ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

สะเก็ดไฟ...ลุก

จากบันทึกในประวัติศาสตร์กว่า 300 ปี พบศพมนุษย์ถูกเผาวอดเป็นเถ้าถ่านโดยหาสาเหตุไม่ได้ พบแต่เพียงว่า ต้นเพลิงเกิดจากไฟที่ติดและลุกขึ้นมาจากภายในร่างกายของพวกเขานั่นเอง...มนุษย์ที่พยายามค้นหาคำตอบเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ปรากฏการณ์คนลุกเป็นไฟฉับพลัน" (Spontaneous Human Combustion: SHC) 
ปรากฏการณ์คนลุกเป็นไฟฉับพลันถูกบันทึกไว้จากทั่วทุกมุมโลก กว่า 200 ราย แม้จะเกิดขึ้นต่างที่ ต่างเวลา แต่ทั้ง 200 ร่างกลับทิ้งปริศนาในการตายที่มีจุดร่วมเหมือนกัน และมันช่างเขย่าขวัญได้อย่างเหลือเชื่อ! 

          • เปลวไฟมรณะมักดับร่างเหยื่อจนเหลือเพียงเถ้า ในเวลาเพียง 1 -2 ชั่วโมง 

          • ไม่มีหลักฐานชี้ชัดการตาย ไม่มีพยานรู้เห็น ไม่รู้ต้นเหตุชัดเจนของเปลวเพลิง  

          • น่าแปลกที่เปลวไฟทำลายแค่ร่างกายมนุษย์ แต่บริเวณรอบข้างผู้ตายทุกราย แทบไม่มีร่องรอยการถูกเผาแม้แต่น้อย ทั้งที่สภาพศพนั้นเหมือนโดนเผาด้วยความร้อนกว่า 3,000 องศาฟาเรนไฮธ์ที่น่าจะทำลายพื้นที่รอบข้างให้เป็นจุณได้ในพริบตา 

          • สภาพศพสร้างความสยดสยองจนขนหัวลุกให้คนที่พบเห็น เพราะร่างกายส่วนกลางของเหยื่อมักไหม้เป็นเถ้าถ่านไม่เหลือชิ้นดี แต่กลับเหลืออวัยวะบางส่วนเช่น มือ-เท้า เอาไว้อย่างสมบูรณ์  

          • ขณะเกิดเหตุการณ์ไฟเผาร่างกายนั้น ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงร้อง หรือขอความช่วยเหลือจากเหยื่อแม้แต่น้อย  

          • เหตุการณ์สยองนี้เกิดขึ้นเฉพาะในอาคาร-บ้านเรือนเท่านั้น ไม่เคยเกิดในที่โล่ง  

          • มักมีกลิ่นควันที่หอมประหลาด พร้อมคราบสีเหลืองอ่อนรอบที่เกิดเหตุ 

          • เปลวไฟมรณะมักคร่าชีวิตเหยื่อที่อยู่เพียงลำพังคนเดียว!

Spontaneous human combustion (SHC)

หรือ"ปรากฏการณ์เผาไหม้ร่างมนุษย์" นี้หมายถึงการที่ร่างกายมนุษย์เกิดการลุกไหม้ขึ้นโดยไม่มีเชื้อไฟ เป็นมิสเทรี่อย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก คนที่ชอบเรื่องลึกลับน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง จริงอยู่ที่สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายถึงปราฏกการณ์นี้ได้ทั้งหมด แต่หากจะมองโดยแต่ละคดีแล้วก็จะพบว่าต่างก็มีสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ที่พอจะอธิบายได้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไปเช่นกัน เป็นเคสที่น่าสนใจอีกอย่างว่า ปรากฏการณ์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากปัจจัยเดียวกันเสมอไป


