Group Blog
 
All blogs
 

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝันต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara

  กรี้ดดดๆๆมาแล้วคร๊าบกับรีวิวทริปประเทศในฝันภาคแรก
เมื่อหมูตะลุยแดนปลาดิบ JAPAN!!! Smiley
ประเทศนี้เป็นประเทศอันดับหนึ่งที่ฝันไฝ่ไว้ตั้งแต่เด็กๆ ว่าจะต้องไปให้ได้
กว่าจะเก็บหอมรอมริบจนมีเงินพอก็เล่นเอาเข้าวัยชรา แอร๊ยยังไม่แก่ขนาดนั้น 555
เป็นทริปท่องเที่ยวที่นานที่สุดไปเต็ม MAX แบบไม่ต้องขอวีซ่า คือ 15 วันฮับ
โดยการนับ 15 วันของทางสถานฑูตคือนับวันแรกหลังจากวันเดินทาง
เค้าไปวันที่ 25 ตุลากลับวันที่ 9 พฤศจิ ถ้านับเองตอนแรกมันดูเหมือนเป็น 16 วัน
แต่ได้ทำการโทรถามทางสถานฑูตเรียบร้อยให้เค้าเช็คให้
เค้าบอกว่ายังอยู่ในเกณฑ์ไม่ต้องยื่นเรื่องขอวีซ่าฮับ
เอาหล่ะพร้อมกันแล้วมาลุยญี่ปุ่นไปพร้อมๆกันเลย ทริปนี้เค้าเที่ยวกันเองกะคุณแฟน
วางแผนเที่ยวกันแบบมั่วๆนัวๆ ไม่เน้นอัดสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก เน้นชิลๆสบายๆ
แพลนเปลี่ยนได้เสมอตามสถานการณ์ ลองอ่านดูเป็นแนวทางในการท่องแดนปลาดิบกันดูนะค้า



ทริปนี้เค้าจองตั๋วเครื่องบินของสายการบิน United Airline
โดยจองผ่านเอเจนท์ www.tg191.com ให้เค้าเช็คให้ว่าช่วงที่จะไปสายการบินไหนถูกสุด
เน้นประหยัดไว้ก่อน ฮี่ๆ พอดีจองโปรการบินไทยมิทันมาได้ราคาอันนี้ถูกกว่าจึงจองโลด
เค้าจองล่วงหน้ากันประมาณ 5-6 เดือน ได้ราคาไปกลับ BKK-NRT กรุงเทพ-นาริตะ(โตเกียว)
อยู่ที่คนละ 18,130 บาท ราคาแบบไม่มีโปรส่วนใหญ่จะสองหมื่นอัพๆฮับ
วันไปบินไฟลท์เช้า 6.00 น. ไปถึงสนามบินตอนตีสี่ไปเช็คอินเสร็จสรรพเรียบร้อย
สำหรับ
United Airline เค้าฟิกซ์เรื่องกระเป๋าว่าสามารถโหลดได้แค่คนละ 1 ใบเท่านั้น
ขนาดใบใหญ่แค่ไหนไม่ซีเรียส แต่ใบนึงต้องไม่เกิน 23 กิโลจ้า ถ้าจะโหลดกระเป๋ามากกว่า 1 ใบ
ต้องจ่ายเพิ่ม $75 (ประมาณ2,250บาท) แต่ว่าก็จะได้เป็นน้ำหนักเพิ่มไปอีก 23 กิโลไปเลย
เค้าว่าก็แฟร์ดีนะเพราะขากลับได้ใช้บริการแน่ๆ555 ขาไปก็ซัดไป 22.5 กิโลละ แหะๆ



เช็คอินไปเรียบร้อยขอลงมาหาอะไรหม่ำกันก่อน ทิ้งทวนอาหารไทยก่อนบิน อิอิ
ณ ศูนย์อาหาร Magic Food Point ที่ชั้นล่างสุดตรงชั้นที่เรียกแท็กซี่ของสนามบินสุวรรณภูมิ
บอกเลยว่าเป็นฟู้ดคอร์ทที่อาหารราคาถูกมว๊ากกกกก มีอาหารราคานี้ในสนามบินด้วยหรือไร???
ข้าวจานละ 30 - 45 บาทเท่านั้น ถูกกว่าฟู้ดคอร์ทหลายแห่งในห้างอีกง่า
ซัดราดหน้ากะก๋วยจั๊บไปสองคนไม่ถึงร้อยบาทเยี่ยมค่ะ อิ่มอร่อยเริ่ด Smiley



เกือบตีห้าใกล้เวลาขึ้นเครื่องก็ไปรอที่เกจ
สำหรับ
United Airline จะมีการเช็คกระเป๋าก่อนขึ้นเครื่องอีกครั้งนะคะ
เค้าระบุเลยว่าหนึ่งคนสามารถหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องได้แค่หนึ่งใบ



เครื่องออกตามเวลาหกโมงตรงพอดิบพอดีเที่ยวบิน UA838 บินด้วยเครื่อง Boing777-200
แถวที่นั่งแบ่งแบบ 3-4-3 เค้าจองที่นั่งไว้ตั้งแต่ตอนจองตั๋วเค้าขอแบบ Window Seat ไว้ฮับ
เก้าอี้กว้างใช้ได้นั่งสบาย เค้าว่าเหมือนจะกว้างกว่าการบินไทยนิดนึงหล่ะ
อาหารบนเครื่อง
United Airline ขอบอกว่าอร่อยมว๊ากกกก!!!
ซัดข้าวแกงเขียวหวานไก่ รสชาติเข้มข้นเผ็ดกำลังดีนัวมั่กๆ ผลไม้ก็หวานฉ่ำ เออเริ่ดอ้ะ Smiley
ก่อนเครื่องลงมีแจกขนมปังแฮมชีสให้ทานเล่นอีกหนึ่งก้อนด้วย อ้วนกันตั้งแต่ขึ้นเครื่อง 555



หนังท้องตึงหนังตาหย่อนหลับยาวเลยจร้าาาา ขาไปใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงนิดๆ
ถึงญี่ปุ่นตอน 14.15 น. ตามเวลาที่นู่นซึ่งจะเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมงค่ะ



ลงจอดแล้ววู้วฮูววว แต่แหม่สภาพอากาศอึมครึมน่าดู
มีฝนตกปรอยๆพื้นแฉะๆอากาศเย็นๆอุณหภูมิประมาณ 15 องศา
วันที่เค้าไปเป็นวันที่พายุใต้ฝุ่นฟรานซิสโกเข้าญี่ปุ่นพอดีจึงจะมีฝนตกเป็นช่วงๆ
แต่ไม่ได้ซัดเข้าโตเกียวตรงๆจึงไม่อันตรายอะไรจ้า เครื่องบินไม่มีการเลื่อนไฟลท์ใดๆ

