ตำนาน Ctrl+Alt+Delete อันโด่งดัง

























































คอนโทรล (Ctrl) ออลติเนต (Alt) และดีลีท (Delete)

คือคำสั่งยอดฮิตสำหรับจัดการกับคอมพิวเตอร์
ที่ไม่สามารถควบคุมได้ที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปรู้จักกันดีโดยทั้งสามปุ่ม
นี้จะต้องกดพร้อม ๆ กัน จากนั้นระบบจะทำการบูตเครื่องใหม่
ซึ่งทั้งสามปุ่มนี้ เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายมาตลอด 10
ปีที่คอมพิวเตอร์มีบทบาทกับชีวิตของมนุษย์เรา

เดวิด บรัดเลย์ (David Bradley)


หนึ่งในพนักงานจากยักษ์ใหญ่สีฟ้า ไอบีเอ็ม
เขาคือผู้คิดค้นโค้ดคำสั่งดังกล่าว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที
ในการเขียนโค้ดคำสั่ง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
เขาได้สร้างคำสั่งที่ตรงใจผู้ใช้และจำเป็นมากที่สุดคำสั่งหนึ่งเลยทีเดียว





























บรัดเลย์เข้าร่วมงานกับไอบีเอ็มเป็นครั้งแรกในปี
ค.ศ. 1975 ในตำแหน่งวิศวกร


ประจำอยู่ที่โบคา ราตัน รัฐฟลอริด้า จากนั้นในปี 1980 เขาคือทีมงาน 1 ใน
12 คนของไอบีเอ็มที่ปลุกปั้นคอมพิวเตอร์พีซีขึ้นมา

ซึ่งนั่นทำให้เขาย้ายมาทำในส่วนของการวิจัยและพัฒนาให้กับไอบีเอ็ม

โดยในยุคเริ่มแรกของพีซีนั้น


พวกเขาจำเป็นต้องออกแบบให้มันใช้งานได้ง่ายที่สุด
รวมถึงวิธีการรีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่มันทำงานผิดพลาด
หรือเกิดแฮงค์ขึ้นมานั่นเอง และโค้ดคำสั่ง Ctrl + Alt
+ Delete
ก็คือหนึ่งในหลาย ๆ คำสั่งที่บรัดเลย์คิดขึ้นมาได้


ในตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกว่ามันจะกลายเป็น
คำสั่งสำคัญของคอมพิวเตอร์พีซีในอนาคต เพราะว่าผมก็ต้องคิดคำสั่งต่าง ๆ
อีกมากมาย นอกเหนือจากCtrl+Alt+Delete แต่ปรากฏว่าคำสั่งดังกล่าวนี้
เป็นที่รู้จักมากที่สุด





























แต่ก็อาจกล่าวได้ว่า


ชื่อเสียงที่โด่งดังของเขานั้น ขึ้นอยู่กับความผิดพลาดของคนสร้างโปรแกรม
ว่าจะสร้างพลาดมากน้อยเพียงไร โดยเขากล่าวว่า ผมอาจจะเป็นคนสร้างมันขึ้น
มา แต่บิล เกตต์ คือคนที่ทำให้มันเป็นที่รู้จัก


ซึ่งการสรรเสริญของบรัดเลย์ต่อบิล เกตต์ครั้งนี้


ทำให้เจ้าของค่ายยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ ผู้สร้างซอฟต์แวร์ Microsofts
Windows
ชื่อดังถึงกับหัวเราะไม่ออกมาแล้ว
เพราะอีกนัยหนึ่งก็คือการตอกย้ำให้เห็นถึงความผิดพลาด
ในการทำงานของซอฟต์แวร์ของบิล เกตต์นั่นเอง









สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 19:28:51 น.
Counter : 588 Pageviews.  

คมความคิด ไม่สำคัญว่า.. แต่สำคัญที่ว่า...!



















































คมความคิด ไม่สำคัญว่า แต่สำคัญที่ว่า

ไม่สำคัญว่า ... คุณขับรถยี่ห้ออะไร ?

แต่สำคัญที่ว่า... คุณเคยให้คนที่ไม่มีรถ "
นั่ง "
มาด้วยกี่ครั้ง


ไม่สำคัญว่า ... คุณทำงานล่วงเวลามากขนาดไหน ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณให้ "เวลา" แก่
ครอบครัว และคนที่รักมากแค่ไหน


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเสื้อผ้าทันสมัยกี่ชุดในตู้ ?