ก่อนจะเข้าเรื่อง เราลองมาพูดถึงหนึ่งในปรากฏการณ์ที่เป็นคำอธิบายหนึ่งของ SHC กันก่อนดีกว่าค่ะ
Wick Effect เป็นปรากฏการณ์ที่ไขมันจากร่างกายมนุษย์ซึมออกมายังเสื้อผ้าที่เหยื่อใส่อยู่ ทำให้เหยื่อมีสภาพเหมือนกับเทียนไข"inside-out"(ไขมันในร่างกายคนเป็นตัวเทียนซึ่งอยู่ข้างใน และเสื้อผ้าเป็นไส้เทียนซึ่งมาอยู่ข้างนอกแทน) ซึ่งจะง่ายต่อการติดไฟและลุกไหม้ด้วยอุณหภูมิต่ำ ด้วยเหตุนี้เองปรากฏการณ์นี้จึงจะเกิดการลุกไหม้เฉพาะที่และไม่ลามไปเป็นบริเวณกว้าง

ในเอนทรี่นี้จะขอแนะนำเฉพาะบางคดีที่มีชื่อเสียงและข้อมูลเพียงพอค่ะ

คดีของดอกเตอร์จอห์น เออร์วิ่ง เบนทเลย์
วันที่ 5 ธันวาคม 1966 รัฐเพนซิลวาเนีย เมืองเคาวเดอร์สปอร์ท นายกอสเนลไปที่บ้านของอดีตหมอ จอห์น เออร์วิ่ง เบนทเลย์ (92) เพื่อดูมีเตอร์แก๊สแทนเจ้าของบ้านซึ่งเดินไม่สะดวก เขาพบว่าบันไดลงไปห้องใต้ดินมีควันดำสีออกน้ำเงินลอยคลุ้งและมีกลิ่นเหม็นฉุนอบอวลไปหมด ด้วยความสงสัย เขาจึงเข้าไปยังห้องน้ำซึ่งเป็นที่มาของควัน ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พบกับภาพที่เขาไม่สามารถลืมได้ชั่วชีวิต
บนพื้นห้องน้ำมีรูขนาดกว้าง 75 เซนติเมตร ยาว 120 เซนติเมตร และที่ข้างรูนี้เองเขาก็พบขาของเบนทเลย์ซึ่งกลายเป็นสีคล้ำราวกับขาหุ่นตกอยู่ ส่วนอื่นๆของร่างกายนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านตกอยู่ในห้องใต้ดินเบื้องล่าง



* คำค้าน
กล่าวกันว่าคดีของเบนทเลย์เป็นปริศนาเพราะเกิดการลุกไหม้ทั้งๆที่ไม่มีเชื้อไฟ แต่ความจริงแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่าเบนทเลย์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นชอบสูบไปป์ และมักทำขี้เถ้าตกใส่เสื้อบ่อยๆ ในวันเกิดเหตุนี้ก็มีการพบขี้เถ้าตกอยู่บนพรมห้องนอนของเบนทเลย์ด้วย จึงเป็นการยืนยันว่าในวันดังกล่าว เบนทเลย์ก็กำลังสูบไปป์อยู่เช่นกัน
นอกจากนี้ ในบันทึกส่วนมากมักจะเขียนว่า เบนทเลย์ถูกเผาจนเหลือแต่ขาขวาข้างเดียว แต่ในความจริงแล้ว หัวกระโหลกของเขายังเหลืออยู่จากการเผาไหม้นี้ด้วย หากจะสันนิษฐานตามสภาพที่เกิดเหตุก็ได้ความดังนี้
1. เบนทเลย์ทำขี้เถ้าตกใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ
2. หลายนาทีให้หลัง เสื้อติดไฟ
3. เบนทเลย์รีบมุ่งไปยังห้องน้ำ เมื่อไปถึงเสื้อคลุมก็ติดไฟจนลุกท่วมไปหมดแล้ว เขาจึงถอดเสื้อคลุมโยนใส่อ่างอาบน้ำ (เสื้อคลุมที่ถูกพบในอ่างน้ำ มีไม้ขีดไฟใส่อยู่ในกระเป๋าด้วย)
4. แต่ไฟก็ลามมาติดที่ร่างกายแล้ว ร่างของเบนทเลย์จึงเกิดปรากฏการณ์ Wick Effect ลุกไหม้จนเขาเสียชีวิต


