เทคนิคการสอบสัมภาษณ์ คัดลอกมาจาก //soongying.bloggang.com เทคนิคการสอบสัมภาษณ์ ครับก็อย่างที่พูดไว้ ในตอนที่แล้วว่า ในตอนนี้เราจะได้พูดถึงเรื่องการสอบสัมภาษณ์งาน แต่ก่อนอื่นเราก็ต้องทราบความหมายและวิธีการเสียก่อนดังนี้ครับ การสอบสัมภาษณ์งาน (Job Interview) กระบวนการสุดท้าย ของการสมัครงาน ก็คือ การสอบสัมภาษณ์ หรือ "interview" ดังนั้น จึงอาจกล่าว ได้ว่าการสอบสัมภาษณ์ ถือเป็นกุญแจสำคัญ ในอันที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ของการสมัครงาน และในที่นี้ผู้เขียนได้รวบรวมคำถามและคำตอบ ที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ตามสากลนิยม และครอบคลุมหน่วยงานทุกสาขาวิชา ซึ่งโดยมากก็จะยึดคำถาม และคำตอบเหล่านี้เป็นหลักแทบทั้งสิ้น คำนิยามของคำว่า "สัมภาษณ์" (Definition of interview) คำว่า "interview" สืบความหมายมาจาก คำว่า "sight between" หรือ "view between" ดังนั้นคำว่า "interview" จึงมีความหมายว่า การพบกันระหว่างบุคคล 2 คน (หรืออาจมากกว่านี้ ในกรณีสัมภาษณ์หมู่) กล่าวคือระหว่างผู้สัมภาษณ์ (interviewer) และผู้ถูกสัมภาษณ์ (intervicwee) เพื่อเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งผู้รับ (employer)และผู้สมัคร (candidate) หรือ (job applicant) จุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์งาน (Purpose of the job interview) ถ้าผู้สมัครต้องการสอบสัมภาษณ์ให้ได้ดี ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจ จุดมุ่งหมายของการสอบสัมภาษณ์ อย่าคิดแต่เพียงว่าการสอบสัมภาษณ์ คือการที่เราต้องไปนั่งตอบคำถามยากๆ ที่เกี่ยวกับตัวเราเองเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม เราควรคิดว่าการสอบสัมภาษณ์ ก็คือการที่เราได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยน ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แก่ผู้ที่อาจจะเป็นเจ้านายของเราในอนาคต กล่าวง่ายๆ การสอบสัมภาษณ์งาน ก็คือการที่เราได้มีโอกาสพูดคุย เพื่อโฆษณาขายตัวเองให้บริษัท (To sell yourself to the company) นั่นเอง และที่สำคัญ การสอบสัมภาษณ์มีประโยชน์ดังนี้ คือ 1. เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ และความเหมาะสมกับงานของผู้สมัคร (To judge the applicant's qualifications and suitability for the job.) 2. เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้สมัคร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการตัดสินใจของเขา ก่อนการรับข้อเสนอเข้าทำงาน (To provide the applicant with the information he needs to decide about the job.) 3. เพื่อทดสอบดูว่า ท่านมีความสนใจงาน ที่สมัครจริงหรือไม่ และนโยบายของบริษัท พร้อมทั้งโอกาส ที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นที่สนใจของท่านจริงหรือไม่ (To find out if you will like the job you are applied for, whether the company's policies and prospects for promotion re attractive ehough for you to want the job.)
