Group Blog
 
All blogs
 

Review : At Pingnakorn @นิมมาน 12 โรงแรมเล็กๆน่ารักสุดอบอุ่นมาแล้วติดใจต้องมาใหม่อีกแน่นอนจ้า ^^

จากรีวิวที่พักบนดอยอ่างขาง แบบเน้นบ้านๆกินลมชมวิวกะอากาศเย็นๆ เราก็ย้ายลงมาพักกันในตัวเมืองเจียงใหม่เจ้า นั่นคือ "At Pingnakorn" ทรายไม่แน่ใจว่าเค้าอ่านว่า แอทปิงนคร หรือ แอทพิงค์นคร เห็นมีเขียนกันทั้งสองแบบแต่ทางโรงแรมออกเสียงเหมือนปิงนครจ้า


ข้อมูลที่พักเบื้องต้นค่า>>>>
ชื่อ : At Pingnakorn (แอทปิงนคร หรือ แอทพิงค์นคร)
ที่อยู่ : เลขที่ 4 ซอยนิมมานเหมินท์ 12 ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300
เบอร์โทรศัพท์ : 053-357755 ,
Fax. 053-357877

เว็บไซต์ : //www.atpingnakorn.com/



ด้านหน้ากับบรรยากาศเหนือๆคลาสสิคๆ การเดินทางง๊ายง่ายเข้าซอยนิมมานเหมินท์ 12 ผ่าน Kantary Hills Hotel ตรงเข้าไปจนสุดซอย At Pingnakorn ตั้งอยู่สุดทางเลยจ้า



เดินตรงเข้าพักเป็นลอบบี้น่านั่ง ตอนทรายไปคุณแฟนจองห้องแบบ Superior ไว้สองห้องสำหรับคุณพ่อคุณแม่แฟนด้วย ราคาห้องละ 1,500 บาท โดยโทรไปจองกับทางโรงแรมโดยตรงซึ่งเค้าจะให้มัดจำไว้ 50% จ้า แต่พอไปถึงทางโรงแรมสอบถามว่ามาเป็นครอบครัวเดียวกันสนใจอัพเกรดเป็นห้อง 2 Bedroom Suite ไหมซึ่งราคาปกติอยู่ที่คืนละ 5,000 บาท ทางเราเลยตอบโอเคโดยไม่ต้องคิด 555



เช็คอินเสร็จก็เดินทางสู่ห้องพักกันเลยจ้า ที่นี่เป็นโรงแรมสไตล์ Boutique เล็กๆกำลังดีมีห้องพักทั้งหมดแค่ 44 ห้อง ถ้าทรายนับไม่ผิดจะมี 7 ชั้น ชั้นบนเป็นห้อง Suite และดาดฟ้าจ้า



ห้องพักทรายขึ้นไปชั้นหกแล้วเดินลงมาครึ่งชั้น ห้องพักอยู่ระหว่างชั้นห้าและหกจ้า ลิฟต์สวยงามมีของตกแต่งน่ารักๆอยู่รอบๆโรงแรมชอบๆ



ออกมาหน้าลิฟต์มีของตกแต่งเด็กน้อยบนเก้าอี้ พร้อมภาพถ่ายขาวดำบนผนังสุดจะคลาสสิค




เข้าห้องพักกันดีกว่าจ้าเข้าไปถึงด้านซ้ายมือจะเห็นโต๊ะทานข้าว กับห้องโทนสีขาวครีมบรรยากาศอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเน๊อ อ้อที่นี่มีสัญญาณ wifi ให้ฟรีทุกห้องทุกชั้นจ้า



ด้านขวาเป็นโซนครัวเล็กๆและห้องนั่งเล่น มีอ่างซิงค์ ไมโครเวฟ ใต้ไมโครเวฟเปิดตู้มามีตู้เย็นให้จ้า



มีน้ำเปล่าให้วันละสี่ขวดจ้า



ห้องนอนด้านขวาจะเป็นห้อง Secound Room ไม่มีห้องน้ำในตัวแต่จะได้เห็นวิวดอยสุเทพงามๆแบบชัดแจ๋ว แต่แหะๆถ่ายรูปดันลืมเปิดม่านซะงั้น ขอโทษคร๊าบบ



ห้องน้ำใหญ่ตรงกลางจะมีประตูเข้าได้สองทางจากตรงห้องนั่งเล่นและจากห้องใหญ่ Master Room จ้า ห้องน้ำกว้างขวางมีอ่างอาบน้ำให้ด้วยจ้า แต่ห้อง Superior ห้องเดิมที่จองไว้ก็มีอ่างน๊า



มีไดร์เป่าผมให้อยู่ใต้อ่างซิงค์จ้ะ



มีแชมพูและบาทธ์เจลให้เป็นขวดเลย ชอบดีไซน์ขวดเก๋ๆด้วยป้ายเครื่องเงิน คลาสสิคแต่ดูทันสมัยอย่างบอกไม่ถูก ^^



ห้อง Master Room จะอยู่ฝั่งซ้ายมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยมีห้องน้ำเล็กในตัวและมีประตูเชื่อมกับห้องน้ำใหญ่ตรงกลางจ้า



 ทีวีมีให้ทุกทั้งรวมทั้งห้องนั่งเล่นจ้า ผ้าม่านด้านซ้ายมือคือประตูห้องน้ำเล็ก ส่วนห้องน้ำใหญ่ที่เชื่อมตรงกลางอยู่ติดกับประตูเข้าห้องจ้า บนเตียงมีหมอนให้ทั้งหมด 6 ใบ เยอะสะใจหมอนหนุนนุ่มกำลังดีแต่สำหรับทรายแอบสูงไปนิด แบบว่าชอบนอนหมอนแฟบๆแบนๆมากกว่า แต่หมอนอันอื่นที่ให้มีชอบเลยสำหรับคนติดหมอนข้างจะได้มีหมอนไว้กอดก่าย อิอิ



แอบเปิดตู้เสื้อผ้า แม่เจ้ามีหมอนให้อีกสองใบ ให้หมอนเยอะสะใจจริงๆเจ้า ในตู้จะมีเสื้อคลุมอาบน้ำและรองเท้าแตะจัดไว้ให้จ้า



อันนี้เป็นห้องน้ำเล็กในห้อง Master Room จ้า ไม่มีอ่างมีเป็นฝักบัวใหญ่



หน้ากระจก



ใครอยากได้มุมเดียวกับห้องที่ทรายไปพักทรายไม่สามารถจำเบอร์ห้องได้ แหะๆ แต่จำได้ว่าเป็นห้องแรกเลยที่เดินมาเจอจากบันไดและทางเข้าหน้าห้องมีภาพวาดเป็นวิวต้นไม้รูปนี้อยู่ทางเข้าห้องจ้า ^^



ดาดฟ้าชั้นบนสุดที่คิดว่าเป็นชั้น 7 จ้า ชมวิวตอนกลางคืนอากาศเย็นๆดูดาวเพลินๆ



และของเด็ดของที่นี่ที่ทรายประทับใจมากคืออาหารเช้าจ้า เป็นอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ในโรงแรมเล็กๆที่จัดให้อลังการมากกกกก อาจจะไม่เยอะเหมือนโรงแรมใหญ่ๆแต่ความหลากหลายนั้นเริ่ดจริงๆจ้า ตอนเช้าเดินเข้ามาในห้องอาหารซึ่งจะอยู่ติดล็อบบี้ที่เราเช็คอินค่ะ โซนแรกจะเป็นชา กาแฟ ขนมปัง และเครืองดื่ม ซึ่งที่ทรายชอบคือ "ชามะนาว" ซึ่งเป็นชาแบบชาไทยคือชาดำเย็น แล้วมีชิ้นมะนาววางไว้ให้ อร่อยสดชื่นแบบไทยๆ รักเลยยยย Smiley



บรรยากาศห้องอาหารอบอุ๊น อบอุ่น ทานตอนเช้าอากาศเย็นๆไม่เกินยี่สิบองศา โอ๊ยยยอยากย้ายมาเป็นสาวเจียงใหม่จังเล้ยยยย ><



นี่หล่ะอาหารที่ทรายประทับใจ เยอะและหลากหลายมากกกที่สำคัญเป็นอาหารไทยเป็นส่วนมาก ซึ่งที่โดนใจมากคือหมูปิ้งและแคปหมูกับน้ำพริกหนุ่มหม่ำกับผักสด โอยยยพิมพ์ไปก็น้ำลายไหลไปอยากกินจังเล้ยยยย