***สภาพอากาศของญี่ปุ่นเค้าเช็คจากเว็ปนี้แม่นเป๊ะฮับ
www.jma.go.jp/en/week/




สิ่งที่กลัวเกรงที่สุดของการไม่ต้องขอวีซ่าคือด่านตรวจคนเข้าเมือง
ได้ยินกิตติศัพท์มามากมายว่าแอบน่ากลัว เนื่องด้วยคนไทยหนีเข้าไปทำงานเยอะมากกก
เค้าจึงจะเข้มงวดเป็นพิเศษ เดินเข้าตม.ด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ
แต่ปรากฎว่า............เค้าไม่ตรวจอะไรเลยจ้า ไม่ถาม ไม่ขอเอกสาร ไม่อะไรทั้งนั้น
ปล่อยผ่านเข้าไปแบบงงๆ แถมยิ้มแย้มดูใจดีมากด้วย แอร๊ยยยยโล่ง
เค้าคิดว่าคงเป็นเพราะพาสปอร์ตเค้าเคยไปหลายประเทศอยู่
และมีวีซ่าเชงเก้นที่กำลังจะเดินทางเดือนหน้าอยู่ด้วยซึ่งดูก็รู้ว่าไม่แอบมาอยู่ญี่ปุ่นแน่ๆ
เลยผ่านฉลุย เฟี้ยว ฟึ่บ ปี๊บๆ ง่ายจนน่าตกใจ ดีใจอ้ะ  Smiley



หลุดรอดตม.มาปุ๊บ เปิดอินเตอร์เน็ตใช้ยังชีพเป็นปัจจัยที่ห้าก่อนเลย
เค้าเช่า Pocket Wifi มาจากไทย ของ //www.bs-mobile.jp/th
รับและคืนเครื่องได้ที่ไทยสะดวกมาก ในกทม.มีบริการแมสเซนเจอร์มาส่งและมารับฟรีฮะ
ราคา 1-7 วันแรกวันละ 280 บาท วันที่ 8 เป็นต้นไปวันละ 100 บาท
เค้าเลือกแบบไม่เอาประกันรวมแล้ว 16 วัน ราคารวมภาษีอยู่ที่ 3,061 บาท
ใช้เน็ต 4G ในญี่ปุ่นได้แบบไม่จำกัด แชร์ wifi ได้หลายเครื่อง
เปิดใช้ต่อเนื่องจะอยู่ได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง ก็อาศัยพก Power Bank ไปชาร์จระหว่างวันเอาค่า
แนะนำเลยของอันนี้เค้าว่าสะดวกดี และขอบอกว่าเน็ตในญี่ปุ่นไวเว่อร์คลิกปุ๊บมาปั๊บ
แต่ในสนามบินนาริตะเค้าก็มีบริการ
Free Wifi ให้น้า แต่ต้องไปขอรับพาสเวิร์ดตรงจุดที่กำหนดฮะ



หน้าตาปลั๊กไฟของญี่ปุ่นจะเป็นแค่สองขาแบนๆแบบนี้
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแค่สองรูไม่มีรูสายดินนะฮะ พกตัวแปลงหัวปลั๊กมาด้วยอย่าลืม
แต่พวกที่ชาร์ตไอโฟนไอแพดมิต้องห่วงเสียบใช้ได้เลย
กระแสไฟของที่นี่จะเป็น 110V ซึ่งบ้านเราคือ 220V
กระแสไฟที่ต่ำกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำไปจากบ้านเราสามารถใช้ได้ตามปกติฮะไม่มีปัญหา
แต่อย่างเค้าใช้ที่ม้วนผมจะรู้สึกว่ามันใช้เวลานานกว่าในการวอร์มเครื่องให้ร้อน
ไม่แน่ใจกว่าเกี่ยวกันไหม แต่สัมผัสได้จริงๆว่าร้อนช้ากว่าใช้ที่บ้านเรามาก



ภารกิจแรกเมื่อไปถึงญี่ปุ่นของการหาหนทางไปที่พัก
ซึ่งทริปนี้ในโตเกียวเค้าไปพักบ้านเพื่อนคนญี่ปุ่นเซฟค่าโรงแรมไปเยอะเลย ฮี่ๆ
เพื่อนบอกลายแทงมาว่าให้นั่งบัสมา ซึ่งบัสจะจอดตรงใกล้ๆทางไปบ้านเลย
สะดวกกว่านั่งรถไฟเพราะต้องไปต่อหลายสถานีซึ่งอาจจะเกิดการหลงทางได้ 555
ตั๋วรถซื้อได้ที่ Airport Limousine Bus Ticket นั่งไปลง Chofu Station
ราคาคนละ 3,200 เยน (ประมาณ 1,020 บาท) ค่าบัสแรงใช้ได้เลยจ้าถูกกว่าค่ารถไฟนิดเดียว



รถบัสมาแล้วได้รถเที่ยว 16.25 น. ใช้เวลาไป Chofu ประมาณสองชั่วโมงนิดๆ
นั่งหลับยาววววเลย ช่วงใกล้เข้าหน้าหนาวพระอาทิตย์ตกไวมากยังไม่ห้าโมงดีมึดซะละ
บนรถมี Free Wifi และมีห้องน้ำ ด้วยฮะ สะดวกสบาย
ขึ้นรถปุ๊บเจ้าหน้าที่จะเดินเช็คให้รัดเข็มขัดนิรภัยทุกคนรถถึงจะออก
ตุเรงๆไปจนถึง Chofu Station ได้สำเร็จเจอเพื่อนที่สถานีอุ่นใจแล้วเย้ๆ
จากสถานีเข้าไปบ้านเพื่อนนั่งแท็กซี่ไปอีกไม่ไกล ถ้าไม่มีสัมภาระและฝนไม่ตกก็เดินไหวอยู่
ค่าแท็กซี่ที่นี่สตาร์ทที่ 710 เยน (ประมาณ 230 บาท) แรว๊งงงง!!!



เก็บสัมภาระที่บ้านเพื่อนเรียบร้อยเพื่อนก็พาเดินออกมาหาอะไรหม่ำง่ายๆใกล้ๆบ้าน
ณ ร้าน Cafe Restaurant Gusto เป็นร้านที่มีหลายสาขาทั่วญี่ปุ่น ปิดตีสองดึกดีฮะ
ในร้านจะมีโซนที่นั่งสำหรับคนสูบบุหรี่ด้วยกันไว้เป็นโซนฝั่งนึงเลย
ซึ่งจากการสังเกตของเค้าพบกว่าผู้ชายที่นี่สูบบุหรี่เยอะมากกกกนะ
และชอบสูบเวลาทานอาหารหรือขับรถ สูบบุหรี่กันจัดน่าดู ผู้หญิงก็ไม่เบาแต่ไม่เยอะเท่าผู้ชาย



มื้อแรก ณ แดนปลาดิบ ชีสแฮมเบิร์ก กะ อุด้งกิมจิ เอ๊ะมันใช่เหรอญี่ปุ่นเหรอ555
ร้านนี้อาหารจะออกแนวอาหารฝรั่งนิดๆปนเกาหลีหน่อยๆไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นอ่าจ้า
ไม่เป็นไรรสชาติดีราคารับได้ ตกจานละประมาณ 600-800 เยน (ราคาไม่เกิน 250 บาท)