คดีของแมรี่ รีเซอร์หรือ The Cinder Lady
เป็นคดีที่โด่งดังที่สุดของปรากฏการณ์นี้ก็ว่าได้ค่ะ
2 กรกฎาคม 1951 รัฐฟลอริด้า เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คุณนายคาร์เพนเตอร์ เจ้าของห้องเข่ามาหาแมรี่ ฮาร์ดี้ รีเซอร์ (61) ที่ห้องของเธอ หากกดกริ่งเรียกแล้วก็ไม่มีเสียงตอบ และเมื่อจะเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าลูกบิดประตูร้อนจัดจนลวกมือ
คุณนายรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากคนงานซึ่งทำงานกันอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องได้ก็พบกับแมรี่ รีเซอร์ซึ่งเหลือเพียงเถ้าถ่านกับกระโหลกที่หดตัวลงจนมีขนาดเพียงเท่ากำปั้น หากไม่มีส่วนใดในห้องที่ถูกไฟลุกไหม้ด้วย



* คำค้าน
เกี่ยวกับเชื้อไฟนั้น ที่จริงแล้วจากการตรวจที่เกิดเหตุทราบได้ว่าเกิดจากบุหรี่นี่เอง แมรี่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่อยู่แต่เดิมแล้ว ประกอบกับก่อนที่เธอจะถูกพบเป็นเถ้าถ่านอยู่ในห้องพัก แมรี่เพิ่งจะโทรศัพท์คุยกับลูกชายว่าเธอได้ทานยานอนหลับไปแล้ว 2 เม็ด และจะทานอีก 2 เม็ดก่อนเข้านอน จึงเป็นไปได้ว่า แมรี่อาจจะเผลอหลับระหว่างที่เธอกำลังสูบบุหรี่อยู่และทำบุหรี่ตกใส่เสื้อ นอกจากนี้จากคำให้การของผู้ที่เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายกล่าวว่า แมรี่ใส่ชุดนอนและเสื้อคลุมซึ่งล้วนทำจากวัสดุซึ่งติดไฟง่าย และเธอยังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวนซึ่งยัดไส้ด้วยวัสดุที่ติดไฟง่ายเช่นกันอีกด้วย
อีกประการหนึ่ง มักจะกล่าวกันว่าภายในห้องไม่ถูกเพลิงไหม้เสียหาย แต่ในความจริงแล้ว ไฟได้ไหม้เก้าอี้ โต๊ะข้างเก้าอี้ และโคมไฟไปจนหมด ในตอนที่ค้นพบศพนั้น เพดานยังลุกไหม้อยู่ด้วยซ้ำ
และจริงอยู่ที่ร่างกายของแมรี่ถูกไหม้เป็นเถ้าถ่านจนแทบไม่เหลือกระดูก แต่ที่บอกว่ากระโหลกของเธอหดตัวจนมีขนาดเท่ากำปั้นนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่จริง เนื่องจากในหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวนี้อยู่กล่าวเพียงว่า"วัตถุทรงกลมซึ่งน่าจะเป็นกระโหลกศีรษะ" (ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นกระโหลกจริงๆ) นักวิจัยชี้ว่าเป็นไปได้ว่าวัตถุดังกล่าวน่าจะเป็นกระดูกส่วนฐานกระโหลกที่เชื่อมกับคอก็เป็นได้