โซนตรงกลางทรายถ่ายไม่ติดโต๊ะหน้าซึ่งจะมีสลัดบาร์ให้ด้วย โต๊ะหลังจะเป็นของหวานมีทั้งผลไม้และขนมหวานไทยวันที่ทรายไปมีฟักทองแกงบวชด้วยจ้า




ปิดท้ายมื้อเช้าด้วยส้มจีนหวานๆ อิ่มแปร้มีความสุข



ภาพสุดท้ายของรีวิวนี้กับระเบียงร่มรื่นน่านั่งทานกาแฟชิลๆ สรุปเลยสำหรับโรงแรม At Pingnakorn นี้ทรายประทับใจมากกกกก เชื่อว่าผู้หญิงที่ชอบการตกแต่งกระจุ๊กกระจิ๊กมาแล้วต้องกรี้ดกร๊าดอยากถ่ายรูปไปซะทุกมุม ไว้มีโอกาสหน้าต้องขอมาพักกายที่นี่อีกแน่นอนจ้า ขอบคุณที่ติดตามชมล่วงหน้าค่า Smiley









 

Create Date : 06 มีนาคม 2555    
Last Update : 6 มีนาคม 2555 0:50:31 น.
Counter : 15620 Pageviews.  

Review : บ้านพักสุวรรณภูมิ & ร้านถิงถิงโภชนา@ดอยอ่างขาง ในวันอากาศหนาวๆกลางเดือนมกรา 2555 จ้า

    14-17 มกราคม 2555 ทรายได้ไปแอ่วเชียงใหม่อีกแล้วเจ้า ไปมากี่รอบก็รักอันนี้รอบล่าสุดเลยขอนำที่พักมารีวิวให้ชมกัน ที่พักรอบเก่าๆจะทะยอยขุดๆมาแบ่งปันกันนะค๊า รอบนี้ไปลงเครื่องที่เชียงใหม่แล้วก็บึ่งรถขึ้นดอยอ่างขางเลยเพื่อไปนอนรับลมหนาวที่อ่างขางหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับมานอนในเมือง หนึ่งคืนที่ไปพักบนนั้นคุณแฟนเป็นคนเลือกที่พักโดยเลือกที่ราคาไม่แพงไม่เน้นหรู จากที่หาดูจะเห็นว่าที่พักบนนั้นค่อนข้างแพง สรุปเลือกแล้วได้มาพักกันที่ "บ้านพักสุวรรณภูมิ" จ้า 


ข้อมูลที่พักเบื้องต้นค่า>>>>

ชื่อ : บ้านพักสุวรรณภูมิ อ่างขาง (สุวรรณภูมิรีสอร์ท)
ที่อยู่ : เลขที่ 29 หมู่ 5 บ้านคุ้ม ตำบล แม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 50320
เบอร์โทรศัพท์ : 053-450045 , 081-7655609  Fax. 053-450041
เว็บไซต์ : //suvarnabhumresort.com/




การเดินทางเมื่อเข้ามาถึงดอยอ่างขางแล้วจะเห็นทางเข้าสถานีเกษตรหลวงอ่างขางอยู่ทางขวามือขับผ่านตรงเข้าไปเลยจะเห็นป้ายสังเกตง่ายชัดเจนจ้า รถเค้าให้จอดด้านหน้ารีสอร์ทจอดได้ประมาณสิบถึงสิบห้าคันตอนเช้าอาจจะโดนปลุกมาเลื่อนรถบ้างเพราะเค้าจะมีทริปไปชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าถ้ารถเราไปจอดขวางเค้าก็จะต้องลงมาเลื่อนเหมือนตอนที่ทรายไป 555 คุณแฟนโดนปลุกตอนตีห้ามาเคาะห้องให้ลงไปเลื่อนกลางอากาศหนาวเหน็บห้าองศา อิอิ



ทางเดินขึ้นห้องพักค่อนข้างชันและสูงค่ะเดินพอสมควรค่ะ รอบนี้ไปกับพ่อแม่คุณแฟนด้วยอาจจะลำบากพอสมควรสำหรับคนมีอายุ พยายามเดินรอบเดียวห้ามลืมของ ^^



ถึงแล้วค่ะกับสภาพในห้องพักแอบไม่เหมือนในเว็บนะคร๊าา เก่ากว่าแอบมีกลิ่นอับเล็กน้อยแต่ด้วยอากาศช่วงที่ไปเย็นสบายเลยไม่ค่อยรู้สึกมาก (ประมาณสิบห้าสิบหกองศา) ห้องมีให้สองเตียงเป็นเตียงใหญ่ห้าฟุต และเตียงเล็กริมหน้าต่าง ห้องที่ทรายพักราคา 1,200 บาท ซึ่งปกติราคาในเว็บช่วงที่ไปจะอยู่ที่ 1,500 บาท แต่โทรไปถามเค้าบอก 1,200 บาทได้ลดราคาไปแบบงงๆ^^


อันนี้เป็นเรทราคาห้องพักจากในเว็บจ้า
- เดือน กุมภาพันธ์ - ตุลาคม  500 บาท
- เดือน พฤศจิกายน - มกราคม  1,500 บาท
- วันหยุดเทศกาล 2,000 บาท




ส่องระเบียงห้อง ได้เห็นวิวสวยๆของดอยอ่างขาง ^^



วิวภูเขาเขียวๆ



สภาพห้องน้ำไม่ค่อยสะอาดมาก ผ้าเช็ดตัวห้องทรายไม่มีลงไปขอตั้งแต่เช็คอินจนเย็นก็ยังไม่ได้ลงไปตามอีกทีเค้าบอกว่าหมด !!! อ้าวแล้วไงเนี่ยเราก็บอกเค้าว่าเราขอไปตั้งแต่กลางวันแล้วนะ สรุปเค้าเลยไปซื้อมาให้เราใหม่สองผืน อื้อหือผ้าใหม่ขนเยอะมากเช็ดตัวเสร็จตัวเป็นขนกันเลยทีเดียว



ชุมชนร้านค้าในดอยอ่างขาง เดินลงมารีสอร์ทไม่ไกลประมาณ 150 เมตรมีของกินยันดึกจ้า



อันนี้ทรายชอบนมสดผสมน้ำผึ้งร้อนๆกินแก้หนาวแก้วละ 15 บาท



ผ่านไปหนึ่งคืนนอนแบบปิดหน้าต่างปิดประตูหนาวสะใจกลางคืนประมาณสิบองศาหลับสบาย ตื่นมารับอากาศเช้าๆบนดอย เริ่ศๆ



ที่พักไม่มีอาหารมื้อเช้า ตอนเช้าเลยลงมาหม่ำกันที่ร้าน ถิงถิงโภชนา อยากลองขาหมูหมั่นโถว ^^



แต่......หมั่นโถวหมดเลยได้แต่ขาหมูกับเห็ดหอมทอดมาแทน เห็ดหอมเค็มๆหนึบๆเค้าชอบ แต่ขาหมูไม่อร่อยง่ะมันเค็มๆปะแล่มๆไม่เข้มข้น



อีกหนึ่งเมนูไข่กระทะ อันนี้ใช้ได้ค่ะขนมปังปิ้งทาเนยกรอบๆหอมๆถูกปาก



แต่เมนูแนะนำถ้าไปกลับกลายเป็นซาลาเปาทอด คือร้านถิงถิงออกอาหารช้ามากกกกนั่งอยู่โต๊ะเดียวอาหารไม่มาซักทีด้วยความหิวเลยเดินไปหาอะไรรองท้อง ก่อนถึงร้านถิงถิงจะมีร้านขายของของคนอิสลาม หน้าร้านมีแผงเล็กๆขายซาลาเปาทอดลองซื้อใส้ครีมมาจำราคาไม่ได้น่าจะประมาณยี่สิบหรือสามสิบนี่หล่ะจ้า ขอบอกว่าอร่อยมากกกกแป้งเนื้อนุ่มกรอบนอกครีมเข้มข้น ก่อนกลับแม่คุณแฟนไปซื้อตุนเป็นเสบียงระหว่างทางเลย ใส้ถั่วแดงก็อร่อยคร๊าบบบบ




จบแล้วจ้ากับรีวิวที่พักบนดอยอ่างขางกับวิวทางลงดอยทางคดเคี้ยวๆ สรุปสำหรับที่นี่ถ้ามาพักแบบไม่คิดมากเอาแค่ที่ซุกตัวนอนทรายว่าโอเคเลยค่ะเพราะที่พักอื่นบนอ่างขางราคาแพงมาก ด้วยบรรยากาศสวยๆและอากาศเย็นๆจะทำให้เราไม่ได้ใส่ใจกับที่พักมากนัก ส่วนร้านถิงถิงไม่ค่อยแนะนำคิดเงินมาราคาพอควรเลย ไว้ใครมีร้านไหนติดใจก็มาแบ่งปันกันบ้างนะค๊า เจอกันรีวิวหน้ากับที่พักในตัวเมืองเชียงใหม่เจ้า บะบายค่า ^^


 


 




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2555 0:46:26 น.
Counter : 28857 Pageviews.  