ประเภทของคำถาม เมื่อได้ทราบกระบวนการต่างๆ ของการสอบสัมภาษณ์งานไปแล้ว ต่อไปนี้ลองมาดูประเภทของคำถามกันบ้าง เพราะเมื่อถึงเวลาสัมภาษณ์เข้าจริงๆ จะได้เตรียมตัวได้ถูก ดังนี้ครับ นักวิชาการ ได้แบ่งลักษณะของคำถาม ออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. คำถามเปิด คำถามชนิดนี้จะเปิดกว้าง ให้ผู้ตอบได้มีโอกาสตอบ และแสดงความคิดเห็นของตน อาจจะเป็นคำถามที่คลุมเครือ เช่น คุณมีประสบการณ์อะไรบ้าง (What experience do you have?) ดังนั้น เวลาตอบ ผู้ตอบคำถามเหล่านี้ ต้องตอบโดยตีความให้แคบลง โดยระบุลงไปว่า มีประสบการณ์อะไรบ้าง 2. คำถามปิด คือคำถามที่ต้องการ เฉพาะเจาะจง เพียงต้องการให้ผู้ตอบ ตอบเพียง Yes หรือ No เท่านั้น กรณีเช่นนี้ ถ้าผู้ตอบ ตอบไม่ได้จริงๆ ก็ให้ตอบไปตามตรงเลยว่า ไม่ทราบ (Sorry! I don't know) เพราะว่าคำถามประเภทนี้ ผู้ตอบจะไม่ค่อยมีโอกาส แสดงออกความคิดเห็น ได้เองเท่าใดนัก 3. คำถามทวน เป็นคำถามที่แนะเป็นนัย ให้ผู้ตอบตรึกตรองดูอีกครั้งหนึ่งว่า คำตอบ ที่ตอบไปแล้วนั้น จะสมบูรณ์พอแล้วหรือไม่ เช่น คุณพูดว่า คุณจะไปต่างประเทศสิ้นปีนี้ใช่หรือไม่(You said you would go abroad at the end of this year, is that true?) 4. คำถามหยั่ง คือคำถามที่หยั่งลึกลงไป เพื่อหยั่งหาเหตุผล ทัศนคติ และความเชื่อ ของผู้ถูกถาม เช่น ทำไมคุณจึงยอมลาออก จากที่ทำงานเดิม ทั้งๆ ที่ยังไม่ทำงานใหม่ (Why did you decide to quit your last job, though you have not yet get the new one?) 5. คำถามนำ คือคำถามที่มีลักษณะ แบบทำให้ผู้ตอบ ตอบตามที่ผู้ถามคาดคะเนเอาไว้ เช่น เธอไม่มีโรคประจำตัว ตามที่ระบุไว้ในข้อ 4 ของระเบียบใช่หรือไม่ (You don't have any diseases as indicated in clause 4 of our procedure, do you?) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือประเภทของคำถาม ที่ผู้สมัครพึงศึกษาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะใช้คำตอบได้ถูกต้อง และในบทต่อไปเป็นคำถาม และคำตอบที่ผู้เขียนได้รวบรวมไว้ เพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ที่จะเข้าสอบสัมภาษณ์ ได้ศึกษา และเรียนรู้ไว้ก่อน
Prepare for predictable questions ในการสอบสัมภาษณ์แม้ว่าจะต่างกรรม ต่างวาระ แต่จะมีคำถามส่วนหนึ่ง เป็นคำถาม Basic ที่ผู้สัมภาษณ์มักใช้สัมภาษณ์ ซึ่งหากมีการเตรียมตัว หรือซักซ้อมคำตอบไว้ล่วงหน้า จะเป็นคำถามช่วยทำคะแนน คำถามต่อไปนี้ผู้เขียนได้เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ผู้สมัคร ได้มีโอกาสเตรียมตัว รับสถานการณ์ไว้ ก่อนเข้ารับการสัมภาษณ์จริง.... 1. Why did you apply for this position? (ทำไมคุณจึงเลือกสมัครตำแหน่งนี้) หรือ Why do you want to leave your present job? (ทำไมคุณจึงต้องการออกจากงาน ที่ทำอยู่ปัจจุบัน) คำถามประเภทนี้ ต้องตอบในลักษณะที่ว่า เราต้องการมีประสบการณ์มากขึ้น และอยากมีความรับผิดชอบ มากขึ้นกว่านี้อีก เช่น I would like to broaden my experience and have more responsibility. หรือ I have been looking for another job which give me more responsibility and offer better prospects for the future. (ผมกำลังหางานใหม่ ที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมีอนาคตที่ดีกว่า) 