Review [Part 1] : แต่งตัวอย่างไรไปเที่ยวเกาหลีหน้าหนาวตอนอากาศติดลบ
Create Date : 29 มกราคม 2556
Last Update : 29 มกราคม 2556 20:35:13 น.
Counter : 28915 Pageviews.
[Part 1] Play Seoul! Play Etude! 22-25 Jan 2013 : ตะลอนทัวร์เกาหลีแบบไม่ซ้ำใครกันดีกว่า <3
อันนยอง ฮาเซโย กลับมาทักทายกันเป็นภาษาเกาหลีอีกแล้ว อิอิ เพราะบล็อคนี้จะมาอัพเดททริปสุดพิเศษที่ได้เดินทางไปเปิดมุมมองการท่องเที่ยวแบบใหม่ๆ ณ ประเทศเกาหลีใต้ กับ การท่องเที่ยวเกาหลี STO : Seuol Tourism Organization จัดร่วมกับ Etude House Thailand" Play Seoul! Play Etude!" ในวันที่ 22-25 มกราคม 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 แล้วกับการไปเกาหลี ของเค้า ความพิเศษของทริปนี้คือทางเกาหลีอยากให้เราได้เห็นเกาหลีในด้านอื่นๆที่ต่างออกไป มากกว่าแบบที่คนไทยเคยไปตามแบบกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งมันดูเป็นการไปที่เดิมๆทานอาหารซ้ำๆ ตื่นเต้นตั้งแต่รู้ว่าได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในตัวแทน Beauty Blogger ยิ่งรู้คอนเซ็ปต์ของทริปนี้ ยิ่งทำให้เค้ากรี้ดกร้าดมาก ทริปนี้จะมันส์ขนาดไหน ได้ประสบการณ์ใหม่ๆอะไร ติดตามชมไปพร้อมๆกันเลยจ้า สองสาวดูโอตัวแทน Beauty Blogger ในทริปนี้ได้แก่ เค้า Mhunoiii กะ เอิ๊ก-เอิ๊ก erk-erk นั่นเองจ้า แววฮาเริ่มตั้งแต่รูปแรก อิอิ นัดเจอกันตีห้าวันที่ 22 เหมือนจะยังไม่ค่อยตื่นดี เพราะทั้งสองนางเพิ่งนอนตอนตีสาม 555 รูปหมู่ตามธรรมเนียมก่อนไป ทุกคนแต่งตัวเตรียมหนาวกันไปเต็มที่ เพราะจากการเช็คสภาพอากาศรอบนี้หนาวรุนแรงมากกก จะแค่ไหนต้องติดตาม ทริปนี้นำทีมโดย พี่ตั๊ก พี่สาวสุดที่เลิฟและน้องมุ่ย สาวน้อยสดใส จากบริษัท Cosmega ผู้นำเข้า Etude House แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ตามมาด้วย พี่อายจาก www.Jeban.com น้องอลิส สาวน้อยวัยใส 17 ขวบ Etude Princess ปีล่าสุด ภาพนี้ขาดพี่ไพลินพี่สาวที่น่ารักจากไทยรัฐ อีกหนึ่งท่านค่า ออกเดินทางกันด้วยสายการบิน "การบินไทย" เที่ยวบิน TG692 ออกจากไทยประมาณเจ็ดโมงครึ่ง(เวลาไทย) ถึงเกาหลีประมาณบ่ายสองสี่สิบ (เวลาเกาหลีซึ่งเวลาเค้าจะเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง จ้า ) ไปถึงลงเครื่องปุ๊บเจออากาศวันแรกหนาวแบบเบาๆที่ 3 องศา ทาง Etude กลัวสาวๆจะน็อค จัดเครื่องดื่ม Vit C มาให้โด้ปกันก่อนเลย อิอิ จากสนามบินเดินทางเข้ากลางกรุงโซลใช้เวลาประมาณหนึ่งชม. แล้วมุ่งหน้าสู่ Hongdae Street เป็นย่านรวมมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ โดยรอบๆจะเป็นแหล่งชอปปิ้งมีร้านรวงมากมายที่ขายราคาไม่แพงเพราะเน้นขายนักศึกษา และเป็นที่ตั้งของ "Trick Eye Museum" จุดหมายแรกของเรา ถ้าเดินทางมาเองสามารถขึ้นรถไฟใต้ดินสาย No.2 ลงที่ประตูทางออกที่ 9 Hongik University station(Exit 9) ลิงค์แผนที่ตามนี้จ้า //trickeye.com/images/eng/map_eg.jpg เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 น. 21.00 น. ค่าเข้าชม 13,000 วอน ส่วนเด็กและนักเรียนอยู่ที่ 11,000 วอน จ้า (10,000 