Review : จันทรารีสอร์ท นครนายก ที่พักดีๆราคาประหยัดที่น้องแมวเข้าพักได้ด้วยคร๊าบบบ ><

.................Hello !!! วู้ฮูววววว์ เย้เฮ อิอิ ขอกล่าวสวัสดีทุกๆคนกับการเปิด Content ใหม่ของบลอคทรายในรอบหลายปีค่า ^^ สำหรับกรุ๊ปบลอคนี้เป็นหัวข้อ "mhunoiii ตะลอนทัวร์ กินๆเที่ยวๆสไตล์ไอ้หมูน้อย ^^" เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่ทรายจะทยอยมาอัพเดทคือเรื่องเกี่ยวกับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และนู่นนี่นั่นที่ทรายไปพบมาจากการไปเที่ยว ซึ่งจริงๆแล้วทรายเป็นคนที่ชอบไปเที่ยวมากมายซึ่งไปแต่ละครั้งก็ถ่ายภาพทั้งห้องพักและสถานที่ท่องเที่ยวเก็บไว้เยอะจนล้นฮาร์ดดิส แล้วทุกครั้งก่อนไปเที่ยวทรายก็จะเซิร์สหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จะไป ร้านอาหาร ที่พัก จากอินเตอร์เน็ตนี่หล่ะค่ะ ซึ่งก็ได้ข้อมูลมากมายจากเพื่อนๆใจดีที่นำข้อมูลมาแชร์กันไว้ตามเว็บตามบลอคต่างๆจึงทำให้รู้สึกว่าในเมื่อเราได้ข้อมูลมาจากคนอื่นเยอะแล้วเราก็ควรจะคืนกลับไปให้คนอื่นบ้าง เลยเป็นจุดเกิดของหัวข้อนี้ขึ้นมาค่ะ Smiley


                 เปิดบลอคแรกกันด้วยรีวิวที่พักที่ทรายได้ไปเที่ยวมาช่วงปลายปีคือวันที่ 8-10 ธ.ค.54 ที่จังหวัดนครนายก ทริปนี้เป็นทริปแรกที่พาน้องแมวไปเที่ยวด้วย เนื่องจากจะต้องไปรับน้องแมวตัวใหม่มาอยู่ด้วยกัน ดังนั้นที่พักที่ต้องหามีข้อแม้ที่ว่า"ต้องให้น้องแมวเข้าพักได้" หลังจากหาข้อมูลและโทรสอบถามหลายที่ก็ตกลงเลือกพักที่ "จันทรารีสอร์ท : Jantra Resort & Hotel (ศูนย์สัมนากิตติธเนศวร)" จ้า


ข้อมูลที่พักเบื้องต้นจ๋าจ้ะ>>>>


ชื่อ : จันทรา รีสอร์ท (JANTRA RESORT & HOTEL NAKORNNAYOK)
ที่อยู่ : 31/1 ม.9 ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.นครนายก 26000
เบอร์โทรศัพท์ : 089-8346796 , 037-315289
เว็บไซต์ : //www.juntraresort.com



โรงแรมตั้งอยู่ ถ.รังสิต-นครนายก (305) โรงแรมอยู่ระหว่างสามแยกจปร. และแยกสามสาว ซึ่งโรงแรมอยู่ติดริมถนนใหญ่ถ้ามาจากกทม.โรมแรมจะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือ ป้ายริมถนนคือป้ายด้านบนขนาดใหญ่สังเกตง่ายจ้า



เข้าไปด้านในพื้นที่รีสอร์ทกว้างมากกกกกกกกกก บรรยากาศดี ร่มรื่นต้นไม้ใหญ่เยอะมากค่ะ



ที่จอดรถเหลือเฟือจริงๆ อิอิ 




เดินตรงเข้าไปเป็นล็อบบี้ และห้องอาหารค่ะ



เดินไปห้องพักกันจ้า บรรยากาศด้านในเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ระหว่างที่พักเห็นคนดูแลที่พักเก็บกวาดรดน้ำต้นไม้ตลอดวัน อิอิ



หน้าห้องพักจ้า จองไปทั้งหมดสองห้อง ของป๊ากับแม่ และของทรายกับน้อง  ที่นี่มีห้องพักให้เลือกมากมายหลายแบบเนื่องจากเค้าเป็นศูนย์จัดสัมมนาด้วยจึงมีห้องขนาดใหญ่ให้เลือก ห้องพักที่ทรายเลือกชื่อ "ห้องเกร็ดแก้ว" เป็นห้อง Standard ธรรมดาพักได้ห้องละสองคนรวมน้องแมว อิอิ ราคาปกติคือ 1,250 บาท/คืน รวมอาหารเช้า แต่ช่วงที่ไปเป็นราคาพิเศษวันศุกร์-เสาร์คืนละ 1,000 บาท วันอื่น 900 บาทจ้า จองด้วยวิธีโทรไปแล้วไปจ่ายเงินที่โรงแรม เนื่องจากไม่ได้ไปช่วงไฮท์ซีซั่นห้องเลยว่างเยอะค่ะ หน้าห้องแปะไว้ให้ว่ามี wifi ด้วย wifi ใช้ได้แต่ไม่ได้แรงปรู้ดปร้าดแต่ก็ไม่มีชาร์ตค่าเน็ตเพิ่มจ้า



เปิดห้องเข้าไปหน้าตาเป็นแบบนี้จ้า โอเคเลยห้องสะอาดสะอ้านใช้ได้มีทีวีตู้เย็น



ส่องมาจากด้านใน



ในห้องพักจะมีผ้าเช็ดตัวให้สองผืน สบู่ก้อน คัทตอนบัด และหมวกคลุมอาบน้ำจ้า



ห้องน้ำเล็กๆแต่ไม่คับแคบมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ค่ะ



เปิดตู้เย็นมามีน้ำเปล่าให้วันละสองขวด วันรุ่งขึ้นมีมาเติมให้ใหม่สองขวดตามมาตรฐานจ้า



ไปรับน้องแมวตัวใหม่คือหนุ่มน้อยอเมริกันช็อตแฮร์ลูกเสี้ยวเมนคูนตัวที่อยู่บนกรงนาม "บัวลอย" มาอยู่กับสาวเปอร์เซียน้อง "ไข่หวาน" ที่มาอยู่ด้วยกันก่อนแล้วประมาณหนึ่งเดือน มาคืนแรกต้องนอนด้วยกัน แม่เจ้าไข่หวานขู่สุดๆๆๆๆๆ ทั้งกัดทั้งขู่ แต่บัวลอยก็เป็นหนุ่มน้อยสุดสุภาพบุรุษยอมน้องตลอดยืนให้เค้ากัดเค้าข่วน -"-



พาน้องแมวไปเที่ยวเป็นครั้งแรกแต่ก็เตรียมตัวไปน๊า มีกระบะให้น้องแมวขับถ่ายหนึ่งอัน ตอนแรกแอบกลัวว่าจะยอมเข้าห้องน้ำด้วยกันไม๊น๊า แต่สรุปก็โอเคใช้ร่วมกันได้ แต่ไข่หวานก็ยังคงขู่ฟ่อๆเป็นอะไร๊นักหนานังลูกสาว



คืนแรกต้องแยกกันนอนบัวลอยนอนกรงนังไข่ต้องนอนบนเตียงแต่ก็ยั๊งพยายามลงไปขู่เค้าที่พื้น พอคืนต่อมาอีท่าไหนไม่รู้กลายเป็นแบบนี้ซบกันซะงั้น 555 นี่หล่ะน๊าเค้าบอกแมวเด็กเข้ากันง่ายวันเดียวดีกันแล้ว ทั้งสองตัวอายุพอๆกันเกิดต้นเดือนตุลาเหมือนกันจ้า



