Group Blog
 
All blogs
 

Review : Japan Trip [Part 5] วันที่9 เกียวโต, วัดทอง & วันที่10 เช่ากิโมโนใส่ตะลุยวัดเงิน , ย่านกิอง



My Makeup TodaY วันที่เก้าในญี่ปุ่น [2/11/2013]
วันนี้มาแนวสาวโหดไหนๆก็เสื้อลายทหารละสโมคกี้อายไปเล้ย
สโมคกี้ด้วยโทนดำXเขียวขี้ม้าเข้ากะเสื้อ วิ้งๆใต้ตาของ Etude ฮะ
เป็นกลิตเตอร์สีเงินปนทอง ส่วนขนตาปลอมจำเบอร์มิได้ขนไปเป็นสิบ แหะๆ
ลุคนี้ใน IG คนชอบเยอะมากกก แต่ขอบอกว่าถ่ายรูปมาหน้าจะโหดๆทั้งวันนะ 555



My Outfit TodaY มาแนวเท่ๆทะมัดทะแมง
เสื้อลายทหารแบรนด์ GU ที่ช้อปวันก่อนเพราะมันเซลล์
ราคาประมาณสองร้อยกว่าบาทไม่ต้องถามเลยว่าซักหรือยัง 555
เสื้อสีดำแขนยาวตัวในและเลกกิ้งไหมพรมสีดำ Uniqlo Heattech
เสื้อกันหนาวสีส้มก็ Uniqlo Light Down ฮะสอยที่นี่หมดถูกกว่าไทยเยอะอยู่
รองเท้าคู่เดิมฮะใส่สบายฝุดๆ ยี่ห้อ
Maxstar สั่งจากเว็ปของเกาหลี
//www.maxstarstore.com/
ค่ารองเท้า+ค่าส่ง+ภาษีตกคู่ละสองพันต้นๆ
แว่นตากระโหลกกะลาอันละร้อยเดียวจากชั้นหนึ่งแพลตตินั่มบ้านเรา อิอิ



อาหารเช้าประทังชีวิตด้วยซูชิกล่องจาก 7-11
598 yen ประมาณ 190 บาท อร่อยอ้ะแม้หน้าตาจะดูงั้นๆก็ตาม
แบ่งกันหม่ำสองคนรอดไปอีกหนึ่งมื้อเซฟตังๆ



วันนี้บ๊าย บาย โอซาก้า ใช้ JR Pass นั่งชินคันเซ็นไปตะลุยเกียวโตกัน!
คือเร็วเว่อร์ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงถึงแล้วจ้าเมืองมันติดๆกัน
เพิ่งสังเกตุว่าบนรถที่ปลั๊กให้เสียบชาร์จมือถือหรือโน้ตบุคด้วยแหล่มๆ



มาถึงประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆเอาสัมภาระไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อน
เค้าจองโรงแรมผ่าน Booking.com ไว้ล่วงหน้าเน้นทำเลดีอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเลย
เดินลงบันไดเลื่อนมองไปฝั่งตรงข้ามสถานีเห็นโรงแรมเลยจ้าตึกสีเหลืองๆ
อยู่ติดๆกับโรงแรมที่เป็นรูปหอคอย Kyoto Tower Hotel ฮะ



โรงแรมที่จองมาห้องเป็นแบบเรียวกังหรือห้องสไตล์ญี่ปุ่น
ชื่อโรงแรม Matsumoto Ryokan ราคาสองคืน 32,760 yen (10,330 บาท)
เป็นสองคืนที่แพงจุงเบยตกคืนละห้าพันกว่าบาทเพราะเป็นแบบเรียวกัง ฮือ
เอาน่ามาญี่ปุ่นมันต้องลองนอนเรียวกังสักที เลือกที่นี่เพราะมีออนเซ็นและติดสถานีนี่หล่ะ
เค้าชอบจองโรงแรมผ่าน www.booking.com ใช้แค่บัตรเครดิตในการจอง
แต่ไปจ่ายเงินเอาที่หน้าโรงแรม ถ้าเราจ่ายเป็นเงินเยนจะถูกกว่าตัดผ่านบัตรนะฮร้า
ฝากกระเป๋าไว้เรียบร้อยค่อยออกไปตะลุยเกียวโตได้ เย่!



นิสัยสะเพร่าไม่เปลี่ยนอิชั้นทำตัวโหลด SD ลง Mini iPad หาย!!!
ดีนะตรงข้ามโรงแรมด้านล่างสถานีมีร้าน Bic Camera
เป็นร้านขายอุปกรณ์อิเล็กโทนิกส์ที่พบได้ทั่วประเทศตั้งอยู่
เลยเข้าไปสอย SD Card Camera Leader ที่นี่ขายถูกกว่าบ้านเรานิดนึง
ที่นี่ 3,080 yen หรือ 970 บาท บ้านเราใน Apple Store ขายอยู่ 1,090 บาท
กล้องที่เค้าใช้คือ Sony NEX-F3 เป็นรุ่นเก่าไม่มี wifi ในตัว
ก็ใช้เจ้าตัวนี้นี่หล่ะในการโหลดรูปลง
Mini iPad เค้าว่าก็สะดวกดีนะ



จุดหมายแรก ณ เกียวโต คือ วัดทอง Kinkakuji Temple
การเดินทางในเกียวโตแนะนำว่านั่งรถเมล์สะดวกสุดเพราะเป็นเมืองเล็กๆ
ป้ายรถเมล์อยู่ตรงสถานีรถไฟด้านหน้าโรงแรมที่พักเลย
มีจุด Information ให้สอบถาม หรือดูจากป้ายที่รถแต่ละคันจอดก็ได้ฮะ
เค้าจะมีเขียนสถานีปลายทางให้อยู่ พวกสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญจะเห็นคนต่อแถวมากมาย
การนั่งรถเมล์ในญี่ปุ่นแบบที่เคยเล่าใน [Part 2] ขึ้นไปแล้วจ่ายเงินที่คนขับโลด
จากสถานีเกียวโตนั่งรถบัสสาย 101, 102, 204, 205 ลงที่ป้าย Kinkakuji-michi
แล้วเดินต่ออีกประมาณ 300 เมตรจะถึงทางเข้าวัด
สังเกตง่ายเป็นป้ายที่คนลงเยอะ ลงแล้วเดินตามๆเค้าไปเลยฮะ อิอิ
ค่าเข้าชมวัดคนละ 400 yen (130 บาท) จ้า



วัดคินคะคุจิ ( Kinkakuji Temple ) , วัดพลับพลาทอง ( Golden Pavilion )
หรือ วัดทอง
เป็นหนึ่งในวัดชื่อดังของญี่ปุ่น ถ้ามาเกียวโตแล้วไม่ได้แวะที่นี่เรียกได้ว่ามาไม่ถึงเกียวโต
เป็นวัดเก่าแก่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1940 ศาลาที่เห็นแปะผนังทองไปเมื่อปี พ.ศ.2530 อร่ามมาก
วัดนี้เคยเป็นที่พำนักของโชกุนอาชิคางะ โยชิมิซึ ผู้ที่ชอบทายปุจฉา – วิสัชนา
ในการ์ตูนเรื่องอิกคิวซัง ซึ่งอิกคิวซังเป็นเรื่องแต่งขึ้นแต่โชกุนมีตัวตนจริงๆจ้า
แต่เดิมที่นี่เป็นบ้านพักตากอากาศของโชกุนโยชิมิซึ แต่พอท่านเสียชีวิต
ลูกชายของท่านก็เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นวัดแบบเซน



บรรยากาศในวัดจะเป็นการจัดสวนแบบเซน
ช่วงที่เค้าไปขนาดใบไม้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสีนะยังสวยอลังการเลย
แต่เสียดายฝนตกด้วยตรงกับวันเสาร์ด้วยคือคนเยอะมว๊ากกกกเดินเบียดๆกันไป



พอได้เห็นเมเปิ้ลเปลี่ยนสีนิดหน่อยให้ชุ่มชื่นหัวใจ ถ้าแดงทั้งต้นคงสวยสลบ Smiley



เดินลงมาจากวัดฝั่งซ้ายมือเป็นป้ายรถเมล์ ฝั่งขวามือจะเจอร้านสกินแคร์ชื่อดังของเกียวโต
ชื่อร้าน "Yojiya" โลโก้จะเป็นรูปหน้าผู้หญิง ในบ้านเรากระดาษซับมันยี่ห้อนี้ดังมากเห็นเค้าว่าเริ่ด
แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ของเกียวโตเลยเริ่มจากเป็นรถเข็นเล็กๆขายอุปกรณ์เสริมสวยตั้งแต่ปี 1904
แล้วค่อยๆขยับขยายมาจนเป็นร้านแบบในทุกวันนี้ โหขายมาร้อยกว่าปีแล้วอ้ะ
ในร้านมีทั้งสกินแคร์ดูแลผิวหน้าผิวกาย อุปกรณ์ความงามต่างๆไม่ว่าจะเป็น
ฟองน้ำล้างหน้า/ขัดผิว แปรงแต่งหน้า เครื่องสำอาง ฯลฯ มีของน่าเล่นเยอะมาก
เค้าซื้อสบู่แผ่นไว้ใช้ล้างหน้ามาด้วยแหละ ชื่อว่า Kamisekken Soap
หน้าตาเป็นแผ่นๆเหมือนกระดาษซับมัน แต่ถูๆกะน้ำแล้วจะกลายเป็นฟองได้ทั้งแผ่น
ลองใช้แล้วเริ่ดมากสะอาดไม่แห้งตึง เหมาะกะเอาไว้พกพาเวลาเดินทางที่สุด
ซองนึงมี 20 แผ่น ราคา 350 yen (110 บาท) อันนี้แนะนำๆ



ของว่างระหว่างวันซาลาเปา 7-11 อยู่นี่ฟินกะเซเว่นมากพูดเลยของกินเริ่ดดดดด!
ซาลาเปาร้อนๆแป้งนุ่มๆไส้คาราเมลและไส้ถั่วแดงอร่อยมว๊ากกก ไส้เข้มข้นสุดพลัง Smiley



วิวข้างทางคือสวยมากกก เกียวโตเป็นอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น
เป็นเมืองที่ผสมผสานศิลปวัฒนธรรม อตีตแห่งความรุ่งโรจน์
มีวัดเยอะมากให้ฟิลประมาณอยุธยาบ้านเรา
มาที่นี่แค่เดินดูบ้านเมืองเค้าก็แฮปปี้ละ คลาสสิคมาก



กลับมาถึงในเมืองก็เย็นย่ำหัวค่ำพอดี
เลยไปเดินเล่น ย่านกิอง หรือ กิออง (Gion)
เป็นย่านโบราณที่ให้บรรยากาศเกียวโตแบบสุดๆ
เป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร ในสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมไว้
การเดินทางมาย่านนี้เหมือนเดิมค่ะนั่งรถเมล์โลดถ้าจำไม่ผิดสาย 100 ผ่าน
แต่แนะนำว่าอ่านป้ายหรือเช็คใน Google Map เอาดีกว่าจ้า



บ้านเรือนอาคารยังเป็นบ้านแบบโบราณอยู่ เหมือนหลุดเข้าไปอีกยุคนึงเลยประทับจิต
ที่นี่ยังเป็นแหล่งที่เราจะเจอเกอิชาจริงๆได้ แต่เค้าไม่เจอ แหะๆ
และย่านนี้ก็เป็นย่านที่ถ่ายหนังเรื่องเกอิชาที่จางซิยี่เคยเล่นไว้นั่นแล




ลองซื้อขนมญี่ปุ่นที่หน้าตาดูออริจินอลมากมาลองด้วย
ชื่อ ขนมมันจู ขายอยู่กะชาเขียวลองซื้อแบบชาเขียวใส่กะทิมา
ราคาโหดแบบกระอักเลือดอยู่ชาเขียวขวดละ 350 yen (110 บาท)
ส่วนขนมชิ้นเล็กๆชิ้นเดียวที่เห็นนี้มูลค่าถึง 250 yen (80 บาท)
โอ๊ย! แทบจะกินใบไผ่ที่ห่อเข้าไปด้วยเลย
รสชาติธรรมดาสามัญมากเป็นแป้งมันเทศหนึบๆไส้ถั่วหวานน้อยๆ
ชาเขียวใส่กะทิแช่เย็นๆหอมๆมันๆอร่อยดีแต่กินได้นิดเดียวเอือมเกิ๊น



ของกระจุ๊กกระจิ๊กที่ขายตามร้านน่าร๊ากมากเดินดูเพลินๆ
แวะร้าน Totoro ด้วยเป็นตัวการ์ตูนดังของค่าย Studio Ghibli



ก่อนกลับเดินผ่านร้านขายเหล้า คุณแฟนอิชั้นตื่นตาตื่นใจใหญ่
เหล้าบ๊วยหลากชนิดราคาถูกมากกก เอ้าจัดไปอย่าให้เสีย
แพ็คเกจจิ้งชนะเลิศน่าลองทุกอย่าง Smiley



มื้อเย็นวันนี้ฝากท้องไว้ที่ร้านซูชิเวียนในสถานีเกียวโตหน้าโรงแรมนี่หล่ะใกล้ดี
วันเสาร์นี่คนเต็มทุกร้านต่อแถวกันอลังการงานสร้าง คนญี่ปุ่นมีความอดทนในการกินมาก
ส่วนเค้านั้นเลือกร้านนี้หล่ะแถวมันดูขยับไวกว่าร้านอื่น 555 หิวง่า
ราคาดูน่าคบหาด้วย ทุกจานราคาเดียว 137 yen (43 บาท)



บรรยากาศในร้าน ตื่นเต้นๆจะได้ลองซูชิเวียนของจริงแร้นนน!
ร้านค่อนข้างใหญ่แล้วเลยเลื่อนไว หิวไส้กิ่วมากวันนั้น



ได้ที่นั่งแล้วเย้ๆ บนโต๊ะจะมีซองชาเขียวและก๊อกกดน้ำร้อนให้ฟรีฮะ



ทุกจานราคาเดียวสี่สิบสามบาทจัดไปหนักๆหยิบกินไม่คิดชีวิตเลยคุณภาพเกินราคาม๊ากกกก!!!
คืออร่อยจริงจัง ทูน่าละลายในปาก ปลาไหลชิ้นเป้งๆ ไข่หวานหนานุ่ม
ต้องนั่งเพ่งดีๆมันจะมีจานที่เขียนว่า Special เวียนมาด้วย
เช่น Special Tuna Belly พุงทูน่าละมุนลิ้นฝุดๆ ปลาไหลแบบสเปเชียลก็เริ่ด
เค้าหยิบกุ้งลายเสือได้จานนึงด้วยเนื้อกุ้งต้มกำลังดีตัวอย่างใหญ่หวานกรอบเด้ง อร๊ากกกฟินSmiley
กินไปเรื่อยๆด้วยอารมณ์หิวอย่างหน้ามืดสองคนฟาดไปทั้งหมด 34 จานคร๊า!!!
จานเรียงกันสูงดั่งหอคอยโตเกียว 555 มื้อนี้หมดไปทั้งสิ้น 34 x 137 = 4,658 yen
ทางร้านคงสงสารปัดเศษ 8 yen ให้ เหลือ
4,650 yen = 1,466 บาท
อิ่มแทบกลิ้งได้ตกคนละเจ็ดร้อยกว่าๆเทียบกับคุณภาพที่ได้คุ้มค่าคุ้มร้านนี้หมูปลื้มSmiley



อิ่มมากถึงมากที่สุดดีนะโรงแรมอยู่ใกล้เดินแทบไม่ไหว 555
ถึงโรงแรมพนักงานเค้ายกกระเป๋าไปไว้ให้เราที่ห้องแล้ว
คืนนี้พักแบบเรียวกังเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมปูด้วยเสื่อทาทามิ
ที่นี่กางฟูกไว้ให้เสร็จสรรพอยากทิ้งตัวลงไปนอนซะตอนนั้นเลย หนังท้องตึงซะ!