2. ไม่ควรทำตัวคุ้นเคยจนเกินไป ถึงแม้ว่า บริษัทที่เราไปสมัครนั้น จะไม่ค่อยเคร่งครัดเกี่ยวกับระเบียบมากนักก็ตาม เช่น ถ้าหากผู้สัมภาษณ์ แนะนำตัวเองว่า "My name is James Thomson" ก็ไมควรเรียกเขาโดยใช้ชื่อแรกว่า "Mr.James" เพราะในภาษาอังกฤษถือว่าไม่สุภาพ ควรจะเรียกเขาว่า "Mr.Thomson" จะเหมาะสมกว่า 3. ตามปกติแล้ว มีน้อยครั้งที่ผู้สัมภาษณ์จะเริ่มต้นโดยกล่าวว่า "Right, tell me about yourself." (เอาละช่วยบอกให้ผมทราบเกี่ยวกับตัวคุณหน่อยซิ) คำถามลักษณะนี้ เวลาตอบต้องถามผู้สัมภาษณ์ให้แน่นอนว่า จะให้เริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหน โดยการถามเขาว่า "Where would you like me to begin?" เมื่อถึงตอนนี้ผู้สัมภาษณ์อาจจะพูดว่า "I'd like you to tell me a bit about what you've been doing since you left University." (ผมอยากให้คุณเล่าให้ฟังนิดหน่อยว่า คุณทำอะไรหลังจากจบมหาวิทยาลัยแล้ว) ผู้สมัครอาจจะตอบว่า well, when I graduated in 1986, I started work as a salesman with an electronics company and I have been with this company since then." (เมื่อผมได้รับปริญญาในปี ค.ศ.1986 ผมก็เริ่มทำงานเป็นเซลส์แมนกับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง และผมก็ได้ทำงานกับบริษัทนี้ มาจนกระทั่งบัดนี้) 4. อนึ่ง การที่เราชักชวนให้ผู้สัมภาษณ์พูดนั้น ย่อมเป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง และเวลาเขาพูด เราก็ต้องแสดงความในใจให้เขาเห็น โดยการตอบรับบ้าง อย่านั่งฟังแต่เพียงฝ่ายเดียว เช่น "That's interesting." (นั่นน่าสนใจจริงๆ ครับ) หรือ "I see." (อย่างนั้นหรือครับ) การตอบรับแบบนี้ ควรพูดได้เป็นบางครั้ง บางคราวเท่านั้น เพราะถ้าใช้พร่ำเพรื่อ จะกลายเป็นว่าเราไม่มีความรู้ ความสามารถอะไรเลย ครับ ยังไม่จบนะครับยังมีต่อ แต่ตอนนี้จะขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อน เอาไว้พบกันตอนหน้านะครับ สวัสดีครับ!
Prepare for predictable questions ก่อนที่จะเข้าสัมภาษณ์ทุกครั้ง ผู้สมัครไม่ควรละเลย ที่จะซักซ้อมคำถามคำตอบล่วงหน้าไว้ก่อน เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด ซึ่งบางครั้งคำถาม คำตอบเหล่านี้ อาจจะถูกถามหรือไม่ก็ได้ เหมือนกับการจับ "ใบดำ ใบแดง" แต่อย่างน้อย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สัมภาษณ์ ซึ่งคราวที่แล้วเราได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว คราวนี้จะมาดูว่ามีคำถามอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง ที่เราพอจะเตรียมตัวได้อีกบ้าง กรณีที่มีผู้สัมภาษณ์หลายคน ซึ่งเรียกว่า "The panel interview" นั้น เมื่อเรากำลังจะตอบคำถาม ของผู้สัมภาษณ์ท่านใดท่านหนึ่ง แต่มีผู้สัมภาษณ์ท่านอื่น พูดแทรกขึ้นมา เราควรพูดคั่นในทำนองนี้ "May l try to answer your question together with the one raised by your colleague?" (ขอให้ผมได้ตอบคำถามของท่าน พร้อมกับคำถามของเพื่อนร่วมงาน ของท่านด้วยนะครับ) คำถามที่ควรระมัดระวังในการตอบก็คือ คำถามเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือน เช่น ถ้าถูกถามว่า "What salary do you expect to get?" (คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่) คำถามประเภทนี้ ไม่ควรตอบโดยระบุว่า ต้องการเท่านั้นเท่านี้ ควรตอบในลักษณะนี้จะดีกว่า "Usually what is your standard rate of pay for a person in this position?" (โดยปกติแล้ว มาตรฐานการจ่ายเงินเดือนของคุณ ให้กับบุคคลที่มีประสบการณ์เช่นผม ซึ่งทำงานในตำแหน่งเดียวกันนี้เป็นอย่างไร) ถ้าต้องการให้เหตุผลว่า เรามีคุณสมบัติเหมาะสมกับงาน ควรใช้ "I am suited to the job." อย่าใช้ The Job suits me. เด็ดขาด เพราะงานอยู่กับที่ เราเองต่างหากที่ไปเหมาะสมกับงานเอง เมื่อถูกถามเกี่ยวกับชีวิตในครอบครัว (Family background) เช่น What does your father do for a living? หรือ Does your mother work? อะไรทำนองนี้ ก็ไม่ควรพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ เพราะรู้สึกอาย หรือกลัวว่าเมื่อตอบความจริงแล้ว จะทำให้ตัวเองต่ำต้อย หรือไม่ก็กลัวถูกปฏิเสธ แท้จริงแล้วเราควรพูดความจริง เพราะถ้าคิดจะดิ้นรน ต่อสู้ชีวิตในอนาคต ก็ไม่ควรปล่อยให้วิถีชีวิตในอดีต มาเป็นอุปสรรคแก่ตัวเราได้ คำถามเกี่ยวกับเวลาว่าง (Spare time) หรืองานอดิเรก (Hobbies) ถ้าเราตอบว่าชอบอ่านหนังสือ ก็ควรจะตอบได้ว่า ผู้เขียนหนังสือที่เราอ่านคือใคร และเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อย่าเพียงแต่ระบุไว้ในใบสมัคร ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีนิสัยรักการอ่าน หรือเกี่ยวกับกิจกรรมอื่นๆ เราก็ควรมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ เพราะถ้าไม่รู้จริง จะทำให้ผู้สัมภาษณ์ หมดความเชื่อถือในตัวเราได้ เราควรติดตามความเคลื่อนไหว ในเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอยู่รอบๆ ตัวเรา ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยการอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี หรือฟังวิทยุ ก็ได้ ถึงแม้เราจะไม่เคยสนใจมาก่อนเลยก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คำถามเกี่ยวกับความทะเยอทะยาน หรือความกระตือรือร้น (Ambition) หรือ (Aspiration) เช่น How do you see your career developing over the next five years? (คุณเห็นว่าอีก 5 ปีข้างหน้า งานของคุณจะพัฒนาไปอย่างไร) ก็ไม่ควรแสดงความทะเยอทะยานจนเกินไป เพราะผู้สัมภาษณ์อาจเกรงว่า ผู้สมัครมีความทะเยอทะยานมากจนเกินไป จนเป็นเหตุให้อยู่บริษัทได้ไม่นาน คำถามที่ถามว่า What do you think are your weaknesses or failings? (อะไรที่คุณคิดว่าเป็นความอ่อนแอ หรือเป็นข้อบกพร่องของคุณบ้าง) คำถามเช่นนี้ไม่ควรตอบว่า "I dont't have any weaknesses/failings at all. (ผมไม่มีความอ่อนแอ หรือข้อบกพร่องใดๆ เลยครับ) ซึ่งเมื่อฟังแล้ว ดูจะเป็นการพูดเท็จมากกว่า ดังนั้น คำถามในลักษณะนี้ ควรตอบเช่นนี้จะเหมาะสมกว่า "I don't think I have any weaknesses or failings which would affect my ability to do this job." (ผมไม่คิดว่าผมมีความอ่อนแอ หรือข้อบกพร่องใดๆ ที่จะเป็นอุปสรรค ต่อความสามารถของผม ในการทำงานนี้ครับ) คำถามคำตอบเหล่านี้ เป็นเพียงแนวทางเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผู้สมัครควรเตรียมตัวไว้บ้าง จะได้ไม่รู้สึกเจ็บใจ เมื่อออกจากห้องสัมภาษณ์มา และกลับมาพูดหัวข้อใหม่ ในตอนหน้านะครับ....