ส่องด้านนอกกันบ้าง อันนี้คาดว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ หรือไม่ก็เป็นห้องสัมมนาจ้า ตอนทรายไปพักมีกรุ๊ปสัมมนาด้วยแต่ว่าก็เงียบสงบดีไม่มีเสียงดังรบกวนค่ะ



มีห้องออกกำลังกายด้วยเน่อ แต่แบบว่าไม่ได้ใช้ แหะๆ ส่องแว่บๆด้านในมีเครื่องวิ่งเครื่องออกกำลังกายให้ครบครันดีงับ



เช้าแล้วเดินออกไปหม่ำมื้อเช้ากันดีกว่า อันนี้ทางเดินหน้าห้องพักจ้า



ราคาห้องพักที่บอกไปรวมอาหารเช้าจ้า สถานที่ทานอาหารเช้าของเราอยู่ตรงล็อบบี้ที่เราเช็คอินตอนเข้าพักค่ะ



ห้องอาหารใหญ่โตอลังการงานสร้าง



อาหารเช้าเป็นแบบจัดมาเป็นเซตมีให้เลือกเป็นอเมริกันเบรคฟาสต์หรือข้าวต้ม เสิร์ฟมาพร้อมน้ำส้ม น้ำเปล่า ตบท้ายด้วยชาหรือกาแฟและขนมปังปิ้งค่า



อิ่มแล้วไปออกกำลังกายสักเล็กน้อยที่ด้านข้างลานจอดรถใกล้ๆห้องที่พักมีสนามเด็กเล่นเล็กๆด้วย น้องบัวยังงงๆไม่กล้าเล่นแต่ไข่หวานสู้ตาย อิอิ



ไข่หวานกะพี่ฮูกหน้าห้องพัก



ปิดท้ายไปกับภาพน้องไข่กำลังเมามันส์ในพงหญ้าหน้าห้อง เอ๊ะเริ่มงงรีวิวโรงแรมหรือรีวิวแมว 555 สรุปแล้วสำหรับ จันทรา รีสอร์ท อยากบอกว่าประทับใจมากมายค่ะ ราคาถูก ห้องพักสะอาดดี สถานที่สวยงาม เงียบสงบ ใครไม่เน้นหรูแนะนำเลยจ้าที่สำคัญน้องแมวเข้าพักได้ฟรีไม่มีชาร์จ แต่น้องหมาลองโทรไปสอบถามก่อนเพื่อความชัวร์ก็ได้จ้า


      เย้ๆจบแล้วกับการเปิดตัวคอนเทนท์ใหม่ของไอ้หมู หวังว่าเนื้อหาจากประสบการณ์ของทรายจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้บ้างไม่มากก็น้อยน๊า ขอบคุณคร๊าบบบบบบบ แล้วจะทยอยขุดที่พัก ที่เที่ยวเก่าที่เคยไปมาอัพเดทแบ่งปันกันชมคร๊าบบบบ บะบายยยยยย Smiley









 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 21:15:23 น.
Counter : 18863 Pageviews.  

ลั้นลาสุดๆกับ Etude Korea TriP 23-27 Oct 2010 Part 3 The End Ja ><

...Part 3 ภาคสุดท้ายในไตรภาคมาแล้วคร๊าบบบ วันนี้อากาศเย็นแบบสุดๆกันเลยทีเดียวตอนเช้าทรายตื่นมาเห็นแสงอาทิตย์กำลังขึ้นเลยเปิดประตูจะออกไประเบียงแค่มือจับประตูเท่านั้นมันเย็นวาบ บรื๋อส์ พอเปิดประตูบานเลื่อนเท่านั้น โอ้วววอากาศที่ประทะใบหน้าฆ่ากันเลยดีกว่า เสื้อผ้าที่ใส่มีแค่ชุดนอนชุดเดียวชั้นเดียว ออกไปแชะภาพมาได้สามภาพทนไม่ไหววิ่งเข้าห้องปิดประตูเลย 555 มาเช็คดู ณ ตอนนั้นมัน -2 องศาแล้วคร๊าบบ



และนี่คือภาพที่เอาชีวิตไปแลกมา 555 เว่อร์จริงๆ แต่มันหนาวจริงในสภาวะที่เราอยู่ในห้องที่มีฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่นมาทั้งคืน มื้อเช้าที่ Lake Hills Resort อร่อยถูกใจ มีอเมริกันเบรคฟาสต์ให้เลือกตามอัธยาศัยและมีโจ๊กแบบเกาหลีด้วย ลักษณะเป็นโจ๊กเนื้อละเอียดเนื้อข้นๆหนึบๆรสเค็มอ่อนๆมีกลิ่นเหมือนสมุนไพรเครื่องเทศบางๆอร่อยๆอุ่นสบายท้องจ้า บรรยากาศในห้องที่ทานอาหารเช้าราวกับอยู่ยุโรปมองออกไปเป็นสนามกอล์ฟสุดไฮโซวกลางวิวขุนเขา ><



       ท้องอิ่มก็เก็บของเพื่อออกเดินทางเพราะเราย้ายโรงแรมกันทุกคืน อิอิ ขึ้นรถมาพี่ๆทีมงานมีกิจกรรมสนุกสนานมาให้ได้เล่นบนรถด้วยคือการทดสอบแฟนพันธุ์แท้ Etude โดยการให้เราแยกว่าอันไหนเป็นสินค้าจริง อันไหนเป็นสินค้าปลอม โอ้วแล้วไอ้หมูจะรู้ม๊ายยยแต่ไม่เป็นไรเรามีแบรนด์แอมบาสเตอร์มาในทริปนี้ด้วยคือ น้องติ-ติศักดิ์ นั่นเองคร๊าบบบ คู่ทรายกับเจ๊โอ๋เลยรอดตัวไปด้วยความกรุณาของน้องติสุดน่ารัก และเราก็ได้ของรางวัลเป็นกระเป๋าและน้องแมวเหมียวเกาะบ่า Etude จ้า ระหว่างเล่นเกมส์บนรถมีเหตุระทึกขวัญเล็กน้อยคือคุณลุงคีซานิมหรือคุณลุงขี้สนิม คนขับรถชาวเกาหลีของเราเกิดโวยวายขึ้นมาเสียงดัง พี่ไฟไกด์คนสวยได้แปลให้เราฟังว่าให้นั่งลงๆพี่ๆที่ยืนเล่นเกมส์อยู่ก็ตกใจเพราะคุณลุงพูดเสียงดังและดูโมโหมาก สรุปได้ใจความคือในระหว่างที่ผ่านบนเส้นทางด่วนรถจะวิ่งด้วยความเร็วตามกฎหมายคือห้ามยืนเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้นั่นเองจ้า พอผ่านจุดนั้นแล้วก็เลยแอบหงอยกันทั้งรถไม่กล้ายืนไม่กล้าเล่นกันเลยทีเดียว แหะๆ



        ตามแพลนเช้าวันนี้เราเริ่มกันที่แรกคือ ศูนย์รัฐบาลโสม ที่รัฐบางรับรองให้ว่าเป็นแหล่งที่ผลิตโสมคุณภาพดีที่สุดของเกาหลี ภายในห้ามถ่ายรูปเลยอด แหะๆ เข้าไปด้านในจะมีห้องจัดแสดงรายละเอียดที่มาของโสมโดยมีเจ้าหน้าที่สุดน่ารักเป็นสาวเกาหลีแต่พูดไทยได้คล่องปรื๋อ มาอธิบายให้เราฟังว่าโสมจะมีคุณภาพดีสุดเมื่อมีอายุ 6 ปี ซึ่งเราสามารถดูออกได้ไม่ยากเลยเพราะโสมจะแตกกิ่งออกมาปีละหนึ่งก้านเท่านั่น ถ้าครบ 6 ก้านเมื่อไหร่ก็ตัดโช๊ะเอาไปทำโสมทานได้เลยจ้า โสมที่นี่เป็นโสมที่ดีที่สุดและราคาก็เริ่ศมากเริ่มต้นที่ 15,000 บาท (บาทนะคะมิใช่ won 555) แต่ก็ถือว่าถูกกว่าเราไปซื้อยี่ห้อนี้ที่อื่นถ้าใครชอบและมีทุนทรัพย์ก็ซื้อหาไปฝากกันได้จ้า พอออกจากรัฐบาลโสมเราก็ไปต่อกันที่ โรงเรียนสอนทำกิมจิซึ่งก่อนเข้าไปทำกิมจิกันด้านหน้ามีมุมให้เราใส่ ชุดฮันบก ซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเกาหลีถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกด้วยน๊า ชุดฮันบกเค้าจะจับคู่สีท่อนบนท่อนล่างแบบสีตัดกันเพื่อความสดใสสวยงาม ชุดนี้ใครใส่หุ่นแค่ไหนก็ดูตัวเท่ากันหมด อิอิ บ้านเราตามสถานที่ท่องเที่ยวน่าจะมีมุมให้ใส่ชุดไทยถ่ายรูปฟรีบ้างเนอะ