เรียวกังที่นี่แพงหน่อยอย่างที่บอกว่าทำเลดี
และเป็นแบบมีห้องน้ำในตัวมีอ่างอาบน้ำเล็กๆให้ด้วย
แต่ที่นี่มีออนเซ็นเลยไม่ค่อยได้ใช้อ่าง
แต่ขอบอกว่าไม่ประทับใจออนเซ็นที่นี่นะห้องเล็กๆแคบๆ
ไม่ได้มีอุปกรณ์หรือล็อกเกอร์ให้แบบที่โอซาก้าง่ะ
น้ำในออนเซ็นที่นี่แช่แล้วผิวกระด้างนิดๆ ผิวไม่นุ่มๆลื่นๆแบบที่แรก
สรุปว่าเทียบกับราคาแล้วสำหรับเค้าที่นี่จัดว่าแพงไปหน่อยหล่ะ



อุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆก็มีให้ครบครันดี
มีขนมอะไรไม่รู้วางไว้ให้สองชิ้นรสชาติกัดไปปุ๊บนี่มันขนมโก๋บ้านเรานี่นา555
ชอบตรงมีชุดชาให้ชงไม่อั้นอากาศเย็นๆได้ซดชาค่อยยังชั่ว
ไดร์เป่าผมที่นี่ก๊องแก๊งเกินดีนะพกไดร์เลอซาช่ามินิมาเอง



ในขณะที่นั่งอืดๆอยู่นั้นคุณแฟนก็ยกเค้กชิ้นนี้มาให้
Surprice!!! Happy Birthday to me 3 Nov 2013
เย้ๆ เขิลอ้ะขอบคุณคร๊าบ แต่งงชิมิใน [Part 1] เค้าเพิ่งเบิร์ดเดย์คุณแฟนไป อิอิ
เค้าเกิดห่างกันอาทิตย์นึงพอดีฮับ ปีนี้เลยฤกษ์ดีได้ฉลองวันเกิดครบ 27 ขวบที่ญี่ปุ่นทั้งคู่เลย
นางแอบไปซื้อเค้กมาตอนไหนไม่รู้ก็เดินไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด หมูละงง
ขอบอกว่าเค้กอร่อยมว๊ากกก ครีมนุ๊มนุ่ม ไม่หวานมาก เบอร์รี่ฉ่ำสุดๆ
แม้จะจุกซูชิมาแต่ก็ฟาดเค้กหมดเกลี้ยงเลย เห็นป่ะล่าว่าอร่อยจริงๆขอบคุณฮ้าฟ Smiley



ฮี่ๆวันเกิดปีนี้ตั้งใจไว้แล้วขอฉลองในชุดกิโมโนหน่อยเถิ๊ดดดด Smiley
หาข้อมูลจากในเน็ตไว้แล้วร้านที่เค้าจะเช่ามีเว็ปเป็นภาษาอังกฤษอ่านออก เย่!
ใครไปเกียวโตจะเช่ากิโมโนร้านนี้แนะนำฮะเค้าว่าโอเคเลยที่สำคัญไม่แพง อิอิ
คลิกตามลิงค์นี้ไปโลด>>> //www.yumeyakata.com/english/index.html
หน้าหนาวคนญี่ปุ่นจะใส่เป็นกิโมโนผ้าจะหนามากใส่หลายชั้นให้ร่างกายอบอุ่น
ส่วนยูกาตะจะใส่กันตอนหน้าร้อน ค่าเช่ากิโมโนต่อวันจะอยู่ที่ 2,500 yen (790 บาท)
ร้านเปิดให้เช่าตั้งแต่ 10.00-18.00 น. เลือกได้ว่าจะคืนชุดภายในวันนั้นหรือคืนวันถัดไป
เค้าจองผ่านเว็ปไปก่อนจะได้รับเป็นอีเมลล์ยืนยันพอไปถึงก็เปิดอีเมลล์ให้ทางร้านดูฮะ
ร้านตั้งอยู่ใกล้ๆรถไฟใต้ดินสถานี Gojo ออกทาง Exit 1 เดินไปไม่ไกล
ให้เล็งร้าน 100 yen ไว้ ร้านจะตั้งอยู่บนตึก Izutsu building ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 7 ฮะ


ไปถึงเค้าจะให้เราเลือกจับคู่ชุดและโอบิเองเลือกสีได้ตามชอบ
สามารถเลือก Option เพิ่มได้ เช่น ผ้าตัวในแบบมีลาย โอบิแบบมีลายพิเศษ
เชือกคาดโอบิ ฯลฯ ราคาก็จะบวกเพิ่มไปชิ้นละ 200-500 yen
แต่เค้าไม่ได้เอาอะไรเพิ่มเปลืองตัง 555 แบบเบสิกๆก็สวยละ อ้อลืมๆเค้าเอาเพิ่มอย่างนึง
คือเสื้อคลุมกิโมโนด้านนอกเอาไว้กันหนาวจ่ายเพิ่มไป 500 yen ฮะ
เค้าไปวันอาทิตย์สาวๆชาวญ๊่ปุ่นมาเช่ากิโมโนกันเยอะม๊ากกกแทบไม่มีที่ยืน
ณ จุดนั้นเค้าคือชาวต่างชาติคนเดียวเท่าที่เห็น นอกนั้นสาวญี่ปุ่นล้วนเลย

ชุดกิโมโนขั้นตอนการใส่อลังการงานสร้างมากคือนับไม่ถ้วนไม่ต่ำกว่า 5 ชั้น
ยิ่งตรงพุงนะพันแล้วพันอีก อากาศให้หนาวแค่ไหนก็เอาอยู่อุ่นจริงจัง
ใช้เวลาเลือกและต่อแถวรอใส่ชุดอยู่ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง
เสื้อผ้าและสัมภาระที่เราพกมาเค้าจะรับฝากไว้
แล้วให้มาเป็นบัตรหมายเลขมายื่นบัตรตอนรับของคืน
หยิบออกแค่ของที่จะพกไปด้วย ซึ่งจะมีกระเป๋าผ้าเข้าชุดไว้ให้ยืมไม่คิดตังเพิ่มจ้า

ที่นี่เค้ามีบริการแต่งหน้าทำผมด้วยคิดเพิ่มอย่างละ 1,500 yen (475 บาท)
แอบขึ้นราคานะนี่ตอนที่เค้าไปเค้าแต่งหน้าไปเองแต่ไปให้ที่ร้านทำผมให้
ราคายังแค่ 1,050 yen อยู่เลย (3/11/2013) สงสัยขึ้นราคารับปีใหม่ อิอิ
ผมมีทรงให้เลือก 6 ทรง แต่ถ้าจะทำทรงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมเหมือนเกอิชาเลย
ราคาจะสูงหน่อย 5,000 yen จ้า ช่างเค้าทำผมโอเคนะปักกิ๊บดำมาเต็มหัว
ตอนแกะผมนับดูได้สามสิบกว่าตัวเอาออกหมดหัวเบาเลยจร้า 555
ผมเค้ายาวมากเลยเอวไปเยอะใช้เวลาทำผมประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าจะม้วนกว่าจะเกล้า
เล่นเอาช่างเหนื่อยเลย แหะๆ แอบถ่ายคลิปสั้นๆตอนทำผมไว้ด้วย >>>CLICK<<<



ทรงผมทำออกมาได้ทรงนี้ฮะแบบว่าโมเดิร์นนะ555 Smiley
เค้าเกล้าแบบยุ่งๆหลวมๆแต่ก็แน่นอยู่แต่วันนั้นฝนตกต้องเดินกางร่ม
ทรงนี้ประสบปัญหาว่าร่มเกี่ยวผมแอบหลุดๆเหมือนกันแต่ก็ดูโอเคนะฮร้าไม่เยิน
แต่ไปรอบหน้าขอเกล้าเรียบๆละกัน เรามีประสบการณ์ละ 555
ดอกไม้ที่ติดผมเค้าคิดเงินนะจ๊ะมีให้เลือกหลายขนาดหลายราคา
ที่เลือกมานี่แทบจะถูกสุดในนั้นละ 600 yen อันแค่เนี้ยเกือบสองร้อย
รอบหน้าจะเตรียมมาเองจากไทยเอาให้อลังเลย 555



ใส่ชุดกิโมโนเค้าแนะนำให้เกล้าผม
เพราะชุดมันตันถ้าปล่อยผมจะยิ่งดูตันต้องเผยต้นคอหน่อยฮะ
แต่งหน้าลุคนี้มีฮาวทูติดตามชมได้ที่ //www.katethailand.com จ้า



แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปลั้นลาได้...แต่ปรากฎว่าแป่ว! ฝนตก
ในรูปนี้คือวิ่งออกจากร่มไปถ่ายแชะ แต่ตกปรอยๆทั้งวันไม่รุนแรงฮะ
รองเท้าที่ใส่เป็นเกี๊ยะผ้าเดินง่ายไม่ลื่นแต่เพราะฝนตกถุงเท้าเลยจะแฉะๆ
แอบหนาวเท้านิดนึงนะชื้นแฉะทั้งวันเลย ฮือ Smiley



จุดหมายแรกของเรา ศาลเจ้าเฮอันจินกุ : Heian Jingū Shrine
เดินทางมาง่ายๆโดยรถเมล์สาย 5 หรือ 100 ลงป้าย Kyoto Kaikan Bijitusu-kan Mae

นี้สังเกตทางเข้าง่ายมากจะมีเสาโทริอิสีแดงตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ เค้าไปวันอาทิตย์คนเยอะมากก
ศาลเจ้าที่นี่เข้าฟรีไม่เสียค่าเข้า แต่จะมีในส่วนของสวนด้านในถ้าจะเข้าเสีย 600 yen จ้า

------------------------------------------------------------------------

วันนี้เน้นเดินทางโดยรถเมล์เลยซื้อเป็นตั๋วแบบ Kyoto Bus 1 Day ราคา 500 yen
ขึ้นรถได้ทุกสายภายในวันที่ซื้อ โดยแค่เสียบเข้าที่เครื่องตรงข้างคนขับตอนขาขึ้น
ส่วนขาลงโชว์บัตรให้คนขับรถดูวันที่บนบัตรก็พอ ซึ่งส่วนใหญ่เค้าไม่ค่อยขอดูฮะ
ราคารถเมล์ปกติจะอยู่ที่ 220 yen ตลอดสาย ถ้าจะเที่ยวทั้งวันซื้อตั๋วแบบ 1 Day คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
ทริกในการนั่งรถเมล์แนะนำให้เลือกรถที่เป็นเลข 3 หลัก เพราะจะเป็นรถด่วนหรือรถเที่ยว
จะเน้นจอดป้ายใหญ่ๆที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ถ้าเลขตัวเดียวหรือสองตัวจะจอดถี่ๆกว่าจ้า



ก่อนเข้าวัดล้างมือล้างปากตามธรรมเนียมก่อน วิธีการดูได้ใน [Part 3] ฮับ



ศาลเจ้าเฮอันสร้างขึ้นในปี 1895 เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบปีที่ 1100 ของเกียวโต
โดยอุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของนครแห่งนี้
เป็นศาลเจ้าในลัทธิชินโตมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยเฮอัน
ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับอิทธิพลจากจีนสูงที่สุด บรรยากาศด้านในเลยเหมือนวัดจีนม๊ากมาก



เจออาหมวยน้อยนั่งท่องเที่ยวชาวจีนแต่งตัวเหมือนกันเลยน่าร๊ากกก
ขาออกมีคุณลุงชาวญี่ปุ่นพาโกลเด้นมาด้วยแสนรู้สุดๆสั่งนั่งเป็นนั่ง
ลิ้นห้อยเชียวตะลึงในความงามเค้าละเซ่ 555 กล้าพูดนะนาง



จุดหมายที่สองคือ วัดเงิน หรือ
วัดกินคะคุจิ : Ginkakuji Temple
นั่งรถเมล์สาย 5, 32 หรือ 100 ลงป้าย Ginkakuji-michi

ทางเดินก่อนเข้าวัดจะมีร้านค้าร้านอาหาร/ขนมมากมาย
เห็นร้านนี้คนเยอะดีเลยแวะเข้าไปมุงๆกะเค้าด้วย วู๊ว ชูครีมมมมม!!!
ชื่อร้าน Genmai เค้าเขียนที่ห่อว่า Handmade Ginkakuji Temple Cream Puff
มีให้เลือกหลากไส้ไม่ว่าจะเป็นวานิลลา ชาเขียว เกาลัด ฯลฯ ลูกละ 300 yen (95 บาท)
มีแบบใส่ไอติมด้วย เลยจัดวานิลลารสเบสิกสุดมาลองชิ้นนึง ลูกใหญ่ใช้ได้เลย
ไส้ครีมวานิลลาอร่อยโฮกเนียนนุ่มไม่หวานมาก แต่เค้าว่าแป้งมันแข็งๆไปหน่อยง่ะ
ในร้านมีพื้นที่ให้นั่งหม่ำอยู่นิดนึง แต่ดีตรงมีชาเขียวอุ่นๆบริการฟรีฮะ



เสียค่าเข้าชมวัดกันก่อน 500 yen (158 บาท)
เมื่อเดินเข้าไปจะพบลานพื้นทรายเกลี่ยแต่งหน้าสวยงามแบบนี้
เค้าทำไว้เพื่อให้สะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืนแสงจะได้ส่องสว่างไปทั่วลานวัดฮะ


บรรยากาศด้านในวัดเงินวันฝนตกและคนล้นวัด
ต้องเดินแถวเรียงหนึ่งทยอยๆกันเข้าไปเดินตามแนวที่เค้ากั้นไว้เท่านั้น
ถ้าวันที่ฟ้าใสๆคนน้อยๆเค้าว่าวัดนี้เป็นวัดที่สวยคลาสสิกมาก ชอบมากกว่าวัดทองอีก
ประวัติคร่าวๆ
วัดเงิน หรือ วัดกินคะคุจิ : Ginkakuji Temple
สร้างขึ้นเมื่อ
เมื่อปี พ.ศ. 2025 เป็นวัดในนิกายเซน
สร้างโดยโชกุน อาชิคางะ โยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa)
ซึ่งตั้งใจจะห่อพลับพลาด้วยเงินทั้งหลัง ให้คู่กับวัดทองคินคะคุจิ (Kinkakuji)
แต่ระหว่างนั้นได้เกิดสงครามโอนินขึ้น การก่อสร้างจึงหยุดชะงักลง
โดยยังไม่ได้หุ้มแผ่นเงินซักกะแผ่นเดียวจนมาถึงในยุคปัจจุบัน



วัดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1994
ควรค่าแก่การเป็นมรดกโลกมากๆๆๆบรรยากาศในวัดชวนให้จิตใจสงบสุดๆ
ถ้าไม่นับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เบียดเสียดกันอยู่นะ แหะๆ
พยายามถ่ายมาให้เห็นคนน้อยที่สุดละ



จริงๆวันนี้ตั้งใจจะไป วัดน้ำใส หรือ วัดคิโยมิสึ Kiyomizu temple
แต่ว่าไปไม่ทันวัดปิดห้าโมงเย็น ที่สำคัญฝนก็ตกชุดก็ไม่อำนวย
เพราะวัดนี้ต้องเดินขึ้นไปเป็นกิโลเลยไม่รอดฮะเก็บไว้ทริปหน้าละกันเนอะ
ออกจากวัดเงินนั่งรถเมล์สาย 100 มุ่งหน้าสู่ย่านกิองเหมือนที่ไปมาเมื่อวาน
ผ่านศาลเจ้าอะไรไม่รู้ติดๆกะย่านกิองเลย ตอนแรกว่าจะขึ้นไปแต่ท้อแท้
คนเยอะได้อีกในภาพนี้นี่คนซาแล้วนะสรุปไม่ได้ขึ้น แหะๆ



มุมนี้ถ่ายตรงใกล้ๆศาลเจ้ารูปบนนั่นแล
คิดว่าเป็นทางเข้าร้านอาหารน้าแอบเข้าไปถ่ายแชะนึง
แสงก็สวย มุมก็แจ่ม เริ่ดดดด! แต่เหมือนสีร่มจะแย่งซีน 555



เป็นความโชคดีบนความโชคร้ายที่วันนั้นฝนตกทั้งวัน
ถนนหินในย่านกิองเลยเปียกๆขึ้นเงาสะท้อนกับไฟถ่ายรูปมาเลยดูสวยงามกว่าปกติ
แต่ก็ต้องยอมเปียกจริงไม่ใช้แสตนอิน ถ่ายือร่มทุกรูปมันจะไปสวยอะไร
ช่างมันเนอะวันเดียวไหนๆถุงเท้าก็แฉะแต่เช้าละ สู้ตายเพื่อภาพงามๆ Smiley



ย่านกิองคืนนั้นคึกคักสาวๆใส่กิโมโนเดินกันเต็มเลยได้บรรยากาศดีน้า



แสงเงา สีสันแสงไฟตัดกับสีท้องฟ้า
บอกเลยว่านี่คือภาพดิบไม่ได้ปรับอะไรเลย
ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้อง Sony NEX-F3 คร้าบ



Black & White รูปนี้เหมือนภาพย้อนยุคเลยเน้อ ชอบอ้ะSmiley
สรุปเป็นวันเกิดที่ประทับใจที่สุด! เที่ยวเกียวโตในชุดกิโมโนอร๊ายยฟิน
ดูเวลาใกล้จะหกโมงเย็นละต้องรีบบึ่งกลับไปที่ร้านเพื่อคืนชุดร้านปิดรับชุดตอนทุ่มครึ่ง
ขอบอกว่าเกือบไม่ทัน! คือร้านไม่ได้ไกลจากย่านกิองมาก
แต่รถติดสุดพลังกระดึ๊บได้ทีละนิดลุ้นแทบตายแต่สุดท้ายก็ทันเย่!