Questions you need not ask ในการสัมภาษณ์หลายครั้ง ผู้สมัครงานมีคำถาม "คาใจ" แม้จะเกี่ยวพันกับการทำงาน และผลประโยชน์โดยตรง แต่บางครั้งก็เป็นคำถาม "ต้องห้าม" และหากหลุดปากถามออกไป ก็อาจจะทำให้โอกาส หลุดลอยไปก็ได้ ลองดูกันว่า คำถามแนวไหนที่ไม่สมควรถาม.... 1. Do I have to sign a contract? (ผมต้องเซ็นสัญญาหรือไม่) 2. What are the working hours? (ชั่วโมงการทำงานเป็นอย่างไร) 3. Will I have to work overtime? (ผมต้องทำงานล่วงเวลาหรือไม่) 4. What degree have you obtained? (ท่านสำเร็จศึกษาอะไรมา) 5. How much vacation leave am I entitled to? (ผมมีสิทธิลาหยุดงานได้นานเท่าไร) 6. Do we have a Labour Union here? (ที่นี่เรามีสหภาพแรงงานได้หรือไม่) 7. Will I have the cpportunity to travel overseas? (ผมจะมีโอกาสไปต่างประเทศหรือไม่) 8. What fringe benefits does your company offer? (ทางบริษัทให้ผลประโยชน์อะไรบ้าง) แน่นอนที่สุด ผู้สมัครย่อมต้องการคำตอบของคำถามเหล่านี้ ก่อนที่จะรับทำงาน แต่ผู้สมัครก็ไม่ควรถามคำถามเหล่านี้ในขณะสัมภาษณ์ เพราะผู้สัมภาษณ์อาจเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี (bad impression) ต่อผู้สมัคร เป็นต้นว่า ผู้สมัครเห็นแก่เงินเดือนเท่านั้น ผู้สมัครไม่ต้องการยึดมั่นอยู่กับงานนั้นโดยเฉพาะ แต่ต้องการทำไปอย่างนั้นเอง ผู้สมัครไม่ค่อยสนใจที่จะปรับปรุงงานนั้นให้ดีขึ้น แต่ต้องการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้น วิธีที่ดี ก็คือ ผู้สมัครควรถือเสียว่า เรายังมีเวลาซักถาม คำถามเหล่านี้อยู่มาก รอให้เขารับเราเสียก่อน ค่อยถามก็ได้ ครับ ตอนนี้ก็จบกันเพียงสั้นๆ และเบาๆ ก่อนครับ แล้วค่อยพบกันตอนหน้า สวัสดีครับ
Questions you will need to ask เกือบทุกครั้งที่จบบทสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์มักจะเปิดโอกาส ให้ผู้สมัครได้ถามสิ่งที่อยู่ในใจ ซึ่งเป็น "ข้อสอบ" อีกข้อหนึ่งที่ใช้ "ประเมินผล" ดังนั้น ผู้ถูกสัมภาษณ์จึงต้องระวังตัวพอสมควร ก่อนที่จะเอ่ยแต่ละคำถาม อันเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเตรียมตัวที่ดี และไม่ควรจะมองข้าม ดังนี้ โดยปกติแล้วหลังจาก การสอบสัมภาษณ์เสร็จแล้ว ผู้สัมภาษณ์จะถามว่า Do you have any questions? Well! is there anything further you would like to know? (คุณมีคำถามอะไรอีกไหม) และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะเป็นการดีมาก ถ้าหากว่าผู้สมัคร จะมีคำถามสัก 2-3 คำถาม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตัวผู้สมัครมีความสนใจในงานจริงๆ และต่อไปนี้ เป็นคำถามที่ผู้สมัคร ควรถามผู้สัมภาษณ์.... 