ระหว่างทางเดินกลับเข้าบ้านเพื่อนพาแวะไหว้ศาลเจ้าเล็กๆ
บรรยากาศตอนกลางคืน ฝนพรำๆ แสงสลัวๆบอกเลยว่าแอบกลัว แหะๆ



แวะสวรรค์ของหมูตอนอยู่ญี่ปุ่น ท๊า ดา 7-11 นั่นเอ๊ง!!!
อยู่ไทยได้ฉายาเจ้าแม่ 7-11 ชวนชิมของอร่อยในเซเว่นอยู่เสมอ
มาญี่ปุ่นไม่ยอมให้เสียชื่อทัวร์เซเว่นมันซะเกือบทุกวัน คือของกินเยอะมากหมูฟิน Smiley
เซเว่นเค้าเน้นของกินจริงจังนะมีผักผลไม้สดขายด้วย ข้าวกล่องหน้าตาอลังการ
ความเด็ดอีกหนึ่งอย่างคือ "โอเด้ง" ราคาไม่แรงด้วยชิ้นละ 75-110 เยน
หลายคนการันตีมาว่าโอเด้งเค้าอร่อยจริงจัง ยิ่งกินตอนอากาศหนาวๆนะยิ่งเด็ด!



จากการทดลองของเค้าพูดได้เลยว่าสำหรับโอเด้ง 7-11 ชิคุวะชนะเลิศ!!!
ติดใจเรียกได้ว่าใกล้จะเสพย์ติด เดินเข้าทีไรมือจะไปคว้าชิคุวะมาจ่ายตังเรื่อยเลย 555



ฝั่งตรงข้ามเซเว่นมีอีกหนึ่งร้านเด็ด Lawson100 อันนี้จะกึ่งเป็นซุปเปอร์มาเก็ตเล็กๆ
ของข้าวของเครื่องใช้ของกินทุกสิ่งอย่าง เด็ดตรงมีมันเผาขายด้วยฮะ
ตอนนี้เค้าเห็นบ้านเราก็มีร้าน Lawson แล้วนะ เป็นการร่วมทุนระหว่าง 108Shop ของสหพัฒฑ์
กับ Lawson ของญี่ปุ่น จึงออกมาเป็น Lowson108 ซึ่งจะมาแทน 108Shop ทั้งหมดฮะ
เค้าเห็นตรงริมถนนเพชรบุรี กะตรงรถไฟฟ้าใต้ดินพระรามเก้า มีพวกเบเกอรี่ของตัวเองด้วยน่าลองๆ



และของติดไม้ติดมือที่สอยมาจากเซเว่นก็คือ.........โยเกิร์ตเมจิเจมส์จินั่นเอง อิอิ
ได้ยินหลายคนบอกว่าของญี่ปุ่นอร่อยกว่า มาถึงปุ๊บจัดมาลองปั๊บ
ถ้าเป็นรสปกติที่นี่จะมีแค่สีฟ้าสีเดียวไม่เหมือนบ้านเราที่มีรสธรรมชาติกับรสกลมกล่อม
เค้าว่าเนื้อก็เนียนนุ่มคล้ายๆกับของบ้านเรานะ แค่ของเค้าสีฟ้าจะเป็นแบบใส่น้ำตาล
แต่รสจะหวานน้อยกว่าสีเขียวรสกลมกล่อมของบ้านเรา ราคาถ้วยละ 110 เยน (35 บาท)
ไม่แพงเลยเพราะถ้วยใหญ่กว่าบ้านเราซัดคนเดียวหนึ่งถ้วยอิ่มจุใจอาหย่อยชอบตรงไม่หวานมาก
อีกอย่างที่แนะนำคือพุดดิ้งของ 7-11 นี่แหละ สี่ถ้วยราคาแค่ 198 เยน (63 บาท)
เนื้อเนียนนุ่มหวานมันที่สำคัญเฉลี่ยแล้วตกถ้วยละแค่ 16 บาทเองอ้ะ เริ่ดตรงเน้ๆ 555



อิ่มแปร้หมดหนึ่งวันกับการเดินทางจากสนามบินมาบ้านเพื่อนและหาอะไรหม่ำ
บอกแล้วว่าทริปนี้เน้นชิลๆ อิอิ ห้องนอนคืนนี้ปูฟูกนอนพื้นซุกตัวใต้ผ้าห่มอุ่นๆหลับสบาย
お休みなさい : oyasuminasai : Good Night : ราตรีสวัสดิ์ค่า...Zz.ZzZ Smiley



お早よう : Ohayō : Good Moring : สวัสดีตอนเช้าค่า Smiley
เช้าวันนี้ตื่นมาพบสายฝนโปรยปรายกับอุณหภูมิ 13 องศา
ถ้าวันไหนมีฝนอุณภูมิจะลดต่ำลงเล็กน้อยหรือไม่ก็รู้สึกหนาวกว่าปกติ
เทียบกับวันที่อุณหภูมิเท่ากัน หนาวฝนอ่าเนอะ เย็นๆแฉะๆ



My Makeup TodaY
[26/10/2013] ใสๆเบาๆแบ๊วๆกับตาโทนสีน้ำตาลเบสิกๆ
เวลาไปเที่ยวถ้าต้องไปเมืองที่อากาศเย็นเค้าจะจัดสกินแคร์เน้นชุ่มชื่นแบบจัดเต็ม
เพราะเค้าผิวแห้งต้องอัดมอยส์เจอร์หนักๆไว้ผิวจะได้ชุ่มอยู่เสมอทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้นฮับ



My Outfit TodaY อากาศเย็นๆด้านในใส่ Uniqlo Heattech แขนขาว
ทับด้วยเสื้อแขนยาวสีแดงทับแจ็กเก็ตหนังยี่ห้อ Yishion ซื้อที่โรบินสันพระรามเก้า
ตอนเซลล์ 20% เหลือตัวละประมาณ 1,9XX บาท ด้านในบุขนนุ่มนิ่ม
เฟอร์ที่คอถอดออกได้ ใส่แล้วอุ่นมากชอบๆแต่ใส่บ้านเรามิได้ร้อนเกิน555
เลกกิ้ง Heattech ทับด้วยกระโปรงลายสก็อตสีเทา หมวกของ H&M ซื้อที่ฮ่องกงร้อยกว่าบาท
รองเท้าของ Maxstar สั่งจากเว็ปของเกาหลี //www.maxstarstore.com/
ค่ารองเท้า+ค่าส่ง+ภาษีตกคู่ละสองพันต้นๆ พื้นหนาเท่ากันหมดใส่สบายมากๆๆไม่เมื่อยเลยเลิฟๆ
กระเป๋า Charles & Keithสอยมาจากสิงคโปร์ใบละประมาณสองพันกว่าบาท
ดูเหมือนใบไม่ใหญ่มากแต่จุสุดๆใส่กล้อง กระเป๋าตัง ไอแพด คสอ. ยัดลงไปได้ครบหมดฮับ

