ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

เปิดตำนาน คิวปิด เทพเจ้าแห่งความรัก







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ใกล้
วันวาเลนไทน์ (14 กุมภาพันธ์) เข้ามาแล้วทุกที
หนุ่มสาวคู่รักทั้งหลายคงจะนับวันรอที่จะได้ฉลองเทศกาลอันแสนพิเศษนี้กับคน
รักอย่างสวีทหวานแหวว จนกลายเป็นอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญสำหรับคนไทยไปแล้ว
ซึ่งสิ่งแรกที่ทุกคนคิดถึงในวันนี้คงจะหนีไม่พ้น ดอกกุหลาบสีแดง
ที่สื่อถึงความรักของผู้ให้ได้เป็นอย่างดี
และนอกจากนี้สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่มีความสำคัญต่อเทศกาลนี้ไม่แพ้กัน
นั่นคือ คิวปิด ซึ่งหลาย ๆ คนคงจะจินตนาการภาพของเด็กน่ารักที่มีปีก
ในมือถือคันธนูกับลูกศร เพื่อยิงศรรักปักหัวใจของใครต่อใคร
แล้วรู้หรือไม่ว่าเทพเจ้าคิวปิดก็มีตำนานความรักอมตะสุดคลาสิคไม่แพ้โรมิ
โอ-จูเลียต หรือ แจ๊ค-โรส ในไททานิค เช่นกัน เอาล่ะค่ะ
วันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเรื่องราวตำนานความรักสุดซึ้งของคิวปิดมาฝากเพื่อน ๆ
กันค่ะ


          เทพคิวปิด (Cupid) หรือ เทพอีรอส (Eros)
ในภาษากรีก และ เทพอามอร์ (Amor) ในภาษาโรมัน เป็นกามเทพ
หรือเทพแห่งความรัก เป็นโอรสของเทพเจ้ามาร์และเทพีวีนัส โดยคิวปิด
ถือกันว่าเป็นเทพเจ้าที่มีรูปลักษณะงามที่สุดในบรรดาเทพทั้งหลาย
และมีฤทธิ์ที่จะบันดาลให้ใครรักใครก็ได้ และตำนานความรักครั้งนี้เกิดขึ้น
เมื่อนางไซคี ผู้มีรูปโฉมงดงาม เป็นที่เลื่องลือ
ผู้ที่ได้พบเห็นต่างก็ลุ่มหลงเทิดทูนจนลืมที่จะบูชาเทพีวีนัส
เทพีแห่งความงาม มารดาของคิวปิดไป ทำให้เทพีวีนัสเกิดความไม่พอใจ
จึงสั่งให้คิวปิดไปทำให้ไซคีไปหลงรักชายที่เลวทรามต่ำช้าสักคนหนึ่ง

          คิว
ปิดได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปทำตามคำสั่งแม่ โดยลอบเข้าไปในห้องนอนของไซคี
ขณะนางกำลังหลับอยู่ ตั้งใจจะยิงศรตามคำสั่งแม่ แต่เมื่อเห็นรูปโฉมของนาง
คิวปิดกลับตกตะลึง และกลับทำลูกศรในมือทิ่มแทงตัวเอง
คิวปิดจึงหลงรักไซคีนับแต่บัดนั้น
แต่ก็ทำอะไรเปิดเผยไม่ได้
เพราะกลัวแม่ จนกระทั่งพี่สาวของนางไซคีออกเรือนกันไปหมด พ่อแม่ของนาง
จึงต้องอ้อนวอนบวงสรวง เทพอพอลโล เทพแห่งการพยากรณ์ว่า
เมื่อไรนางไซคีจึงจะได้พบเนื้อคู่ และเนื้อคู่เป็นใคร อยู่ที่ไหน เทพอพอลโล
ก็พยากรณ์ว่า คู่ครองของนางไซคีไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นอมนุษย์
และรอคอยนางที่ยอดเขา แต่นางจะต้องไม่มองดูคู่ครองของเธอโดยเด็ดขาด

         
ทั้งพ่อและแม่ จึงไปส่งนางไซคีที่ยอดเขาและทิ้งไว้เพียงลำพัง เทพเสฟไฟรัส
(Zephyrus) เทพประจำลมตะวันตก
จึงพัดพาเธอไปยังปราสาทที่กามเทพคิวปิดเนรมิตไว้
ห้อมล้อมด้วยหุบเขาซึ่งมีธรรมชาติอันสวยงาม
ตกกลางคืนคิวปิดก็มาครองคู่อยู่กับไซคี
โดยนางมองไม่เห็นว่าเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งนี้
เนื่องจากคิวปิดขอคำมั่นสัญญาจากนางไซคีว่า
จะไม่จุดไฟหรือพยายามมองเห็นตัวเขาว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ไซคีก็รับปาก
พอรุ่งสางคิวปิดก็จากไป

         
ต่อมานางไซคีได้เชื้อเชิญพี่สาวทั้งสองของนางมาเที่ยวยังปราสาท
แต่เมื่อพี่สาวของนางมาพบเห็นปราสาทที่งดงาม
ก็รู้สึกอิจฉาในโชคลาภวาสนาของน้องสาว จึงยุยงให้ไซคี ลอบดูตัวสามี
โดยวางแผนไว้ว่า หากพบเห็นว่าเป็นอมนุษย์ที่น่าเกลียดก็ให้ฆ่าเสีย
นางก็เชื่อในคำยุยงนั้น โดยซ่อนตะเกียง และมีดเอาไว้ใต้เตียง
เมื่อคิวปิดหลับไป นางจึงลอบจุดตะเกียงส่องดูสามี และพบว่าสามีของนาง
เป็นชายหนุ่มรูปงามกว่าชายใด ๆ ที่เธอเคยพบมา