แต่สำคัญที่ว่า...คุณเคยให้เสื้อผ้าแก่คนที่ "
ขาดแคลน "
ใส่กี่ชุด


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีฐานะอะไรในสังคม ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณ " วางตัว " ใน
ระดับไหน


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีทรัพย์มากเท่าไหร่ ?

แต่สำคัญที่ว่า ... สิ่งที่คุณมี มันมี
"อำนาจ"
ชี้ขาดชีวิตคุณแค่ไหน


ไม่สำคัญว่า ... เงินเดือนสูงสุดของคุณเท่าไร ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณต้องสละ " อุดมการณ์ "
เพื่อได้มันมาหรือไม่


ไม่สำคัญว่า ... คุณได้เลื่อนขั้นกี่ขั้นแล้ว ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณเคย "สนับสนุน" ใคร
ให้ได้เลื่อนขั้นบ้าง


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีตำแหน่งการงานอะไร ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณทำงานสุด " ความสามารถ
"
หรือไม่


ไม่สำคัญว่า ... คุณมีเพื่อนกี่คน ?

แต่สำคัญที่ว่า ... คุณเป็น " เพื่อนแท้ " กับ
ใครบ้าง


ไม่สำคัญว่า ... คุณเรียกร้องและปกป้องสิทธิของตัวเองอย่างไร?

แต่สำคัญที่ว่า...คุณทำอะไรเพื่อ "
ช่วยและปกป้อง "
สิทธิคนอื่น


ไม่สำคัญว่า ... สิ่งที่คุณทำสอดคล้องกับคำพูดของคุณกี่ครั้ง ?

แต่สำคัญที่ว่า ...มีกี่ครั้งที่คำพูดของคุณ "
ไม่สอดคล้อง "
กับการกระทำ









สำคัญที่สุดเท่าที่ผมคิด

คือ ทำแล้ววันนี้มันมีความสุข


(ที่อบอุ่น ที่แท้จริง คือ สุขที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่นอนผวา)
มากแค่ไหนแหละ...



**************************************************


สำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะเคยทำสิ่งเลวร้าย มามากมาย แค่ไหน "มัน
ไม่สำคัญ"
หากคุณเตรียมใจ ที่จะนับหนึ่งใหม่
และก้าวเดินอย่างกล้าหาญ อีกครั้ง



และสำคัญจริงๆ คุณอ่านเรื่องนี้แล้วคิดยังไงกับมัน ปล่อยไปหรือปรับปรุง....



















ขอขอบคุณ : ข้อมูลวาไรตี้ดี ดี


จากคุณ แกะน้อย

xchange.teenee.com







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 19:27:54 น.
Counter : 268 Pageviews.  

คุกกี้ 1 ห่อ กับ "...การตัดสินคน..."
















































ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก
มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัว ดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง

ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลาย ทาง


เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่
นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง

เมื่อ นั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้


เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่า ข้าง ๆ
เธอมีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ ข้าง ๆ
เขาสักครู่หนึ่ง

ขณะที่เธออ่านหนังสือ


ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจาก ถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
แล้วกินมันอย่างละชิ้นเธอมองด้วยความโกรธแต่ ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย
เธอจึงทำเป็นไม่สนใจเธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกิน คุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา





























ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย


กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดี
มีการ ศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"



ทุกครั้งที่เธอหยิบ กิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้ เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่ม ค่อย ๆ
หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกิน
เองครึ่งชิ้น

เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า

"เขาช่างเป็นคนไร้ มารยาทสุดๆ ช่างไร้การศึกษา
ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"






























เธอลุกขึ้น
หยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง


ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามอง หัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม
ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำ
ที่อย่างสบายแล้วเธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่
หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ

เธอตกใจมาก


ถ้าคุ๊ก กี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า....คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชาย
หนุ่มที่แบ่งให้ เธอกินเธอลุกขึ้นทันที

แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่ามันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม





























ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง


เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

เธอนั่นเองที่ไร้ มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง..........

มีกี่ครั้งใน ชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า


"สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้
เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมาก มาย"





























..........นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำ
อีกก่อนตัดสินผู้ อื่น หลาย ๆ สิ่ง


ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัว เองว่า

"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?

เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่น บ้างหรือไม่".........