      


        มาถึงคลาสเรียนทำกิมจิกันแล้วจ้า ก่อนเรียนเราต้องใส่ผ้ากันเปื้อนให้เรียบร้อยและทานน้ำนมผสมโสมก่อนกลิ่นโสมมากกก กิมจิ หรือ ผักดองเกาหลีถือเป็นอาหารที่คนเกาหลีทานกันทุกมื้อและเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากมาย มีแคลอรี่ต่ำ ให้วิตามินและแร่ธาตุมากมายโดยเฉพาะวิตามิน A และ C มีแบคทีเรียชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ และสามารถช่วยป้องกันโรคต่างๆเช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน มะเร็งในกระเพาะอาหาร ได้อีกด้วยจ้า ตั้งแต่มาเกาหลีทรายได้ทานกิมจิทุกมื้อจริงๆและแต่ละร้านก็จะมีรสชาติต่างกันไป คุณครูเริ่มสอนและทำให้เราชมหนึ่งรอบแล้วค่อยให้เราทดลองทำจริง ขั้นตอนเตรียมขั้นแรกอันนี้เค้าทำมาให้เราไม่ต้องทำคือ การเตรียมผักและเครื่องหมัก ผักที่ใช้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผักกาด หรือหัวไชเท้าแต่เราสามารถใส่ผักอย่างอื่นเข้าไปได้ตามชอบ ผักที่เกาหลีนั้นด้วยการดูแลอย่างดีตามธรรมชาติผักที่นี่จึงมีความสดกรอบและขนาดที่ใหญ่มากๆๆ ผักกาดเค้าหัวนึงยาวเกือบฟุตเลยอ่าจ้า เริ่มจากการนำผักสดไปหมักเกลือจนนิ่ม จากนั้นเตรียมเครื่องหมักคือ ขิง กระเทียม เกลือ กุ้งตัวเล็ก (เหมือนเคยบ้านเรา) ฯลฯ มาขยำๆด้วยมือจะเหลวกลายเป็นซอสสีแดงๆ ถึงขั้นตอนที่เค้าให้เราทำแล้วคือการนำซอสหมักนั้นมาทาบนผักกาดที่ตัดแบ่งหัวเป็นสี่ส่วนทีละชั้นทีละใบจนชุ่มแล้วทำการห่อให้สวยงาม ขั้นตอนการห่อนี้เค้าบอกว่าผู้หญิงคนไหนห่อได้สวยงามก็ถือว่าพร้อมออกเรือน อิอิ ทรายห่อเสร็จคนแรกคุณครูเดินมาชมเลยว่าสวยมาก เอาวะจะได้ออกเรือนแล้ว 555 ก่อนออกจากโรงเรียนได้สั่งกิมจิไปหลายห่อเลยทีเดียวตั้งแต่มาเกาหลีทรายว่ากิมจิที่นี่แจ่มสุดโดยเฉพาะกิมจิปลาหมึก


     


        มื้อเที่ยงวันนี้จดชื่อเมนูไม่ทันหน้ามืดตามัวหม่ำอย่างเดียว แหะๆ มันมาเป็นกระทะที่มีส่วนย่างด้านบนและเป็นน้ำซุปที่ขอบเหมือนกระทะหมูย่างเกาหลีบ้านเราอ่าค่า แต่เค้าจะวางหมูและผักมาในกระทะเลยก็ย่างๆต้มๆตอนที่น้ำผักน้ำหมูซึมลงซุปได้ดีขอบอกอย่าให้เซ่ดหวานนุ่มกลมกล่อมอร่อยมั่กๆๆๆๆ มาเกาหลีรู้สึกระบบขับถ่ายจะเข้าที่เข้าทางกันมากเพราะเราได้ทานผักกันทุกมื้อเลย Healthy สุดๆ ^^



        และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย Shopping Time นั่นเองคร๊าบบบ โดยจุดแรกที่เราไปตะลุยกันคือย่าน ทงแดมุน มันคือย่านประตูน้ำแห่งเกาหลีนั่นเอง 555 ย่านนี้จะเป็นย่านค้าเสื้อผ้าขนาดใหญ่มากกกกมีหลายตึกบางตึกเปิดขายกัน 24 ชม.เลยทีเดียว ทรายเดินตึกเดียวก็ละลานตาสุดๆเสื้อผ้าน่ารักเกาหลีอย่างแรง แต่ว่าช่วงที่ไปมันหนาวมากเสื้อผ้าเลยเป็นแนว winter จ๋าขนเฟอร์กันสุดๆเลยได้แต่ดูตาละห้อยถ้าสอยกลับมาคงไม่มีทางได้ใส่แน่เลย แต่ก็ได้เสื้อแจ็กเกตหนังมาตัวนึงนะ อิอิ สวยในราคาไม่แพงตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,400 บาท เสื้อผ้าที่นี่จะเริ่มต้นที่ราคา 10,000 won คือประมาณ 300 บาทไทย โดยราคาทั่วไปจะอยู่ที่ 500 up นะคะ แต่ทรายว่าเนื้อผ้าคัตติ้งมันก็สวยสมราคาน๊า สาวๆตัวเล็กไปแล้วต้องดีใจแน่ทรายลองแล้วมันช่างพอดีราวกับตัดมาเพื่อเรา ^^



       มื้อเย็นวันนี้มีเมนูเด็ด คือ ซัมเทกัง หรือ ไก่ตุ๋นโสม ซึ่งถือเป็นอาหารบำรุงร่างกายชั้นยอดเลยทีเดียว โดยเมนูนี้จะใส่มาในชามร้อน หนึ่งชามจะมีไก่ 1 ตัว(อย่าตกใจไปเป็นไก่ตัวเล็กจ้า ^^) ที่มาพร้อมเส้นขนมจีนอีกหนึ่งจาน มีเครื่องปรุงรสเป็นเกลือ พริกไทย ซิอิ๊วขาว และที่ขาดไม่ได้คือ โซจู คือเหล้าหมักเกาหลี(คล้ายเหล้าขาวเราเลย อิอิ) โดยวิธีทานจะซดโซจูก่อนหรือเทโซจูใส่ในชามไก่ก็ตามแต่ชอบจ้า เนื้อไก๋ตุ๋นมาในน้ำซุปโสมสีขาวน้ำนม เมื่อเอาตะเกียบแหวกพุงน้องไก่ออกจะพบกับข้าวเหนียว ธัญพืช อยู่ในพุงน้องไก่ซดทานจะเหมือนข้าวต้มไก่ พร้อมกับการนำเส้นขนมจีนใส่ลงไปทานเหมือนก๋วยเตี๋ยว เนื้อไก๋ตุ๋นมานุ่มๆ ซดน้ำซุปร้อนๆช่วยบรรเทาความหนาวได้ดีเลยจ้า



      จัดมื้อเย็นอย่างหนักเพื่อให้เรามีพลังวังชาในการตะลุยชอปปิ้งยามค่ำคืนกันที่ เมียงดง หรือสยามสแควร์เกาหลี ที่เป็นแหล่งชอปปิ้งของบรรดาวัยสะรุ่นทั้งหลาย ในย่านนี้จะมีร้านเครื่องสำอางยอดฮิตของเกาหลีทุกยี่ห้อ พร้อมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากมาย ซึ่งราคา ถูก ราวกับแจก เพื่อความสะดวกในการชอปปิ้งทรายจึงไม่พกกล้องลงมา 555 ชมเป็นภาพบรรยากาศเล็กๆน้อยๆจากวิดีโอแทนนะค๊า ขอบอกว่ามันส์มากเป็นการชอปปิ้งที่จ่ายน้อยแต่ได้เยอะ ได้ไปในช่วงฮาโลวีนมีโปรเด็ดๆแบบสุดสวาทขาดใจเช่น ที่ร้าน Holika Holika ซื้อ 20,000 จ่าย 10,000 won โอ้วสอยแล้วสอยอีก ส่วน Etude สอยตั้งแต่วันแรกและก็ตามมาสอยต่อวันนี้อีก จัดหนักจริงๆ 555