วอน ประมาณ 300 บาทไทยค่า)"Trick Eye Museum" เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะภาพวาดสามมิติลวงตา แบบเดียวกับที่บ้านเราที่ Art in Paradise พัทยา แต่ของที่นี่เค้าเปิดมาก่อนจ้า ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เน้นให้ผู้เข้าชมสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง แสดงท่าทางร่วมไปกับผลงานศิลปะได้ โดยคำว่า Trick Eye มาจากคำในภาษาฝรั่งเศส ที่เรียกว่า Trompe l'oeil ซึ่งแปลว่า "ภาพลวงตา" นั่นเองจ้า รับตั๋วก่อนเข้าชม พนักงานหน้านิ่งเชียว อิอิ ตัวยักษ์ กับ ตัวจิ๋ว "หัวหมู" พร้อมไหว้เจ้ากันเลยทีเดียว 555 เราจะร๊วยยยยยยยยยยย !!! หมีแพนด้า หรือจะสู้ หมูแพนด้า ฮี่ๆ ด.ญ.อัลโฟร ลั้นลากันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ร่วมสองชั่วโมง ถ่ายรูปสนุกมากกก ระวังเม็มกล้องเต็ม อิอิ ก่อนกลับก็ต้องถ่ายภาพหมู่ตามธรรมเนียม ทริปนี้นอกจากไทยแล้วยังมีเพื่อนบ้าน สาวๆจากสิงคโปร์และฮ่องกงมาร่วมทริปด้วยกันจ้า เดินไปไม่ไกลจาก "Trick Eye Museum" เราได้แวะไปเยี่ยมชมร้านที่ไว้ให้นักศึกษาออกแบบ มาจัดแสดงและขายผลงานพวกโปรดักซ์ดีไซน์ได้ มีของกุ๊กกิ๊กๆน่ารักให้เลือกเยอะมากกกก ของขายไอเดียเจ๋งๆทั้งนั้นเลย ไม่น่าเชื่อว่าเป็นฝีมือการออกแบบของนักศึกษา และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่เรารอคอย 555 มื้อเย็นๆๆๆๆๆ !!! ร้านที่ทานยังคงอยู่ในย่านเดิม หน้าร้านหน้าตาแบบนี้ โปรดอย่าถามชื่อร้านเค้าอ่านมิออก แหะๆ มื้อเย็นวันแรกมาหม่ำหมูย่างเกาหลีกันตามธรรมเนียมหมูย่างเกาหลีก็ต้องกินคู่กะ "โซจู" หรือเหล้าขาวเกาหลีนั่นเอง อิอิ เค้าบอกว่าอันนี้คนเกาหลีเรียก "โกกิ" คล้ายๆอันที่เราคุ้นคือ "บุลโกกิ" ซึ่งจะเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ๆเอามาย่างแล้วตัดๆ แต่อันนี้จะเป็นหมูติดมันมาเป็นเส้นๆจ้า วิธีการทานจะกินหมูย่างเปล่าๆหรือจะห่อผักก็ตามชอบ แนมกับเครื่องเคียงที่วางไว้ให้เยอะมากกก สำหรับเค้าเลิฟๆสุดๆคือห่อกินกับใบ "แกนนิพ" หน้าตาแบบใบหม่อนบ้านเรา ใบจะมีกลิ่นหอมๆฉุนๆ ใส่กิมจิเข้าไปอีกหน่อยราดซอส โอยอร่อยมั่กๆ หนังท้องตึงอิ่มหนำแล้วก็ได้เวลาเข้าที่พัก ทริปนี้เราพักกันที่โรงแรม Seoul Royal Hotel เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวราคาประมาณ 4,500-6,000 บาท/คืน ฟรี wi-fi และสาย LAN แจ่มมาก ตั้งอยู่ในทำเลดีเว่อร์กลางแหล่งชอปปิ้งย่านเมียงดงเลย เดินออกมาหน้าโรงแรมชอปได้เลยจ้า แม้จะเหนื่อยเหน็ดจากการเดินทางแต่ถ้าพูดถึงการชอปปิ้งแล้วผู้หญิงสู้ตาย เดินออกมาหน้าโรงแรมก็เป็นตลาดเมียงดง หรือสยามสแควร์เกาหลีแล้ว จะไม่เดินก็อย่างไรอยู่ จัดไปเดินเล่นเบาๆย่อยมื้อเย็นกัน 555 นึกได้ว่ามื้อเย็นยังไม่มีของหวาน ไอ้หมูเลยจัดของหวานล้างปากซะ ตอนแรกอยากกินไอติมแต่ว่าร้านมันปิดไปแล้วเดินไปเดินมาเจอร้านนี้คนซื้อเยอะดี เลยขอลองกินซักหน่อย มันคือขนมอะไรก็ไม่รู้เป็นเหมือนแป้งแข็งๆกรอบๆก้อนกลมๆ มีรสที่เคลือบหลายแบบทั้งช็อคโกแล็ต ชาเขียว กาแฟ ฯลฯ ความเก๋คือพอเราเลือกแล้ว คนขายจะเอาใส่ถุงแล้วเอาค้อนทุบ !!! ให้กลายเป็นชิ้นแหลกๆ จะได้หยิบกินได้ อย่างที่บอกคือแข็งๆกรอบๆ เค้าเลือกแบบเคลือบช็อคโกแล็ต กินแล้วเหมือนขนมมาวินแข็งๆ 555 ------------------------------------------------- และแล้วก็จบทริปตะลุยเกาหลีวันแรกไปอย่างสวยงาม สนุก อิ่ม และอร่อย สวัสดีเช้าวันที่สองในเกาหลีจ้า วันนี้อากาศจัดไปเริ่มหนาวขึ้นอีกเสต็ป จากเมื่อวานที่ 3 องศา วันนี้เหลือประมาณ 1 องศา แต่เป็น 1 องศาที่มาพร้อมกันสายฝนปรอยๆ เริ่มต้นกิจกรรมวันนี้กันที่ Luxury Korean Traditional Beauty Salon"Migreen Oriental Medicine Clinic" ซึ่งตั้งอยู่ในย่านเมียงดง เดินไปไม่ไกลจากโรงแรมใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจ้า บรรยากาศด้านในคลินิกดูอบอุ่น เป็นคลินิกความงามที่ใช้ศาสตร์ของแพทย์แผนโบราณของชาวเกาหลี ซึ่งจะแบ่งผู้ร่วมทริปออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะไปศึกษาเรื่องยาแผนโบราณ อีกหนึ่งกลุ่มจะไปศึกษาเรื่องสกินแคร์การดูแลผิวในแบบโบราณ ซึ่งทรายกะเอิ๊กอยู่กลุ่มแรกจ้า มาเข้าคลาสแรกกับการทำยาแบบเกาหลี หน้าตาคล้ายยาลูกกลอนบ้านเราเลย อิอิ ตัวเม็ดยาสีดำกลมๆทำมาจากสมุนไพรหลายหลายชนิด ส่วนขั้นตอนที่เค้าสอนให้เราได้ทำคือการห่อเม็ดยาด้วยแผ่นทองคำ(แท้) จากนั้นห่อกระดาษแล้วบรรจุในแพคเกจให้สวยงาม งานนี้ห้ามหายใจแรงแผ่นทองจะปลิวได้ ตัวยาอันนี้ใช้ทานเวลาอาหารไม่ย่อย หรือกินมากเกิน จุก เสียด แน่นท้อง โดยวิธีการทานให้ทานครั้งละ 1 เม็ด เคี้ยวๆกลืน หรือใครไม่สามารถก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆแล้วทานกับน้ำอุ่นจ้า อวดผลงานวิชาปรุงยากันหน่อย ยาที่ทำเองก็ได้กลับไปทานเอง เค้ายังไม่ได้ลองยังบอกไม่ได้ว่ารสชาติเป็นไงและผลเป็นไงน๊า ปรุงยาเสร็จมาต่อด้วยการปรุงชา โดยก่อนทำการปรุงชาสมุนไพรนั้น เค้าจะมีแบบทดสอบ Medical Tests of Sasang (Four Type) Constitution มาให้เราทำ เกี่ยวกับ รูปร่าง นิสัย และไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งแบบทดสอบนั้นจะประเมินประเภทของเราว่าเป็นคนแบบไหนและต้องทานชาแบบใด ซึ่งเค้ากะเอิ๊กได้แบบเดียวกันเลยนั่งติดกันปรุงชาจากสมุนไพรชนิดเดียวกัน ประกอบไปด้วยสมุนไพรสามอย่าง คือ Quince , Leave of Persimmon และ Ogapy วิธีการทานชาก็แช่ชาหนึ่งซองในน้ำร้อน 1-2 ลิตรประมาณ 20 นาทีจ้า ปิดท้ายคลาสกันด้วยการทานน้ำสมุนไพรเกาหลี ที่อเมซิ่งมากๆ คือเป็นน้ำที่แต่ละคนทานแล้วจะมีรสชาติไม่เหมือนกัน ซึ่งการรับรสที่ต่างกันจะแสดงถึงสุขภาพของแต่ละคน เช่น ได้รสขมเฝื่อนหมายถึงอาจจะมีปัญหาที่ไต เค้ากะเอิ๊กกินแล้วได้รสเดียวกัน (เหมือนกันอีกแล้ว 555) คือ รสเปรี้ยวอมหวาน ซึ่งหมายความว่าเป็นคนสุขภาพผิวค่อนข้างดี แอร๊ยดีใจ ขอถ่ายภาพกับสองสาววิทยากรชาวเกาหลีที่ใจดีมาสอนเราทำยาทีละขั้น โอ๊ยน่ารักยิ้มแย้มที่สำคัญผิวดีมากกกกก ก่อนกลับแอบขอถ่ายภาพกับคุณหมอประจำคลินิก คุณหมอหน้าเป๊ะและผิวหน้าเด้งมากกกก กิจกรรมต่อมายังคงอยู่ที่ย่านเมียงดง คือการเข้าไปที่ "สำนักงานใหญ่อีทูดี้เฮาส์ : ETUDE Corporation Headquater Office" เพื่อชมการสาธิตแต่งหน้าและอัพเดทเทรนด์การแต่งหน้าสไตล์เกาหลี จะบอกว่าเป็นออฟฟิสที่น่ารักมากกก ตกแต่งโทนขาวชมพูสไตล์เจ้าหญิงสุดๆ และคอลเลคชั่นที่จะใช้ในการสาธิตแต่งหน้าวันนี้..... "Princess Etoinette" แพ็คเกจชนะเลิศ ที่เกาหลีออกมาพักนึงตอนนี้เพิ่งวางขายในไทยจ้า หาซื้อได้ทีเคาท์เตอร์ Etude House ทุกสาขา(Crystal Shy Lips 795.