แค่รู้ไม่พอ ต้องละด้วย
มีเวลาว่างพอควร จึงมีเวลามาพิจารณาเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งแน่นอนว่าผมรู้ทฤษฎีแล้วว่า ใดๆ โลกล้วน
อนิจจัง ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง วูบไหว ทุกขัง เป็นทุกข์ อยู่ตลอด อนัตตา ไม่สามารถยึดมั่นว่าเป็นตัวกู ของกูได้
แต่แค่รู้มันไม่เพียงพอจะทำให้พ้นออกมาได้ เพราะมันรู้ไม่จริงมากพอจะเกิดปัญญามาลดละ กิเลสลงได้
ตัวอย่างเช่น เมื่อคืนแม่โทรมาถามสารทุกข์สุขดิบ แต่คุยไปคุยมาดันมาเล่าให้ฟังว่า คนแถวบ้านได้โบนัส เจ็ดหมื่น แค่นั้นแหละจิตตกเลยเรา พยายามใช้ความรู้เท่าที่มีเพื่อลดความรู้สึก อิจฉา น้อยใจ แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดขึ้นมาเลย
มันเหมือนกับว่า เรายาพิษเทลงไปในน้ำ แล้วพยายามจะแยกเอาน้ำใสๆ ไม่มีพิษออกมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ที่ควรทำจริงๆ คือ รู้เสียก่อนว่าเป็นยาพิษ แล้วไม่เทใส่ลงไป คำว่ารู้นี้ต้องรู้จริงๆ รู้อยางลึกซึ้งจนถึงที่สุด และต้องรู้ให้เร็วด้วย เพราะไม่งั้นก็คงไม่สามารถหยุดการใส่ยาพิษได้ทันเวลา
ดูๆ ไปเหมือนกับว่าถ้าจะให้ดีต้องหยุดการรับรู้เสียให้หมด จึงจะไม่เป็นทุกข์ เพราะถ้าไม่เห็นภาพที่ก่อทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ ไม่ได้ยินเสียงที่ก่อทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ ตราบใดยังมีชีวิต ก็ยังคงต้องรับรู้สึ่งต่างๆ รอบตัวอยู่ตลอดเวลา
ที่ทำได้คือพยายาม รู้ให้ได้เสียก่อนจะทุกข์ ซึ่งแน่นอนว่าต้องฝึกฝนมากทีเดียว จะเปรียบเทียบไปก็เหมือนกับการเล่นดนตรี ขั้นแรกเราต้องรู้ทฤษฎีก่อนว่าเป็นอย่างไร โน้ตไหนอยู่ตรงไหน ทีนี้ต่อมาก็รู้ว่าทำนองเพลงเป็นอย่างไรแล้วก็เล่นไปตามนั้น แต่ไม่ใช่ว่ารู้เพียงเท่านั้นแล้วจะเล่นออกมาเป็นเพลงได้ มันต้องฝึกฝนเสียก่อน ใจเราก็คงคล้ายๆ กันนั่นแหละ ถ้าฝึกดีๆ ก็จะสามารถพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2552 10:18:59 น. |
|
0 comments
|
Counter : 709 Pageviews. |
|
|
|
|
| |