กลับมาในสภาพชุดธรรมดาเรียบร้อยกว่าจะฝ่ารถติดกลับมาถึงย่านที่พักก็เล่นเอาเหนื่อย
ไม่คิดว่าเกียวโตรถจะติดได้ขนาดนี้น้องๆกรุงเทพเลยง่ะ หิวโซท้องร้องโครกคราก
และร้านที่ตั้งใจจะฝากท้องไว้ก็คือร้านข้าวหน้าหมูทอดทงคตสึชื่อดังแห่งเกียวโต
ร้าน Katsukara ตั้งอยู่ใน Kyoto Station ชั้น 11 โซน The Cube
เมื่อวานมาเล็งแล้วหล่ะแต่คนเยอะมากต่อแถวยาวเฟื้อยเลยไปหม่ำซูชิเวียนแทน
แต่วันนี้ดูแล้วแล้วพอมีอนาคตเอาฟระไหนๆก็หิวละอดทนต่อไปอีกหน่อยจะเป็นไร



เมนูและราคามานี่ก็ต้องลองหมูทอดชิมิ
สั่งเป็น Tenderloin Cutlet หรือเนื้อสันในซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด
หิวๆๆจัดมาขนาดใหญ่สุด 160 g ราคา 1,760 yen (555 บาท)
และ Prawns Cutlet กุ้งทอดเสิร์ฟละ 5 ตัว ราคา
1,480 yen (467 บาท)



นั่งบดงาสร้างสมาธิระหว่างรออาหารด้วยความหิว
งาคั่วหอมๆบดแล้วราดน้ำจิ้มรสเข้มข้นอืมมมมกระตุ้นน้ำย่อยเข้าไปใหญ่
สลัดมาแร้นเติมได้ไม่อั้น เป็นกระหล่ำปลีซอยเส้นบางๆราดด้วยน้ำสลัดแบบใส
ผักสดกรอบสุดๆแต่น้ำสลัดรสชาติจะเปรี้ยวๆกลิ่นหอมส้มยูซุ
สำหรับเค้าชอบน้ำสลัดงาแบบร้าน Saboten บ้านเรามากกว่า แล้วแต่คนชอบเนอะ
ผักดองเค้าก็มีกลิ่นส้มยูซุ สงสัยเค้าจะไม่ค่อยชอบกลิ่นนี้เลยว่าไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่



เสิร์ฟแล้ววู๊วๆๆๆหิวๆๆๆ หน้าตาของจริงน่าหม่ำมากแต่แสงในร้านถ่ายมาแล้วดูชืดเชียว
ความเด็ดของร้านนี้คือหมูสันในนุ่มเฟร่อ!!! กุ้งก็กรอบเด้งเนื้อหวานเชียว
เกล็ดขนมปังชุปทอดทอดได้กำลังดีมากกรอบฟูกัดดังกร๊วบๆ ไม่เอือม ไม่อมน้ำมันเลย
ยิ่งกินกะข้าวญี่ปุ่นเนื้อเม็ดอวบๆสั้นๆหุงผสมข้าวบาร์เล่ย์นะยิ่งเด็ดข้าวกลิ่นหอมกระจายในปาก
ข้าวก็เติมได้ไม่อั้นทั้งอร่อยทั้งหิวเค้าคนเดียวฟาดข้าวไปหนึ่งโถใหญ่ ประมาณครึ่งหม้อข้าวได้มั้ง
ขอเติมจนพนักงานตกใจนังผู้หญิงคนนี้กินล้างผลาญมาก 555 แหมก็มันอร่อยง่ะ



ที่เด็ดอีกอย่างคือน้ำจิ้มรสเข้มข้นยิ่งจิ้มยิ่งอร่อยเป็นการหม่ำของทอดที่ไม่รู้สึกเอือมเลย
กรี้ดดดดนั่งเขียนบล็อคไปหิวไปอยากกินอีก ร้านนี้แนะนำสุดใจ!!!
ไปเกียวโตมิควรพลาดด้วยประการทั้งปวง มีหลายสาขาฮะลองหาใน Google ดูน้าคนรีวิวไว้ตรึม



เป็นอีกหนึ่งวันในญี่ปุ่นที่ประทับใจที่สุด Smiley
สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะนังหมู Good Night คร๊าบ

-----------------------------------------------------------------------------

แล้วเจอกันใหม่ใน [PART 6] ฮับ
ใครยังไม่ได้อ่านภาค 1-4 เข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างจ้า

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน
ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara


Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง
ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง

Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku
& วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า

Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน,
หม่ำโอโคโนมิยากิร้านดัง Mizuno
&
วันที่8 ปราสาทโอซาก้า, ศาลเจ้า Temmagu
และ Osaka Aquarium Kaiyukan


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ Smiley





 

Create Date : 04 มกราคม 2557    
Last Update : 12 มกราคม 2557 15:39:10 น.
Counter : 19062 Pageviews.  

Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน & วันที่8 ปราสาทโอซาก้า,Osaka Aquarium



My Makeup TodaY วันที่เจ็ดในญี่ปุ่น [31/10/2013]
วันนี้จะไปลั้นลาแอ๊บเด็กที่สวนสนุกขอตาแน่นจัดเต็ม
ขนตาบนยี่ห้อ BohkToh เบอร์ P-047 ขนมาจากไทย
ส่วนขนตาล่างสอยที่ญี่ปุ่น(แต่ที่ไทยก็มี) Dolly Wink เบอร์ 08 จ้า



My Outfit TodaY แบบว่าอยากจะเป็นนักเรียนญี่ปุ่นบ้างอ้ะ555
วันนี้วันฮาโลวีน (31/10/2013) วันปล่อยผีขอปล่อยแก่หน่อยเห๊อะ!
ด้านในใส่ Uniqlo Heattech แขนยาว อากาศ 15-16 องศาอยู่ได้สบายๆ
ชุดนี้สอยมาจากร้าน Body Line ย่าน Dotonbori ที่เขียนไว้ใน [Part 3] คร๊าบ
ถ้าจำไม่ผิดตัวนี้ราคา 3,990 yen (1,240 บาท) ผ้าดีมากกกมีเสื้อคลุมเข้าเซ็ตด้วยฮะ



เป้าหมายของวันนี้มุ่งหน้าสู่ Osaka Univeral Studios Japan เย้ๆ
การเดินทางมา Universal ง่ายนิดเดียวขึ้นรถไฟสาย JR ได้เลย
สามารถใช้ JR Pass ได้เยี่ยมฮร่ะ โดยนั่งไปลงสถานีปลายทาง Universal City Station



เค้าไม่ได้ซื้อบัตรไปก่อนเลยต้องไปต่อแถวซื้อเอาที่หน้าสวนสนุก
วันที่ไปตรงกะวันฮาโลวีนคนเยอะใช้ได้เลยต่อแถวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงฮะ
ค่าบัตรแบบ 1Day Pass เล่นได้ทุกสิ่งอย่างสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 6,600 yen (2,050บาท)
บัตรเด็กแบบ
1Day Pass อยู่ที่ 4,500 yen (1,400 บาท) จ้า
Universal Studio Japan แห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 2001
ซึ่งตอนที่เค้าไปมีโซนใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่เห็นโครงร่างเป็นปราสาทๆ
กรีดร้องงงเลยอ้ะยิ่งได้เห็นจากในข่าวว่าอนาคตมันจะเป็นโซน Harry Potter กรี้ดๆ
เสร็จเมื่อไหร่จัดไปจะมาตะลุยที่นี่ซ้ำอีกแน่นอน Smiley



มาถึงปุ๊บรีบวิ่งไปต่อแถวเล่นเครื่องเล่นตัวเด็ดที่หลายคนแนะนำก่อนเลย
กับรถไฟเหาะ Hollywood Dream - The Ride
คนเยอะใช้ได้แต่ต่อแถวไม่นานมากประมาณครึ่งชั่วโมงฮะ
โชคดีมากกกได้นั่งหน้าสุด เย้ๆ ซึ่งเจ้ารถไฟนี้จะมีเบาะสองแบบ
คือวิ่งไปข้างหน้ากับเบาะแบบแบ็คดรอปวิ่งแบบหันหลัง เค้าได้แบบหันหน้า
สำหรับอันนี้เค้าว่าชิลๆนะคือสนุกดีแต่ไม่ค่อยหวาดเสียวเท่าไหร่นั่งเพลินๆ
ปีก่อนไปเล่นที่ Universal สิงคโปร์มาชอบอันที่สิงคโปร์มากฝ่าแฮะ
ตอนนั้นจำได้ว่าเล่นแล้วเล่นอีกขึ้นไปหลายรอบเลยติดใจ



มาช่วงเทศกาลแม้คนเยอะแต่จะฟินเพราะเค้าจะจัดตกแต่งในสวนสนุกตามเทศกาล
ซึ่งฮาโลวีนฟินยิ่งกว่าเพราะชาวญี่ปุ่นเค้าแต่งตัวจัดเต็มเฟร่ออ!!! เข้าบรรยากาศฝุดๆ
ถ่ายกับแม่เสือสาวสองคนน่าร๊าก.........แต่เค้ารู้นะมองอะไรกันอยู่อ้ะ! เพราะเค้าก็แอบมอง555



ฮาโลวีนของคนญี่ปุ่นจัดเต็มแค่ไหนดูได้จากภาพ อิอิ
ส่วนใหญ่แต่งตัวกันมาเป็นทีม เดินดูหนุ่มๆสาวๆคอสเพลย์ก็สนุกละฮ้าฟ



บ้านสนูปปี้!!! เห็นแล้วหมูวิ่งเข้าใส่ไปต่อแถวเลย
แต่....แป่ว!เค้าบอกว่าสำหรับเด็กเท่านั้น
โหยเสียใจอ้ะผู้ใหญ่ชอปสนูปปี้มันผิดเหรอ?!? กระซิกๆ



โซนคิตตี้แบ๊วได้อีก ชมพูทั้งโซนแบ๊วววววมว๊ากกก



อีกหนึ่งเครื่องเล่นที่เค้าแนะนำมิควรพลาด JAWS : Armity Habour Boat Tours
เป็นการล่องเรือตามฉากในหนังเรื่อง
JAWS เลย ฉากสวยมากกกยังกะอยู่เมืองนอกจริงๆ
คือฉลามที่โผล่มาก็เด็ดตัวใหญ่มาก แต่ที่เด็ดสุดคือคนขับเรือสาวชาวญี่ปุ่น
เด็ดตรงที่นางแอ็คติ้งชนะเลิศ แม้จะพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นฟังไม่ออกซักคำแต่สัมผัสได้ถึงฟิลลิ่ง555
ยังไม่ทันจะเจอฉลามนางก็พยายามบิวท์ให้เรากลัว คือเสียงเล็กๆพูดญี่ปุ่นรัวๆน่าร๊ากกกชอบๆ
นับถือเลยว่าขับเรือทั้งวันต้องแอ็คติ้งแบบนี้ทั้งวันสุดยอดมากคร๊าบ หมูประทับใจ Smiley



ใกล้เที่ยงเริ่มหิวหาไรหม่ำรองท้องก่อน
ที่นี่ตอนเข้าไม่ตรวจกระเป๋าเค้าแอบพกหนมปังมาด้วยแหะๆ
อาหารในนี้ก็ราคาสูงตามสไตล์สวนสนุกอ่าน้า เซฟได้เซฟนิดละกัน



เพิ่งหม่ำเสร็จไปหาอะไรนั่งดูเพลินๆดีกว่า
เลยเดินเข้ามาโซน WATERWORLD
เป็นการแสดงโชว์ฉากแอ็คชั่นเอฟเฟ็คตระการตามากฮับ
แต่เหมือนกับที่สิงคโปร์เป๊ะๆซึ่งเค้าเคยดูมาแล้ว
แต่ถึงแม้ดูซ้ำก็ยังสนุกน้า นักแสดงคนละชุดฟิลลิ่งต่างกันมันส์ไปคนละแบบ อิอิ
ถ่ายคลิปวิดีโอสั้นๆมาให้ชมกันด้วย >>>CLICK<<<



ลุยเครื่องเล่นต่อกันที่ Back To The Future : The Ride
ดำเนินเรื่องโดยศาสตราจารย์สติเฟื่องที่สร้างรถทะลุอวกาศขึ้นมา
แล้วรถคันหนึ่งโดยวัยรุ่นขโมย เราเลยต้องขับตามล่า
ลักษณะเป็นเครื่องเล่นแบบนั่งในรถแล้วมีไฮโดรลิกโยกๆไปมา
มีฉากฉายด้านหน้าก็สนุกดีฮับ แต่แถวยาวใช้ได้ต่ออยู่เกือบชั่วโมงแน่ะ



เครื่องเล่นสุดท้ายที่ได้เล่นและเสียเวลาในการต่อแนวนานที่สุดของที่สุด
The Amazing Adventures of SPIDER-MAN
เครื่องเล่นฮ็อตฮิตอันดับหนึ่งที่มาแล้วมิควรพลาด
ของเค้าฮิตจริงต่อแถวอยู่ 1 ชั่วโมง 45 นาที โอ้วมายก็อช!!!
ดูด้านหน้าคนจะและน้อยมากพรางตาให้เราหลงเข้าไป
พอเห็นแถวด้านในแล้วแทบช็อคคือมีเขาวงกตให้ต่อแถวอีกยาวเฟื้อย
เข้าไปแล้วออกไม่ได้ด้วย เลยต้องจำใจยืนขาลากต่อไป หุหุ
แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าน้า เพราะเป็นเครื่องเล่นแบบสามมิติต้องใส่แว่น 3D
เป็นการต่อสู้ของสไปเดอร์แมนกับเหล่าตัวร้ายมากมายหลายพันธุ์
คือมันส์อ้ะ มีพ่นน้ำ พ่นไฟ พ่นไอเย็น เรียกได้ว่าสี่มิติเลยหล่ะ
แนะนำว่ามาถึงนี่แล้วควรลอง จะให้ดีแนะนำว่าวิ่งมาต่อแถวเล่นอันนี้ก่อนก็ดีฮะ
แต่ถ้าใครเคยเล่น Transformer ที่สิงคโปร์มาแล้วอันนั้นสร้างทีหลัง
ภาพและเอฟเฟ็คอาจจะอลังกว่านิดนึงแต่ก็สนุกไปคนละแบบคร้าบ