***กล้องที่เค้าใช้ Sony NEX-F3 ส่วนกล้องตัวใหญ่ที่คุณแฟนใช้ Nikon D300
เลนส์ Sigma 17-50 + Nikkor 85mm f1.8 + Nikkor 10.5mm
ภาพที่ลงในบล็อคจะปนๆกันมีทั้งภาพจากกล้องเค้าและกล้องคุณแฟนจ้า



วันนี้จะเข้าไปลุยในเมืองด้วยการนั่งรถไฟ
ครั้งแรก ฮี่ๆ
รถไฟในญี่ปุ่นจะแบ่งตามบริษัทซึ่งที่เราจะเห็นบ่อยๆก็มี
 - Japan Railways (JR)
 - Tokyo Metro (Subway)
 - Toei Subway
 - Keio Railways
 - Tokyu Railways
 - Odakyu Railways

ซึ่งบ้านเพื่อนเค้าอยู่นอกเส้น JR จะเป็นรถไฟของ Keio
วิธีการซื้อตั๋วรถใช้การกดตู้อัตโนมัติไม่ยากเลยจ้าเพราะมีปุ่มให้เลือกภาษา English
กดเลือกตั๋วโดยดูตามราคา ทำการหยอดเงินเข้าไปก็จะได้บัตรออกมาพร้อมเงินทอน
แต่ประเด็นความยากอยู่ที่การหาว่าสถานีที่เราจะลงเนี่ยราคาเท่าไหร่??? Smiley
Smiley Smiley
เพราะบางสถานีผังเส้นทางรถไฟเค้าจะมีภาษาอังกฤษตัวจี๊ดๆ แต่บางสถานีภาษาญี่ปุ่นล้วนเลยจร้า
แต่ปัญหานี้จะหมดไป เค้ามีทางออกที่ง่ายที่ซู้ดดดดในการนั่งรถไฟในญี่ปุ่นมาฝากกัน
บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด ประหยัดเวลา ชัวร์แม่นเป๊ะ ไม่มีพลาดและไม่มีหลง Smiley
วิธีการที่ว่าคือ.........ถามเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟเลยคร๊าบบบ
ไม่ต้องอายไม่ต้องกลัวเจ้าหน้าที่ใจดีเค้าพร้อมช่วยเหลือเราเสมอ
เจ้าหน้าที่จะอยู่ตรงตู้ข้างช่องเสียบตั๋ว ภาษาที่ใช้ง่ายๆสั้นๆ
บอกจุดมุุ่งหมายสถานี้ปลายทางพร้อมถามว่า How Much? and Which Station?
แค่นี้เลยเราจะได้ราคาตั๋วที่ต้องซื้อและหมายเลขชานชลาที่จะต้องขึ้น
รับประกันว่าไม่มีพลาดไม่มีหลง ไม่ต้องยืนจ้องผังรถไฟที่วกวนยังกะเขาวงกตจนตาลาย
เค้าใช้วิธีนี้เซฟเวลาในการเดินทางไปอีกเยอะ จากตอนแรกที่หลงมั่วมาแล้วหลายครา555
ตั๋วรถไฟเค้าจะเป็นกระดาษใบเล็กๆแสดงราคาที่เราเลือกกดออกมา
ก่อนเข้าเสียบบัตรเข้าไปเครื่องจะคืนตั๋วออกมาอีกฝั่งโดยจะเจาะรูที่บัตร
ส่วนทางออกก็เสียบบัตรเข้าไปเครื่องจะดูดบัตรปรื้ดเข้าไปเลยจบข่าวง่ายนิดเดียว
ถ้าเรากดผิดหรือนั่งเกินสถานีอันนี้ไม่มีปัญหา ตอนก่อนออกให้ยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่
แล้วถามเค้าว่าต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ How much do I have to pay more?
จ่ายเพิ่มแล้วออกตรงช่องข้างตู้ของเจ้าหน้าที่สถานีได้เลยไม่ต้องเสียบบัตรฮับ



รถไฟของที่นี่ค่อนข้างเก่าแต่สะอาดสะอ้านดีมาก
บนรถเค้าไม่มีทานอาหาร พูดคุยกันได้แต่ไม่พูดคุยเสียงดัง
ไม่คุยโทรศัพท์ (โดยเด็ดขาด) การรับโทรศัพท์บนรถไฟ
สำหรับคนญี่ปุ่นถือกว่าเสียมารยาทมากๆจ้า



มาถึงสถานีเป้าหมายของเราวันนี้ย่าน "Akihabara"
เป็นย่านดังศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย



รวมถึงเป็นแหล่งรวมตัวของชาวโอตาคุ เพราะเป็นแหล่งของเกมส์
การ์ตูน อนิเมะ สาวเมด โดจิน เฮนไต สาววาย ฯลฯ ฮี่ๆ



สาเหตุที่มาย่านอะกิฮะบะระวันนี้เพราะร้านนี้เลย
ร้านขายอุปกรณ์เครื่องบินบังคับ สวรรค์ของคุณแฟนอิชั้น หุหุ
ได้มาสวรรค์วันเดียวนี่แหละ วันที่เหลือของอิชั้นล้วนๆ555



ใครมาเดินเล่นย่านนี้แนะนำลองแวะร้านของฝาก Chabara ดูนะค้าบ
ของในร้านจะเป็นขนม&อาหารแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น
เริ่ดตรงที่ชิมได้แทบจะทุกอย่าง เดินวนๆรอบร้านเรียกได้ว่าอิ่ม 555



ถั่วเคลือบอันนี้เค้าชอบบบบบ Smiley เคลือบหลากรสมว๊ากกก
ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแล็ต ชาเขียว ชีส คาราเมล กาแฟ ส้มยูสุ ชีสเค้ก ฯลฯ
มีให้ชิมทุกรสชิมครบทุกรสอิ่มพอดี แต่เค้าก็อุดหนุนกลับมาน้าชอบรสคาราเมล กะ ช็อคโกแลต
ความเด็ดอยู่ตรงแป้งที่เคลือบถั่วกรอบๆฟูๆอธิบายไม่ถูกไปลองชิมกันดูน้า



อีกหนึ่งอย่างที่พลาดแล้วถือว่าผิด!!! นั่นก็คือมันหวานเผา
กรี้ดดดดดดดดดดดสุดๆของโปรดเค้าเลยอ้ะเนื้อมันหนึบๆ
ความหวานนี่อย่าให้เซ่ด นึกว่ามันเชื่อม อากาศหนาวๆได้มันอุ่นๆฟินมว๊าก Smiley



จาก Akihabara ย้ายไปสู่ย่าน Shinjuku นี่หล่ะตัวอย่างผังรถไฟไร้ภาษาอังกฤษ
แต่หาใช่ปัญหาไม่เดินไปถามเจ้าหน้าที่โลดไม่มีหลงหมูคอนเฟิร์ม!