มักจะมีการอ้างว่า การจะเผาร่างกายมนุษย์ให้เหลือแต่เถ้าถ่านนั้นต้องใช้อุณหภูมิ 1370 องศาเซลเซียสขึ้นไปเผาติดต่อกันเป็นเวลา 3 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ที่จริงแล้วใช้อุณหภูมิ 870 - 980 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก็สามารถเผาให้เป็นเถ้าถ่านได้แล้ว และถึงจะเป็นอุณหภูมิที่ต่ำกว่า หากใช้เวลาหลายชั่วโมงก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน อย่าว่าแต่แมรี่ถูกเผาอยู่ถึง 10 ชั่วโมงด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ไฟซึ่งลุกไหม้ในสถานที่ปิดนั้น จะไม่โหมลุกใหญ่โตเนื่องจากมีออกซิเจนน้อย แต่จะลุกไหม้อยู่ที่ต้นเพลิงทีละน้อยเท่านั้น ในกรณีของแมรี่นี้ ห้องของเธอเป็นพื้นคอนกรีตจึงมีสภาพปิดตายและทำให้ไฟไม่ลามไปยังที่อื่นมากนัก


คดีของจีนนี่ แซฟฟิน
15 กันยายน 1982 จีนนี่ แซฟฟิน (61) ซึ่งพักรักษาตัวโรคทางสมองอยู่กับน้องสาว จู่ๆเกิดมีอาการทรมานและพ่นไฟออกจากปากมาลุกติดศรีษะ จีนนี่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เธอถูกนำตัวเข้ารักษาโดยแพทย์เฉพาะด้านของแผลไฟลวก หากการรักษาก็ไม่เป็นผล เธอเสียชีวิตในอีก 8 วันให้หลัง
โดนัลด์ คาร์โรลซึ่งเป็นน้องเขยกล่าวว่า จีนนี่มีรอยไหม้เพียงที่ส่วนศีรษะ แขนและบางส่วนของเสื้อที่ใส่อยู่โดยที่ไฟไม่ได้ลามไปที่อื่น โดยเฉพาะใบหน้าและภายในปากนั้นเป็นแผลไฟไหม้อย่างหนัก และในที่เกิดเหตุไม่มีเชื้อไฟอยู่เลย

* คำค้าน
ความพิสดารของคดีนี้อยู่ตรงที่จีนนี่พ่นไฟออกจากปากและในปากของเธอมีแผลไฟไหม้ด้วย แต่ตามบันทึกที่หลงเหลืออยู่จริง แพทย์ชันสูตรได้กล่าวว่า"มีขี้เถ้ามีที่จมูกก็จริง แต่ในปากไม่มีแผลใดๆ" นอกจากนี้ ยังไม่มีรอยแผลไฟไหม้ภายในร่างกายอีกด้วย
ถ้าเช่นนั้นเรื่องจินนี่พ่นไฟมาจากที่ไหน? ที่จริงแล้วรายละเอียดดังกล่าวถูกเพิ่มเติมขึ้นในการสัมภาษณ์โดนัลด์ คาร์โรลในอีก 12 ปีให้หลังจากคดี มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเรื่องที่แต่งเติมขึ้นโดยนักข่าวคอลัมภ์อีกที
ส่วนเชื้อไฟนั้น ตอนที่เกิดเหตุ จีนนี่นั่งอยู่ในครัวกับแจ๊ค แซฟฟินซึ่งเป็นพ่อ ก่อนเกิดเหตุ แจ๊คกำลังสูบไปป์และหน้าต่างก็เปิดอยู่ จึงพอจะสันนิษฐานได้ว่า ลมได้พัดเอาขี้เถ้าจากไปป์ไปติดยังเสื้อของจีนนี่ และจากคำให้การของตำรวจซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุว่า"เมื่อตอนที่ผมไปถึง เสื้อของเธอยังมีไฟลุกอยู่" หมายความว่าที่ไฟไหม้นั้น ไม่ใช่จากหน้าของเธอ แต่เป็นจากเสื้อของเธอมากกว่านั่นเอง