- , Heart Blusher 1,595.- , Tear Drop Liner Set 695.-,Versailles Nails 595.- , Rose Brush 695.-) เห็นของจริงยิ่งกรี้ดดดด งามสุดๆ หวานสุดๆ อร๊างงงง กรี้ดดดดดดดดดดมากกกกก นอกจากคสอ.แล้วยังมีแปรง หวี กระจก ฯลฯ ที่มีคอนเซปต์คือ "ปลุกความเป็นเจ้าหญิงในตัวคุณ......" อยากเป็นเจ้าหญิงในบัดดล เมคอัพอาร์ตติสของ Etude House สาธิตการแต่งหน้ารับวาเลนไทน์ในแบบสาวเกาหลี โดยเน้นผิวฉ่ำด้วยการลงบีบีแบบเนื้อบาล์มแล้วไม่ต้องทาแป้ง ผิวจะดูฉ่ำเป็นธรรมชาติ สีสันจะเน้นความหวานใส เขียนขอบตาด้วยไลน์เนอร์สีน้ำตาลให้ดูตาไม่ดุแล้วปัดมาสคาร่าฟูๆ แต่สำหรับสาวเปรี้ยวไม่ชอบหวานมากสามารถกรีดตาด้วยไลน์เนอร์ดำให้ดูเฉี่ยวขึ้นได้จ้า จบกิจกรรมยามเช้าก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดี ซึ่งร้านอาหารเที่ยงวันนี้เป็นแบบ Traditional สุดๆ ทางเข้าร้านสวยมว๊ากกกกกก นั่งรถออกมาจากเมียงดงไม่ไกล ต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปที่ร้าน เป็นบันไดหินคลาสสิกสุดๆ ซึ่งข้างทางยังคงมีใบใม้เปลี่ยนสีสวยๆ ประดับด้วยหิมะที่ยังละลายไม่หมด ตะลึงมากกกก ทางเดินขึ้นมาว่าสวยแล้วเจอหน้าร้านเข้าไป อร๊ายยยยสวยมากกกเหมือนอยู่ในหนังย้อนยุค บรรยากาศในร้านเป็นแบบย้อนยุคงามมาก นั่งทานกับพื้นแบบเกาหลีแท้ๆ ซึ่งมื้อนี้คือ ข้าวยำ หรือ บิบิมบัม (Bibimbub) แต่ไม่ได้เสิร์ฟมาในหม้อหินร้อนแบบที่เคยกินกัน เค้าบอกว่าอันนี้เป็นอีกประเภทนึงที่เสิร์ฟมาในชามเย็น ซึ่งจะแยกเครื่องเคียงให้เราเลือกใส่ตามชอบ แต่วิธีการทานก็เหมือนกันคือคลุกๆกับเครื่องเคียงและซอสโคชูจังจ้า มีพิซซ่าเกาหลีให่ทานเล่นด้วย เดินไปเข้าห้องน้ำหลังร้านแล้วต้องขอแชะภาพไว้ เป็นหิมะที่เกิดการแข็งค้างเป็นน้ำตกริ้วๆ แม้รอบนี้จะไม่ได้เจอหิมะเต็มๆแต่ได้เห็นแค่นี้ก็เป็นสุขใจ จ๋วยจังเลยยยย หลังมื้อเที่ยงเราเข้าไปเยี่ยมชม Seoul Global Culture and Turism Center ตั้งอยู่ย่านเมียงดง ซึ่งเป็นแหล่งให้ข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม , แหล่งท่องเที่ยว-ชอปปิ้ง , การเดินทาง ฯลฯ แถมด้วยการลองใส่ชุดประจำชาติ "ฮันบก" ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายจ้า มาย่านเมียงดงก็ไม่พลาดที่จะแวะเข้าไป Etude House สาขาแรก ซึ่งสาวๆไม่มีพลาดชอปกระจาย โปรดอย่าถามว่าโดนไปเท่าไหร่ 555 และขอแนะนำอีกหนึ่งแบรนด์จากบริษัทเดียวกันกับ Etude คือแบรนด์ "eSpoir" เป็นแบรนด์ที่จัดเป็นประเภท Professional Makeup คุณภาพและราคาเทียบเท่าได้กับ MAC หรือ Bobbi Brown ตัวเด่นๆของเค้าคือลิปสติกราคาประมาณ 600 บาท เนื้อดีสีหลากหลายมีหลายรุ่นมากกก เค้าสอยลิปไลน์เนอร์สีนู้ดกับกรอสมาแหละ ขอบอกว่าคุณภาพดีมาก อยากได้ไปซะทุกอย่าง (อายแชโดวก็แจ่มแต่เค้าไม่ได้สอยมา แนะนำให้ไปลองป้ายกันดูแล้วจะกรี้ด