จุดพีคสุดของการมา Universal คือ เค้ามีเซอร์ไพรส์ฮาโลวีน!!!
ซึ่งบอกเลยว่าเซอร์ไพรส์มากกกก ในตารางเห็นว่าจะมีซอมบี้พาเหรด
ก็กะว่าคงเป็นพาเหรดให้เรานั่งดูเหมือนปกติ แต่ที่ไหนได้....
เค้าปิดไฟในสวนสนุกเกือบเหมือนเหลือแค่สปอตไลท์ฉายแบบสลัวๆ
แล้วปล่อยซอมบี้ออกมาเป็นฝูงๆกระจายตัวทั่วสวนสนุกเลยจร้า!!!
ซอมบี้เล่นได้เนียนเฝร่อ ท่าเดิน อาการ เดินมาแฮ่ใส่คนที่เดินไปมา
สาวๆญี่ปุ่นกรี้ดกันอลังการ มีฉากซอมบี้รุมกินคนด้วยใครแจ็คพ็อตจะโดนลากไปรุมกิน
คือเจ๋งอ้ะ! ไม่คิดว่าจะเซอร์ไพรส์กันแบบนี้วิ่งหนีซอมบี้กันอลวนอยู่เกือบยี่สิบนาที
เค้าก็มีปล่อยทหารออกมาจัดการต้อนซอมบี้ มีการแสกนร่างกายเราด้วยว่าเป็นคนหรือซอมบี้
อัดคลิปสั้นๆมาให้ชมกันมันส์ที่สุดคุ้มค่าบัตรสองพันกว่าบาทละ 555 ฟินนาเล่ Smiley
>>>ซอมบี้ไล่กินคนCLICK<<< และ >>>ทหารไล่ซอมบี้CLICK<<<



ออกจากสวนสนุกประมาณสองทุ่มกว่ากลับมาหาอะไรหม่ำในเมือง
ตั้งใจจะไปตามล่าหาร้านโอโคโนมิยากิหรือพิซซ่าญี่ปุ่นร้านดังซึ่งอยู่แถวๆย่าน Dotonbori
ระหว่างทางเดินผ่านเหมือนศาลเจ้าอะไรซักอย่างคนญี่ปุ่นมาไหว้กันเยอะเลย
เลยเนียนเข้าไปไหว้ด้วย ศาลนี้แปลกตรงที่เค้าจะตักน้ำรดพระปูนปั้นสององค์ด้านข้าง
และสาดน้ำเข้าที่องค์พระใหญ่ตรงกลางด้วย ขออภัยเค้ามิทราบชื่อศาลเพราะเดินผ่านโดยบังเอิญฮัย



มื้อเย็นวันนี้ฝากท้องกันที่ร้านโอโคโนมิยากิชื่อดัง Okonomiyaki - MIZUNO
ตั้งอยู่ย่าน Dotonbori ไม่ไกลจากร้านปูยักษ์ตรงตีนสะพานเท่าไหร่
หันหน้าหาร้านปูยักษ์เดินตรงไปทางขวา เจอร้านคาราโอเกะ Big Echo อยู่ซ้ายมือ
เลี้ยวขวาเข้าซอยโลด ร้าน Mizuno จะตั้งอยู่ซ้ายมือสังเกตง่ายๆคนต่อแถวรอหม่ำเต็มหน้าร้านฮะ



เห็นตามรีวิวเค้าว่าร้านนี้เป็นโอโคโนมิยากิ(พิซซ่าญี่ปุ่น)สไตล์โอซาก้าเจ้าต้นตำรับ
ซึ่งเค้าจะมาทำให้เราหม่ำกันสดๆที่โต๊ะ โอโคโนมิยากิสไตล์โอซาก้า
จะผสมเครื่องทุกอย่าง เนื้อ ผัก แป้ง คนๆเข้าด้วยกันเลยแล้วทอดบนกระทะ
สุกแล้วจะโปะด้วยไข่ดาวไข่แดงเยิ้มๆ ราดซอสชุ่มๆ โรยด้วยสาหร่ายผงๆ
ดูวิธีการทำที่หมูถ่ายมาได้ในคลิปฮะ >>>CLICK<<< อูยดูเองหิวเอง 555



เสร็จเรียบร้อยออกมาได้หน้าตาแบบนี้ฮับ
ซอสอาหย่อยแต่ไม่ฉ่ำพอเค้าขอซอสเพิ่ม จำว่าซอสมีสองแบบ
แต่ลืมว่าแบบไหนบ้าง 555 ลองถามในร้านดูละกันเนอะ
ร้านนี้แป้งไม่เยอะไม่เอือม หม่ำตอนร้อนๆอร่อยดีนักแล
เค้าจำราคามิได้แต่คุ้นๆว่าราคาแอบแพงเหมือนกันแหละ ช่างมันมาแล้วต้องลองๆ
ส่วนยากิโซบะดันสั่งรสโชยุ ขอบอกว่าเค็มแสบลิ้น มิควรสั่ง
ถ้าจะสั่งให้สั่งเป็นยากิโซบะรสปกติ หรือรสหวานนี่หล่ะน่าจะดีกว่าฮะ
อ้ออีกอย่างแนะนำให้สั่งเบียร์สดมาทานด้วยเข้ากั๊นเข้ากัน ฮี่ๆSmiley



เดินออกมาหน้าร้านคุณแฟนดีใจซ๊าเจอตู้คีบตุ๊กตาไลน์ครั้งละ 100 yen
แต่ลืมไปป่ะว่าคีบไม่เป็นอ้ะ! โดนไป 300 yen เลิกเล่นเสียตังฟรี 555Smiley



กินอิ่มเรียบร้อยได้เวลาปล่อยผีฮาโลวีน กุ๊ก กุ๊ก กู๋......
นัดเจอเดอะแกงค์ตรงย่าน Dotonbori นั่นแล
รวมพลผีนักเรียนหญิง วะฮ่าฮ่า Smiley
Smiley Smiley อยู่ไทยทำไม่ได้มานี่ต้องจัดเต็ม



งานนี้ไม่มีอะไรต้องอายเค้าแต่งผีบ้างคอสเพลย์บ้างกันเต็มถนนเลยคร๊าบ



บอกแล้วว่าญี่ปุ่นเค้ามาเต็มจริงอะไรจริง ตื่นตาตื่นใจไปหมด Smiley
ไอ้ชุดนักเรียนที่เราแต่งไปนี่นึกว่ายังไม่ได้แต่ง กลายเป็นชุดธรรมดาไปเลย 555
เป็นคืนฮาโลวีนที่เจ๋งสุดในชีวิต เดินดูชาวญี่ปุ่นคอสเพลย์ก็เป็นสุขใจ Smiley
Smiley Happy Halloween 2013 Smiley



My Makeup & Outfit TodaY วันที่แปดในญี่ปุ่น [1/11/2013]
เมคอัพเบาๆแต่ติดใจติดขนตาล่างอีกละ ฮี่ๆ
ขนตาบนเอามาจากไทยคู่นี้เค้าจำเบอร์มิได้ฮะ
ปากผสมสองสี Etude Rosy Tint Lips #1 + Candy Doll #Apricot Beige
คอนแทคเลนส์ยี่ห้อ DreamColor1 รุ่น Sky สี Violet จ้า
อากาศสบายๆแต่งตัวชิลๆใส่ Heattch แขนยาวด้านในเผื่อหนาวนิดนึง



วันนี้กะเดินทางในโอซาก้าเต็มที่
เลยซื้อเป็น Osaka One-Day Pass ราคา 800 yen (250 บาท)
ใช้นั่งรถไฟ+รถบัสในโอซาก้าได้ทุกสายจนถึงเวลาเที่ยงคืน
สามารถใช้ลดราคาบัตรเข้าชมสถานทีท่องเที่ยวบางแห่งได้ด้วยฮับ



จุดหมายแรกของวันนี้คือปราสาทโอซาก้า
เดินทางมาง่ายๆด้วยรถไฟ ได้ทั้ง JR ลงสถานี
Morinomiya Station
หรือ
Tanimachi 4-Chome (exit No.1B)
ขึ้นเข้าชมด้านในปราสาทต้องซื้อบัตรเข้าชมคนละ 600 yen (155 บาท)
แต่เค้าใช้บัตร
Osaka One-Day Pass ลดราคาค่าเข้าได้ 100 yen
เลยได้เป็นบัตร Discount Ticket มาในราคา
500 yen อิอิ ลดไปสามสิบกว่าบาทนะเออ



ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า โอซาก้าโจ (Ōsaka-jō)
เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโอซาก้าที่มีประวัติมายาวนานมาก
แต่เดิมพื้นที่นี้เคยเป็นของวัดพุทธชื่อว่า Osaka Hongan-ji
เมื่อปีค.ศ.1583
ซึ่งท่าน Toyotomi Hideyoshi นักรบผู้ที่พยายามจะรวบรวมประเทศญี่ปุ่น
ให้เป็นหนึ่งเป็นครั้งแรกนั้นได้มาสร้างจวนที่พักขึ้นที่นี่ และภายหลังจึงปรับปรุง
ให้กลายเป็นปราสาทโอซาก้า โดยมีความโดดเด่นเป็นยอดปราสาท
หรือที่เรียกว่า
Tenshukaku แต่หลังจากสร้างเสร็จสมบูรณ์ได้ไม่กี่ปีก็ถูกทำลายในช่วงสงคราม
ต่อมาปราสาทโอซาก้าก็ถูกครอบครองโดยโชกุน Tokugawa Ieyasu
ซึ่งสั่งให้ซ่อมแซ่มจนสมบูรณ์เรียบร้อย ต่อมา ในปี 1665 ที่นี่ถูกฟ้าผ่าเสียหายอย่างมาก
ยอดปราสาทที่สวยงามชำรุดไปหลายร้อยปีทีเดียว จนกระทั่งปี 1931 นายกเทศมนตรีโอซาก้า
ก็หาเงินบริจาคมาซ่อมแซมอีกครั้ง การบูรณะซ่อมแซ่มครั้งสุดท้ายนี้
ทำให้ปราสาทโอซาก้ากลับมาสวยงามดังเดิม ปัจจุบันปราสาทโอซาก้ามีทั้งหมด 8 ชั้น



ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสต์ของโอซาก้า
มีส่วนแสดงงานภาพเขียน เครื่องแต่งกายของนักรบสมัยโบราณ
ภาพเสือและปลาที่เห็นเป็นแบบเดียวกับที่อยู่รอบตัวปราสาท
เห็นเค้าว่าเคลือบด้วยทองคำอลังการได้ขึ้นเป็นมรดกของประเทศญี่ปุ่นด้วยหล่ะ



บนหอคอยชั้นแปดเป็นจุดชมวิวเห็นตัวเมืองโอซาก้าแบบ 360 องศาสวยงาม



ก่อนกลับแนะนำหม่ำ Soft Cream ตรงร้านค้าหน้าตัวปราสาท
เค้าหม่ำรสเกาลัด (Chestnut) เห็นหน้าตาแลง่อยๆขอบอกว่าอร่อยม๊วก
อันละ 300 yen (93บาท) เนื้อไอศครีมนุ่มๆหวานมันผสมเนื้อเกาลัดด้วยเข้มข้นฝุดๆอร๊ายยย Smiley



ด้านในปราสาทจะมีรถขายอาหารเป็นหย่อมๆมีเก้าอี้ให้นั่งชิลใต้ต้นไม้บรรยากาศดี๊ดี



แถวนี้ใบเมเปิ้ลเพิ่งเริ่มเปลี่ยนสีมีแซมส้มแดงนิดหน่อยพอกรุบกริป



จุดหมายที่สองของวันนี้ ศาลเจ้าเท็มมังงุ Osaka Temmangu Shrine
นั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Minamimorimachi
เดินประมาณ 5 นาทีเค้าอาศัยถามๆคนแถวนั้นเอา แหะๆ ไม่เสียค่าเข้าใดๆนะค้า
ประวัติโดยคร่าวๆศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาสนสถานในศาสนาชินโตที่โด่งดัง
สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.949 เก่าแก่มากปีประวัติมากว่าพันปี
ผู้คนข้างเคียงมักเรียกศาลดังกล่าวว่า"Temma No Tenjin-san"
ซึ่งหมายถึงที่สถิตย์ของเทพเจ้า Tenjin ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของคนญี่ปุ่น
ในฐานะของเทพเจ้าแห่งการศึกษา จึงเป็นศาลที่นักเรียนนักศึกษาจากทั่วประเทศ
แวะเวียนมากราบไหว้เพื่อขอให้สอบผ่านเข้าสถานศึกษาที่แต่ละคนตั้งใจไว้



ทุกวันที่ 24 และ 25 กรกฏาคมของทุกปีศาล Osaka Temmangu
จะเจ้าภาพจัดเทศกาล Tenjin Matsuri ซึ่งเป็นเทศกาลขนาดใหญ่หนึ่งในสามเทศกาลของญี่ปุ่น
ซึ่งมีประวัติมากว่า 1,000 ปี ศิษยานุศิษย์จำนวนกว่า 3,000 คนในชุดแต่งกายโบราณ
จะพากันร้องรำทำเพลงแห่ไปทั่วเมือง ก่อนที่จะพากันไปลงเรือ
ร่วมกับเพื่อนฝูงและญาติมิตรกว่า 12,000 คน ล่องเรือจำนวน 100 ลำไปทั่วลำน้ำโอกาว่า
ท่ามกลางผู้ชมกว่า 2 ล้านคน และพลุงดงามกว่า 5,000 ดอก โอ้วอลังการมาก!!