      ชอปยาวกันเกือบห้าทุ่มก็เดินทางเข้าสู่โรงแรมคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เกาหลี เราได้พักโรงแรมในเมืองชื่อโรงแรม “Hotel La Mir” คนเกาหลีอ่าน ลามีร์ ขอบอกว่าสำเนียงภาษาอังกฤษของเกาหลีฟังยากอย่างแรงและเค้าจะมีสำเนียงเป็นของตัวเองมากๆ เช่น คำว่าไทยแลนด์ เค้าจะไม่เข้าใจเพราะเค้าเรียกเราว่า ไทยแลนด์ดึ ไม่เข้าใจว่าจะเติม ดึ เข้าไปทำม๊ายยย แอบนอกเรื่องแหะๆมาดูห้องพักกันดีกว่าโรงแรมที่อยู่ในเมืองจะมีขนาดห้องกะทัดรัดกว่าโรงแรมสองแห่งแรกที่เราพักนอกเมืองอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงความสะดวกสบายไว้ครบครัน เย้ๆโรงแรมนี้มีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ให้ด้วยหลังจากต้องใช้ผ้าผืนเท่าผ้าเช็ดผมเช็ดตัวมาสองคืน แอบกองของบนเตียง แหมชอปมานิดเดียวเอง อิอิ ไม่อยากบอกว่าที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ทั้งหมด 555



       นอนหลับสลบเป็นตายกันไปเมื่อคืนเช้านี้ก็ตื่นมารับกับแสงอาทิตย์พร้อมวิวในเมืองของเกาหลี ว้า..วันนี้ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เกาหลีเป็นวันสุดท้ายแล้วเวลาผ่านไปเร็วจังเลย



       หลังจากหม่ำมื้อเช้าที่โรงแรมกันแล้วก็เดินทางไปยัง “N Seoul Tower” เป็นจุดหอคอยชมวิวที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของเกาหลีบนภูเขานัมซาน และเป็นที่ตั้งของ “Teddy Bear Museum” ที่ทรายกรี้ดดดดมากกก รถบัสจะต้องจอดด้านล่างและเราก็เดินขึ้นไปด้านบนระหว่างทางร่มรื่นสวยงามมากๆเลยจ้า วันนี้อากาศหนาวๆตอนเช้าติดลบแต่กลางวันก็ประมาณ 2-4 องศาจ้า



        มาถึงทีนี่พลาดไม่ได้กับจุดนี้คือ “Love Key Ceremony” หรือกำแพงยาวที่มีการคล้องกุญแจคู่รักโดยหนุ่มสาวเกาหลีหรือนักท่องเที่ยวจะเขียนชื่อคู่รักไว้บนแม่กุญแจแล้วนำไปล็อคไว้ที่กำแพงจากนั้นก็ปาแม่กุญแจทิ้งซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้รักกันยืนยาวไม่พรากจากกันจ้า แหมมาคนเดียวไม่มีคุณแฟนมาคล้องกุญแจด้วยวุ้ย ^^ และ ณ จุดนั้นก็ได้เจอหนุ่มๆที่กำลังเรียนเตรียมทหารกลุ่มใหญ่เลยขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกใจซักหน่อย อิอิ ตัวสูงใหญ่กันจริงวุ้ยแต่ยังไงหนุ่มไทยก็มีสเน่ห์กว่าอยู่ดีละว้า



         และอีกหนึ่งมุมเด็ดคือเจ้าเก้าอี้รูปตัว V ที่นั่งแล้วจะไหลมาซับกันตรงกลางให้สวีทเล่น อิอิ สี่บลอคเกอร์เลยได้สวีทกันแบบอบอุ๊น อบอุ่น เรารักกัน >< แถมด้วยช็อตมันส์ๆของคุณซี-คุณเอมมี่



         เย้ๆ ถึงจุดสุดโปรดของไอ้หมูคือ Teddy Bear Museum ใครรักหมีต้องกรี้ดดดดตายไปเลยมันน่ารักมากๆๆๆๆๆ เค้านำน้องหมีมาจัดเรียงเป็นเรื่องราวต่างๆ ในโซนแรกจะเป็นวิถีชีวิตยุคปัจจุบันทั่วไป เช่น น้องหมีจัดคอนเสิร์ต น้องหมีเที่ยวสวนสัตว์ น้องหมีฮิปฮอป น้องหมีไฮโซวหิ้ว Prada ด้วย 555 น่ารักไปหมดอยากนอนอยู่นี่จังเลย น้องหมีขยับตัวได้ด้วยน๊า อร๊ายยย>0<



        และอีกหนึ่งโซนจะเป็นการเล่าประวัติความเป็นมาของกรุงโซลผ่านน้องหมีทั้งหลาย โซนนี้จะดูอลังการงานสร้างมากๆ คอสตูมน้องหมีหรูหราจริงๆจ้า



        เมื่อออกจาก N Seoul Tower เราได้ตีรถเข้าเมืองเพื่อไปชม คลองชองเกชอน เป็นคลองโบราณกลางกรุงโซลที่เกิดขึ้นจากกำลังคนขุดขึ้นเมื่อ 600 กว่าปีก่อน และเมื่อเวลาผ่านไปคลองนี้ก็เน่าเสียเต็มไปด้วยมลภาวะที่เป็นพิษของข้างคลองกลายเป็นสลัม แต่ในปี 2003 รัฐบาลเกาหลีได้มีโครงการฟื้นฟูคลองนี้โดยการใช้น้ำดีเข้าผลักน้ำเสียเป็นเวลาเกือบสองปีจนปัจจุบันน้ำในคลองนี้ใสสะอาดจนมองเห็นปลาที่แหวกว่ายในน้ำและเห็นก้นลำคลองกันเลยทีเดียว และสองข้างทางลำคลองก็กลายเป็นสวนสาธารณะ สถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ หวังว่าอนาคตคลองแสนแสบบ้านเราจะเป็นแบบเค้าบ้างน๊า วันสุดท้ายทั้งทีขอถ่ายกับพี่ไฟไกด์คนสวยที่คอยเล่าประวัติและวัฒนธรรมต่างๆของชาวเกาหลีให้เราฟัง พร้อมกับพี่เอ๊ะไกด์จากเมืองไทยที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกให้เราเป็นอย่างดี ขอบคุณนะค๊า ^^



         ก่อนหม่ำมื้อเที่ยงก็ได้แวะทำการละลายกะตังกันที่ “Dong Wha : Duty Free” กลางกรุงโซล ขนาดชอปมาอย่างหนักเมื่อคืนแต่เข้า Duty Free ก็ยังได้กระจุ๊กกระจิ๊กมาอีก Shopahoilc จริงๆค่า และมื้อเที่ยงของวันนี้คือ บิบิมบับ หรือ ข้าวยำเกาหลี และ สุกี้ซีฟู้ด ข้าวยำนี้จะมาให้ชามหินร้อนๆเมื่อมาถึงให้ใส่ซอส ใส่กิมจิ เครื่องเคียงต่างๆ แล้วคลุกทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกันก่อนที่ข้าวจะไหม้ติดขอบชาม รอบนี้เราได้กินสูตรพิเศษด้วยคือใส่น้ำพริกปลาป่น 555 กลายเป็นบิบิมบับสูตร Fusion Food กันเลยทีเดียว อร่อยจริงๆนะคร๊าขอบอก อิอิ และในหม้อสุกี้ก็จะมีกุ้ง หอย หมึก พร้อมน้ำซุปกลมกล่อม ที่เกาหลีนั้นจะนิยมทานปลาหมึกที่สุด กุ้ง หอยไม่ค่อยนิยมจ้า



        ปิดท้ายวันนี้ด้วยการชอปปิ้ง (อีกแล้ว อิอิ) ณ ย่านมหาวิทยาลัยฮงฮิก (Hongik) ย่านนี้จะเป็นร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ โดยที่จะจัดร้านกันเก๋ๆ ทรายเลิฟย่านนี้มากมันสวยไปหมด ราคาก็ไม่สูงมาก ได้กระเป๋า หมวก เสื้อมามากมายกว่าตอนไปย่านทงแดมุนอีก เลย์เอาทหน้าร้านของแต่ละร้านมันดึงดูดใจไปหมดเลย อร๊ายยยยหมดตัวๆๆๆๆ ละลายทรัพกันจนวินาทีสุดท้ายก่อนไปขึ้นเครื่องบินก็ได้แวะไปยังซุปเปอร์มาเก็ตที่ขายพวกขนมของฝากมากมาย ทรายขนกลับมาลังนึงเลยทีเดียวเชียว