อิอิ) ชอปปิ้งในเมียงดงจนได้เวลาเย็นวันที่สองนี้มีนัดชม "Bibap Show" เป็นการแสดงผสมผสานการแสดงตลกประกอบการร้องเพลง Accapella & Beatbox และการเต้น B-Boy & Martial Arts ผ่านเรื่องราวในการแข่งทำอาหารแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็น อาหารญี่ปุ่น จีน อิตาเลี่ยน ฯลฯ และจบด้วยการแข่งทำอาหารขึ้นชื่อคือ ข้าวยำเกาหลี(Bibimbub) --------------------------------------------------------------------- สำหรับโชว์นี้ ให้สามคำ "มันส์ สุด ยอด" ไม่รู้จะบรรยายความสนุกอย่างไร เค้าเป็นคนไม่ดูฟังเพลงเกาหลี ไม่ดูซีรีย์เกาหลี ไม่เคยรู้เลยว่าเอนเตอร์เทนเนอร์เกาหลีเป็นไง แต่มาดูโชว์นี้แล้วบอกได้เลยว่า อึ้งมาก !!! เค้าทำได้เจ๋งมาก เป็นโชว์ที่ติดอันดับโลกเลย แนะนำสุดๆใครมาไม่ควรพลาดมาดูเถอะ ขำ และประทับใจในความน่ารักแน่นอน (ข้างในห้ามถ่ายภาพเค้าไปเซฟภาพจากเว็ปเกาหลีมาให้ชมกันนะจ๊ะ) มาถึงมื้อเย็นเป็นมื้อสุดหรูหราอลังการแบบที่พระราชาเสวยกันในวัง ณ Korea House @Chwiseongwan เป็นเหมือนศูนย์วัฒนธรรมเกาหลี แค่สถานที่ก็รู้สึกถึงความอลังแล้วเนอะ ระหว่างรอคิวเข้าทานมื้อเย็น ได้ลองขอพรแบบเกาหลีด้วยหล่า ด้วยการเขียนคำขอพรในกระดาษแล้วพับกระดาษเป็นเส้นนำไปผูกกับแท่นนี้ เค้าบอกว่านกจะนำพรของเราไปยังพระจันทร์ ขอให้พรจงสำเร็จดังหวัง โอมเพี้ยงงงง เริ่มมื้อเย็นแบบพระราชากันด้วยเมนูแรกอย่าได้ถามชื่อเลย เค้าถามไกด์ชาวเกาหลีแล้วแต่ไม่สามารถออกเสียงตามหรือสะกดให้ฟังได้ 555 ไกด์บอกว่าเป็น "เคบับสไตล์เกาหลี" คือแผ่นแป้งนุ่มเหนียวคล้ายแป้งโรตี ห่อไส้เป็นผักหลากสีและเนื้อเส้นๆ เสร็จแล้วม้วนเป็นคำๆจิ้มน้ำจิ้มเป็นซอสเปรี้ยว อร่อย !! วัฒนธรรมในการทานของเกาหลีจะไม่เสิร์ฟทุกอย่างออกมาในทีเดียว แต่จะรอเมนูแรกหมดแล้วทยอยเสิร์ฟเมนูอื่นๆตามออกมา ไม่แปลกใจเลยกับการทานอาหารของพระราชา คือว่า....อาหารเสิร์ฟมาเยอะมากกกกก มาเรื่อยๆเหมือนจะไม่มีวันหยุดจนต้องถามว่าเหลืออีกกี่จานแบบว่าไม่เหลือที่ในท้องจะทานแล้วจ้า มีทั้งปลาหิมะย่างซอส แพนเค้กเกาหลี เนื้อย่างหรือสเต็กเกาหลี ผัดเห็ด ฯลฯ กว่าจะเสิร์ฟมาหมด นั่งกินกันจนจุก จัดเป็นอาหารแบบใหม่มากๆ และน้อยคนนักที่มาเกาหลีแล้วจะได้ลองทานอาหารแบบนี้ ถือว่าเป็นทริปที่เจ๋งจริงๆจ้า ได้ลองทาน Korean Special Wine Sunmaesu ด้วย แอลกอฮอล์ 16% เป็นไวน์แดงที่มีรสหวานๆ ซ่าๆนิดๆคล้ายสปาร์คกิ้ง อร่อยเลยเค้าชอบ ------------------------------------------------------------ จบทริปวันที่สองเรียบร้อยด้วยความอิ่มแบบขั้นเทพจ้า 555 ยังเหลือความสนุกอีกสองวัน ตามไปชมกันได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยจ้า[Part 2] Play Seoul! Play Etude! 22-25 Jan 2013 : Lotte World & ตะลุยเกาหลีภาคจบจ้า<3 ตอนนี้ที่เขียนนี้ใกล้เช้าละเค้าหมดแรงขอตัวลาไปนอนก่อน บะบายค่า -------------------------------------------------------------------------------- ปล.ชมภาพทั้งหมดได้ที่ www.facebook.com/mhunoiiifanpage จ้า
Create Date : 27 มกราคม 2556
Last Update : 29 กรกฎาคม 2556 23:48:33 น.