มาถึงย่านชอปปิ้งชื่อดังแหล่งรวมแฟชั่นอันแสนขวักไขว่ ชินจูกุ..กุ....กุ.......กุ



มื้อเย็นวันนี้ฝากท้องไว้ที่ร้าน Asahisushi ณ Tokyo Tower, Shibuya
เป็นร้านที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของเค้าบอกว่าอร่อยและราคาไม่แรงมากมาชิมกันเล้ยยย



เค้าสั่งเซ็ตนี้มาแบ่งกันหม่ำกะคุณแฟน เซ็ตนี้ราคา 2,730 yen (866 บาท)



ในเซ็ตมีไข่ตุ๋นเสิร์ฟมาให้ด้วยถ้วยนึง อูยยยย....ไข่ตุ๋นเนื้อเนียนนุ่มเว่อร์ Smiley



การทานซูชิในญี่ปุ่นครั้งแรกทำให้รู้ว่าเนื้อส่วนท้องของทูน่า(โทโร่) มันอร่อยมว๊ากกกก!!!
ปกติปลาดิบที่เค้าทานจะคือแซลมอน แต่มานี่สะบัดบ๊อบใส่แซลมอนเลยอ้ะ
โทโร่ชนะเลิศเข้าใจแล้วคำว่าละลายในปากคืออะไร
นอกจากทูน่ากุ้งยักษ์ตัวตรงกลางจานก็เริ่ดฝุดๆ เนื้อหวานกร๊อบ กรอบ

อร๊ากกกกเขียนบล็อคไปน้ำลายเยิ้มไป Smiley

การทานซูชิแบบญี่ปุ่นใช้มือจับหรือใช้ตะเกียบคีบก็ได้
ตอนสั่งเค้าจะให้เราเลือกว่าจะให้ปั้นแบบใส่วาซาบิมาเลยหรือให้แยกมา
โดยคนญี่ปุ่นเค้าจะไม่เอาวาซาบิไปละลายในโชยุกันนะฮ้าฟ
และเวลาจิ้มโชยุจะเอาด้านเนื้อปลาหรือด้านที่ไม่ใช่ข้าวลงไปจิ้ม
ที่ไม่เอาด้านข้าวจิ้มเพราะข้าวจะแตกและละลายกลายเป็นข้าวแกง555



จานนี้ของเพื่อนเค้าราคา 1,680 yen (533 บาท) น่าหม่ำม๊ายยย



ท้องอิ่มได้เวลาย่อยด้วยการชอปปิ้ง ฮี่ๆ เดินข้ามห้าแยกอันโด่งดังแห่งชิบูย่า
ที่ได้ชื่อว่าเป็นแยกที่มีคนเดินสวนกันบนทางม้าลายมากที่สุดในโลก!!!



เป้าหมายของเค้าคือ "Uniqlo" โฮ๊ะ! บ้านเราก็มีมาทำไมถึงนี่เนี๊ย
คือเค้าตั้งใจแล้วว่าจะมาสอยฮีทเทคกะเสื้อหนาวที่นี่
ราคาที่นี่ถูกกว่าไทยพอควรเลยโดยเฉพาะราคาเซลล์ ฮุฮิๆๆๆ
ซึ่งมีคนบอกเค้ามาว่าจะเซลล์มากสุดในวันเสาร์ อุ๊ตายมาได้จังหวะวันเสาร์พอดีเลย เริ่ด!
เสื้อฟรีซคอเต่าบ้านเราราคาปกติ 390 บาท ที่นี่ราคาปกติ 300 บาท
เสื้อมิชลิน Light Down แบบไม่มีเฟอร์ บ้านเราราคาปกติตัวละ 2,450 บาท
เค้ามาสอยที่นี่เจอแจ็คพ็อตลดราคาพอดีเหลือตัวละแค่ 4,990 yen หรือ 1,500 บาทเท่าน้านนน



เดินวนไปวนมาอยู่ชั่วโมงนึงได้มาตะกร้าพูนๆหมดไปสองหมื่นกว่าเยน แหะๆเบาๆโนะ



พระเจ้าแม่คุณเอ๊ย! นี่แค่วันที่สองของทริปหอบมาซะสามถุงใหญ่ๆ Smiley



เค้าไปช่วงก่อนฮาโลวีนประมาณสี่ห้าวัน
ที่ญี่ปุ่นคึกคักมากเริ่มแต่งตัวต้อนรับฮาโลวีนกันแล้ว



แซ่บอ้ะได้ใจไปเลย แต่งแบบนี้ ณ อากาศ 13 องศา!!!
อยากจะแกะเสื้อกันหนาวที่สอยจากยูนิโคล่ไปคลุมไหล่ให้เบาๆ 555



อีกหนึ่งภารกิจสำหรับวันนี้คือการตามหารองเท้าผ้าใบให้คุณแฟนเพื่อใช้ใส่เที่ยวในทริปนี้
บอกแล้วว่ามาชิลๆไปตายเอาดาบหน้าไม่มีอะไรมาซักกะอย่าง กรั่กๆ
เจอร้านแรกดูรองเท้าเยอะดีเดินเข้าไปส่องซักกะหน่อย ร้าน ASBEE ขวามือในรูปฮับ



ของเค้าดีจริงเข้าร้านแรกได้เลยจร้า NB คู่แรกในชีวิตของคุณแฟน
ไม่เคยใส่กะเค้าหรอก ไม่รู้จักรุ่น ไม่รู้จักอะไรทั้งนั้น รู้แต่เจอคู่นี้เห็นแล้วปิ๊ง
วัสดุเป็นหนังเลอะแล้วเช็ดได้ สีสันโดนใจ ใส่แล้วพอดีรูปเท้าจัดมาโลด 9,345 เยน (2,992 บาท)
กลับมาไทยเพิ่งจะรู้ว่ารุ่นนี้หายาก พื้นรองเท้าไม่เหมือนรุ่นอื่น เป็นพื้นแบบรองเท้าวิ่ง
ซึ่งคุณแฟนพิสูจน์แล้วจากทริปนี้ว่าเดินสบายจริงจัง จัดได้ว่าตาถึงนะนี่ อิอิ



มาถึงญี่ปุ่นต้องจัด "พุริคุระ" แต่ให้ตายเถอะตู้ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ
เพื่อนคนญี่ปุ่นเค้ายังงงๆแบบว่าวัยเกินกันทั้งสามคนเป็นการถ่ายตู้ที่เงอะๆงะๆ 555
ถ่ายออกมาใส แบ๊ว แอ๊วเว่อร์ ตาโต หน้าเนียน วีเชฟกันทุกคน
เจ๋งอ้ะติดใจนะแต่ไปเองถ่ายไม่เป็นชัวร์ ทักษะการมั่วเค้าต่ำเกิ๊น แหะๆ



ภารกิจสุดท้ายของวันนี้ รอเวลาจนใกล้เที่ยงคืน (27ตุลา)
ก็เดินถือเค้กวันเกิดมาเซอร์ไพรส์คุณแฟน ฮี่ๆ
ปีนี้พิเศษนะนี่ได้มาฉลองถึงญี่ปุ่น Happy Birthday นะคร๊าบบบ Smiley



เพื่อนใจดียกโหลยาดองลำยองมาให้ แอร๊ยมิใช่ 555
อันนี้เหล้าพีชแบบดองเองคล้ายๆอุเมะชูแต่เป็นกลิ่นพีช
เอามาให้ฉลองวันเกิดคุณแฟนกันแบบกรุบกริบ
บอกเลยว่ารสชาติชนะเลิศ ดองจากพีชสดกลิ่นหอมติดจมูกสุโค่ยยยย!!!
จบวันที่สองไปแบบแฮปปี้มีฟามสุข โอยาสุมินาไซค่า  Smiley

------------------------------------------------------------------------

อย่าลืมติดตามตอนต่อๆไปกันน้าทริปนี้ยังอีกยาวไกล
Smiley ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าค้าบ
Smiley





 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 12 มกราคม 2557 15:35:13 น.
Counter : 34640 Pageviews.  