          แต่
ทันใดนั้น น้ำมันตะเกียง ก็หยดลงต้องกายคิวปิดจึงตื่นขึ้น
และเมื่อเห็นว่าภรรยาของตน ละเมิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ คิวปิดจึงบอกนางว่า
“ความรักไม่อาจดำรงอยู่ได้ ถ้าปราศจากความไว้วางใจ ข้าจะลงโทษเจ้า
ด้วยการจากเจ้าไปตลอดกาล” จากนั้นคิวปิดก็บินจากไป พร้อมกันนั้นปราสาท
และอุทยานที่งดงาม พลันอันตรธานหายไปด้วย








          ไซคีเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น
นางพร่ำโทษตัวเองที่ผิดคำสัญญา นางจึงตัดสินใจ ละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน
เพื่อติดตามหาคิวปิด ซึ่งยากลำบากมากสำหรับผู้หญิงอ่อนแอและบอบบางอย่างไซคี
นางจึงซัดเซพเนจรรอนแรม จนพบเข้ากับวิหารเทพีดิมิเทอร์ เทพีเเห่งพืชผล
ซึ่งของบูชานั้น
วางระเกะระกะไม่มีระเบียบเพราะชาวไร่ต่างเหนื่อยล้าจากการทำงาน
ไซคีจึงจัดระเบียบ ของเซ่นสรวงจนเรียบร้อย เทพีดิมิเทอร์พอใจมาก
จึงบอกให้ไซคีไปที่วิหารของเทพีวีนัสเพื่อขออภัยโทษ

          แต่เทพีวีนัส ผู้ซึ่งมีความริษยาแรง จึงหาทางกลั่นแกล้งไซคีต่าง ๆ นานา โดยให้ไซคีผ่านภารกิจทั้ง 3 อย่างเสียก่อน โดยภารกิจ
แรก นางไซคีต้องแยกเมล็ดข้าว ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโพด ถั่ว
และธัญญาหารชนิดต่าง ๆ ที่ปะปนอยู่ในฉางแยกออกมาให้เสร็จก่อนค่ำ
เพื่อให้นกพิราบของพระนางกิน ไซคีถึงกับท้อแท้ใจ
เพราะนางเป็นแค่หญิงมนุษย์ธรรมดา
ไม่มีทางจะทำสิ่งที่เกินความสามารถเช่นนี้ได้แน่นอน
ในขณะนั้นคิวปิดที่คอยเฝ้ามองดูแลไซคีอยู่ห่าง ๆ
ตลอดเวลาก็ส่งมดฝูงใหญ่มาช่วยงานไซคี โดยมดทั้งหมด
ต่างแยกธัญญาหารอย่างเรียบร้อย และรีบกลับไปก่อนค่ำ


         
เทพีวีนัสกริ้วมาก เพราะรู้ว่าไซคีไม่ได้ทำเอง
และคนที่ช่วยเหลือนางก็คือโอรสของพระนางนั่นเอง จึงสั่งให้ไซคี
ไปเก็บขนแกะทองคำมาให้พระนาง ซึ่งแกะขนทองฝูงนั้นโหดร้ายมาก
แต่เทพประจำแม่น้ำก็ช่วยเหลือไซคี
บอกเคล็ดลับจนไซคีสามารถผ่านภารกิจที่สองได้สำเร็จ
เมื่อไซคีผ่านทั้งสองภารกิจมาได้ เทพีวีนัสถึงกับกริ้ว
และคิดแผนการร้ายกาจที่สุดขึ้นมาได้ โดยรับสั่งให้ไซคี
นำผอบไปขอเครื่องประทินโฉมจากเทพีเปอร์เซโฟนี มเหสีของ เทพฮาเดส
แห่งยมโลกมาถวายพระนาง ซึ่งหมายถึง การส่งไซคีไปตายนั่นเอง


         
ไซคีท้อถอยหมดกำลังใจอย่างมากเมื่อรู้ความหมายของเทพีวีนัส นางจึงคิดว่า
ดีเหมือนกัน ในเมื่อสามี ไม่เหลียวมองตนอีกต่อไปแล้ว
ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ดังนั้น
ไซคีจึงขึ้นไปยังยอดผา เตรียมตัวกระโดดฆ่าตัวตายไปสู่ยมโลก
แต่ยังไม่ทันที่ไซคีจะทำตามความตั้งใจ คิวปิดที่เฝ้ามองนางอยู่
จึงเอ่ยปลอบประโลมนางอย่างอ่อนโยนด้วยความรักและสงสาร
ทว่าทิฐิก็ยังทำให้คิวปิดไม่ยอมปรากฏกาย
เมื่อไซคีได้ยินเสียงปลอบใจปริศนานั้นก็ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อ
คิวปิดบอกวิธีต่าง ๆ ในการไปนรก อย่างปลอดภัยให้กับไซคี
พร้อมกับย้ำเตือนนางไม่ให้นางเปิดผอบเครื่องประทินโฉมนั้นเป็นอันขาด








          แต่ไซคีไม่
สามารถอดใจได้ เพราะคิดว่าเครื่องประกอบความงามนั้น
จะทำให้เธองดงามกว่าเดิม
เพื่อว่าสามีของเธอจะเกิดความยินดีเมื่อได้พบหน้าเธออีกครั้ง
เมื่อเปิดผอบขึ้น เธอก็ล้มสลบลงทันที เพราะเครื่องประกอบความงาม
ที่อยู่ในผอบก็คือเวทมนตร์แห่งความหลับใหลในยมโลก


         
เมื่อนางไซคีสลบไปแล้ว
เทพคิวปิดก็รีบเข้ามาช่วยเหลือนำเวทมนตร์แห่งความหลับใหลนั่น
เก็บใส่ผอบอย่างเดิม และปลุกไซคีให้ฟื้นขึ้น
และชี้ให้ไซคีเห็นโทษของความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นกับนางถึงสองครั้ง
แล้ว จากนั้นคิวปิดได้ทูลขอมหาเทพซุส
ช่วยเกลี้ยกล่อมให้เทพีวีนัสยกโทษให้ไซคี และ บันดาลให้นางไซคี
ได้ความเป็นอมตะ เซ่นเหล่าทวยเทพทั้งหลาย
ตั้งแต่นั้นเทพคิวปิดและนางไซคีจึงได้ครองคู่อย่างเป็นสุข

          สำหรับ
ตำนานรักของคิวปิดและไซคีนี้ หากเราถอดความหมายจริง ๆ ก็จะพบว่า คู่รัก
หรือแม้แต่สามีภรรยาจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันได้ก็ต่อเมื่อมีความไว้วาง
ใจซึ่งกันและกัน และหากเกิดอุปสรรคใด ๆ ขึ้นมา ก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรค
และในที่สุดก็จะพบกับความสุขที่แท้จริงนั่นเอง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
, variety.phuketindex.com




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 20:45:53 น.   
Counter : 2506 Pageviews.  