       ภาพสุดท้ายของทริปนี้ กับแสงอาทิตย์สุดท้ายที่เกาหลี ถือเป็นการมาครั้งแรกที่ประทับในหลายๆอย่างทั้งเรื่องสภาพบ้านเมือง การใช้ชิวิต วัฒนธรรม ความเคารพในกฎหมาย ฯลฯ และทริปนี้ก็ผ่านไปอย่างสนุกสนานพร้อมกับความทรงจำของมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้น ต้องขอขอบคุณบริษัท Cosmega ที่ได้เชิญทรายซึ่งเป็นบลอคเกอร์น้อยๆไปได้สัมผัสกับประเทศที่ผลิตเครื่องสำอางดีๆอย่าง etude ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาทรายมองว่ามันเป็นแบรนด์ที่ดูเด็กๆด้วยภาพลักษณ์แต่แท้จริงแล้วผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ได้ลองทำให้ทรายปลื้มและกลายเป็น Item must have ไปเลยทีเดียว ขอขอบคุณพี่ๆทีมงานทุกคนที่คอยดูแลพวกเราเป็นอย่างดีด้วยความเป็นกันเองตลอดระยะเวลาสี่วันในทริปนี้ ขอบคุณจริงๆคร๊าบบบบบ ขอจบทริปนี้แบบเกาหลีซักนิดด้วยการกล่าวคำว่า 정말 감사합니다.(ชองมัล คัมซาฮัมนีดา) ขอบคุณมากๆค่า


      



Free TextEditor




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2553    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 1:45:31 น.
Counter : 3971 Pageviews.  

ลั้นลาสุดๆกับ Etude Korea TriP 23-27 Oct 2010 Part 2 Ja ><

...มาต่อ Part 2 กันแล้วจ้ากับวันที่สองของไอ้หมูที่เกาหลีกับ Etude Korea TriP ^^ ใครยังไม่ได้ชม Part 1 Click เลยจ้า วันนี้อากาศเย็นต่างจากวันแรกมากกกกก อุณหภูมิลดลงจนน่าตกใจ วันแรกอยู่ที่ประมาณยี่สิบองศา แต่เช้าวันนี้เหลือไม่ถึงสิบองศาแล้วจ้า



         อาบน้ำแต่งตัวเสร็จงงมาหม่ำๆอาหารเช้าที่โรงแรม DaeMyung Resort พร้อมเช็คเอาท์ย้ายที่นอนกันอีกแล้ว อิอิ วันนี้เราจะเข้าไปตะลุยในกรุงโซลกัน ขึ้นรถปุ๊บก็ขอชาร์จพลังให้เต็มที่หลังซัดอาหารเช้ากันอีกซักหน่อยด้วย นมกล้วย สุดโด่งดัง และ เครื่องดื่มวิตามิน C” ซดหมดเรียบสองขวด เลิฟนมกล้วยหวาน มัน หอม ปลื้มๆ แต่ตอนนี้บ้านเราก็หานมกล้วยหม่ำได้นะจ๊าของโฟร์โมสต์รสชาติใกล้เคียงกันจ้า



         วันนี้มาแบบเป็นงานเป็นการด้วยน๊า 555 หลังจากวันแรกเที่ยวกระจาย เพราะวันนี้เราจะไปร่วมเวิร์คชอปคอลเลคชั่นใหม่ของ Etude คือ “Golden Ratio Collection”  นั่นเองจ้า เชื่อว่าสาวๆได้กรี้ดคอลเลคชั่นนี้กันไปแล้วแอบแปะภาพโปสเตอร์ งามมากมาย คอลเลคชั่นนี้จะเน้นการ Hilighting / Shading Contour Makeup และเทรนด์สีในคอลเลคชั่นนี้จะเป็นสีโมโนโทนในโทนน้ำตาล และเทาค่ะ



Golden Ratio Collection



  1. Golden Ratio Face Glam : #1 Gold , #2 Pink

  2. Golden Ratio Designing Conte’

  3. Luci-Darling Fantastic Gradation Eyes : #5 Gold Khaki , #6 Brown

  4. Color My Brows : #1 Rich Brown , #2 Light Brown

  5. Golden Ratio Tear Drop Powder #1 Gold , #2 Brown , #3 Khaki , #4 Grey

  6. Golden Ratio Contour Maker #1 Gold , #2 Pink

  7. Luci-Darling Fantastic Rouge : Gloss#9 Gold Volume , Lip#3 Nude Beige , Lip#11 Gold Beige



      เวิร์คชอปครั้งนี้ Exclusive มากๆเพราะจัดที่ช็อปของ Etude กลางตลาดเมียงดง โดยปิดร้านชั่วคราวเพื่อการจัดเวิร์คชอปสาธิตการแต่งหน้าโดยเมคอัพอาร์ตติสชื่อดังของ Etude คือคุณนูน่า โดยใช้เครื่องสำอางในเซต Golden Ratio ซึ่งนางแบบคนของเราก็คือ คุณเอมี่-กลิ่นประทุม นั่นเองจ้า โดยเริ่มจากการบำรุงผิวหน้าด้วยสกินแคร์เซต Moistfull Collagen เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพร้อมสู้อากาศเย็น อิอิ เสร็จแล้วก็ทำการลงตัวเด่น Face Glam ที่มีทั้งด้านเนื้อครีมและเนื้อลิขวิด ตัวนี้กรี้ดดดดมากมายมันทำให้หน้ามีมิติ วาวฉ่ำแบบเกาหลีโดยที่เนื้อกลิตเตอร์ละเอียดมากกกก ด้วยความที่เกาหลีเมืองหนาวหลังจากลงเบสเมคอัพคุณนูน่ามิได้ลงแป้งทับแต่อย่างใด มิน่าล่ะหน้าถึงฉ่ำกันสุดๆ หลังจากนั้นก็ทำการลงพอยท์เมคอัพในโทนน้ำตาลธรรมชาติ ทาลิปสีนู้ดทับด้วยกรอสประกายทอง ได้ลุคใสๆเป็นธรรมชาติแต่ดูโกลว์สุดๆไปเลยจ้า ^^



      หลังจากจบเวิร์คชอปก็ทำการเปิดร้านต่อและปล่อยให้เราได้ชอปปิ้งกันตามอัธยาศัย ขอสารภาพว่าไม่ได้ถ่ายรูปในร้านเลยเพราะว่ามัวแต่เมามันส์กับการชอปปิ้ง 555 มันถูกม๊ากกกกก สอยไปสอยมาจนล้นตะกร้า รวมราคามาแล้วตกใจมันถูกกว่าที่คิดไว้ยิ่งนัก อร๊ายยยเป็นการชอปปิ้งที่มีความสุขมากๆ ราคาโดนใจ คุณภาพเกินราคา บีเอน่าร๊ากกกก (BA แอบพูดภาษาไทยได้ด้วยน่ารักมากๆ) ><


 


     ชอปกันจนหมดแรงเพราะหิ้วของออกจากร้านกันถุงใหญ่มว๊ากกกก 555 ก็ถึงมื้อเที่ยงพอดี เที่ยงนี้กลับไปหม่ำร้านเดิมที่หม่ำเมื่อวันแรกวันนี้เมนูคือ โอซัมบูลโกกิ เป็นเนื้อหมูสไลด์และปลาหมึกหมักซอสย่างแบบขลุกขลิกใส่ลงในกระทะพร้อมน้ำซุป ผัก วุ้นเส้นเส้นใหญ่ๆแบบเกาหลี พอสุกก็หม่ำกับข้าวสวย พร้อมเครื่องเคียงเต็มโต๊ะ รสชาติออกหวานเผ็ดเล็กน้อย โดยพี่ไกด์คนสวยกลัวเราจะเอือมก็เตรียมน้ำจิ้มสุกี้ไว้ให้ โอ้ววววเริ่ศ อิ่มหนำสำราญอีกนึงมื้อ อิอิ