Preview : ขี้เห่อเปิดถุงช้อปข้าวของที่สอยมาจากทริปญี่ปุ่นค่า




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 5 ธันวาคม 2556 0:32:51 น.
Counter : 2103 Pageviews.  

หมูพาชิม Tenya ร้านข้าวหน้าเทมปุระอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นเปิดสาขาแรกในไทยแล้วคร๊าบ!!!

สวัสดีค่าเปิดหมวดพาชิมเป็นเรื่องเป็นราวบล็อคแรกเลย
หลังจากพาเที่ยวไปชิมไป อิอิ หม่ำๆให้สมกับชื่อหมูน้อย
ร้านที่เค้าจะพาไปชิมวันนี้เป็นร้านข้าวหน้าเทมปุระชื่อดังอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น
ชื่อร้าน Tenya : เทนยะ ที่มาเปิดสาขาแรกนอกญี่ปุ่นคือที่ไทยนี่หล่ะ เริ่ดอ้ะ!
ไม่ต้องไปถึงญี่ปุ่น แต่ขับรถไปลองกันได้ที่เซ็นทรัลบางนา ป่ะไปชิมด้วยกัน
Smiley



เค้าไปวันงานเปิดร้านวันแรกเลย
ขอบคุณที่เชิญสาวๆไปลองหม่ำเทมปุระชื่อดังนะค๊า
ร้านตั้งอยู่ที่ เซ็นทรัลบางนา ชั้น 3 โซนพลาซ่า หน้าบันไดเลื่อนฮับ



บรรยากาศภายในร้าน ตกแต่งด้วยสีเบจ/น้ำเงิน



ก่อนหม่ำมาฟังประวัติของร้านกันซักนิด
ทางร้านบอกว่าร้านเทนยะที่ญี่ปุ่นจะรู้จักกันในชื่อ Tendon Tenya : เทนด้งเทนยะ
คำว่าเทนด้งย่อมาจากคำว่า Tempura Donburi : เทมปุระ ดมบุริ
ดมบุริแปลว่าชามหรือถ้วย สรุปแปลออกมาก็คือ ข้าวหน้าเทมปุระ นั่นเองค่า
ซึ่งร้านนี้มีสาขาที่ญี่ปุ่น 137 สาขา เปิดสาขาแรกตั้งแต่ปี 1989 อุ๊ตายตอนนั้นเค้าแค่สามขวบ 555
ซึ่งเค้าบอกรสชาติแบบต้นตำรับเลยคือที่หน้าวัดอะซากุสะ ในโตเกียว
ซึ่งเป็นย่านที่เป็นที่ตั้งของร้านเทมปุระดังๆรสชาติแบบดั้งเดิมจ้า



เปิดเมนูๆ เทมปุระล้วนๆ เพิ่งเคยทานเทมปุระในร้านข้าวหน้าเทมปุระครั้งแรกนะนี่
ปกติจะสั่งเทมปุระทานบ้างในร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป
ซึ่งเค้าบอกว่าเทมปุระจริงๆมันคนละแบบไม่เหมือนที่เราเลยกินกัน ต้องลองๆ







เมนูพร้อมราคาจะเห็นว่าราคาน่ารักน่าคบ 99-389 บาท
เลิฟค่ะ Smiley หมูนิยมราคาแบบน่าคบเพราะถ้าอร่อยมากแต่ราคาแพง
จะกินทีมันต้องคิดหนักนะเออ เปอร์เซ็นต์กินซ้ำจะน้อยกว่า หุหุ
จะบอกว่าเปิดเมนูมาสายตาจับจ้องของหวานเลยมีไอติมเทมปุระด้วย Smiley



น้ำมาเสิร์ฟก่อนเค้าสั่ง "Rose Berry Fizzy : โรสเบอร์รี่ฟิซซี่" (39.-)
เป็นน้ำอิตาเลียนโซดาที่ด้านบนเป็นโซดาด้านล่างเป็นน้ำเชื่อมเบอร์รี่หวานอมเปรี้ยวกลิ่นหอมๆ
เค้าให้น้ำเชื่อมมาเยอะคนๆกะโซดาแล้วต้องรอละลายหน่อยไม่งั้นรสหวานนำไปหน่อยจ้า
ได้แอบชิมน้ำชาเขียวมะนาวของพี่ฟี่ The MadKitty อันนั้นเด็ดเลยชาเขียวห๊อมหอม
ใส่น้ำมะนาวหวานอมเปรี้ยวกะลังดี ช่วยตัดเลี่ยนอาหารได้ดี มะนาวหอมเฟรชเหมือนมะนาวคั้นสดเลย



เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วยยำสาหร่ายญี่ปุ่นไข่กุ้ง (ถ้วยละ 29.-)
กินเล่นอย่างเพลินเลย สาหร่ายกรุบๆกรอบๆดีไม่แฉะน้ำจ้า



เมนูที่เค้าสั่งมาได้แก่ "เทนด้ง" (129.-)
ทางร้านบอกว่าคนปกติถ้าพูดถึงเทมปุระจะนึกถึงแต่กุ้ง
แต่จริงๆถ้าเป็นข้าวหน้าเทมปุระเค้าจะเรียกว่าเทนด้ง
ซึ่งจะต้องประกอบด้วย กุ้ง ปลาหมึก ปลา และผัก
ถ้ากุ้งอย่างเดียวจะเรียกว่า เอบิเทมปุระ (เอบิ=กุ้ง) จ้า
อย่างในชามนี้จะมีกุ้ง ปลาหมึก ปลาทราย ฟักทอง และถั่วแขก
เลือกสั่งจานนี้เพราะมีฟักทองของโปรด ฮี่ๆ Smiley



เครื่องเคียงที่เค้าสั่งมาทานด้วยกันคือ "ไข่เทมปุระ" (29.-) สุโค่ยยยย!!! กรีดร้องอ้ะ
ไข่ยางมะตูมเจาะแล้วไข่แดงเยิ้มออกมาแบบนี้ แค่เห็นก็ใจละลายๆๆๆๆๆๆ Smiley