ลืออีก! iPhone 5 พร้อมเปิดตัวมิถุนายนนี้








ภาพตัวอย่างที่คาดว่า น่าจะเป็น iPhone 5











ตารางงาน WWDC 2012





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  netdna-cdn.com

              คำเตือน! ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกระทู้นี้ กรุณาอ่านเนื้อหาทั้งหมดให้จบเสียก่อน เพราะนี่คือ "ข่าวลือ" ที่ย้ำว่าลือ แบบหนาหูจริง ๆ
สำหรับวงการสมาร์ทโฟนและสำหรับสาวกของแอปเปิ้ลที่กำลังรอคอยการเปิดตัวของ
iPhone 5 กันอยู่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้มีกระแสข่าวออกมาบอกว่า iPhone 5
พร้อมที่จะเปิดตัวให้เห็นกันในเดือนมิถุนายนนี้แล้ว

              ตามรายงานจากเว็บไซต์ macrumors.com ได้ออกมาระบุว่า ทางแอปเปิ้ล เตรียมที่จะใช้เวที  "Worldwide Developer's Conference 2012" (WWDC
2012) ที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ เป็นเวทีสำคัญในการเปิดตัว
iPhone รุ่นใหม่ของพวกเขา ซึ่งเมื่อมองย้อนไปในหลาย ๆ ครั้งที่มีการเปิดตัว
iPhone
แอปเปิ้ลมักจะใช้งานนี้และช่วงเวลานี้เปิดตัวสินค้าของพวกเขาอยู่เสมอ ๆ

             
ทั้งนี้ ทาง macrumors.com ได้โชว์ตารางงาน WWDC 2012 มาให้เห็นกันด้วย
ซึ่งจากตารางดังกล่าวทำให้เห็นว่า จากการจองระยะเวลาของสถานที่แล้ว
งานดังกล่าวน่าจะมีขึ้นในวันที่ 11 - 15 มิถุนายนที่จะถึงนี้
ซึ่งหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็เป็นที่คาดการณ์กันว่า น่าจะได้เห็นอะไรใหม่
ๆ จากแอปเปิ้ลในกลางปีนี้แน่นอน


              สำหรับ iPhone 5 ที่หลาย ๆ คนคาดการณ์กันนั้น เชื่อกันว่าทางแอปเปิ้ลน่าจะเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็น ระบบทัชสกรีนแบบ หน้าจอแบบใหม่ที่เรียกว่า "Glass to glass" หน้า
จอที่ปรับจาก 3.5 นิ้ว ให้กว้างเป็น 4 นิ้ว หน่วยประมวลผลภายในจะใช้ชิปแบบ
"A6 Dual-core CPU" และน่าจะมีการใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่อย่าง "iOS
6" อีกด้วย

             
นอกจากกระแสของ iPhone 5 ที่ลือกันสนั่นหวั่นไหวแล้ว
ยังเป็นที่คาดการณ์กันอีกว่า น่าจะมีการเปิดตัว iPad 3 ไปพร้อม ๆ กันด้วย
ซึ่งถ้า iPad 3 ออกมาจริง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจาก iPad ตัวก่อน ๆ
ก็คงเป็นการใช้ชิปแบบ A6 Dual-core CPU ขนาดหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นไปถึง
128G รวมถึงหน้าจอที่เป็นแบบ Ratina Display


             
นี่ก็คือข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการวิเคราะห์และคาดการณ์กันไว้
ซึ่งประเด็นนี้จะจริงหรือเท็จ มีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน
ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ยังไงก็ฟังหูไว้หูอย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรมากมาย ไว้รอการประกาศจากทางแอปเปิ้ลเองจะดีที่สุด..




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2555 20:41:44 น.   
Counter : 1188 Pageviews.  

ต้มซุปเปอร์ตีนไก่




ส่วนผสม












         ปีกไก่, ตีนไก่                                                              1     กิโลกรัม
    ตะไคร้บุบพอแตกหั่นเป็นท่อน 4           ตัน
    ใบมะกรูดฉีก 5-6 ใบ
     ข่าแก่บุบพอแตกหั้นเป็นแว่น 10 แว่น
    หอมแดงแกะเปลือกบุบพอแตก 4-5 หัว
    พริกขี้หนูสวนบุบพอแตก 20-25 เม็ด
    ซีอิ๊วญี่ปุ่น 200 มิลลิลิตร
    น้ำมะนาว    
    ผักชีซอยหยาบ    
    น้ำเปล่า    


วิธีทำ








         นำปีกไก่ตีนไก่ที่ล้างสะอาดแล้วลงหม้อใส่น้ำเปล่าให้ท่วมราวเท่าครึ่ง ตั้งไฟเร่งไฟให้แรงจนเดือดช้อนฟองออก เคี่ยวไฟแรงราว 20 นาที    
    ถ้าน้ำลดเติมและรักษาระดับให้เท่าเดิม หลังจากนั้นเคี่ยวไฟอ่อนๆ พร้อมใส่ตระไคร้ ใบมะกรูด ข่า หอมแดง    
    ใช้เวลาเคี่ยวราว 40 นาที หรือจนปีกไก่ ตีนไก่เปื่อย ถ้าน้ำลดให้เติมและรักษาระดับไว้    
    เมื่อได้ปีกไก่ ตีนไก่แล้ว ตักและช้อนตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า หอมแดงออก เหลือแต่น้ำซุปกับปีกไก่ ตีนไก่    
    ใส่ซีอิ๊วญี่ปุ่นลงไป เคี่ยวต่อด้วยไฟปานกลางราว 5 นาที จากนั้นใส่พริกขี้หนูสวนปรุงรสด้วยน้ำมะนาว ให้รสเปรี้ยวนำเค็มตาม    
    รสจะจัดมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความต้องการของท่าน ตักลงชามโรยผักชีซอยพร้อมเสิร์ฟค่ะ




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2555 20:05:17 น.   
Counter : 2200 Pageviews.  