คดีของเฮเลน คอนเวย์
8 พฤศจิกายน 1964 รัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อหลานสาวกลับมาถึงบ้านก็พบกับเฮเลน คอนเวย์ถูกไฟไหม้เหลือเพียงขาตั้งแต่เข่าลงไปสองข้างเท่านั้น หลานของเธอออกจากบ้านไปเพียงช่วงสั้นๆ ซึ่งหมายความว่าเป็นคดีที่เกิดในระยะเวลาเพียง 6 - 20 นาทีเท่านั้นเอง
คอนเวย์เป็นนักสูบบุหรี่จัดและไม่ค่อยระวังไฟ ในที่เกิดเหตุพบรอยไหม้ของบุหรี่ และหลานสาวได้ยืนยันว่าก่อนที่เธอจะออกไปซื้อของ ได้ส่งไม้ขีดไฟกล่องใหม่ให้กับเฮเลน จึงเป็นธรรมดาที่สาเหตุจะถูกเล็งไปยังไฟบุหรี่นั่นเอง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลารี่ อาร์โนลด์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎี SHC ได้กล่าวว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าที่จริงแล้วร่างของเฮเลนได้เกิดการระเบิดขึ้นมา



*คำค้าน
ลารี่ อาร์โนลด์นี่ก็ไม่ใช่ใครอื่นค่ะ คนๆเดียวกันกับที่สัมภาษณ์โดนัลด์ คาร์โรลในคดีของจีนนี่ แซฟฟินนี่เอง ลารี่เสนอสมมติฐานการระเบิดก็จริง แต่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีชิ้นส่วนของร่างกายกระจัดกระจายดังที่ควรจะเป็นเมื่อเกิดระเบิด
ในเรื่องของระยะเวลาการเผาไหม้ที่สั้นมากนั้น ถ้าลองเปรียบเทียบรูปทั้งสามรูปในเอนทรี่ก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น คดีของเบนทเลย์และแมรี่นั้น ไฟได้เผาจนเกิดความเสียหายไปยังรอบๆด้วย (คดีของเบนทเลย์เกิดเป็นรูที่พื้น คดีของแมรี่เครื่องเรือนและเพดานถูกเผาจนเกือบหมด) แต่กรณีของเฮเลนนี้ ของรอบๆตัวเธอไม่มีความเสียหายมากถึงขนาดนั้น แม้แต่เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ก็ยังคงสภาพเดิมไว้ได้ส่วนใหญ่ จึงมีการสันนิษฐานว่าเฮเลนอาจจะหัวใจวายตายก่อนเกิดไฟไหม้ ทำให้เธอไม่ได้ดิ้นรนมากจนสะเก็ดไฟกระจายไปรอบๆ และบุหรี่ก็น่าจะตกลงบนตักของเธอเองทำให้ไฟลุกในแนวตั้งซึ่งจะมีลักษณะเป็นไฟแรงกว่าไฟที่ไหม้ในแนวนอน ซึ่งทำให้ท่อนบนของเฮเลนถูกไฟเผาไปในระยะเวลาอันสั้นได้