มาว่ากันด้วยเรื่องของรสชาติ จุดเด่นของร้านนี้คือแป้งและซอส
ตัวแป้งที่นี่ไม่เหมือนที่เคยกินจริงๆแฮะ ปกติที่เคยกินแป้งจะแข็งๆกว่านี้
อันนี้คือกรอบ เบา นุ่มอ่าค่ะ กัดแล้วด้านนอกกรอบ ส่วนด้านในนุ่มฟู
แต่ทิ้งไว้พักนึงก็ยังกรอบไม่ได้นิ่มฮะ แต่จะกรอบลดลงเพราะซอสที่ราด
เทมปุระเป็นอะไรที่อร่อยสุดตอนทานร้อนๆเนอะ กรอบๆแบบพึ่งขึ้นจากกระทะ
แต่ต้องระวังลวกปากนะ เค้ากัดกุ้งเข้าไปแป้งกินไหวแต่กุ้งยังร้อนฉ่า 555
จุดเด่นอีกอย่างคือแป้งเค้าไม่อมน้ำมันเลย กินแล้วไม่รู้สึกมันๆในปาก
สิ่งที่เค้ากินแล้วรู้สึกว่าเด็ดสุดคือ "ซอส" รสชาติเค็มๆหวานๆกลมกล่อม
แต่ทางร้านจะราดซอสมาให้ไม่เยอะ เค้าว่าราดเยอะมันคงทำให้ไม่กรอบ
เค้าเลยขอซอสราดเพิ่มร้านเทมาให้ถ้วยนึง ดีใจ ราดเพิ่มลงไปแบบในภาพ
ทำให้เทมปุระมีรสมีชาติมากขึ้น น่าจะเพราะเราชินกับการกินอาหารรสจัดๆเนอะ
คนญี่ปุ่นเห็นอาจจะตกใจโฮะราดอะไรขนาดนั้น แหะๆ
ซอสที่ใช้ทางร้านบอกว่าอิมพอร์ทมาเลยเพราะเป็นสูตรลับจากโตเกียว
ไม่อนุญาตให้มาทำการปรุงเองที่นี่ เค้าอยากให้ได้รสเหมือนเราไปหม่ำมี่ญี่ปุ่นฮะ
ส่วนวัตถุดิบก็โอเคเลยกุ้งเค้าบอกเป็นกุ้งเลี้ยงจากฟาร์มพิเศษปลอดสารเคมี
เคี้ยวแล้วเนื้อเด้งกรอบดี (ลวกปากเค้าด้วย555) หมึกไม่เหนียว
ปลาก็โอเคแต่เค้าชอบกุ้งมากสุดนะ ส่วนผักเลิฟฟักทองเนื้อหนึบๆหวานๆกินกะซอสอย่อยมั่ก
ถั่วแขกก็กรอบดีจ้าแต่ไม่ค่อยนิยมถั่วเท่าไหร่ นั่งแทะฟักทองอย่างเพลิดเพลิน
ยิ่งเอาไข่เทมปุระที่ไข่แดงเยิ้มๆลงไปคลุกด้วยราดด้วยซอสชุ่มๆนะ ฟินเลย Smiley



จานนี้สั่งมาเป็นจานกลางแบ่งๆกันทาน "เทนยะสเปเชี่ยล" (389.-)
กุ้ง ปลาหมึก และปลาทราย อย่างละสี่ตัว
น้ำจิ้มเทมปุระเค้าอร่อยเข้มข้นดีใส่หัวไชเท้ากะขิงลงไปคนๆ
แต่เอาจริงๆเค้าชอบจิ้มซอสที่ราดเทมปุระมากกว่าแฮะ



จุดเด่นอีกอย่างของที่นี่คือมีเทมปุระที่เราไม่เคยเจอที่อื่นด้วย
อย่างเทมปุระหอยเชลล์ เทมปุระเห็ดไมทาเกะ
เค้าชอบเห็ดง่ะอยากให้มีแบบสั่งแยกเห็ดล้วน 555 Smiley



ที่นี่มีโซบะหรืออุด้งร้อน/เย็นด้วย พี่ฟี่ The MadKitty สั่งเซ็ตโซบะเย็นมาทาน
แอบชิมๆ เส้นหนึบใช้ได้ เป็นเส้นที่อิมพอร์ทมาจากญี่ปุ่นเลย แต่เค้าชอบแบบเส้นสดมากกว่า
น้ำที่ทานกะโซบะเข้มข้นมั่กติดเค็มหน่อย เค้าว่าวาซาบิเด็ดนะหอมฟุ้งขึ้นจมูกเลยแซ่บๆ



จานนี้เค้าเสิร์ฟมาให้ถ่ายรูปแอ๊บเด็ก 555 เป็น Kids Menu (119.-)
มีกุ้ง ไก่ มันฝรั่งและถั่วแขก ความน่ารักคือเสิร์ฟมาในรถด่วนชินคันเซ็นนี่แหละ



อู๊วววววชินคันเซ็นเทมปุระ 555 Smiley



ปิดท้ายด้วยของหวานล้างปากที่เล็งไว้ตั้งแต่ตอนได้เมนู "ไอศกรีมเทมปุระชาเขียว" (59.-)
คล้ายๆไอติมทอดที่เราเคยกินแต่แป้งเป็นแบบแป้งเทมปุระ คือกรอบฟูนุ่ม
เสิร์ฟปุ๊บต้องรีบทานปั๊บเพราะไอติมละลายไวอยู่จ้า ตัวแป้งจะมีรสหวานด้วย
ราดน้ำเชื่อม ด้านในไอติมชาเขียวหอมอร่อยเข้มข้นดี แต่พอทานรวมกันทั้งหมด
เค้าว่ารสชาติจะออกหวานไปหน่อย ถ้าคนชอบหวานๆคงชอบแต่เค้าชอบแบบไม่หวานมาก
เลยรู้สึกว่ารสมันหวานนำไปหน่อย คงเพราะตัวแป้งมีความหวานด้วยอ่าจ้า สั่งมาแบ่งๆกันดีกว่า
แต่เอาจริงๆเค้าคนเดียวก็กินหมดก้อนเลยนะ เรียกได้ว่าตะกละ 555 Smiley
แต่ได้ชิมอีกเมนูนึง"ไอศกรีมชาเขียวในน้ำเต้าหู้" อันนั้นอร่อยดีน้ำเต้าหู้ข้นเวอร์เป็นแบบไม่หวาน
กินกะติมชาเขียวและถั่วแดงหวานๆเข้ากันดี เหมาะกับคนไม่ชอบทานหวานมากจ้า



สรุป

- เทมปุระที่นี่แป้งอร่อยดีจ้ากรอบๆเบาๆที่สำคัญไม่อมน้ำมัน
แต่ด้วยความที่เป็นของทอดสำหรับเค้าทำให้กินได้ไม่เยอะมาก(เทียบกับปกติ อิอิ)
ของทอดกินเยอะๆมันจะเอือมง่ายอ่าเนอะ เทียบกับปริมาณที่ให้มาสั่งคนละชามกำลังดีค่ะ