มหานักบุญแห่งล้านนา ครูบาศรีวิชัย




 


 


 


ประวัติ



ครูบาศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปโดยเฉพาะในเขตภาคเหนือของประเทศไทย (ล้านนา) ว่าเป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญ"
อันมีความหมายเชิงยกย่องว่าเป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ
อาจพบว่ามีการเรียกอีกว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัย พระครูบาศรีวิชัย ครูบาศีลธรรม
หรือ ตุ๊เจ้าสิลิ





ครู
บาศรีวิชัย เดิมชื่อ เฟือน หรืออินท์เฟือน บ้างก็ว่าอ้ายฟ้าร้อง
เนื่องจากในขณะที่ท่านถือกำเนิดนั้นปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก
ส่วนอินท์เฟือนนั้น หมายถึง
การเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของพระอินทร์ ท่านเกิดในปีขาล
เดือน 9 เหนือ (เดือน 7 ของภาคกลาง) ขึ้น 11 ค่ำ จ.ศ. 1240 เวลาพลบค่ำ
ตรงกับวันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2421 ที่หมู่บ้านชื่อ "บ้านปาง" ตำบลแม่ตืน (ปัจจุบันคือตำบลศรีวิชัย) อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ของนายควาย นางอุสา





ใน
สมัยที่ครูบาศรีวิชัยหรือนายอินท์เฟือนยังเป็นเด็กอยู่นั้น
หมู่บ้านดังกล่าวยังกันดารมาก
มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากโดยเฉพาะชาวกะเหรี่ยง ใน
ช่วงนั้นบ้านปางยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน
จนกระทั่งเมื่อนายอินท์เฟือนมีอายุได้ 17 ปีได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ
ครูบาขัตติยะ เดินธุดงค์จากบ้านป่าซางผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้น
ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้อยู่ประจำที่บ้านปาง
แล้วชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา ในช่วงนั้น
เด็กชายอินท์เฟือนได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเมื่ออายุได้ 18
ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ อารามแห่งนี้โดยมีครูบาขัตติยะเป็นพระอุปัชฌาย์


3 ปีต่อมา (พ.ศ. 2442) เมื่อสามเณรอินท์เฟือนมีอายุย่างเข้า 21 ปี ก็ได้เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน โดยมีครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวง เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า สิริวิชโยภิกฺขุ มีนามบัญญัติว่า พระศรีวิชัย


เมื่อ
อุปสมบทแล้ว สิริวิชโยภิกขุก็กลับมาจำพรรษาที่อารามบ้านปางอีก 1 พรรษา
จากนั้นได้ไปศึกษากัมมัฏฐานและวิชาอาคมกับครูบาอุปละ วัดดอยแต อำเภอแม่ทา
จังหวัดลำพูน ต่อมาได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของครูบาวัดดอยคำอีกด้วย
และอีกท่านหนึ่งที่ถือว่าเป็นครูของครูบาศรีวิชัยคือ ครูบาสมณะ
วัดบ้านโฮ่งหลวง ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน


ครู
บาศรีวิชัยเป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด โดยที่ท่านงดการเสพ
หมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 26
ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทเล็กน้อย
บางทีก็ไม่ฉันข้าวทั้ง 5 เดือน คงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมันเท่านั้น
นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง 7 คือ


  • วันอาทิตย์ ไม่ฉันฟักแฟง,

  • วันจันทร์ ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา,

  • วันอังคาร ไม่ฉันมะเขือ,

  • วันพุธ ไม่ฉันใบแมงลัก,

  • วันพฤหัสบดี ไม่ฉันกล้วย,

  • วันศุกร์ ไม่ฉันเทา (อ่าน "เตา"-สาหร่ายน้ำจืดคล้ายเส้นผมสีเขียวชนิดหนึ่ง),

  • วันเสาร์ ไม่ฉันบอน






นอกจากนี้ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผัก
จิกและผักเฮือด-ผักฮี้ (ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า
ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า
ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง 4 จะเป็นปกติ
ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก








คำสอนที่สำคัญ



ครูบาศรีวิชัยมีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรมะอันสูงสุดดังปรากฏจากคำอธิษฐานบารมีที่ท่านอธิษฐานไว้ว่า "...ตั้งปรารถนาขอหื้อได้ถึงธรรมะ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานสิ่งเดียว..." และมักจะปรากฏความปรารถนาดังกล่าว ในตอนท้ายของคัมภีร์ใบลานที่ท่านสร้างไว้ทุกเรื่อง


อีกประการหนึ่งที่ทำให้ครูบาศรีวิชัยเป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำของชาวล้านนา คือการที่ท่านเป็นผู้นำในการสร้างทางขึ้นสู่ วัด
พระธาตุดอยสุเทพโดยพลังศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก
ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง 5 เดือนเศษ
โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ








การเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะสงฆ์ในล้านนา



ในช่วงนั้น เชียงใหม่ถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงศูนย์กลางของมณฑลพายัพ ถึงแม้ทางส่วนกลางจะพยายามรวมทุกแว่นแคว้นเข้าเป็นไทยเดียวกัน แต่ล้านนายังคงเอกลักษณ์ทางด้านชีวิตความเป็นอยู่ไว้อย่างเหนียวแน่น ต่างจากภาคอื่น ๆ ที่ถูกกลืนเข้าอยู่ภายใต้นโยบายการปกครองของส่วนกลาง ส่วนกลาง (สยาม) พยายามจะลดบทบาทของล้านนาลงในทุกวิถีทาง
เช่น ทางด้านการปกครอง ก็ส่งข้าหลวงจากส่วนกลางมาประจำมณฑลพายัพ
ส่วนทางด้านศาสนา สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้เป็นผู้ดำเนินการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร


แต่
ในขณะนั้นรูปแบบการปกครองสงฆ์ในล้านนาได้มีรูปแบบเฉพาะของตน
โดยผ่านความคิดระบบครูกับอาจารย์ นอกจากนี้นิกายต่าง ๆ นั้น
ยังเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติอีกด้วย เช่น นิกายเชียงใหม่ นิกายขืน นิกายยอง
อีกด้วย เป็นต้น








ทำดีไม่ได้ดี



แต่
เรื่องที่ทำให้ครูบาศรีวิชัยเป็นที่รู้จักกันในระยะแรกนั้น
เกิดเนื่องจากการที่ท่านต้องอธิกรณ์
(ถูกจับกุม) ซึ่งระเบียบการปกครองสงฆ์ตามจารีตเดิมของล้านนานั้นให้ความ
สำคัญแก่ระบบหมวดอุโบสถ หรือ ระบบหัวหมวดวัด มากกว่า
และการปกครองก็เป็นไปในระบบพระอุปัชฌาย์อาจารย์กับศิษย์
ซึ่งพระอุปัชฌาย์รูปหนึ่งจะมีวัดขึ้นอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่งเรียกว่าเจ้า
หมวดอุโบสถ โดยคัดเลือกจากพระที่มีผู้เคารพนับถือและได้รับการยกย่องว่าเป็น
ครูบา ซึ่งหมายถึงพระภิกษุที่ได้รับความยกย่องอย่างสูง
ดังนั้นครูบาศรีวิชัยซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งหัวหมวด
พระอุปัชฌาย์ โดยฐานะเช่นนี้
ครูบาศรีวิชัยจึงมีสิทธิ์ตามจารีตท้องถิ่นที่จะบวชกุลบุตรได้
ทำให้ครูบาศรีวิชัยจึงมีลูกศิษย์จำนวนมาก
และลูกศิษย์เหล่านี้ก็ได้เป็นฐานกำลังที่สำคัญของครูบาศรีวิชัยในการดำเนิน
กิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์
อีกทั้งยังเป็นแนวร่วมในการต่อต้านอำนาจจากกรุงเทพฯ
เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งขึ้นในเวลาต่อมา





การ
ที่ครูบาศรีวิชัยถือว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะบวชกุลบุตรได้ตามจารีตการถือ
ปฏิบัติมาแต่เดิมนั้น ทำให้ขัดกับพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121
(พ.ศ. 2446) เพราะในพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบการปกครองของสงฆ์จากส่วนกลางเท่านั้น โดย
ถือเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะแขวงนั้น ๆ
เป็นผู้คัดเลือกผู้ที่ควรจะเป็นอุปัชฌาย์ได้
และเมื่อคัดเลือกได้แล้วจึงจะนำชื่อเสนอเจ้าคณะผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ
เพื่อดำเนินการแต่งตั้งต่อไป การจัดระเบียบการปกครองใหม่ของกรุงเทพฯ นี้  ถือเป็นวิธีการสลายจารีตเดิมของสงฆ์ในล้านนา
องค์กรสงฆ์ล้านนาก็เริ่มสลายตัวลงทีละน้อยเพราะอย่างน้อยความขัดแย้งต่าง ๆ
ก็เกิดขึ้นระหว่างสงฆ์ในล้านนาด้วยกันเอง ดังกรณี
ความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับพระครูมหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้
อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นต้น


การ
ต้องอธิกรณ์ระยะแรกของครูบาศรีวิชัยนั้นเกิดขึ้นเพราะครูบาศรีวิชัยถือ
ธรรมเนียมปฏิบัติตามจารีตเดิมของล้านนา
ส่วนเจ้าคณะแขวงลี้ซึ่งใช้ระเบียบวิธีปฏิบัติของกรุงเทพฯ
ซึ่งเห็นว่าครูบาศรีวิชัยทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์โดยไม่ได้รับการอนุญาตจาก
เจ้าคณะแขวงลี้ จึงถือว่าเป็นความผิด
เพราะตั้งตนเป็นพระอุปัชฌาย์เองและเป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน
ครูบามหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้กับหนานบุญเติง
นายอำเภอลี้ได้เรียกครูบาศรีวิชัยไปสอบสวนเกี่ยวกับปัญหาที่ครูบาศรีวิชัย
เป็นพระอุปัชฌาย์บวชกุลบุตรโดยมิได้รับแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติ
การจับกุมครูบาศรีวิชัยสามารถแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 3
ช่วงเนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกือบ 30
ปีและแต่ละช่วงจะมีรายละเอียดของสภาพสังคมที่แตกต่างกัน





จะ
เห็นได้ว่า การที่ครูบาศรีวิชัยถูกจับกุมเนื่องจากความกระด้างกระเดื่อง
ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าคณะแขวง
ตลอดจนไม่สนใจพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่
อาจเนื่องด้วยครูบาเจ้าศรีวิชัยมุ่งเน้นการปฏิบัติธรรม
มากกว่าที่จะสนใจในระเบียบแบบแผนใหม่
อีกทั้งท่านยังยึดมั่นกับจารีตแบบแผนแบบดั้งเดิม
โดยปฏิบัติตามวินัยสงฆ์ที่อาจารย์พระอุปัชฌาย์สั่งสอนมา
ความสัมพันธ์แบบหัวหมวดวัด
ได้สร้างความผูกพันระหว่างพระในชุมชนด้วยกันที่ให้ความเชื่อถือในอาจารย์
หรือพระอุปัชฌาย์ที่ถูกแต่งตั้งจากส่วนกลาง
เป็นจุดเริ่มต้นของการยืนหยัดที่จะสืบสานจารีตแห่งความเป็นล้านนา