Credit : //www.osaka-info.jp/th/event/tenjin_matsuri.html



มีเสาโทริอิจิ๋วด้วย



ระหว่างทางเดินกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าเดินผ่านย่านร้านค้าร้านอาหาร
เห็นร้านปลาไหลย่างหลายร้านเลย เห็นแล้วน้ำลายยืดเลยสุ่มๆเดินเข้าไปลอง



เลือกร้านนี้หล่ะ ดิสเพลหน้าร้านเชิญชวนมากหน้าตาน่าหม่าฝุดๆ



บรรยากาศภายในร้าน ญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น
คือแบบญี่ปุ่นล้วนไม่มีภาษาอังกฤษเลยจ้า
ต้องสั่งด้วยกระบวนท่าดัชนีอรหันสั่งข้าวหน้าปลาไหลชามเล็กมาลอง



ข้าวหนึ่งชามโปะมาด้วยปลาไหลเนื้ออวบๆ 1 ชิ้น
ชามนี้คือไซส์เล็กราคา 500 yen (155 บาท)
เหมือนจะน้อยแต่ไม่น้อยแบ่งกันหม่ำสองคนได้นะเออ
ขอบอกว่าปลาบปลื้มเลือกร้านได้เด็ดอร่อยมากกกก
ปลาไหลย่างแห้งกำลังดีไม่ไหม้จนเกินไป
มีน้ำซอสให้ราดเพิ่มเองด้วยบนโต๊ะเค้าชอบซอสชุ่มๆจัดไป
ซอสเค้ารสกลมกล่อมมากหวานๆเค็มๆ ไม่หวานแหลมแบบบ้านเรา
กรี้ดดดเขียนรีวิวไปหิวไปคิดถึงปลาไหลร้านนี้จุงเบยยยย Smiley



จุดหมายสุดท้าย Osaka Aquarium Kaiyukan
นั่งรถไฟใต้ดินสายสีเขียวเข้ม Chuo Line ไปลงที่สถานี
Osaka Ko (C11)
ออกทาง Exit 1 งานนี้ไม่ต้องกลัวหลงมีป้ายชี้ไปอควาเรียมตั้งแต่รถไฟใต้ดินเลย



จากสถานีเดินไปประมาณ 5-10 นาทีแต่หาไม่ยาก
สังเกตชิงช้าสวรรค์ (Tempozan Giant Ferris Wheel) แล้วเดินตรงดิ่งไปเลย
พิพิธภัณฑ์จะตั้งอยู่ในพื้นที่ของ Tempozan Harbor Village
ภายในนั้นจะมี Tempozan Marketplace (เปิด 11.00 น. – 20.00 น.)
เป็นแหล่งช้อปปิ้งครบวงจรตั้งอยู่ด้วย



Osaka Aquarium Kaiyukan : พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง
เปิดทุกวัน เวลาเปิดปิด 10.00-21.00 น.
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ (อายุเกิน 16 ปี) คนละ 2,300 yen (715 บาท)
เด็ก 1,200 yen ( 373 บาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ในเว็ปของพิพิธภัณฑ์เลยฮับ
มีภาษาไทยให้ด้วย //www.kaiyukan.com/language/thai/index.htm



พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้คือเป้าหมายของการมาโอซาก้าเลย
คุณแฟนเค้าไฝ่ฝันมานานอิอิ เพราะที่นี่ป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในร่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สูง 8 ชั้น มีแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ทั้งหมด 14 แทงก์ บ้านเราดูกระจอกไปเลยแหะๆ
เดินแล้วเพลินน่าร๊ากทุกตู้ ทำไมแมวน้ำเค้าน่าตาแอ๊บแบ๊วกว่าบ้านเราเนี่ย 555
โซนแมงกระพรุนก็เพลินมีหลายสายพันธุ์มากสวยจริงจัง
ปลาโลมาที่นี่เชื่องคนมาก ป้าแม่บ้านมาเช็ดตู้โลมาว่ายมาเล่นตามมือป้าเลยน่าร๊ากกก



ไคลแม็กซ์ของที่นี่ก็คือแทงก์ที่ใหญ่ที่สุดนี้ มีชื่อว่า "Pacific Ocean"
เป็นแทงก์ที่ใหญ่อลังการมากสูง 9 เมตร จุน้ำ 5,400 ตัน
เห็นอันนี้ว่าใหญ่แล้วยิ่งทำให้อยากไปเห็นว่าแทงค์ที่ใหญ่สุดในโลก
ที่ Georgia Aquarium อเมริกา เค้าว่าใหญ่ว่านี้เกือบห้าเท่าหูยจะขนาดไหนน้อ



ในแทงก็นี้มีปลาฉลามวาฬซึ่งเป็นปลาที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกว่ายอยู่ 2 ตัว โว๊ววว!!!
ใช้เวลาอยู่รอบๆแทงก์นี้เกือบชั่วโมงเพลิดเพลินเจริญใจมาก
เค้ามีเปิดเพลงบรรเลงเบาๆปลาก็เหมือนฟังออกว่ายตามจังหวะเพลงเชียว
มองปลาว่ายไปมาได้ไม่เบื่อ คุ้มค่าบัตรที่จ่ายเข้ามาละ 555



กระจกอะคริลิกที่ใช้เป็นผนังแทงก์หนาตั้ง 30 ซ.ม.แน่ะไม่หนาจริงเอามิอยู่นะนั่น



ก่อนถึงทางออกจะมีบ่อให้จับต้องน้องปลาตัวเป็นๆได้แต่ต้องล้างมือก่อนนะจ๊ะ
ปลาฉลามทรายไม่ดุร้ายผิวหนังเค้าจะสากๆคล้ายกระดาษทรายเลยสมชื่อ
ส่วนปลากระเบนผิวหยุ่นๆคล้ายเจลลี่มากเด้งดึ๋งๆ ชอบตัวลายเสืออ้ะแซ่บเว่อร์



กลับออกมาจากอควาเรียมยังเหลือเวลาเลยแวะไปชอปที่ย่าน Dotobori อีกแป๊บนุง แหะๆ
ดีใจเจอร้าน GU ด้วย เป็นร้านในเครือ Uniqlo แต่ดีไซน์วัยสะรุ่นกว่าที่สำคัญราคาถูกกว่า!!!
เดินวนไปวนมาได้มาสามตัว หมดไปไม่ถึงแปดร้อยบาทดีใจจุงเบย Smiley



มื้อดึกวันนี้หม่ำแถวๆโรงแรมเค้าพักตรงสถานี Awasa ทางออก Exit 9
ขึ้นจากทางออกเลี้ยวขวาเดินตรงไปไม่ไกลจะเจอร้านเป็นเพิงๆ
ขายโอโคโนมิยากิ ยากิโซบะ อุด้ง ฯลฯ สภาพร้านบ้านๆคลุมพลาสติกใส
แต่บอกเลยว่าอย่าดูถูกหน้าตาเพราะอาหารอร่อยเทพมากและราคาถูกด้วย!
เมื่อวานได้ลองโอโคโนมิยากิร้านดังมาแล้ววันนี้ต้องสั่งของร้านนี้มาเทียบ
เสิร์ฟมาตกกะใจโอโคโนมิยากิอันใหญ่กว่าหน้าเค้าอีกอ้ะ หนาเกือบนิ้ว
โปะด้วยไข่ยางมะตูมเยิ้มๆ ซอสรสเข้มข้นมาก ไม่อยากจะบอกอร่อยกว่าร้านดังอีกง่ะ!!!
ต่อด้วยยากิโซบะรสแบบที่เราคุ้นเคยไม่เค็มจัดโปะไข่ยางมะตูมมาเช่นกัน เฮ้ยอร่อยกว่าอีกแล้ว
ยังไม่พอสั่งปลาหมึกปิ้ง กะคอนยักกุหรือบุกก้อนในซุปอุด้งมาด้วย
พร้อมเบียร์ 1 แก้ว กับเบียร์แบบ 0% Alcohol อีกหนึ่งขวด (รสชาติเหมือนเบียร์ธรรมดาเล้ย)
อาหาร 4 อย่างที่จานใหญ่มากกินแทบไม่หมด เบียร์อีกสอง มื้อนี้หมดไปแค่ 2,030 yen
ตีเป็นเงินไทย 630 บาทเท่านั้น ตื้นตันอร่อยได้ในราคาไม่แพงไม่ต้องต่อแถวกินด้วยเริ่ด!Smiley
หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อนเข้าโรงแรมแช่ออนเซ็นเข้านอนได้ ราตรีสวัสดิ์ฮร้าฟ Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

จบภาคสี่ไปแอบอิ่มๆอืดๆ อิอิ แล้วเจอกันใหม่ใน [PART 5] น้า
ใครยังไม่ได้อ่านภาค 1-3 เข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างฮับ

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน
ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara


Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง
ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง

Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku
& วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ Smiley





 

Create Date : 01 มกราคม 2557    
Last Update : 12 มกราคม 2557 15:38:41 น.
Counter : 10484 Pageviews.  

Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku & วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า



My Makeup TodaY วันที่ห้าในญี่ปุ่น [29/10/2013]
อยู่นี่แต่งอยู่โทนเดียว แหะๆเค้าขี้เกียจเลือกสี
น้ำตาลเบสิคนี่แหละเกิดทุกลุค ไลน์เนอร์ล่างสีเงิน
ติดขนตาแบบเรียงเส้น ส่วนขนตาล่างขี้เกียจปัด
เอาไลน์เนอร์แบบปากกาสีดำวาดเอาเลย 555
เทคนิคนี้ลองเอาไปเล่นกันดูได้ฮับ เค้าว่ามันก็เก๋ดีนะ Smiley



วันนี้หมูพาไปเที่ยว Meiji Jingu Shrine (ศาลเจ้าเมจิ จินกู)
เป็นศาลเจ้าของลัทธิชินโตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างมาตั้งแต่ปี 1920 นานม๊ากกก
วิธีการไปศาลเจ้าไปง่ายมากให้ขึ้นรถไฟสาย Yamanote (สายสีเขียว)
ลงที่ สถานี Harajuku เดินออกมาจากสถานีเลี้ยวขวาโลดจะเจอทางเข้าศาลเลยค่ะ
จากทางเข้าเดินเข้าไปตัวศาลด้านในขอบอกว่าไกลพอตัว แต่บรรยากาศสวยมากๆ
ต้นไม้สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 500 ปี
เสาตรงทางเข้าศาลเจ้าเรียกว่า เสาโทริอิ (Torii) เป็นเสาไม้ทั้งต้น
ก่อนเดินผ่านประตูเสาโทริอิเข้าไปให้โค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนนะฮับ
เจอเด็กน้อยในชุดกิโมโนด้วยเดินจูงมือกับคุณพ่อน่าร๊ากกกก
วันที่เค้าไปฝนโปรยปราย บรรยากาศเหมือนในหนังเลยแม้จะหนาวแต่ฟิน Smiley

***ในญี่ปุ่นถ้าเป็นศาลเจ้า (Shrine) ส่วนใหญ่จะเข้าฟรีไม่เสียค่าเข้าชม
แต่ถ้าเป็นวัดส่วนใหญ่จะเสียค่าเข้าที่ประมาณ 500 yen จ้า




ก่อนเข้าวัดหรือศาลเจ้าเราจะพบบ่อน้ำด้านหน้าที่มีกระบวยวางเรียงไว้ให้
เพื่อให้เราล้างมือล้างปากก่อน ถือเป็นการล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไป
ซึ่งเพื่อนคนญี่ปุ่นเค้าสอนขั้นตอนไว้ตามนี้ฮับ
(อาจจะไม่เป๊ะมากนักถ้าหมูผิดพลาดตรงไหนแย้งได้เลยนะค้าบ)

- ใช้มือขวาถือกระบวยตักน้ำให้เต็มแล้วรินไปบนมือซ้าย
- เปลี่ยนมาถือกระบวยมือซ้ายรินไปบนมือขวา
- ถือกระบวยมือขวาแล้วรินน้ำลงบนมือซ้ายเพื่อใช้น้ำล้างปาก/บ้วนปาก
- ล้างมือซ้ายให้สะอาด แล้วถือกระบวยตั้งขึ้นให้น้ำที่เหลือไหลรินลงมา
เพื่อล้างก้านถือกระบวย เพื่อนเค้าบอกขั้นตอนนี้คนญี่ปุ่นบางคนยังไม่ค่อยทราบกันเลยฮับ




อากาศวันนี้ประมาณ 14-16 องศา แต่มีฝนเลยจะรู้สึกเย็นกว่าปกติฮับ
ด้านในเค้าใส่แค่เสื้อไหมพรมบางๆ แล้วทับด้วย Uniqlo Ultra Light Down
เค้าสอยที่ญี่ปุ่นวันแรกที่มาเลยเพราะมันเซลล์ 555 เหลือตัวละ 4,999 yen
ประมาณตัวละ 1,500 บาทเท่านั้น บ้านเราตัวละ 2,450 บาท ถูกกว่าเกือบพันสุดย๊อด!
เสื้อแบบนี้แม้จะดูบางๆแต่ด้านในจะบุด้วยขนเป็ดบอกเลยว่าอุ่นจริงอะไรจริง
อากาศประมาณนี้ใส่แค่นี้เอาอยู่สบายๆค่ะ ลองเอาไปใส่ที่ยุโรปตอน 5 องศาก็เอาอยู่ฮับ
แต่ต้องใส่ Uniqlo Heattech ด้านในช่วยเน่อ รายละเอียดการแต่งตัวหน้าหนาว
เค้าเคยเขียนบล็อคไว้ลองเข้าไปอ่านได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้นะค้า

Review [Part 1] : แต่งตัวอย่างไรไปเที่ยวเกาหลีหน้าหนาวตอนอากาศติดลบ
Review [Part 2 : ภาคจบ] : แต่งตัวอย่างไรไปเที่ยวเกาหลีหน้าหนาวตอนอากาศติดลบ




ศาลเจ้าแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับ
จักรพรรดิ MeiJi และจักรพรรดินี Shoken ตามความเชื่อของศาสนาชินโต
หลังจากสวรรคตได้อัญเชิญดวงวิญญาณของทั้งสองพระองค์
มาประทับ ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ เมื่อปี ค.ศ. 1920
แต่เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารและโครงสร้างเดิมของศาลเจ้าเมจิ
ได้ถูกทำลายไปหมดแต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ได้มีการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่
จนเสร็จสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1958
Credit : //vannadiary.wordpress.com



แผ่นไม้เขียนคำอวยพรที่นี่ราคาแผ่นละ 500 yen
ซื้อมาแล้วเค้ามีปากกาดำและที่ให้เขียนเสร็จสรรพ
เขียนเสร็จแล้วก็นำมาแขวนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่
แอบเดินวนๆมีเขียนเป็นภาษาไทยเยอะมากเลย ฮี่ๆ



ออกจากวัดมาเดินเล่นย่านฮาราจูกุนิดหน่อย
วันนี้ไม่เน้นชอปปิ้งเพราะฝนตกเดินชอปลำบาก
แต่ก็โดนจนได้ แหะๆ ร้านนี้อยู่ริมถนนใหญ่เลย
ตรงข้ามกับพวกร้าน Zara อะไรพวกนั้นถ้าจำไม่ผิด
มีรองเท้าผ้าใบยี่ห้อ Maxstar แบรนด์ของเกาหลี
คู่ที่เค้าใส่เที่ยวญี่ปุ่นทริปนี้บ่อยๆ หนังสีน้ำตาลข้อสูง
เป็นรองเท้าผ้าใบที่มีส้นแต่ส้นหนาเท่ากันหมดเดินสบายสุดๆ
ใส่แล้วแลดูสูงด้วย ฮี่ๆ ร้านนี้เอามาลดราคากระหน่ำมากกกก
เค้าได้คู่สีชมพูขวาบนมา ในเว็ปของเกาหลีประมาณ 2,000 บาท
ซื้อร้านนี้ในราคาเซลล์เหลือแค่ 600 บาท โอ๊ยดีใจได้ของถูก 555



คือเค้ายืนเลือกรองเท้าชาติเศษๆ นานมากจนคุณแฟนหิวจัด
ดีนะตรงข้ามร้านรองเท้ามีร้านเครป จัดมาหนึ่งอัน
ราคาเท่าไหร่เค้ามิทราบ แต่นางเอามาให้ชิม
ขอบอกว่าเครปอร่อยโฮกกกก หวานกำลังดี
เนื้อเครปนุ่ม วิปครีมหอมมัน มีเนื้อบราวนี่ย์ด้วย แย่งกินซะเลย
เอาจริงๆก็หิวเหมือนกันแต่เมามันส์กะการช้อปเลยทนได้ 555 Smiley



มื้อเที่ยงวันนี้อาจหาญมาก ไปลองทานร้านแบบที่ต้องกดตู้
ชื่อร้าน Chikara Meshi ซักซอยนึงในย่านฮาราจูกุนี่หล่ะฮะ
เอาจริงๆวิธีการใช้ตู้ก็ไม่ยุ่งยากมาก แค่ตอนแรกงงว่าไมกดไม่ได้
มันต้องหยอดเงินเข้าไปก่อนถึงจะกดเลือกเมนูได้ 555
หยอดเงิน - เลือกเมนู - รับใบออเดอร์และเงินทอน
เสร็จแล้วเอาใบออเดอร์ไปยื่นให้พนักงานแล้วก็นั่งรออาหารมาเสิร์ฟฮับ
เค้าถ่ายคลิปสั้นๆไว้ใน IG ด้วยเข้าไปชมได้ที่ >>>CLICK<<<



สองเมนูที่กดสั่งมั่วๆออกมา ฮี่ๆ ซ้ายมือของคุณแฟนอาหย่อยง่ะ
เหมือนหมูกะผัดถั่วงอกรสเผ็ดนิดๆ กินกะข้าวสุดยอดดด !
ส่วนของเค้าแกงกระหรี่ชีสยืดดดด ก็อร่อยน้าแต่มันเอือมชีส ฮือ
ราคาประมาณ 400-500 yen (130-160 บาท) ไม่แพงน้าเพราะปริมาณเยอะมากกก