Counter : 11406 Pageviews.
Review [Part 2] : Hard Rock Pattaya โหมดลั้นลาฮาเฮ กินๆพักผ่อนๆในโรงแรมจ้า ^^
สวัสดีค่ามาต่อ [Part 2] ของรีวิว Hard Rock จ้า โหมดแรกเน้นรีวิวห้องพักส่วนโหมดนี้จะรีวิวบรรยากาศ กิจกรรม อาหาร ฯลฯ ในโรงแรมให้ชมกันจ้า เชิญรับชมคร๊าบบบ ^^ ทรายไปถึงโรงแรมตอนบ่ายหลังเช็คอินเสร็จกองทัพเราต้องเดินด้วยท้อง ก็เลยลงมาหม่ำข้าวที่ห้องอาหาร "Starz Diner" (สตาร์ซ ไดเนอร์) ตั้งอยู่ชั้นล๊อบบี้จ้า โต๊ะริมหน้าต่างมองออกไปจะติดกับโซนร้านอาหาร Pizzeria เป็นอาหารอิตาลีมีเตาอบพิซซ่าแบบก่อขึ้นมาด้วยค่า ซึ่งเดี๋ยวจะได้ชมกันในมื้อเย็น อิอิ โต๊ะด้านใน ตอนทรายไปมื้อกลางวันด้านนี้จะปิด ซึ่งจะเปิดตอนเย็นเป็นไลน์ Buffet จ้า การตกแต่งคงคอนเซปต์ฮาร์ดร็อค กีตาร์เท่ห์ๆประดับเสาเก๋ๆ เมื่อยๆเลือกนั่งโซฟานุ่มๆดีกว่า ^^ อาหารมาแล้วจ้า น่าหม่ำไม๊ค๊า อิอิ มีข้าวอบสัปปะรด ต้มยำกุ้งและผัดไทยกุ้งสด ราคาอาหารเริ่มที่ประมาณ 200 บาทจ้า รสชาติไม่จัดมากฝรั่งทานได้แต่ต้มยำกุ้งแซ่บๆอร่อยใช้ได้เลยน๊า อิ่มอร่อยออกมาเดินย่อยริมสระ แดดเปรี้ยงๆฝรั่งนอนอาบแดดกันตรึมส่วนเราขอหลบร่มดีกว่า แหะๆ สระน้ำอีกโซนจัดเป็นเหมือนชายหาดจำลองด้วยน๊าน่าเล่นเน๊อ ด้านข้างสระแบบชายหาดจะมีบังกะโลหลังกะทัดรัดให้เช่า มีเตียง ตู้เก็บของ และตู้เย็นใบเล็กให้จ้า แอ่งนี้เป็นจุดที่จัด Foam Party ทุกๆวันเสาร์ เสียดายม๊ากกกไปวันธรรมดาไม่ได้เล่นปาร์ตี้โฟม รอบหน้าไม่พลาดๆๆๆ >< ข้างสระว่ายน้ำมีห้องเล่นเกมส์สำหรับวัยสะรุ่นด้วยจ้า มีโต๊ะพูล เกมส์ wii พร้อมสรรพ โต๊ะบอลหมุนๆ แต่รู้สึกห้องนี้จะจำกัดอายุคนเข้านะ อิอิ ไม่เป็นไรเรายังวัยรุ่นอยู่นะ แม้จะเป็นช่วงปลายแล้วก็ตาม 555 ฝั่งตรงข้ามทางลงสระด้านหาดทรายจะมีห้องรับดูแลเด็ก "Lil Rock Club" ด้วยนะคะ สำหรับเด็กน้อย 3-12 ขวบค่า บรรยากาศในห้อง "Lil Rock Club" หลังนอนกลิ้งเล่นกลุกๆอยู่ในห้องชมวิวพระอาทิตย์ตกอย่างอิ่มเอมแล้วทรายนัดเวลาทานดินเนอร์ไว้ตอนหนึ่งทุ่ม เวลายังไม่ถึงมื้อดินเนอร์เลยมานั่งเล่นที่ห้อง Kings Club ที่อยู่ชั้น 9 ชั้นที่ทรายพัก ใน Kings Club จะมีเครื่องดื่มและอาหารเบาๆเป็นบุฟเฟต์ให้หม่ำได้แบบไม่อั้นสำหรับคนที่พักห้องพักในชั้นKings Club คือชั้น 9 และ 10 จ้า ไลน์อาหาร ก็มีของทอด สลัด และติ่มซำ ซึ่งขอบอกว่าติ่มซำอร่อยมว๊ากกกกกกกกกก ซัดไปหลายชิ้นแต่ต้องเก็บต้องไว้ไปหม่ำดินเนอร์ด้วย แหะๆ บรรยากาศใน Kings Club ตกแต่งสีสันได้จี๊ดมากๆๆ และที่ Exclusive สุดๆสำหรับ Kings Club คือ >>> Happy Hours สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไม่อั้นในช่วงเวลา 18.00-19.30 น. ช่วงเวลาแห่งความสุข 555 ซัดค็อกเทลกันไปคนละสองแก้วเบาๆ ^^ แป๊บเดียวทุ่มนิดๆแล้วลงไปลุยดินเนอร์กันต่อที่ห้องอาหาร "Pizzeria" ชั้นล็อบบี้กันเลยค่า แหม่ทริปนี้มีแต่กินกับกินสมชื่อคนรีวิวจริงๆ 555 บรรยากาศในห้องอาหารส่วน Indoor จ้า เป็น Open Air ค่ะ ทรายเลือกนั่งส่วน Outdoor ด้านนอก มีส่วนของโซฟานั่งชิลๆริมสระด้วย ^^ สระตอนกลางคืนสวยเนอะ สระที่นี่ปิดดึกจ้าสี่ทุ่มนู่นหล่ะ ก่อนอาหารจะมาคุณแฟนบอกเดินไปเอาของที่รถเดี๋ยวเราก็ไม่ได้คิดอะไร เดินกลับมากรี้ดๆๆๆๆๆมีของขวัญวันวาเลนไทน์มาให้ด้วยง่า แอบรู้สึกผิดอย่างแรงเค้าไม่ได้เตรียมไรไว้ให้เลยง่า T T ซึ้งๆที่รักห่อของขวัญให้เองตลอด ขอบคุณนะค๊า เขิลล์ๆๆๆ <3 <3 <3 อาหารทยอยมาแล้ว ของทรายดินเนอร์แบบ Romantic Italian Set "Love On The Rock" อาหารจะจัดมาเป็นเซ็ตจ้า หม่ำด้วยกันไม๊คะ ^^ อาหารในเซต "Love On The Rock" ประกอบด้วย..... - Bruxchetta : Tomato , Avocado & Mushrooms <<< เปิดมื้อเบาๆกับขนมปังอบหน้า 3 อย่าง - Arugula Salad : With thin sliced prosciutto , marinated grilled mushrooms and shaved parmesan cheese <<< สลัดแฮมสไลด์มาบางๆ อร๊ากกเค็มๆกะชีสมันๆ น้ำสลัดเปรี้ยวนิดๆไม่เอือม อร่อยเริ่ดแต่เอิ่ม จานใหญ่ไปไหมค๊า แค่ Appetizers ก็ปาไปครึ่งกระเพาะแล้วน๊า อิอิ ----------------------------------------- - Soup : Minestrone with shaved parmesan <<< ช่องไม่พอไม่ได้ลงรูปค่าแหะๆแต่ซุปรสชาติดีถูกปากเลยค่า ----------------------------------------- - Shorbetti : Rasberry & Kiwi <<< ไอติมซอร์เบย์ล้างปากระหว่างมื้อ เปรี้ยวๆหอมๆชอบๆ ----------------------------------------- - Pizza - Frutti Di Mare : Mussel , prawn , scallop , fresh basil , onions , tomato sauce , parmesan & mozzarella cheese <<< พิซซ่าอบจากเตาอบเฉพาะ อร่อยอย่างแรงแต่ว่ามาถาดใหญ่มาก แง๊ไม่สามารถกินไปได้แค่สองชิ้น คุณแฟนฟาดไปสามสี่ชิ้น โอยนั่งกินไปเสียดายไป - Pasta - Crab Linguine : Fresh tomato , crab bisque , roasted bell peppers and pesto <<<พาสตาเส้นหนึบกับลังดีซอสรสไม่จัดกับปูเน้นๆๆๆ ----------------------------------------- - Dessert : Warm Chocolate Cake <<< อันนี้กรี้ดดดสุดชอบมากช็อคลาวาขมนิดๆหวานกำลังดี โอยคิดแล้วอยากกินๆๆว่าจะไปลองดูว่า Hard Rock ที่สยามจะมีเมนูนี้ไม๊น๊า >< หลังจบดินเนอร์แบบจัดหนักก็ขึ้นไปนอนกลิ้งๆอืดๆบนห้องให้พอย่อย คืนนี้เรามีนัดจะลงไปดริงค์เบาๆกันที่ "The Soul Lounge" ภาพบรรยากาศด้านในจ้าทรายลงมาดึกใกล้ปิดละเลานจ์ปิดตีหนึ่งค่ะช่วงที่ทรายไปเลยโล่งไร้ผู้คน แหะๆ เหมือนเหมาห้องเนอะ สั่งค็อกเทลมาจิบเบาๆกันคนละแก้ว ค็อกเทลราคาเริ่มต้นที่ 220.