หัว
ข้อนี้เจ้านางจะอธิบายให้เจ้าค่ะ.. คือ
ครูบาศรีวิชัยท่านได้บวชและเรียนกับพระอาจารย์ที่เป็นสายล้านนา  
ท่านจึงไม่ยึดถือกฎเกณฑ์ของคณะสงฆ์ส่วนกลาง  
ท่านรับลูกศิษย์และบวชให้บรรดาลูกศิษย์โดยไม่ได้รับความเห็นชอบของเจ้าคณะ
เลยถูกมองว่าเป็นพระเถื่อน   จนทำให้ท่านถูกจับกุมถึง 3 ครั้ง
แต่ด้วยความมุ่งมั่นยึดถือหลักปฏิบัติจากจารีตดั้งเดิมของล้านนา
ท่านจึงไม่ยอมรับกฎเกณฑ์กติกาที่ตั้งโดยคณะสงฆ์สยาม








บูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานแผ่นดินล้านนา



ครู
บาเจ้าศรีวิชัย ท่านเดินทางไปหนแห่งใดก็มีศรัทธาสาธุชนเคารพศรัทธา
จากที่ได้ธุดงธ์ไปทั่วแผ่นดินล้านนาได้พบเห็นโบราณสถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่
บ้านคู่เมืองแผ่นดินล้านนาเก่าแก่ทรุดโทรมลงเป็นอันมาก
จึงได้ร่วมกับศรัทธาสาธุชนบูรณะปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดวาอารามโบราณสถานทั่ว
แผ่นดินล้านนาไม่อาจจะนับได้


หลังจากกลับจากกรุงเทพฯ แล้วไปบูรณะพระเจดีย์ พระธาตุดอยเกิ้ง อำเภอฮอด (พ.ศ. 2464) สร้างวิหารวัดศรีโคมคำพระเจ้าตนหลวง จังหวัดพะเยา (พ.ศ. 2465)บูรณะพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงรายบูรณะพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ (พ.ศ. 2466) วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ.
2467) สร้างธาตุและบันไดนาค วัดบ้านปางพระธาตุเกตุสร้อยแก่งน้ำปิง (พ.ศ.
2468) รวบรวมพระไตรปิฏกฉบับอักษรล้านนาจำนวน 5,408 ผูก (พ.ศ. 2469-2471)
บูรณะวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ. 2474) และผลงานชิ้นอมตะคือ การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ที่
ศรัทธาสานุชนมาร่วมกันสร้างถนนวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน แล้วเสร็จภายใน 6
เดือน ตามสัจจะวาจา (พ.ศ. 2478) สร้างวิหารวัดบ้านปาง (พ.ศ. 2478 เสร็จปี
พ.ศ. 2482) วัดจามเทวี (พ.ศ. 2479) สุดท้าย คือ สะพานศรีวิชัย เชื่อม
ระหว่างลำพูน (ริมปิง) - เชียงใหม่(พ.ศ. 2481)
ที่มาสร้างเสร็จภายหลังจากที่ครูบาศรีวิชัยมรณภาพ
(รวมวัดต่างๆที่ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยไปบูรณะปฏิสังขรณ์รวม 108
วัด)ต่อมามีผู้เรียกท่านว่า พระศรีวิชัย ชาวบ้านจึงเรียกท่านว่า
ครูบาศรีวิชัยบ้าง ครูบาวัดบ้านปางบ้าง
ครูบาศีลธรรมบ้างซึ่งเป็นนามที่ชาวบ้านตั้งให้ ด้วยความนับถือ





ผล
งานที่เด่นมากของครูบาศรีวิชัยก็คือ การสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ
จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้รับคำเรียกร้องจากศรัทธาประชาชน
ให้ช่วยดำริและจัดการเรื่องนี้ จึงเริ่มลงมือสร้างเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2477 เวลา 10.00 นาฬิกา ณ เชิงดอยสุเทพด้านห้วยแก้ว โดยมี พลตรี เจ้าแก้วเนาวรัตน์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เป็น
ผู้ขุดจอบเป็นปฐมฤกษ์ การสร้างถนนสายนี้ใช้แรงงานเป็นจำนวนมากวันหนึ่งๆ
จะมีผู้คนช่วยทำงานประมาณวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
ถ้าคิดมูลค่าแรงงานเป็นเงินก็คงมากมายมหาศาลทีเดียว
การสร้างทางสายนี้ใช้เวลา 5 เดือน กับ 22 วัน จึงแล้วเสร็จ
และเปิดให้รถขึ้นลงได้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478





      








การจับกุมในช่วงที่สาม พ.ศ. 2478-2479



เกิด
ขึ้นในช่วงที่ครูบาศรีวิชัยได้สร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ
ขณะก่อสร้างทางอยู่นั้นเอง ปรากฏว่า มีพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่รวม 10
แขวง 50 วัด ขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์ ไปขึ้นอยู่ในปกครองของครูบาศรีวิชัยแทน
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ลุกลามไปทั่วทุกหัวเมือง รวมวัดต่าง ๆ
ที่แยกตัวออกไปถึง 90 วัด พระสงฆ์ในจังหวัดต่าง ๆ
ก็เริ่มที่จะเคลื่อนไหวที่จะขอแยกตัว
ทำให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยถูกส่งตัวไปยังกรุงเทพฯ เพื่อระงับเหตุที่จะบานปลาย
ขณะเดียวกันนั้น กลุ่มพระสงฆ์วัดที่ขอแยกตัว
ถูกสั่งให้มอบตัวและพระที่ถูกบวชโดยครูบาเจ้าศรีวิชัยก็โดยคำสั่งให้สึก
เมื่อครูบาเจ้าศรีวิชัยถูกควบคุมตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ
ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งในหมู่พระสงฆ์และฆราวาสในหมู่หัวเมือง
ที่รักและเคารพในตัวท่าน ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับครูบาเจ้าศรีวิชัย
จึงถูกโยงเข้าไปสู่ปัญหาการเมืองในขณะนั้นไปด้วย