จากฮาราจูกุเค้าก็เดินเล่นทอดน่องมาจนถึงชิบูย่าเดินชิลๆแค่หนึ่งกิโลครึ่ง
.....กลับมายืนที่เดิม ห้าแยกที่เคยคุ้นตา 555 วันนี้คนไม่ค่อยเยอะนะนี่



แว่บขึ้นไปบนตึก Shibuya109 แป๊บนึง ไม่ได้อะไรออกมาเลย
ตึกนี้จะเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น ราคาแสบทรวงง่ะ เสื้อผ้าราคาประมาณ 2,000-8,000 บาท
เป็นราคาที่ไม่สมกะฐานะของอิชั้น เกิน 500 บาทเค้าก็คิดหนักละ 555
ที่นี่มีแบรนด์ดัง Liz Lisa อยู่ชั้นไม่ 3 ก็ 4 ด้วยฮะ

ใครเลิฟสไตล์เจ้าหญิงๆหวานสุดพลังกรี้ดแน่ๆ แอบถ่ายคลิปสั้นๆมาด้วย >>>CLICK<<<




ชอปปิ้งไม่สำเร็จเดินลงมาหาอะไรหม่ำดีฝ่า
เดินมั่วๆเจอชีสทาร์ตร้านดังพอดีเลย เย้ๆ ร้าน PABLO
ร้านนี้มีหลายสาขาทั้งในโตเกียวและโอซาก้า
สาขาในชิบูย่านี้เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น.จ้า
ร้านอยู่ใกล้ๆตึก Shibuya109 หล่ะมีแต่คนบอกร้านนี้ต้องต่อคิวรอยาวมาก
เค้าโชคดีมากเจอแบบแทบไม่มีคนเลยต่อแค่สองสามคิวก็ได้หม่ำ ฮี่ๆ



สิ่งที่ต้องสั่งก็คือ “Yakitate Cheese Tart” หรือชีสทาร์ตปกตินี่หล่ะ
ราคาก้อนละ 780 yen หรือประมาณ 245 บาท ถูกมากกกเพราะก้อนใหญ่เว่อร์ๆๆ
ซึ่งเราสามารถเลือกความสุกได้ 2 แบบ Rare คือแบบอบไม่สุกดีครีมชีสจะเยิ้มๆ
และแบบ Medium คือชีสด้านในสุกกำลังดี ไม่เยิ้มแต่ไม่แข็งกระด้างจ้า
เค้าสั่งแบบ Rare มาลอง อืมมมมเด็ดสมคำล่ำลือครีมชีสเข้มข้นมว๊ากกกก
แป้งพายกรอบกำลังดี ครีมชีสเยิ้มเบาๆรสไม่หวานมากเปรี้ยวนิดๆกำลังอร่อย
เห็นชิ้นบึ้มขนาดนี้ไม่อยากจะบอกว่าแบ่งกันสองคนหมดเกลี้ยงในระยะเวลาอันรวดเร็ว555
ถ้าใครกลัวอ้วนจะค่อยๆแบ่งกิน เก็บในตู้เย็นได้ 3 วันนะจ๊ะ
แต่เค้าว่าทานตอนเพิ่งอบร้อนๆอ้ะเด็ดสุด น่าหม่ำแค่ไหนดูคลิปได้ ฮี่ๆ >>>CLICK<<<



ก่อนกลับวันนี้แวะ Mutsumoto ได้ของติดไม้ติดมือกลับมือหนึ่งชิ้นที่โดนใจมาก
นั่นก็คือแปรงปัดแป้งของ Kanebo เป็นรุ่นที่ไม่มีขายในบ้านเรา
เป็นขนสัตว์แต่เค้ามิสามารถระบุได้ว่าขนอะไร 555 ขนนุ่มกำลังดี ไม่ข่วนหน้า จิกแป้งติดง่าย
โดนใจตรงที่ราคาเต็ม 8,000 yen (2,500บาท) ลดราคาเหลือ 5,880 yen (1,835บาท)
ใครไปเจอตอนลดราคาเค้าแนะนำฮะเป็นแปรงที่คุณภาพดีมากจริงๆ ! Smiley



หลังจากตะลอนๆมาทั้งวันกลับมาถึงบ้านคาดว่าหิวแน่
เลยแวะ 7-11 ซื้อข้าวกล่องเป็นข้าวหน้าหมูเค็มๆหวานๆ
ถ้าจำไม่ผิดกล่องละร้อยกว่าบาทฮะ แยกข้าวแยกหมูมาให้
เอามาคลุกกับพวกน้ำพริกนรก น้ำพริกตาแดง ที่ขนมาจาก 7-11 เมืองไทย
แซ่บอีหลีเด้อค่า กินเผ็ดบ้างอะไรบ้างจะได้ไม่เอือมเนอะ ท้องอิ่มแล้วนอนได้ เย่!Smiley



My Makeup TodaY วันที่หกในญี่ปุ่น [30/10/2013]
นัวๆเบาๆโทนเงิน เบจ แก้มปากโทนชมพู



หอบผ้าหอบผ่อนแบกเป๋าออกจากบ้านเพื่อน วันนี้จะไปตะลุยต่างเมืองกันฮ้าฟ
รองท้องมื้อเช้าเบาๆด้วยข้าวปั้นเจ้าประจำแถวบ้าน อันละ 157 yen (49 บาท)
แหล่มมั่กๆอันเดียวอิ่มอยู่ท้องได้ไปอีกมื้อ เค้าหม่ำไส้แซลมอน แคมป์หม่ำไข่ปลา

***วิธีมัดจุกทรงซาลาเปาบันแบบในรูปเค้ามีทำฮาวทูไว้ใน YouTube
คลิกเข้าไปชมได้ตามนี้ฮับ https://www.youtube.com/watch?v=ODS0NWPQ57o




สำหรับวันนี้เค้าจะเดินทางไปโอซาก้ากันโดยรถไฟ
ซึ่งวางแผนมาตั้งแต่ที่ไทยด้วยการซื้อ JR Pass สำหรับ 7 วันมาฮะ

JR Pass คืออะไร?
JR Pass หรือ Japan Rail Pass เป็นบัตรไว้ใช้ท่องเที่ยวทั่วญี่ปุ่น
สามารถนั่งได้ทั้งรถไฟ รถเมล์ และเรือ ทั้งหมดในเครือของ JR
รวมไปถึงรถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) ได้แบบไม่จำกัดจำนวนรอบจ้า
แต่ข้อจำกัดในการซื้อ JR Pass คือขายให้เฉพาะนักท่องเที่ยวเท่านั้น!
โดยต้องซื้อไปตั้งแต่ที่ไทย ไม่มีขายในญี่ปุ่นนะจ๊ะ งานนี้บอกเลยว่าคนญี่ปุ่นอิจฉา ฮี่ๆ

JR Pass หาซื้อได้ที่ไหน? ราคาเท่าไหร่?
เค้าซื้อ
JR Pass จากบริษัทตัวแทนจำหน่ายตั๋ว H.I.S.
ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่มีหลายสาขาในกทม.และต่างจังหวัดนิดหน่อย
สาขาที่เค้าซื้อคือที่อัมรินทร์พลาซ่าชั้นล่าง เดินไปด้านหลังห้างอยู่สุดทางฝั่งขวามือจ้า
รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปชมที่เว็ปของ
H.I.S. เลยค่า
//www.his-bkk.com/th/japan_rail_pass.php



บัตร JR Pass จะมีหลายแบบแบ่งตามภูมิภาค
ถ้า JR Pass เลยคือใช้ได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่ถ้าเราเน้นเที่ยวเฉพาะภาค
อย่างต้องการเที่ยวแค่ฝั่งเดียวก็เลือกซื้อตามพื้นที่ได้
เช่น JR West (Kansai) , JR Hokkaido , JR Kyushu ฯลฯ
ราคาแบบแบ่งตามภูมิภาคจะราคาถูกกว่าแบบที่ใช้ได้ทั่วประเทศ
เค้าเองซื้อแบบ JR Pass ไปเลยสะดวกดี มีให้เลือก 3 แบบ
คือแบบ 7 วัน , 14 วัน และ 21 วัน <<< เค้าเลือกแบบ 7 วัน
ราคาตามภาพด้านบน แต่ราคาจะเปลี่ยนแปลงตามค่าเงินเยนในวันที่ซื้อนะฮับ
วันที่เค้าซื้อแพงกว่ารูปที่เอามาโพสอีกเงินเยนขึ้นง่ะ กระซิกๆ 9,3XX บาทแน่ะ Smiley

วิธีการใช้ JR Pass ?
ตอนที่เราซื้อ JR Pass จากเอเจนซี่เราจะได้มาเป็นตั๋ว Exchange Order แบบในรูปขวาบน
ซึ่งก่อนจะนำไปใช้ต้องไปยื่นรับเป็นตั๋ว JR Pass ของจริงก่อนถึงจะนำไปใช้ได้
เค้าไปแลกตั๋วจริงที่สถานี Tokyo Station จะมีห้อง JR Travel Service Center หาไม่ยากค่ะ
ไปถึงแค่ยื่นตั๋ว
Exchange Order ที่ได้มาจากไทยคู่กับพาสปอร์ตเป็นอันเรียบร้อย
เค้าจะให้ตั๋วจริงเรามาหน้าตาแบบรูปซ้ายล่าง ระบุชื่อ-นามสกุลของเราอยู่
ซึ่งด้านหลังจะมีรายละเอียดว่าบัตรจะเริ่มใช้วันไหนและจะสิ้นสุดลงวันไหน
โดยการเดินเข้าสถานีแค่โชว์ตั๋ว
JR Pass ให้เจ้าหน้าที่ก็พอเค้าจะเช็คว่าตั๋วหมดอายุวันไหนจ้า

สำหรับเค้าบอกเลยว่าคุ้มมากกกก!!! แนะนำให้ซื้อ
JR Pass จริงๆถ้าเราเดินทางต่างเมือง
อย่างเค้านั่งจากโตเกียวไปโอซาก้าแล้วนั่งกลับมาโตเกียวอีกโดยชินคันเซ็น
แค่ค่ารถไฟชินคันเซ็นก็นับว่าคุ้มเกินราคาแล้ว รวมการเดินทางยิบย่อยอีกสะดวกมากมายจ้า
แต่ว่าอย่างรถไฟบางสายในต่างเมืองที่ไม่ใช่ของ JR ก็ต้องซื้อเพิ่มต่างหากน้า



ก่อนขึ้นชินคันเซ็นก็ต้องตุนเสบียงกันก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง 555
อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นมาเยอะ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ "ข้าวกล่องรถไฟ" ฮี่ๆ
มีร้านขายในสถานีทุกที่เลย ราคากล่องละ 700-3,000 yen
เลือกตามระดับความไฮโซวหรูหราได้เลยฮะ ขอบอกว่าน่ากินทุกร้านเลือกยากมั่กๆ



มาแร้นนนรถไฟในฝัน
รถไฟชินคันเซ็น (Shinkansen) Smiley
หรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อว่า รถไฟหัวกระสุน (bullet train)
เพราะหน้าตาของหัวรถไฟคล้ายและมีความรวดเร็วเหมือนกระสุนปืนนั่นเอง
อดีตเคยเป็นรถไฟความเร็วสูงที่เร็วที่สุดในโลกเลยน้า แต่ตอนนี้โดนฝรั่งเศษทุบสถิติไปละ
รถไฟความเร็วสูงที่เร็วสุดในโลกตอนนี้คือ รถไฟทีจีวี (TGV) วิ่งได้
572 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจ้า
ชินคันเซ็นวิ่งได้เร็วสุด 442 กม./ชม. สำหรับการใช้บัตร JR Pass
เราสามารถขึ้นชินคันเซ็นได้ แต่ยกเว้น รถชินคันเซ็น Nosomi
ซึ่งเป็นคันที่จอดแวะสถานีน้อยที่สุดถึงจุดหมายไวที่สุด ยกเว้นแค่คันนี้คันเดียวฮะ
เค้าขึ้น
รถชินคันเซ็น Hikari จอดแวะตามสถานีมากกว่า Nosomi หน่อย
แต่ก็ถึงไวพอกันเน่อ จากสถานี Tokyo ถึง Osaka ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงครึ่ง เท่านั้นจ้า



บนรถไฟมีห้องน้ำให้สะดวกสบาย มีให้เลือก 2 แบบด้วย
แบบ Western Style (ชักโครกนั่ง) และแบบ Japanese Style (แบบนั่งยองๆเหมือนบ้านเรา)



กล่องข้าวน้อยของเค้า เลือกมาเพราะเห็นว่าเป็นกล่องพิเศษทำขึ้นมาช่วง Autumn
ถ้าจำไม่ผิดกล่องละประมาณสามร้อยกว่าบาท ซื้อกล่องเดียวแบ่งกันสองคนอิ่มอยู่นะ
เหมือนข้าวผัดธัญพืชกินกะ ไข่เจียวหั่นฝอย ไก่ย่าง ผักทอด ฯลฯ กลมกล่อมหมูชอบ



นั่งงงๆแป๊บเดียวก็ถึงแล้วสถานีใหญ่ Shin Osaka
ซึ่งเป็นจุดเชื่อมไป Subway ได้ เค้านั่งต่อไปสถานี Awasa (อาวาสะ)
ซึ่งไม่ใช้ของ JR ไม่สามารถใช้ JR Pass ได้ต้องซื้อตั๋วต่างหากนะจ๊ะ
ธรรมเนียมการนั่งรถไฟของคนญี่ปุ่นคือไม่ทานอาหาร (เค้าไม่ได้ห้ามแต่มิมีใครทานเน่อ)
ไม่พูดคุยเสียงดัง และที่สำคัญไม่รับโทรศัพท์!!! <<<ถือเป็นการเสียมารยาทมากบอกเลย



ใครเคยผ่านการเดินทางด้วยรถไฟในโตเกียวมาแล้ว
บอกเลยว่าเมืองอื่นเด็กๆ555 มันไม่ซับซ้อนวุ่นวายเป็นเขาวงกตเหมือนโตเกียวฮะ
แต่ถ้ายังงงแนะนำให้ใช้มุขเดิมของเค้า......ถามเจ้าหน้าที่โลด
ว่าไปทางไหน ขึ้นสเตชั่นไหน รับประกันไม่มีหลง! เซฟเวลาไปเยอะมาก อิอิ
โรงแรมที่เค้าจองผ่าน Booking.com มาคือ
Super Hotel  Osaka Natural Hot Spring
อยู่ใกล้ทางออกที่ 9 ของสถานี Awasa เดินไปแค่ประมาณ 350 เมตรเท่านั้น
ตรงออกมาเลี้ยวขวาเจอปั๊มเดินตรงยาวๆจะเจอป้ายเลย เลี้ยวขวาตรงหัวมุม 7-11 ก็ถึงละฮะ



หน้าตาทางเข้าและล็อบบี้โรงแรม
Super Hotel  Osaka Natural Hot Spring
ไปถึงก็แค่แจ้งชื่อผู้จองพร้อมพาสปอร์ต หรือจะโชว์อีเมลล์ที่จองมาด้วยก็ได้
เค้าชอบการจองผ่าน
Booking.com ตรงที่ตอนจองแค่ใช้บัตรเครดิตในการรับประกันการจอง
แต่มาจ่ายค่าห้องพักเอาที่โรงแรมวันที่เช็คอิน ซึ่งจะจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้
ราคาที่โชว์ในเว็ปเป็นราคาnetแล้ว ไม่มีบวกจุกจิกวุ่นวายเหมือน Agoda.com
ราคาห้องพักที่เค้าจองมา 3 คืน อยู่ที่
20,100yen ตกราคา คืนละ 2,082 บาท จ้า (ระดับ 3 ดาว)