Ps...ขอบคุณ n-m_-onG- ที่ส่งมาให้ได้อ่านกัน...










สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 19:26:55 น.
Counter : 312 Pageviews.  

ก้นลาย...จงสลายสิ้น













































ก้นลาย...จงสลายสิ้น


ถึงภาพปาปาราซซีดาราสาว ๆ เมืองนอกเมืองนาจะชะเวิ้บชะวาบ เต้าหลุด ก้นโผล่
ให้เห็นจนชวนละเหี่ยใจอยู่บ่อยครั้ง แต่สารภาพมาซะดีๆ เถอะค่ะว่าคุณสาวๆ
อย่างเราๆ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบอิจฉาก้นนวลเนียนของแม่สาวสุดเปรี้ยวเหล่านั้น


ถ้าบั้นท้ายของเรายังเทียบชั้นไม่ได้เพราะรอยแตกริ้ว
บวกเซลลูไลท์ล่ะก็



ลองใช้น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง ทาให้ทั่วก้นและต้นขา ทิ้งไว้สักพัก


จากนั้นนำใยบวบมาขัดวน นวดเบาๆ ให้ทั่ว สัก 15 นาที


หรือถ้าคุณๆ เป็นสาวผิวแห้ง ควรเปลี่ยนสูตรมาใช้นมผง 1 ถ้วยตวง
ผสมกับน้ำตาลทรายบดละเอียด 1 ช้อนชาขัดแทน
ระบบไหลเวียนเลือดและการผลัดเซลล์ผิวจะได้รับการกระตุ้น


หากทำเป็นประจำสม่ำเสมอ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจริงๆ ค่ะ









สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 19:25:56 น.
Counter : 348 Pageviews.  

ต้นกำเนิดมายากล






















































จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่พอมีหลักฐานอ้างอิง
ได้ระบุว่า


การแสดงมายากลนั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์โบราณแล้ว ทว่า
ในตอนนั้นผู้ที่รู้จักศาสตร์ประเภทนี้ยังไม่ได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็น
วิชาชีพ

มายากลในสมัยนั้นถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความบันเทิงในการแสดงละคร


หรือการโชว์ต่อหน้าสาธารณชนเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็มีบ่อยครั้งที่พวกหัวเสธ.พยายามใช้ศาสตร์ดังกล่าวเพื่อไปต้มตุ๋นชาว
บ้านในเกมพนันต่างๆ (ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่)

การแสดงมายากลเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย


จนถึงขั้นมีการยอมรับให้เป็นวิชาชีพแขนงหนึ่งตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18
เป็นต้นมา
นักมายากลที่ประสบความสำเร็จในสมัยนั้นจะมีชื่อเสียงโด่งดังเทียบเท่ากับคน
ดังในแวดวงบันเทิงเลยทีเดียว


















ฌอง อูแชน <br>โรแบรต์ โอแดง บุคคลที่ให้กำเนิดการแสดงมายากลยุคใหม่
ฌอง อูแชน โรแบรต์ โอแดง
บุคคลที่ให้กำเนิดการแสดงมายากลยุคใหม่










สำหรับคำถามที่ว่าใครคือนักมายากลคนแรกของโลกนั้น


ไม่มีหลักฐานระบุเอาไว้อย่างชัดเจน
แต่เท่าที่พอจะค้นคว้ามาได้นักมายากลที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนมีนามว่า จาคอบ ฟิลาเดลเฟีย

เขาเริ่มออกตระเวนแสดงมายากลไปทั่วยุโรปรวมทั้งรัสเซียด้วยตั้งปี 1756-1781
บางครั้งการแสดงของเขาก็แฝงอยู่ในลักษณะการแสดงแนววิทยาศาสตร์

ส่วนผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่ให้กำเนิด
การแสดงมายากลยุคใหม่



คือ ฌอง อูแชน โรแบรต์ โอแดง นักมายากลแดนน้ำหอม
ซึ่งเดิมทีเป็นนักประดิษฐ์นาฬิกามาก่อน
โอแดงคิดค้นเทคนิคการแสดงมายากลรูปแบบใหม่ๆ
รวมถึงของเล่นทีใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดงขึ้นมาด้วยตัวเอง
ทำให้เขากลายเป็นนักมายากลที่โด่งดังมากในสมัยนั้น









สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 มิถุนายน 2553    
Last Update : 19 มิถุนายน 2553 19:23:45 น.
Counter : 463 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.