ใน
ขณะนั้น ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้แปรสภาพจากปัญหาเล็ก ๆ
ระหว่างสงฆ์ล้านนารูปหนึ่งกับคณะสงฆ์ในส่วนกลาง
มาเป็นปัญหาระหว่างชาวล้านนากับอำนาจจากส่วนกลาง





จาก
การที่ครูบาเจ้าศรีวิชัย
ยังคงปฏิบัติตามจารีตของล้านนาโดยไม่โอนอ่อนผ่อนตามนโยบายของส่วนกลาง
เป็นเหมือนการปลุกจิตสำนึกของชาวล้านนา สะท้อนให้เห็นว่า
ถึงแม้ว่าท่านจะยอมรับระเบียบธรรมเนียมสงฆ์ของส่วนกลางในตอนท้ายที่สุด
ก็ไม่ได้หมายความว่าจิตวิญญาณของล้านนานั้นได้ถูกทำลายไปด้วย
กลับทว่าจิตวิญญาณของล้านนาได้แสดงให้เห็นปรากฏชัดต่อชาวล้านนาและคนทั่วไป
จากที่มีอยู่แล้วยิ่งชัดเจนเพิ่มมากขึ้น จากความขัดแย้งของท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย กับรัฐ ในขณะนั้นการตั้งอยู่บนพื้นฐานความพยายามที่จะสลายจิตวิญญาณล้านนา เพื่อ
ที่จะรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่นเป็นเอกภาพกับส่วนกลาง
เพื่อที่จะต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคม แต่ในปัจจุบัน
รัฐให้การสนับสนุนทุกวิถีทางที่จะปลุกกระแสความเป็นล้านนา
เพื่อใช้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแหล่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับครั้งที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยปลุกกระแสการสืบสานจิตวิญญาณล้านนา ไม่อาจนำมาเทียบได้เลย








สิ้นแห่งตนบุญล้านนา



เมื่อ
ครูบาเจ้าโดนขับออกจากเมืองเชียงใหม่
ครูบาเจ้าได้ปวารณาตนว่าจะไม่กลับไปเหยียบแผ่นดินเชียงใหม่อีก
เว้นแต่แม่น้ำปิงจะไหลย้อนกลับ ครูบาเจ้าศรีวิชัยมรณภาพเมื่อวันที่ 22
มีนาคม พ.ศ. 2481 ที่วัดบ้างปาง ขณะมี อายุได้ 59 ปี
ตั้งศพไว้ที่วัดบ้านปางนั้นเวลา 1 ปี จึงได้เคลื่อนศพมาตั้งไว้ ณ
วัดจามเทวี จนถึงวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2489 จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ
โดยมีประชาชนมาถวายพระเพลิงศพเป็นจำนวนมาก


 


 


 


 


 




"ตราบใดสายน้ำปิงไม่ไหลคืน จะไม่เหยียบแผ่นดินเชียงใหม่ตราบนั้น"...

นี่เป็นคำวาจาสิทธิ์ที่"ครูบาศรีวิชัย"ได้
กล่าวไว้กับหลวงศรีประกาศ
หลังจากที่ท่านพ้นข้อกล่าวที่ถูกทางคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่กล่าวร้าย
นับว่าเป็นวาจาสิทธิ์ที่ออกมาจากปากนักบุญแห่งล้านนาไทย
ก่อนที่ครูบาศรีวิชัยจะกลับสู่เมืองลำพูนจนกระทั่งวาระสุดท้ายของท่าน...


กาลต่อมา เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของครูบาศรีวิชัย
ผู้ช่วยพัฒนาศาสนสถานที่ชำรุดทรุดโทรม กลับคืนสู่อดีตที่เจริญรุ่งเรือง
บรรดาเจ้านายฝ่ายเหนือ พระสงฆ์ พ่อค้า ข้าราชการและประชาชน
จึงมีการลงประชามติจัดสร้าง “อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย”...ขึ้น







 



อนุสาวรีย์นี้สร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ หล่อเท่าองค์จริงในท่ายืน
จัดสร้างและออกแบบโดยช่างของกรมศิลปากร...การสร้างดำเนินการสร้างเสร็จเรียบ
ร้อย แต่คณะกรรมการไม่สามารถนำเอาขึ้นไปประดิษฐานที่เชียงใหม่ได้
เล่ากันว่าเมื่อจะเอาขึ้นไปคราวใด มักจะเกิดอุปสรรคและปัญหาเสมอ...


จนเวลาได้ล่วงเลยไปนานหลายปี “หลวงศรีประกาศ” ทนรอต่อไปไม่ไหว
จึงได้นำเอาดอกไม้ไปบูชา นัยว่าเพื่อเป็นการบอกกล่าวอัญเชิญ
และตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า... 


“แม้จะมีเหตุขัดข้องอย่างไร ก็จะต้องจัดการเอาขึ้นไปให้ได้...” 


ซึ่งก่อนจะนำขึ้นไปหลวงศรีประกาศ
ได้โทรเลขสั่งชาวเชียงใหม่เตรียมขบวนแห่มารอรับที่สถานีรถไฟเชียงใหม่
เมื่อได้เวลาจึงอัญเชิญรูปหล่อครูบาศรีวิชัยขึ้นรถด่วนเชียงใหม่
บรรดาคณะสงฆ์ ข้าราชการ พ่อค้า
ประชาชนและเจ้านายฝ่ายเหนือได้ร่วมกันจัดขบวนแห่มารอรับอย่างคับคั่งและทำ
การเฉลิมฉลองสมโภชอย่างยิ่งใหญ่...





และในวันที่รูปหล่อครูบาศรีวิชัยถูกอัญเชิญถึงจังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง... “ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ประชาชนซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับแม่น้ำแม่ปิงต้องจดจำได้อย่างไม่มีวันลืมเลือน”....คือ....


“กระแสน้ำปิงได้ไหลบ่า หวนย้อนกลับคืนขึ้นเหนือ กระแสน้ำได้นองท่วมท้นจนเต็มเขื่อนภูมิพล ท่วมถึงเขตอำเภอฮอด.....” 