เช็คอินเรียบร้อยมีของขวัญกรุบกริบให้ด้วยน่ารักอ้ะเป็นพวกสกินแคร์ซองเล็กหรือใยขัดผิว
โรงแรมนี้แหล่มไม่มีกุญแจให้วุ่นวาย ใช้การกดรหัส 6 หลักในการเข้าห้องฮะ



ห้องพักตามสไตล์ญี่ปุ่นเลย คือ แคบ 555
ก็พื้นที่เค้าแพงดังนั้นโรงแรมอย่าคาดหวังว่าจะกว้างขวางแบบบ้านเรานะ
แต่เค้าจัดสัดส่วนพื้นที่ในห้องได้ดีไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดจ้า
สิ่งอำนวยความสะดวกมีให้ครบถ้วน ทีวี ตู้เย็น กาต้มน้ำ ไดร์เป่าผม
ที่สำคัญที่นี่เริ่ด!!! ในห้องพักมี Free Wifi ให้ด้วยอ้ะ ตื้นตัน Smiley เน็ตปรู้ดปร้าดสุดๆ
หมอนที่นี่เค้าเก๋นะจะเป็นแบบบีนแบ็คนอนแรกๆไม่ชินแต่นอนๆไปก็โอเคฮะ



ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วยขอบอกแต่ไม่ได้แช่เลยซักกะวัน
เพราะที่โรงแรมนี้มีออนเซ็นด้วย ฮี่ๆ หมูลงไปอาบออนเซ็นทุกคืนอ้ะติดใจจุงเบย
ในห้องจะมีชุดยูกาตะไว้ให้ใส่นอนด้วย รู้งี้ไม่ขนชุดนอนมาดีกว่า
ยูกาตะใส่นอนสบ๊าย สบาย แต่ใครนอนดิ้นเช้ามาอาจจะเปิดเปิงนิดนึง 555
น้ำดื่มที่ญี่ปุ่นสามารถทานจากก๊อกได้เลยนะฮะ แต่ต้องเปิดเฉพาะก๊อกฝั่งน้ำเย็นน้า
เพราะฝั่งน้ำร้อนอาจจะมีการใส่สารเคมีเพื่อเร่งปฏิกิริยาให้ร้อนเร็วขึ้นทานไม่ได้จ้า
เพื่อความปลอดภัยเวลาจะทานน้ำแนะนำให้เปิดน้ำต้นก๊อกทิ้งไปนิดนึงก่อนแล้วค่อยทานฮับ



สิ่งที่เด็ดที่สุดของที่สุดของโรงแรมนี้ก็คือ "ออนเซ็น"
หรือห้องอาบน้ำรวมที่มีบ่อแช่เป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติสไตล์ญี่ปุ่น
อยู่ที่ชั้นใต้ดินของโรงแรม โดยผู้ที่เข้าพักสามารถใช้ออนเซ็นได้ฟรี!
ออนเซ็นที่นี่เปิดตั้งแต่เช้าถ้าจำไม่ผิดคือตีห้า และปิดดึกได้ใจปิดตีสอง
ซึ่งเป็นอะไรที่เค้าฟินมาก ต้องแก้ผ้าหมด555 เข้าไปครั้งแรกนึกว่าจะอาย
บอกเลยว่าไม่อายคือทุกคนก็แก้หมดและไม่มีใครสนใจใครชิลเลย
สำหรับที่นี่จะมีห้องแช่ 2 แบบ เค้าจะสลับชาย(น้ำเงิน) หญิง(แดง) ให้ทุกวันจะได้แช่ไม่ซ้ำ
ห้องฝั่งซ้ายในรูปที่เป็นป้ายน้ำเงินห้องจะใหญ่กว่ามีอ่างหลายแบบกว่าชอบอ้ะ
เค้าแช่ทุกคืนและแช่จนถึงเวลาปิดตอนตีสองทุกครั้ง 555 เอาให้กล้ามเนื้อคลายตัวถึงขีดสุด
วิธีการเข้าแค่เพียงแจ้งห้องพักเค้าก็พอ เสร็จแล้วจะได้ผ้าขนหนูมาสองผืนผืนเล็กกับใหญ่
เข้าไปถึงจะเจอล็อกเกอร์ให้เก็บสัมภาระทุกสิ่ง ให้แก้ผ้าให้เสร็จตั้งแต่ห้องล็อกเกอร์เลย
พกผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าไปได้ผืนนึง จะเอาคลุมจุดไหนเข้าไปก็ตามอัธยาศัย
แต่เค้าก็เดินโทงๆนี่หล่ะ เข้าเมืองตาหลิ่วเราก็ต้องหลิ่วตาตามนะฮร้าอย่าได้อาย
ในห้องออนเซ็นจะมีจุดให้อาบน้ำก่อนลงแช่ ซึ่งเค้าจะมีแชมพูสบู่ให้ครบถ้วนไม่ต้องพกไป
ล้างตัวเสร็จแล้วก็เลือกอ่างแช่ได้ตามชอบ ซึ่งในนั้นมีห้องซาวน่าให้ด้วยจ้า
เค้าจะแช่อ่างน้ำร้อนสลับล้างด้วยน้ำเย็น อ่างน้ำร้อนเค้าจะประมาณ 40 องศา
สำหรับเค้าเฉยๆนะไม่ได้ร้อนเว่อร์ ค่อยๆหย่อนเท้าลงไปก่อนแล้วค่อยๆวักน้ำขึ้นมาปรับอุณหภูมิ
พอนั่งลงไปได้ทั้งตัวแล้วบอกเลยว่าฟิน Smiley น้ำพุร้อนที่นี่ทำให้ผิวตัวนุ่มๆลื่นๆลูบตัวแล้วเพลิน ฮี่ๆ
พอแช่จนหนำใจอย่าลืมล้างตัวด้วยน้ำเย็นน้าผิวจะได้ไม่แห้งตึง
หลังอาบน้ำเค้าจะมีห้องให้เป่าผมแต่งตัว มีสกินแคร์ทาหน้า ทาตัว ออยบำรุงผม หวี ให้ครบเลยฮะ
ถ้าไม่ใช่แขกของโรงแรมรู้สึกค่าแช่ออนเซ็นจะครั้งละ 1,600 yen (500 บาท)
เค้าไปแช่ทุกวันคุ้มค่าห้องละ กร๊ากกก ติดใจรอบหน้าถ้ามาโอซาก้าอีกก็จะพักที่นี่อีกแน่น๊อนนน



กองของไว้โรงแรมเรียบร้อยออกไปตะลุยหาร้านน้องปูยักษ์ชื่อดังแห่งโอซาก้า
หน้าตาเยี่ยงนี้เลยมีปูตัวบะเริ่มอยู่หน้าร้าน ตั้งอยู่ย่านชอปปิ้งชื่อดัง Dotonbori
แต่ขอบอกว่า....เฟลมากอ้ะ ราคาแรง ไม่อร่อย ปูชืดๆ สงสัยลิ้นเราไม่ถึง
ถ้าถามเค้าไม่แนะนำเลยเสียดายตัง ปูทะเลจันทบุรีบ้านเค้าอร่อยกว่ามาก กระซิกๆ



หม่ำปูรูปบนไม่ได้หม่ำแค่สองคนเราไปเฟลกันเป็นทีม กร๊ากกก
อั๊ยยะ!!! มาโอซาก้าครั้งนี้เค้านัดเจอกันกับ The Gang ด้วยวู๊ววววฮูว
มีพี่ฟี่ Madkitty , นิชา Minipandaz , ปอเช่ Porscherta และพี่ซีแฟนพี่ฟี่
นัดกันเมืองไทยไม่ค่อยได้เจอเลยนัดมาลั้นลากันที่ญี่ปุ่น โว๊ะ!ไฮโซไปไหม
คือจริงๆแพลนเที่ยวญี่ปุ่นไว้ช่วงใกล้ๆกันเลยนัดมาป๊ะกันที่นี่จ้า มาเฟลปูเป็นเพื่อนกัน555
มาถึง Dotonbori ถ้าไม่ถ่ายหน้าป้าย Glico รูปขวามือถือว่า "ผิด" อิอิ



สาวๆเจอกันจิพลาดเร๊อะกับการช้อปปิ้งงงงงง!!!
เจอร้านเด็ดแห่งย่าน Dotonbori เป็นร้านเสื้อผ้าคอสเพลย์ Body Line
ที่ราคาถูกและคุณภาพเริ่ดดีไซน์สวย เอาว่าไม่รู้ใส่ไปไหนแต่ซื้อกันทุกนาง
ราคา 600-3000 บาท ได้ชุดอลังจัดเต็มทั้งชุด ไม่ว่าจะชุดนักเรียน ชุดเมด ชุดการ์ตูน ฯลฯ
ไม่ไกลจากร้านปูเฟลเท่าไหร่ลองเดินหาดูน้า ร้านปิดสองทุ่มฮับ
ซึ่งนอกจากที่โอซาก้าแล้วเค้ายังไปเจอร้านเดียวกันนี้ที่ย่านฮาราจูกุด้วย
ในซอย Takeshita เข้าร้านนี้ช้อปเพลินเลย แหะๆ (แต่เค้าไม่ให้ลองเน่อ)



ของเด็ดอีกอย่างที่มิควรพลาดเมื่อมาโอซาก้าคือ "ทาโกะยากิ"
เค้าก็สุ่มร้านเอามั่วๆนี่หล่ะเห็นร้านไหนคนรุมๆจัดโลดส่วนใหญ่อร่อยเว่อร์
ทาโกะที่นี่เค้าใส่หมึกยักษ์เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆเคี้ยวแล้วหนึบหนับอาหย่อยยยย Smiley



เดินเล่นรอบๆย่าน Dotonbori เพื่อหาร้านนั่งชิลกัน
มาเจอโรงแรมนี้เก๋อ้ะ มองปุ๊บเห็นปั๊บไม่หลงแน่นอน



ไหนๆคืนนี้ก็ได้เจอกันแล้วเลยหาร้านนั่งชิลกันซักหน่อย
เลือกร้านกันมั่วๆเน้นเอาว่ามีเมนูภาษาอังกฤษและพนักงานพอพูดได้
สรุปจบที่ร้าน "Sex Machine" ฝั่งตรงข้ามโรงแรมรูปด้านบนนี่หล่ะ อิอิ
ชื่อร้านดึงดูดใจ บ้าหรา! อย่าคิดลึกกันนะ ชื่อร้านคือชื่อเพลง
ของนักร้องเพลงโซลชื่อดัง James Brown นั่นเองจ้า



ดริ๊งค์เบาๆเอาพอกรุบกริบไม่ถึงขั้นเป็นลำยอง กิกิ
มาถึงนี่ก็ต้องจัดสาเกแก้หนาวอ่าน๊า เอ้า คัมปายยย! (ชนแก้ว)
ร้านนี้เค้ามีปิ้งย่างด้วยฮะตอนแรกว่าจะดื่มเบาๆอย่างเดียว
นั่งไปนั่งมาหิวสั่งไส้กรอกมาปิ้งกันได้บรรยากาศมั่กๆ เม้ามอยเสียงดังลั่นร้านเอิ๊กๆ



ใกล้ๆห้าทุ่มได้เวลาแยกย้ายก่อนรถไฟจะไม่มี
กลับมาโรงแรมเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะแล้วก็ลงไปแช่ออนเสร็จ
จบวันที่หกในญี่ปุ่นไปอย่างแฮปปี้ฝุดๆ ได้เที่ยว ได้กิน ได้เม้ามอยกับเดอะแก็งค์ จุ๊บๆ Smiley

----------------------------------------------------------------------

แล้วเจอกันใหม่ใน [PART 4] น้า
ใครยังไม่ได้อ่านภาคแรกกับภาคสองเข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างฮับ

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน
ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara


Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง
ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ Smiley





 

Create Date : 10 ธันวาคม 2556    
Last Update : 12 มกราคม 2557 15:37:43 น.
Counter : 13434 Pageviews.  

Preview : ขี้เห่อเปิดถุงช้อปข้าวของที่สอยมาจากทริปอัมสเตอร์ดัม-ปารีสค่า






 

Create Date : 05 ธันวาคม 2556    
Last Update : 5 ธันวาคม 2556 0:34:22 น.
Counter : 2554 Pageviews.  

Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง




มาถึงวันที่ 3 ในญี่ปุ่นวันนี้อากาศดีได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าแล้วเย้ๆ
หลังจากเห็นแต่ฝนกะฟ้าครึ้มๆมัวๆมาสองวัน อากาศวันนี้ (27ต.ค.56) ประมาณ 16 องศาจ้า



มื้อเช้าคุ้ยตู้เย็นขุดโยเกิร์ตที่สะสมมาจากเซเว่นมาลอง
วันนี้ลองสองรสของ Morinaga ถ้วยเขียวใส่ว่านหางจระเข้
รสนี้หวานน้อยโยเกิร์ตเนื้อเนียนละมุนลิ้นมว๊ากความเป็นนมเข้มข้า
125g 108kcal แหม่แคลอรี่ต่ำด้วยเริ่ด และอีกอันยี่ห้อ Ispahan
ถ้วยชมพูรสลิ้นจี่&ราสป์เบอร์รี่ อันนี้เนื้อข้นปั๊กมีเนื้อผลไม้ผสม
อันนี้บอกเลยว่าหวานแหลมไม่มีความเปรี้ยวแบบโยเกิร์ดซักกะติ๊ด
แต่กลิ่นหอมมมากจริงๆคล้ายซูกัสแต่ใส่นม ถ้าใครชอบหวานๆจัดไป
ถ้วยนี้ 120g 175kcal ฮับ ส่วนราคาจำไม่ได้เป๊ะๆแต่โยเกิร์ตในญี่ปุ่นทั่วไป
ราคาจะอยู่ที่ประมาณถ้วยละร้อยกว่าเยน แต่ถ้วยเค้าใหญ่กว่าบ้านเรามากฮะถ้วยเดียวอิ่ม



ภารกิจแรกของวันนี้แชร์เทคนิกแต่งหน้าให้เพื่อนชาวญี่ปุ่น ฮี่ๆ



My Outfit TodaY [27/10/2013] ด้านในใส่ Uniqlo Heattech แขนขาว
ทับด้วยเชิ้ตผ้าชีฟองสีชมพูมีระบายหวานเว่อร์จับคู่กับกระโปรงดำ
ทั้งเสื้อและกระโปรงของร้าน Zereta เค้าชอบมากตรงที่ผ้าไม่ยับไม่ต้องรีด555
<https://www.facebook.com/zeretadesign>
แมทช์กะถุงเท้ายาว
Uniqlo Heattech เช่นกัน เห็นโปร่งๆแต่อุ่นน้า
ส่วนรองเท้าของ Forever21 สอยที่เมกะบางนา ราคาประมาณพันสี่

กระเป๋า Charles & Keith สอยมาจากสิงคโปร์ใบละประมาณสองพันกว่าบาทค่า



วันนี้เพื่อนพานั่งรถเมล์ไปวัด Jindai-ji อยู่ในย่าน Chofu ไม่ไกลจากบ้านเพื่อน
ขึ้นรถเมล์กันตรงหน้า Chofu Station นั่งบัสสาย No.34 ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจ้า
การขึ้นรถเมล์ของที่นี่ถ้าเราไม่มีบัตรรถ Suica แบบเติมเงิน (เหมือนบัตร Rabbit บ้านเรา)
ขึ้นรถปุ๊บให้ซื้อตั๋วกับคนขับได้เลย ส่วนใหญ่จะราคาเดียวตลอดสาย 220 yen ค่า
ได้ตั๋วมาแล้วให้สอดเข้าเครื่องตรงข้างคนขับ ตั๋วที่ใช้แล้วจะถูกเจาะรูกลมๆ
ขาขึ้นจะขึ้นที่ประตูหน้าข้างคนขับได้จุดเดียวเท่านั้นเพราะต้องสอดหรือแตะบัตร
แต่ตอนลองไม่ต้องทำอะไรถึงป้ายลงได้เลยประตูด้านหลังจะเปิดให้ลงได้ฮับ



เป้าหมายที่แท้จริงของการมาวัด
Jindai-ji นั้นคือการมาหาโซบะทาน555
เพื่อนบอกช่วงนี้เป็นฤดูที่โซบะอร่อยที่สุด เห็นว่าเป็นช่วงของต้นที่นำมาทำเส้นงอกงามดี
และต้นตำรับเส้นโซบะแบบทำมือ (Hand-made) ก็คือร้านตรงหน้าวัดนี้หล่ะคร๊าบ
ชื่อร้านเค้าเองก็มิทราบภาษาญี่ปุ่นล้วน แหะๆ แต่สังเกตง่าย
มีคนต่อแถวยาวๆอยู่หน้าร้านก็ถูกต้องฮะ ด้านในเป็นโต๊ะนั่งแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น



สั่งมาลองสองแบบแต่เป็นโซบะเย็นทั้งคู่ เพราะเค้ากะคุณแฟนชอบหม่ำโซบะเย็นชื่นจายยย Smiley
เซ็ตโซบะเทมปุระเป็นเซ็ตพิเศษราคาเซ็ตละ 2,600 yen (816บาท)
ได้กุ้งเทมปุระเนื้อกรอบเด้งมาสามตัว พร้อมผักทอดใบชิโสะ กะมะเขือม่วง
เสิร์ฟกะโซบะเย็น น้ำซุปโซบะเข้มข้นแอบเค็มนิดนึงแต่กินคู่กันแล้วลงตัวมั่กๆ
ส่วนอีกชามเป็นโซบะเย็นแบบไม่แยกน้ำใส่บ๊วยญี่ปุ่นชามละ 800 yen (251บาท)
เค้าว่าบ๊วยเค็มไปหน่อยไม่ใส่บ๊วยแหล่มกว่าเพราะซุปมันเข้มข้นมากแล้วอ่าฮะ
ต้องยอมรับว่าเส้นโซบะที่นี่เค้าเด็ดจริงอะไรจริง คือเส้นนุ่มแต่เหนียวหนึบเคี้ยวเพลินมากกกก!!!




