มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

ใจคน...ก็แค่ปฏิกริยาทางเคมี

     ก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีปีใหม่ 2556  หวังว่าทุกท่านจะมีความสุข สนุกสนานกับการเฉลิมฉลอง ดื่มเหล้าเมายากันไปตามประสาคนโง่ ( ปากเสียแต่ต้นปีเลย ) บางท่านอาจสนุกกับการเที่ยว เมืองไทยเรามีที่เที่ยวเยอะแยะ เที่ยวกันทุกปีตั้งแต่เกิดจนแก่ บางทีก็อาจจะไปไม่ทั่วทุกที่ เสียงบ่นที่แว่วมาเข้าหูคือ แย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว ร้านอาหารตามแหล่งท่องเที่ยวหลายร้าน ขายดีขนาดหุงข้าวสุกไม่ทันคนกินเลยก็มี ก็ว่ากันไป

     ที่จั่วหัวเรื่องไว้แบบนี้ ก็เกิดคิดขึ้นมาแว่บนึงว่า จะว่าไปแล้วความสุข ความทุกข์ ความรัก ความเกลียด ความพอใจ ความไม่พอใจ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ มันไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่ปฏิกริยาทางเคมี อาจเกี่ยวไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กบ้าง แต่รวมๆ แล้วมันก็เกิดขึ้นแว่บนึง แล้วก็หายไปเหมือนแสงของฟ้าแลบ แล้วทำไมต้องไปยึดติด จริงจังอะไรกับมันขนาดนั้นด้วย

     สิ่งที่ทำให้มันดูเป็นจริง เป็นจัง มันเกิดจากการที่มันเกิดซ้ำๆ จนทำให้เหมือนว่ามันคงที่อยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วมัน เกิด-ดับ  เกิด-ดับ ...  อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วต่างหาก

     ยกตัวอย่างความรัก ( เข้าใจเลือกนะเรา ) สมมุติว่า เราเจอใครสักคนที่เห็นแว่่บแรก ก็รู้สึกว่าใช่เลย หลังจากได้คุย ยิ่งโอเข้าไปอีก เข้าไปนั่งใกล้ ได้กลิ่นน้ำหอม ก็ยิ่งคลั่งไคล้ เดินไปด้วยกันเผลอถูกเนื้อต้องตัว ก็หลงหัวปักหัวปัมไปเรียบร้อย 

     มาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  

- แรกสุดภาพหน้าสวยๆ กระทบกับประสาทตา สมองเอาไปประมวลผลแล้วบอกว่า ใช่เลย คนนี้นางฟ้าชัดๆ  แล้วมันก็จบไปครั้งนึงก่อน 

- ต่อมาเมื่อได้คุยกัน ได้ยินเสียงหวาน ๆ พอเสียงกระทบประสาทหู สมองก็ประมวลผล แล้วบอกว่า เสียงหวานๆ แบบนี้ต่อให้ด่าเรา ก็ยังน่าฟัง  แล้วก็จบลงไปเป็นครั้งที่สอง

- ต่อมาเมื่อได้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นก็จะกระทบประสาทรับกลิ่นที่จมูก สมองก็ประมวลผลอีก แล้วบอกว่า กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ (เหมือนโฆษณาแป้งอะไรสักอย่าง) แล้วก็จบเป็นครั้งที่สาม

- ต่อมาเมื่อสัมผัสถูกเนื้อต้องตัว  ประสามสัมผัสที่ผิวหนังก็ส่งข้อมูลให้สมองประมวลผลอีก สมองประมวลเสร็จก็บอกว่า กูไม่ไหวแล้ว แล้วก็จบเป็นครั้งที่สี่

     จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นไปตามที่บอกไว้คือ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ... ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป มีเหตุให้เกิดขึ้นมา เมื่อหมดเหตุก็ดับไป  ที่นี้ปัญหาก็อยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเราไม่เข้าใจว่ามันเกิดแล้วต้องดับ เราก็จะไปเป็นทุกข์ว่าอยากให้มันเกิด แล้วก็ไปทุกข์อีกว่าไม่อยากให้มันดับ 

     ถามว่าที่จริงเราไปบังคับมันได้ไหม  เราจะไปบังคับว่า คุณคนสวยครับคุณช่วยอยู่นิ่ง ๆ ตรงนี้ให้ผมมองไปชั่วกาลอวสาน ได้ไหม ถ้าเกิดเขาใจดียอมยืนให้มองจริงๆ แล้วคุณก็มองแบบไม่ยอมกระพริบตา  แต่เวลาสมองทำงาน มันก็จะประมวลผลว่า หน้าสวยหนอ แล้วก็จบ   ตาโตหนอ แล้วก็จบ แก้มป่องหนอ แล้วก็จบ เข้ารูปแบบ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ... อยู่ดี นั่นแหละ

      สรุป หากเอาหลักการนี้ไปใช้พิจารณา ทุกสิ่งในโลกนี้ ก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมองเห็นความจริงแบบนี้เรา คนเราจะเป็นทุกข์น้อยลง ไม่ใช่ว่าจะพ้นทุกข์ไปเลยนะ แต่ทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ ตามระดับความเห็นแจ้งในความจริงนั้นๆ 

      คนเราจะมีความสุขมากขึ้น เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งมัน เกิด-ดับ เราก็หมั่นทำให้มันเกิดบ่อยๆ สิ เพราะความสุขมันเกิดตรงที่มันพอใจ นี่แหละ เช่น    ถ้ามองหน้าสาวคนไหน แล้วมีความสุขก็หมั่นมอง บ่อยๆ แบบนี้เป็นต้น  และถ้าวันนึง มีเหตุอันทำให้เธอต้องหายไปจากชีวิต ไม่มีหน้าสวยๆ ให้มองอีก ก็รู้ให้ชัดว่า เมื่อมันมีเกิดมันก็ย่อมมีดับไปเป็นธรรมดา รู้ซะแบบนี้ก็เป็นทุกข์น้อยลง เศร้าหมองน้อยลง

     พูดนะง่าย  ผมคิดขึ้นมาเอง ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็ค่อยๆ ฝึกกันไป มันต้องทำได้สักวันแหละน่า...จบ





Create Date : 02 มกราคม 2556
Last Update : 2 มกราคม 2556 15:00:34 น. 0 comments
Counter : 1031 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]