    





สัจจวาจาของ “ครูบาศรีวิชัย” ที่ได้กล่าวไว้...   "แม้แต่ธรรมชาติก็ยังไม่สามารถขัดขวางได้..."


การที่กระแสน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นไปนั้น เนื่องจากทางการสั่งปิดเขื่อนเพื่อใช้งานเป็นครั้งแรก ในการกักเก็บน้ำสำหรับผลิตพลังงานไฟฟ้าและเก็บน้ำไว้ให้เกษตรกรได้มีไว้ใช้ในยามหน้าแล้ง..


”คำพูดของท่านครูบาศรีวิชัยที่ท่านได้เอ่ยไว้กับหลวงศรีประกาศ...เมื่อ
ครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
และแม้กระทั่งท่านใกล้จะมรณภาพที่ก็ยืนหยัดในวาจาสิทธิ์ของท่าน...ที่เป็น
ปริศนาซึ่งไม่มีผู้ใดจะคาดคิด….”


จะว่าเป็นเหตุบังเอิญหรืออะไรก็แล้วแต่จะคิดกันไป....แต่มันก็เป็นเหตุการณ์ที่คนทั่วไปกล่าวกันว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก....



“เขื่อนภูมิพลเปิดใช้ น้ำปิงไหลคืนขึ้นเหนือ.. สมดั่งคำวาจาสิทธิ์ของครูบาศรีวิชัยและท่านครูบาฯก็ได้ขึ้นมาที่เชียงใหม่จริง ๆ…”



 


 


 


 


 



“อะยัง วุจจะติ
สิริวิชะโย นามะ มหาเถโร อุตตะมะสีโล นะระเทเวหิ ปูชิโต โส ระโห
ปัจจะยาทีนัง มะหะลาภา ภะวันตุ เม อะหัง วันทามิ สัพพะทา อะหัง วันทามิ
สิระสา อะหัง วันทามิ สัพพะโส สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิฯ
…”



อธิบายความตามข้างบนว่า...”พระมหาเถระรูปนี้..” ซึ่งพุทธศาสนิกชนพากันเรียกขานว่า “พระมหาเถระศรีวิชัย”
ผู้มีศีลอันอุดม ผู้อันเหล่านรชนและเทวดาพากันบูชา
ท่านเป็นผู้สมควรแก่เครื่องสักการะบูชาอันมีปัจจัยสี่เป็นต้น
ขอให้ลาภเป็นอันมากจงเกิดมีแก่ข้าพเจ้า... 



ข้าพเจ้าขออภิวาทซึ่งพระเถระ
เจ้ารูปนั้นตลอดเวลา ขอกราบไหว้ด้วยเศียรเกล้า ขอกราบไหว้ด้วยอาการทั้งปวง
ขอให้สำเร็จประโยชน์ ขอให้สำเร็จประโยชน์ ขอให้สำเร็จประโยชน์
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาฯ… 








 


 


 


สุดท้ายนี้ขอให้ลูกหลานชาวล้านนาระลึกไว้เสมอว่า แม้เรามิใช่ชาวสยาม


 


แต่ปัจจุบันเราอยู่รวมกันใต้พระบรมโพธิสมภาร ภายใต้ชื่อประเทศใหม่ที่ขานเรียกว่า "ไทย"


 


รวมกับภาคอื่นๆ ชาติพันธุ์อื่นๆ.. ดังนั้นขอให้เราจงรักและสามัคคี อย่าให้ใครมาแยกแผ่นดินใหม่นี้


 


ประวัติศาสตร์เก่ามีไว้เตือนความจำ และย้ำว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ไม่ควรลืมเลือน


 


 


 


 


 


 


ที่มา : วิกิพีเดีย (ไทย)


//board.postjung.com/599202.html




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 21:48:19 น.   
Counter : 2049 Pageviews.  

ตุ๊กตาอนาโตมี่ โชว์ตับไตไส้พุง










'คิตตี้'โชว์ตับไตไส้พุง ตุ๊กตากายวิภาคขายชุดละ6หมื่นบ. (ไทยโพสต์)

 ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟชบุ๊ค Jason Freeny

        
ศิลปินออกแบบตุ๊กตาชุดใหม่ แสดงให้เห็นโครงกระดูกและอวัยวะภายในของคน แมว
และม้า ตั้งราคาขายแพงลิ่วถึงชุดละ 65,000 บาท ตุ๊กตาชุดนี้ประกอบด้วย
ซูเปอร์มาริโอ, เฮลโล คิตตี้, และมาย ลิตเติล โพนี


        
ซีกหนึ่งของตุ๊กตาไวนิลเหล่านี้แสดงให้เห็นความน่ารักของเหล่าตัวละคร
การ์ตูนที่เด็กๆ โปรดปราน ขณะอีกซึ่งหนึ่งแสดงให้เห็นตับไตไส้พุงข้างใน
ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน

















        
ศิลปินชาวนิวยอร์ก เจสัน ฟรีนีย์ บอกว่า ตัวเองอยากให้เด็กๆ
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกายวิภาค ไม่ได้ตั้งใจจะช็อกเด็ก หรือทำให้หวาดกลัว
"เด็กๆ ชอบกายวิภาค" เขาบอก "เด็กๆ
ตื่นเต้นกันมากเมื่อได้เห็นตุ๊กตาเหล่านี้" ตัวตุ๊กตาได้ถูกตัดออกซีกหนึ่ง
แล้วใส่อวัยวะต่างๆ
และกระดูกซึ่งทำจากวัสดุโพลีเมอร์และดินน้ำมันอีพ็อกซีเข้าไปข้างใน
แต่ละชุดต้องใช้เวลาทำหลายสัปดาห์ ราคาจึงแพง 


         ฟรีนีย์พูดทิ้งท้ายเป็นปรัชญาว่า ตุ๊กตาพวกนี้ส่งสารที่มีความหมายลึกซึ้ง ต้องมองพิศพินิจพิเคราะห์จึงจะเข้าใจ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 21:45:03 น.   
Counter : 2280 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]