ไหนๆก็มาแล้วหม่ำโซบะเสร็จก็แวะเข้าวัดซักหน่อย
แต่แหม่ได้จังหวะห้าโมงนิดๆวัดได้เวลาปิดทำการพอดี 555
โฉบๆพอให้เห็นบรรยากาศละกันเนอะ Smiley



อีกหนึ่งจุดที่ต้องแวะมาก็คือร้านของฝาก
GeGeGe no Kitarō (ゲゲゲの鬼太郎)
เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังเมื่อน๊านนานมาแล้วตั้งแต่ปี 1959 โอ้แม่เจ้า 54 ปีก่อน
สาเหตุที่มาตั้งร้านที่นี่ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกคนเขียนเรื่องนี้จะเป็นคนที่นี่
เคยมีหนังชีวประวัติซี่งก็ถ่ายทำที่นี่เช่นกันฮะ



ทั้งขนมและของฝากจะดีไซน์ตามตัวการ์ตูนเรื่อง
GeGeGe no Kitarō
น่ารักดีเนอะแต่ราคาไม่ค่อยน่ารักนะเลยไม่ได้สอยอิหยังมาเลยแหะๆ



หมดหนึ่งวันไปอย่างรวดเร็วนั่งบัสสายเดิมกลับมา Chofu Station
จากนั้นเพื่อนพาเดินและเดินและเดิน ประมาณห้ากิโลครึ่งเพื่อไปหม่ำมื้อเย็น!!!
เดินเยอะๆจะได้หิวจัดๆเพราะมื้อเย็นนี้จะไปหม่ำบุฟเฟ่ต์ชาบูชาบู&สุกี้ ฮี่ๆ
ณ ร้าน DON TEI ที่ตั้งบอกเลยว่าจำมิได้เพื่อนพาเดินไปอ่าฮะ
แต่เค้าลองหาใน Google Map หาเจอเลยนะพิมพ์ว่า DON TEI Chofu ฮับ



หน้าตาของเมนูบุฟเฟ่ต์
ชาบูชาบู&สุกี้ ราคาจะแบ่งตามระดับคุณภาพของเนื้อ
เพื่อนสั่งให้แบบระดับกลางไม่เอาสลัดและของหวานอยู่ที่หัวละ 2,780 yen (873บาท)
ถ้าจำไม่ผิดจำกัดเวลากินที่ 90 นาที มีชาเขียวร้อนบริการให้ฟรีฮับ



บรรยากาศภายในร้านที่นั่งกั้นเป็นส่วนตัว
พนักงานคลุกเข่า
มารับออเดอร์เห็นแล้วเกรงใจเลย แหะๆ



บุฟเฟต์เค้าจะแยกหม้อมาสำหรับชาบูชาบูเลือกซุปได้สองอย่าง
เค้าเลือกเป็นซุปธรรมดารสจืดๆกับซุปเผ็ดที่ไม่เผ็ดแต่อย่างใด555
ส่วนสุกี้ยากี้จะมาเป็นหม้อสีดำจริงๆเหมือนกระทะมากกว่าหม้อเนอะ
สุกี้แบบญี่ปุ่นจะใส่น้ำแบบขลุกขลิก ไม่ใช่แบบเอ็มเคบ้านเราเน่อ
ถ้าหน้าตาแบบเอ็มเคเราคนญี่ปุ่นคงมองเป็นชาบูมากกว่า
การทานสุกี้เค้าจะเอามันหมูทาก้นหม้อแล้วเอาหอมญี่ปุ่นลงไปจี่ๆ
เสร็จแล้วเอาเนื้อตาม <<<สำหรับสุกี้ยากี้ต้องเป็นเนื้อวัวเท่านั้นไม่ใส่เนื้อหมูฮะ
แล้วค่อยราดน้ำสุกี้รสหวานๆเค็มๆตามลงไปแค่พอขลุกขลิก
แล้วตามด้วยผักดูตามคลิปใน IG เค้าได้เลยฮะตามลิงค์ด้านล่าง ฮี่ๆ ดูเองหิวเอง
//web.stagram.com/p/575906813260670355_9197120



หน้าตาสุกี้ยากี้ซึ่งเค้าฟินม๊วกกกกกกกก!!! เนื้อนุ่มโฮกละลายในปากSmiley
ลวกเนื้อแค่พอสุกอย่าลวกนานเพราะจะแข็งเสร็จแล้วเอาขึ้นมาจุ่มไข่ดิบ
อย่าเพิ่งกลัวไปมันอร่อยมากจริงๆน้า เพราะน้ำสุกี้มีรสเข้มข้นอยู่แล้ว
จุ่มไข่ดิบแล้วจะยิ่งนุ่มๆเคี้ยวเพลิน บอกเลยว่ามื้อนี้เค้าไม่แตะชาบูเลยซัดแต่สุกี้ ฮี่ๆ



ดูขนาดเนื้อที่เสิร์ฟมาจิสไลด์ได้บางฝุดๆ
แผ่นใหญ่กว่าหน้าเค้าอีก นึกว่ามาส์กพอกหน้า 555
ซัดไปหลายถาดมากๆไม่กล้านับเลยวัววิ่งเต็มพุง Smiley
หมดไปอีกหนึ่งวันกับการตระเวนกิน แต่อยู่นี่ไม่ต้องกลัวอ้วนเลย
เพราะเดินเยอะกว่าที่กินเข้าไปอีก นับๆดูแล้ววันนั้นเดินประมาณ 15 กม. OMG!!!



My Makeup TodaY วันที่สี่ในญี่ปุ่น [28/10/2013]
โทนเดิมๆขี้เกียจคิดน้ำตาลเบสิกแต่งไงก็ไม่พลาด
แต่วันนี้ไม่กรีดไลน์เนอร์ แต่งเป็นสโมคกี้อายซอฟต์ๆฮับ



My Outfit TodaY อากาศวันนี้อุ่นขึ้นมาหน่อยประมาณ 20 องศาชิลๆ
ด้านในใส่
Uniqlo Heattech ให้ความอบอุ่นเหมือนเดิม
ด้านนอกเสื้อซื้อจากชั้นล่าง Digital Gateway สยาม ตัวละ 350 บาท
กางเกงยีนส์ขาสั้น Wranglers เลกกิ้งดำ
Uniqlo Heattech
รองเท้าแบรนด์ RIOTINO ซื้อในช็อปที่ Terminal21 ชั้นที่มีแมวกวักตัวใหญ่ๆ
เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นหนังแท้ใส่สบายมั่กๆราคาคู่ละประมาณ 2-3 พันบาทคร้าบ



มื้อเช้าวันนี้ฟาดนมกล้วยจาก 7-11 เค้าว่าเข้มข้นหวานมันกว่าของเกาหลีอีกนะ
หม่ำคู่กะข้าวปั้นอันละ 157 yen (50บาท) ร้านแถวๆบ้านเปิดถึงตีหนึ่ง
นี่แหละแหล่งฝากท้องประจำของเค้าเวลาอยู่ญี่ปุ่นเลย ก้อนเดียวอิ่ม
ข้าวปั้นอร่อยมว๊ากกอ้ะ ข้าวนุ่มๆหนึบๆไม่ต้องจิ้มอะไรเลยมันเค็มกลมกล่อมอยู่แล้ว
ไส้โปรดของเค้าคือทูน่ามายองเนส ส่วนของคุณแฟนคือไส้ไข่ปลา Smiley



จากบ้านเพื่อนที่เค้ามาพักด้วยเดินตุเรงๆไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด Nishi Chofu Station
ระยะทางประมาณ 1.5 กม. ดังนั้นแค่เดินไปกลับบ้านกะสถานีทุกวัน
เค้าก็เดินขั้นต่ำวันละ 3 กม.ละ ไม่รวมที่เดินเที่ยวอีกนะ มาญี่ปุ่นเลยกินได้แบบจัดเต็ม
เดินเยอะเว่อร์จริงๆกล้ามขาเฟิร์มขึ้นอย่างสังเกตได้ น้ำหนักไม่เพิ่มเลยลดลงมานิดนึงด้วย ฮี่ๆ
เป้าหมายของเราวันนี้คือไปตะลุยชินจูกุ วันนี้ไม่มีเพื่อนพาไปแล้วหล่ะต้องมั่วเอง
แต่ไม่ยากการซื้อตั๋วและการดูสถานีที่จะไปเข้าไปอ่านได้ในบล็อคแรกเลยฮะ >>>CLICK<<<
จากบ้านเพื่อนเค้า
Nishi Chofu Station เป็นสถานีย่อย
ต้องนั่งไปลง
Chofu Station แล้วค่อยต่อรถไปลง Shinjuku อีกที



ถึงแล้วชินจูกุผู้คนขวักไขว่ทั้งวันจริงๆ
เป็นย่านร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งชอปปิ้ง
เอาว่ามีทุกสิ่งให้เลือกสรรหล่ะ หมูเดินมั่วๆเลย



ร้านขายกล้องและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีเยอะมาก
และของในร้านเยอะเว่อร์อ้ะเดินวนไปวนมาจนตาลายอยากได้อะไรมีหมด



ตู้ไข่หยอดเหรียญเรียงเป็นตับ



ร้านหนังสือผู้ใหญ่ก็มี อรั๊ยยยละลายตา555



เดินเล่นเพลินๆใกล้เวลาเย็นๆก็เดินมาถึงจุดนัดพบหลักของย่านนี้
ตรงห้างใหญ่ ODAKYU Shinjuku



ภารกิจหลักจริงๆของวันนี้คือนัดเพื่อนญี่ปุ่นอีกสองคนไว้
ว่าจะมาเจอกันที่ชินจูกุ พอดีเพื่อนเลิกงานเย็นเค้าเลยมาเดินเล่นรอบๆฆ่าเวลา
ที่ญี่ปุ่นเราจะเห็นที่จอดจักรยานอยู่เต็มไปหมดเลย คนเค้าใช้จักรยานเยอะ
และจะมีทางจักรยานบนทางเท้าด้วย เวลาเดินต้องระวังนิดนึงฮับ



เจอเพื่อนแล้วเย้ๆ เพื่อนพามาหม่ำมื้อเย็นที่ร้านอาหารพื้นเมืองสไตล์โอกินาว่า
"โอกินาว่า" เป็นชื่อจังหวัดของเกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น



ร้านอยู่ในย่านชินจูกุแต่เค้าจำที่ตั้งบ่ได้แหะๆเดินตามเพื่อนไป
ไม่ไกลจากห้าง ODAKYU เท่าไหร่
ชื่อร้าน Churari ตั้งอยู่บนชั้นสองของตึกหน้าตาแบบนี้อ่าจ้า



หน้าตาเมนูมีรูปประกอบแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆเกินจะคาดเดา แหะๆ



อาหารอย่าได้ถามเลยว่ามีอะไรบ้างคือมันเป็นสไตล์พื้นเมืองมั่กๆ เพื่อนเป็นคนสั่งมาให้ลอง
ซึ่งหลายๆเมนูเพื่อนเค้าเองก็บอกพึ่งเคยได้ลองเหมือนกันนี่แหละ 555
ซ้ายบนเป็นสลัดเต้าหู้ ขวาบนเป็นข้าวผัดน้ำหมึกของปลาหมึก
ซ้ายล่างเหมือนพิซซ่าเกาหลีเลย ส่วนขวาล่างคือปลาอะไรซักอย่างทอด
ขอบอกว่ารสชาติดีกลมกล่อมทุกเมนูเลยคร้าบ Smiley



สองอันนี้เด็ดถ้าใครได้มาร้านนี้หรือได้ไปโอกินาว่าเค้าแนะนำเลย
คือหูหมูกรุบกรอบ กะ สาหร่ายพวงองุ่นเคี้ยวเพลินจริงๆ
แต่มีคนบอกเค้ามาว่าสาหร่ายแบบนี้ภาคใต้บ้านเราก็มีหล่ะไว้ต้องลองๆ



กินอิ่มเพื่อนพาเดินทัวร์แหล่งอโคจรซะงั้น 555 ไปให้รู้เนอะ
เป็นซอยที่มีผับเล็กๆตั้งอัดแน่นชื่อซอย "Golden Gai" (Golden Street)
คือเป็นซอยแคบๆแต่ฝรั่งเที่ยวเยอะมากเป็นร้านนั่งดริงค์มืดๆหน่อย



ตามมาด้วยย่านโฮสท์ อ่าหือละลานตา Smiley
แต่ก็คุยกะเพื่อนว่านี่ถ้าเป็นผู้ชายไทยหน้าตาแบบนี้
แต่งตัวแบบนี้ สาวไทยมองปุ๊บต้องคิดว่าเป็นเกย์แน่นอน 555



ปิดท้ายวันนี้ด้วยการไปชมวิวแบบไม่เสียกะตัง
ที่ Tokyo Metropolitan Government Building
รายละเอียดที่ตั้ง แผนที่ และเวลาเปิด-ปิด >>>CLICK<<<



จุดชมวิวตั้งอยู่ชั้น 45 เป็นกระจกรอบ
เห็นวิวแบบ 360 องศาเริ่ดอ้ะ เริ่ดตรงที่ฟรีด้วยนี่หล่า 555 Smiley



ปิดท้ายทัวร์ญี่ปุ่นภาคสองด้วยภาพวิวสวยๆถ่ายจากชั้น 45
ของตึก
Tokyo Metropolitan Government Building
แนะนำจริงๆคร๊าบไม่ควรพลาด วิวญี่ปุ่นยามค่ำคืนสวยอลังการจริงๆ

----------------------------------------------------------------------

แล้วเจอกันใหม่ใน [PART 3] น้า
ใครยังไม่ได้อ่านภาคแรกเข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างฮับ

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน
ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ Smiley




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 12 มกราคม 2557 15:36:18 น.
Counter : 10161 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]




..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน
http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้
ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!!

---------------------------------------------------------

hits
New Comments
Friends' blogs
[Add SaRaY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.