มันเกิดขึ้นเพราะอะไร 

นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อปรากฏการณ์นี้ ว่า spontaneous human combustion (SHC) 
หรือแปลเป็นไทยๆ (เอาแบบที่แปลตรงๆ ตัวเลยนะ) ก็ได้ประมาณว่า 
การสันดาปของมนุษย์อย่างฉับพลัน หรือแปลให้เข้าใจเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ อยู่ๆ 
ไฟก็ลุกท่วมตัว และไหม้เป็นเถ้าไปเองซะเฉยๆ ยังงั้น 
หลายคนเขามองเรื่องของ spontaneous human combustion เป็นเรื่องขี้จุ๊เบ่เบ๊ ขี้ฮกตาราร่า 
แต่ปัญหาก็คือ เรามีคดีที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่ผู้เคราะห์ร้ายถูกเผากลายเป็นเถ้าอย่างไม่ทราบสาเหตุจริงๆ 
มันเกิดขึ้นได้ยังไง?!? มีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่พอจะอธิบายได้ครับ 
นั่นก็คือทฤษฎีของการเผาไหม้ของเทียนไข หรือเราจะเรียกว่าทฤษฎีไส้เทียนก็ว่าได้ละมั้ง 
เราจะเห็นว่าเวลาที่เราจุดเทียนไขนั้น ไส้เทียนมันจะลุกไหม้ตลอดเวลา 
ไม่มีดับ... ที่มันเป็นยังงี้ก็เพราะขี้ผึ้งที่อยู่รอบๆ ไส้เทียนนั่นแหละครับ 
ขี้ผึ้งนั้นทำมาจากไขมัน ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ไส้เทียนเกิดการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา 
ในร่างกายคนเราก็มีไขมัน ที่ทำหน้าที่เป็นวัตถุที่ติดไฟได้ และมีคุณสมบัติคล้ายขี้ผึ้ง 
ในขณะที่บรรดาเสื้อผ้า และขน เส้นผม ก็เปรียบเสมือนไส้เทียน 
อีตอนที่ร่างกายเผาไหม้ ไขมันในร่างกายก็จะละลายด้วยความร้อนซึมเข้าสู่เสื้อผ้า 
ทำให้กลายเป็นเหมือนขี้ผึ้งที่ซึมเข้าสู่ไส้เทียน ที่กันไม่ให้ไส้เทียนไหม้เป็นเถ้า 
และทำให้ไส้เทียนลุกไหม้ตลอดเวลา... นักวิทยาศาสตร์ว่ากันว่า นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้รอบๆ 
ตัวของผู้เคราะห์ร้ายไม่มีร่องรอยความเสียหายจากไฟ 
ทีนี้ก็มีคำถามอีกว่า ในบางรายที่ศพของผู้เคราะห์ร้ายยังมีบางส่วนอยู่ในสภาพดี เช่น มือ หรือเท้า ล่ะ?!? 
มีผู้ให้คำตอบว่าน่าจะเป็นเรื่องของการไล่ระดับของความร้อนครับ 
โดยมีแนวคิดที่ว่าอุณหภูมิของร่างกายของคนที่นั่งนั้น ส่วนบนสุดจะร้อนกว่าส่วนล่าง 
สุดท้ายคือคำตอบต่อคำถามที่ว่า ไอ้ของที่มีสภาพคล้ายๆ จารบีเหนียวๆ 
ที่เกาะติดอยู่แถวๆ ผนังหรือเพดาน หลังจากเกิดปรากฏการณ์ มันคืออะไร... เขาตอบง่ายๆ 
ตามทฤษฎีเลยว่า มันก็คือ ไขมัน ที่ออกมาจากตัวเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนั่นเอง 
จากทฤษฎีดังกล่าว เราอาจจะแบ่งสภาวะการเกิด spontaneous human combustion 

แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นก็คือ

1. ในขั้นแรกผู้เคราะห์ร้ายเกิดอะไรซักอย่างทำให้หมดสติ ไม่รู้สึกตัวไป 
แล้วเสื้อผ้าก็เกิดได้รับความร้อนจากภายนอก ทำให้เกิดการลุกไหม้ 

2. ความร้อนที่เกิดขึ้นก็ไปละลายไขมันในร่างกาย ให้ไหลออกมาซึมเข้าสู่เสื้อผ้า 
ทำให้มีสภาพเหมือนไส้เทียนที่ชุ่มไปด้วยเนื้อเทียนไข 

3. ร่างกายก็จะได้รับความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ไขมันนั้นเป็นเวลานานมากๆๆๆๆๆ 
จนทำให้ทั้งเสื้อผ้า และร่างกายกลายเป็นขี้เถ้าโดยสมบูรณ์แบบ




Create Date : 06 กรกฎาคม 2555
Last Update : 6 กรกฎาคม 2555 21:52:19 น. 0 comments
Counter : 1596 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

zulander
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




หวยซอง เลขเด็ด
หวยซอง เลขเด็ด หวยซองแม่นๆ หวยซองดัง รวมหวยซอง






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


New Comments
[Add zulander's blog to your web]