1. What does the probation period involve? (มีการทดลองงานเกี่ยวกับอะไรบ้าง) 2. Is any training given? (มีการฝึกงานหรือไม่) How long is the period of training? (ฝึกงานนานเท่าไร) 3. What does the training course consist of? (หลักสูตรการฝึกงานประกอบด้วยอะไรบ้าง) 4. What should be the responsibilities of this work? (งานนี้มีความรับผิดชอบเกี่ยวกับอะไรบ้าง) 5. Does the company have any plans to expand? (บริษัทมีโครงการขยายงานหรือไม่) 6. How do you assess the employees' working performance? (ท่านมีการประเมินผลงานของพนักงานอย่างไร) 7. What new products is the company planning to introduce that will support future growth? (บริษัทมีแผนที่จะแนะนำสินค้าใหม่อะไรเพื่อสนับสนุนความเติบโตภายหน้าบ้าง) 8. Why isn't this position being filled from within the company? (ทำไมไม่มีการบรรจุโดยการเลื่อนขั้นให้พนักงานในบริษัทเพื่อตำแหน่งนี้) 9. To what positions would I likely progress? Why? (ดิฉันมีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนไปจนถึงตำแหน่งไหน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น) 10. Docs the company support additional formal education? What form does such support take? (บริษัทให้การสนับสนุนด้านการศึกษาเพิ่มเติมบ้างไหม ถ้ามีในด้านใดบ้าง) 11. What else can you tell me about opportunities for promotion and advancement? (นอกจากนี้แล้ว ท่านกรุณาช่วยบอกให้ทราบหน่อยว่า มีโอกาสใดบ้างที่ดิฉันจะได้รับการเลื่อนขั้นและมีความก้าวหน้า) 12. What improvement would you like to see in these areas? (ท่านต้องการให้งานด้านนี้มีการปรับปรุงอะไรบ้าง) นี่เป็นตัวอย่างของคำถามที่ควรถาม แม้จะไม่ได้คะแนนแต่เป็นคำถามที่ไม่ทำให้เราเสียคะแนน นอกจากนี้ยังมีคำถามที่ไม่ควรถาม ซึ่งเราจะมาต่อกันในตอนหน้านะครับ
Things to be avoided การสอบสัมภาษณ์เป็นปราการด่านสุดท้าย ของกระบวนการคัดเลือก การเตรียมพร้อมก็ต้องเต็มร้อยเป็นพิเศษ ทั้งที่เตรียมตัวอย่างดี แต่ข่าวดีก็ค่อย...หายๆ ซึ่งบางครั้งเป็นความผิดพลาด ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในห้องสัมภาษณ์ที่แทบจะไม่รู้ตัว ก่อนจะเข้าห้องสัมภาษณ์ ก็ลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสมาธิให้มั่น แล้วก็อย่าลืมสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ ในการเข้ารับการสัมภาษณ์ (Thing to be avoided) ดังนี้ 1. ไม่ควรรับการนัดสัมภาษณ์วันละหลายๆ บริษัท เพราะอาจเกิดเหตุติดขัดได้หลายประการ หรือไม่ผู้สมัครก็อาจจะเกิดความเมื่อยล้าอิดโรยแล้วก็ได้ 2. อย่าจับมือกับผู้สัมภาษณ์ ถ้าเขาไม่ได้ยื่นมือให้จับก่อน 3. ไม่ควรแย่งพูดขณะสัมภาษณ์หรือถามคำถาม มากจนกระทั่งน่าสงสัยว่า ใครสัมภาษณ์ใคร 4. ไม่ควรถามเกี่ยวกับวันหยุด กำหนดพักร้อน การมาสาย หรือการกลับก่อนเวลา เพราะเป็นการสร้างภาพพจน์ว่า ผู้สมัครอยากทำงานน้อยๆ หนีงานเก่งและ ไม่ควรถามเกี่ยวกับสหภาพแรงงาน หรือการนัดหยุดงาน 5. ไม่ควรใส่แว่นกันแดด และใช้มือปิดปากเวลาพูด หรือกุมมือบนตักแน่น 6. ไม่ควรแสดงอาการประหม่า มือสั่น เท้าสั่น ถ้าตื่นเต้น ควรสูดลมหายใจลึกๆ และทำใจให้สบาย 7. ไม่ควรแสดงอาการกระตือรือร้นว่า อยากได้งานจนดูไม่เรียบร้อย พึงนึกไว้เสมอว่า เรามีข้อดีจนงานต้องการเรา ไม่ใช่เราต้องการงานเพียงฝ่ายเดียว (We don't need the job, but only the job