ก่อนขึ้นรถแอบถ่ายกันหน้าตึกรามบ้านช่องเค้าสวยสะอาดตาดีจังเลย พอขึ้นรถปั๊บทางทีมงานสุดน่าร๊ากของ Cosmega ก็ขนขนมอันเลื่องชื่อคือ Krispy Kreme นั่นเองคร๊าบบบบบ ขนมาให้กันเป็นกล่องๆไม่ต้องไปต่อแถวหน้าพารากอนก็ได้ทานแล้ว อิอิ หลังทานข้าวแล้วแต่ก็สามารถฟาดโดนัทเข้าไปได้อีกหลายชิ้น เนื้อมันนุ่ม รสค่อนข้างหวานแหลม ทรายว่าจุดเด่นคือแป้ง แป้งมันอร่อยกว่ายี่ห้ออื่นจริงจังแต่ว่าให้ไปต่อแถวซื้อคงไม่อ่าค่ะ ป่านนี้ยังไม่เคยลองทานที่พารากอนเลยเห็นแถวแล้วท้อใจ T T



       ครึ่งบ่ายวันนี้โปรแกรมย้อนวัยสู่วัยเด็กคือการไปลั้นลากันที่ “Everland” คร๊าบบบบ อิอิ ไอ้หมูแอบเปลี่ยนชุด ตอนครึ่งเช้าใส่เดรสโค้ดโทนชมพูเข้ากับแบรนด์ Etude แต่กระโปรงอาจไม่สะดวกที่จะวิ่งเล่นในสวนสนุกเลยขอเปลี่ยนเป็นกางเกงกับรองเท้าผ้าใบสีสดใส ^^ Everland เป็นสวนสนุกที่สร้างขึ้นโดยSumsung ทำเลที่ตั้งอยู่กลางเขาทำให้อากาศดีและวิวสวยมากๆ



       หลังจากลงรถบัสผ่านที่ตรวจบัตร (Free Pass เล่นได้ทุกอย่าง กรี้ดๆ) เราต้องนั่งกระเช้าเข้าไป นั่งกระเช้าชมวิวไปเพลิดเพลิน และวิวตรงหน้าเราก็ได้เห็นเครื่องเล่นที่พลาดไม่ได้ของที่นี่คือ “T-Express” รถไฟเหาะรางไม้แห่งแรกของเอเชียที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2006 ใครพลาด T-Express เหมือนมาไม่ถึง Everland น๊าแค่เห็นรางก็เสียววาบแล้ว ><



       เมื่อถึงสวนสนุกแล้วสี่บลอคเกอร์ก็พร้อมลุย T-Express โดยเราไปต่อแถวประมาณครึ่งชม. มาดูสถิติอันสุดยอดรถไฟเหาะอันนี้กันหน่อยซิ T-Express มีความยาวของระยะทางเป็นอันดับ 6 ของโลกด้วยระยะทางทั้งหมด 5,838 feet หรือ 1.779 กม. โดยใช้เวลาในการเล่นนานมากถึง 3 นาที โดยจุดเด่นคือรถไฟจะเคลือนตัวช้าๆขึ้นไปสูงสุดที่ 56 เมตร แล้วทิ้งดิ่งลงมาในมุม 77 องศาที่เราต้องปะทะกับแรง G ถึง 4.5 บนความเร็วสูงสุด 104 km/h >0< นี่ถ้าได้รู้ข้อมูลก่อนขึ้นคงไม่กล้าขึ้น 5555 แต่ด้วยความไม่รู้เรื่องก็เอาวะไหนๆมาแล้วต้องขอซักหน่อย ทรายกับพี่ปูเป้ได้นั่งที่นั่งแถวที่สอง เกือบได้นั่งที่แรกแล้วน่าเสียดาย แต่ขอบอกแม้ว่าจะนั่งแถวสองเอิ่มกรี้สสสสจนคอแทบแตก บีบมือพี่ปูเป้อย่างแน่น 555 ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไงดีแต่ขอบอกว่า....ใครพลาดแล้วจะเสียดาย มันสุดยอดม๊ากกกกก ฟินาเล่กันเลยทีเดียว 555 เสียวขนาดไหนเอาว่าตอนลงจากรถไฟเหาะมีสาวเกาหลีร้องไห้ด้วยกอดกันร้อง ฮือๆเลย



      ได้เล่น T-Express แล้วถือว่ามาถึง Everland 555 เราเลยเดินเล่นกันแบบชิวๆ จะไปเดินหาเจ้า Liger ที่เกิดจาก Lion + Tiger โดยธรรมชาติแต่เราก็หาไม่เจอแถมเย็นแล้วก็เลยเดินชิวๆถ่ายรูปเล่นละกันน๊า ในสวนสนุกต้นไม้ก็กำลังผลัดใบเปลี่ยนสีมองไปทางไหนก็ดูสดใสไปหมด ^^



      และอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ใน Everland คือ สวนสี่ฤดู โชคดีมากๆช่วงที่ไปเป็นช่วงฮาโลวีนพอดีเค้าจึงจัดมุมถ่ายรูปเก๋ๆเป็นธีมฮาโลวีนพร้อมกันดอกเบญจมาศสีสดใสบานสะพรั่ง สวนเค้าใหญ่มาก ถ่ายรูปกันจนเพลินอากาศเริ่มเย็นถึงเย็นมากเพราะอยู่กลางเขา เกือบติดลบแล้วน๊า เดินถ่ายรูปเพลินๆแป๊บเดียวฟ้าก็จะมืดแล้ว หน้าหนาวที่เกาหลีพระอาทิตย์ตกเร็วจังเลย



     ใกล้เวลานัดพบเราจึงออกจากสวนสนุกด้านใน รอบนี้เดินกลับแถวขึ้นกระเช้ายาวมากมาย เดินๆออกกำลังกายจะได้หายหนาว หงึกๆ ออกมาถึงจุดนัดพบร้าน Etude สุดยอดจริงๆ Etude มีทุกที่ในเกาหลี ^^ บรรยากาศสวนสนุกยามค่ำคืนมันมีเสน่ห์จังเลยแสงไฟละลานตา ^0^




     หม่ำๆมื้อเย็นก่อนเข้าที่พักกันด้วยเมนูยอดฮิต คาลบี้ หรือ หมูย่างเกาหลีนั่นเองจ้า โดยนำหมูหมักทีชิ้นใหญ่สุดๆ แผ่นใหญ่กว่าหน้าเอามามาส์กหน้าได้เลยทีเดียว 555 เริ่มโดยการนำเนื้อหรือหมูมาแผ่ย่างบนเตาให้สุกกำลังดีแล้วใช้กรรไกรตัดแง๊บๆแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำจากนั้นใช้ผักสดห่อราดน้ำจิ้มแซ่บๆทานแบบเมี่ยงคำ อาหย่อยยยยย ผักสดกรอบกับหมูย่างเนื้อนุ่ม ปลื้มๆ ทุกคนบอกทานกับกระเทียมแจ่มมากกระเทียมเค้าแซ่บสุดๆแต่งานนี้ไอ้หมูขอบาย เป็นหมูแดรกคิวล่าแพ้กระเทียมคร๊าบบบ




      มาถึงที่พักคืนนี้เราย้ายโรงแรมมานอนที่โรงแรม Lake Hills Resort Golf Club เป็นโรงแรมที่ตั้งกลางหุบเขาวิวสวยอากาศเย็นห้องใหญ่โตมโหฬาร และมีการตกแต่งสไตล์โฮโซว ด้วยโทนสีน้ำตาล มีครัวพร้อมในแต่ละห้อง เตียงเป็นแบบฟูกปูกับพื้นจ้า อากาศข้างนอกเย็นมากในหน้าหนาวทุกโรงแรมจะงดใช้แอร์และเปิดเป็นฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่น ห้องอุ่นกำลังสบายแล้วทรายกับพี่โอ๋ก็ทำการรื้อสัมภาระ เห็นกองของที่ชอปมาแล้วช็อคทำอะไรลงไปน๊าวันนี้ยังไม่ใช่วันชอปปิ้งซักหน่อย แต่วันที่สามนี่หล่ะวัน Shopping DaY งานนี้จะหมดตัวกันขนาดไหนติดตามชมต่อไปนะจ๊า ขอบคุณทุกคนที่ติดตามชมคร๊าบบบบ ^^




Free TextEditor




 

Create Date : 15 ธันวาคม 2553    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 1:44:48 น.
Counter : 2782 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]




..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน
http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้
ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!!

---------------------------------------------------------

hits
New Comments
Friends' blogs
[Add SaRaY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.