- จ้า ทรายชอบค็อกเทลที่รสเปรี้ยวนำเลยสั่ง Mojito รสชาติเปรี้ยวๆสดชื่น ^^ หลังจากบาร์ปิด บาร์เทนดี้คนสวยบอกว่า "Hard Rock Cafe" ด้านหลังยังไม่ปิดเลยแว่บเดินออกมาดู คาเฟ่จะอยู่ริมถนนฝั่งชายหาดค่ะ บรรยากาศยังครึกครื้นอยู่เลย หนึ่งคืนผ่านไปไวปานโกหกเช้ามาลงมากินอีกแล้ว 555 บอกแล้วทริปนี้กินทั้งทริป มื้อเช้าเป็นแบบบุฟเฟต์ทานที่ห้องอาหาร Starz Diner จ้า อาหารมื้อเช้าหลากหลายมากมีหลายสัญชาติ ฟาดไปหนัก ของเมื่อวานมันย่อยหมดแล้ว ฮี่ๆ หลังอิ่มแปร้มื้อเช้าเราก็ขึ้นไปจัดกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน แหมเวลามีความสุขเนี่ยผ่านไปเร็วจริง จริ๊ง แต่ก่อนออกไปทรายมีนัดทำสปาด้วยหล่า กระเป๋าของเราสามารถฝากเค้าไว้ได้ค่ะ "Rock Spa" ตั้งอยู่ริมสระน้ำห้องทำสปาอยู่บนชั้นสามจ้า เดินผ่านชั้นสองแอบส่องห้องฟิตเนสสักหน่อย ถึงแล้วห้องที่เราจะทำสปากัน วันนี้ทรายทำการนวดน้ำมันค่ะ ตื่นเต้นง่ะไม่เคยนวดสปาแบบแก้ผ้าหมด แรกๆแอบเขิลล์ๆ แต่พอนวดไปสักพักเคลิ้มมากได้น้ำหนักกำลังดีหลับกันไปเลยทีเดียว แหะๆ หลังทำสปาเสร็จร่างกายผ่อนคลายสุดๆ ไม่อยากตื่นเลย ในห้องทำสปาด้านข้างจะมีอ่างแช่ตัวให้ด้วยนะจ๊ะ แชะภาพคู่เป็นที่ระลึกก่อนกลับ วันกลับใส่เสื้อคู่ของ Hard Rock ที่ได้มาเป็นที่ระลึกด้วยหล่าน่ารักไม๊ๆ อิอิ และแล้วทริปสวีทวิ้ดวิวในวาเลนไทน์ปีนี้ก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ขอบคุณทาง Hard Rock มากๆนะคะที่เชิญทรายมาสัมผัสประสบการณ์สุดประทับใจ ติดใจกับการบริการที่เอาใจใส่มากๆ รอบหน้าต้องมาโฟมปาร์ตี้คืนวันเสาร์ให้ได้ >< ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าจ้า ทริปหน้าขอพาตะลุยต่างแดนแบบมึนส์ๆกันที่ Singapore แล้วเจอกันค่า บะบายยย ^^ ปล.ใครอยากชมภาพเพิ่มเติมตามลิงค์นี้ไปเลยจ้า https://www.facebook.com/media/set/?set=a.10150666895420400.451136.610335399&type=3&l=a394b2e6ac ทรายอัพภาพไว้ใน Facebook ตั้งเป็น Publish ให้เข้าชมได้ค่ะ
Create Date : 18 มีนาคม 2555
Last Update : 18 มีนาคม 2555 22:13:53 น.
Counter : 4973 Pageviews.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [? ]
..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!! ---------------------------------------------------------