that needs us) 8. ไม่ควรพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง เพราะผู้สัมภาษณ์ แต่ละคนอาจจับข้อเท็จจริงได้โดยไม่ยาก 9. ไม่ควรตอบว่าไม่ทราบ หรือไม่รู้ นอกจากจนปัญญาจริงๆ เท่านั้น 10. ไม่ควรถามเรื่องเงินเดือน จนกว่าผู้สัมภาษณ์จะพอใจในตัวเราเสียก่อนเท่านั้น และส่วนมากผู้สัมภาษณ์จะบอกหรือถามเอง 11. ไม่ควรนินทา หรือตำหนิเจ้านายเก่า เพราะผู้สัมภาษณ์อาจคิดว่า ต่อไปภายหน้าเขาเองก็อาจโดนตำหนิ ในทำนองนี้เช่นเดียวกัน 12. ไม่ควรนำพ่อและแม่ หรือเพื่อนไปสัมภาษณ์ด้วย เพราะผู้สัมภาษณ์จะมีความรู้สึกว่า ผู้สมัครไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ยังจะต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่อีก 13. อย่าใช้คำนำหรือชื่อ (title) เมื่อแนะนำตัวเอง ตัวอย่าง ไม่ใช่ I'm Mr.Prasit หรือ I'm Dr.Thira ควรใช้ I'm Prasit หรือ I'm Thira 14. อย่าใช้ภาษาแสลง เช่นใช้ yalh แทน yes 15. อย่าใช้คำย่อในวิชาที่เรียน เช่น Socio แทน Sociology, Psycho แทน Psychology, Chem แทน Chemistry, Econ แทน Economics เป็นต้น 16. กรณีที่ผู้สัมภาษณ์ใช้คำว่า Thank you! กับเรา ก็ควรตอบว่า You're welcome! หรือ It doesn't matter, อย่าใช้คำว่า Never mind. 17. อย่าทักทายผู้สัมภาษณ์ด้วยคำว่า Hello! เพราะจะเป็นการตีตัวเสมอกับผู้สัมภาษณ์ 18. กรณีที่เห็นด้วย ควรตอบว่า Yes, Sir! หรือ Yes, Madam! และถ้าไม่เห็นด้วยให้ตอบว่า No, Sir! หรือ No, Madam! (แล้วแต่เพศของผู้สัมภาษณ์) อย่าตอบเพียง Yes หรือ No เท่านั้น 19. กรณีที่ฟังคำถามไม่ชัด และต้องการให้ผู้สัมภาษณ์ถามใหม่ ควรกล่าวว่า I beg your pardon! หรือ Again Please! 20. กรณีที่ผู้สัมภาษณ์เชิญให้นั่งโดยกล่าวว่า Pleasc sit down! ควรกล่าวตอบว่า Thank you! อย่านั่งลงเฉยๆ 21. ในกรณีที่ผู้สัมภาษณ์แนะนำตัวเขาเอง โดยบอกชื่อและนามสกุลเต็ม เช่น I'm Roger Aslin ลักษณะเช่นนี้ อย่าเรียกเขาว่า Mr.Roger ซึ่งเป็นชื่อแรกของเขา เพราะถือว่าไม่สุภาพ และเป็นการแสดงความคุ้นเคยจนเกินไป ควรเรียกว่า Mr.Aslin จะเหมาะสมกว่า (ยกเว้นผู้สัมภาษณ์ที่เป็นคนไทย ซึ่งเรานิยมเรียกชื่อแรก แต่อาจจะไม่ใช้ Mr.นำหน้า โดยจะใช้ Khun แทน ซึ่งก็ถือว่าสุภาพดี) 22. เมื่อสัมภาษณ์เสร็จก่อนจะลากลับ ควรกล่าวว่า Thank you for calling me for this interview. I'll wait to hear from you. อ้อ! ถ้าหากปิดท้ายด้วยการจับมือแล้วล่ะก็ ควรจับแบบมีน้ำหนัก แต่อย่าบีบแรง ในลักษณะทดสอบกำลัง กับผู้สัมภาษณ์ นี่ล่ะรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้สัมภาษณ์จะคอยจับตาดูคุณอยู่ อย่าพลาดเสียล่ะ....
เป็นเดะสีลม(เซนต์โย สีลม)ตอนป.๑ เรียนอยู่สองอาทิตย์ เค้าหาว่าหนูซนเลยต้องย้ายมาเซนต์โยบางนา ตอนนี้อยู่ธรรมศาสตร์ ขึ้นปีสาม แต่อยากเป็นเด็กปีหนึ่ง ตอนนี้กลับไปเป็นเด็กสีลมเหมือนเดิม (โต๊ะสีลม Color of the wind)
เลือกได้ระหว่างอ่าน blog หรือ space http://spaces.msn.com/ongchun
chivalrysilk [ at ] gmail.com
icq57152514 [ at ] hotmail.com สำหรับเล่น MSN เท่านั้น