom
อยากให้เพื่อน ๆ ทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านผลงานของนลินแล้วรู้สึกว่ากำลังทำสปาอยู่เลยค่ะ เลยแยกผลงานไว้ให้เข้าใจและเลือกประเภทที่จะทำให้ทุกคนRelax ได้ตามอัธยาศัย
และสักวันหนึ่งหวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้พบกับผลงานของนลินตามแผงหนังสือนะคะ ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้นลินด้วยนะ ขอบคุณค่ะ

ตัวอักษรทุกตัวของบล็อกนลินโนเวล สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมด หรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดใน Blogไปเผยแพร่ โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าของBlogเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!
Friends' blogs
[Add nalinnovel's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.