- ซอสราดเทมปุระที่นี่หล่ะเด็ด เค้าชอบนะรสชาติเค็มๆหวานๆเข้มข้นกลมกล่อมดี
ชอบตอนราดกินกับไข่ออนเซ็นเทมปุระแจ่มกว่ากินกะโชยุมากอ้ะ
กรีดร้องดีใจก่อนกลับทางร้านให้ซอสกลับมาเป็นของที่ระลึกด้วย Smiley
ที่ญี่ปุ่นจะมีซอสเป็นขวดแบบนี้ขายด้วย แต่ที่ไทยกำลังแพลน
คาดว่าอนาคตอาจจะนำมาวางขายจ้า ตอนนี้ถ้าอยากทานต้องไปทานที่ร้านก่อนเนอะ

- สิ่งที่เค้าโอเคสุดคือคุณภาพอาหารเทียบกับราคา
วัตถุดิบเนื้อผักที่ใช้ดีเลย
ชามนึงเยอะอยู่กินอิ่มแปร้ ราคาไม่ถึงร้อยหรือร้อยต้นๆคือจ่ายได้แบบไม่ซีเรียสจ้า
เครื่องเคียงอย่างไข่ สาหร่าย ฯลฯ ราคาไม่แรง เคยเจอบางร้านเห็นราคาไม่กล้าแอดเพิ่มเลยกลัว!

- สาขาแรกที่เปิดคือเซ็นทรัลบางนาเค้าว่าไกลไปหน่อยง่า
แต่เค้าบอกว่าปลายปีนี้จะมาเปิดที่เซ็นทรัลลาดพร้าว เย้ๆรอๆสาขาใหม่
เปิดในเมืองเมื่อไหร่จะได้แวะไปหม่ำได้ง่ายๆ อยากไข่ออนเซ็นเทมปุระ Smiley



ปิดท้ายแถมด้วยโปรโมชั่นในช่วงนี้ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 56
1 ฟรี 1 คร๊าบบบ !!! คุ้มเว่อร์อ้ะตกชามละประมาณห้าสิบบาท Smiley

รายละเอียดหรือโปรโมชั่นอื่นๆเพิ่มเติมเข้าไปติดตามหรือสอบถามได้ที่

https://www.facebook.com/TenyaThailand

ขอบคุณร้านเทนยะที่เชิญไปชิมเทมปุระชื่อดังนะค๊า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมด้วยฮับ
แน่นอนว่าจะมีบล็อคพาชิมมาให้อ่านกันอีกเรื่อยๆ อย่าลืมติดตามกันน๊า

Smiley ขอบคุณค่า Smiley




 

Create Date : 13 ตุลาคม 2556    
Last Update : 18 ตุลาคม 2556 20:50:20 น.
Counter : 3213 Pageviews.  

Review : เชียงรายอินเลิฟภาคจบ ไร่ชาฉุยฟง พระตำหนักดอยตุง แม่สาย พม่า ชเวดากองจำลอง ถนนคนเดิน <3

  มาถึงภาคจบของทริปเชียงรายอินเลิฟของเค้า
ใครยังไม่ได้อ่านภาคแรกและภาครีวิวโรงแรมคลิกไปอ่านได้ตามลิงค์ด้านล่างจ้า

Smiley  Review : เชียงรายอินเลิฟภาคแรก หอนาฬิกา
วัดร่องขุ่น ไร่บุญรอด และพิพิธภัณฑ์บ้านดำจ้า <3

Smiley Review : Le Meridien Chiang Rai Resort <3
ตกหลุมรักรีสอร์ทสวยริมแม่น้ำกก


เริ่มต้นกันด้วยวันที่ 3 แพลนหลักของวันนี้คือ "แม่สาย"
หลังจากหม่ำมื้อเช้าในโรงแรมเรียบร้อยก็บึ่งรถออกไป
แต่ก่อนจะถึงแวะสายจะขอเที่ยวรายทางไปด้วยฮับ



เริ่มจากที่แรกได้แก่ "ไร่ชาฉุยฟง"

ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านพญาไพร ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง
ผู้ผลิตใบชารายใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย ส่งให้แบรนด์ที่เราคุ้นกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็น โออิชิ ลิปตัน ยูนิฟ ฯลฯ พื้นที่ใหญ่อลังการเป็นพันไร่
รายละเอียดเพิ่มเติมเข้าไปชมในเว็ปเค้าได้ที่
//www.chouifongtea.com จ้า



สาเหตุที่ไร่ชาแห่งนี้โด่งดังขึ้นมาก็เพราะ
เป็นโลเคชั่นที่ถ่ายทำละครเรื่อง "มัจจุราชสีน้ำผึ้ง"
ไร่พ่อเลี้ยงปัทที่พารจนาไฉนมาทรมานทรกรรมนั่นเอง อิอิ

แต่เดี๋ยวนะ! ภาพประกอบมันใช่ไหม 555



เค้าไปถึงประมาณสิบเอ็ดโมงกว่าๆแต่มีฝนพรำๆ
อากาศบนนั้นเลยเย็นชื่นใจเลย แอบหนาวนิดนึง
มองไปไกลๆ ภาพวิวเขียวๆมองแล้วสบายตาเนอะ



รจนาไฉนพาใครมาเก็บใบชา 555
ว่าแต่ตัวไหนคือรจนาไฉนเนี่ย???



มุ่งสู่จุดหมายต่อไป "พระตำหนักดอยตุง"
เส้นทางที่ไปคดเคี้ยวใช้ได้แต่โค้งไม่รุนแรงเท่าเชียงใหม่จ้า
นั่งดูวิวข้างทางไปเพลินๆบรรยากาศหลังฝนพรำดูสดชื๊น สดชื่น



ไร่ชากับพระตำหนักดอยตุงห่างกัน 22 กม.
และห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 60 กม. จ้า



จุดเด่นของที่นี่คือ
ความสวยงามของดอกไม้เมืองหนาว
ช่วงที่เค้าไปยังไม่ใช่หน้าหนาวซะทีเดียวแต่ดอกไม้ก็งามน้า สงสัยเพราะฝนโปรยปรายได้น้ำ



เค้าได้ขึ้นไปชมในส่วนของพระตำหนักดอยตุง
ซึ่งคิดค่าเข้าชมพระตำหนักรวมกับสวนแม่ฟ้าหลวงตกอยู่คนละ 180 บาท
ก่อนขึ้นชมพระตำหนักต้องแต่กายให้เรียบร้อยก่อน
โดยที่ทางขึ้นจะมีชุดให้นุ่งทับไม่เสียเงินจ้า แต่งออกมาสไตล์อ.เฉลิมชัยเป๊ะ อิอิ
ขอบอกว่าทางขึ้นพระตำหนักเป็นทางเดินขึ้นเนินประมาณ 300 เมตร
ไม่ได้ออกกำลังกายมานานเดินขึ้นไปถึงเล่นเอาเหนื่อยพอตัวเลย
กลับมาวันรุ่งขึ้นมีอาการปวดขาด้วย แหะๆ สมน้ำหน้าไม่ยอมออกกำลังกายดีนัก



พระตำหนักแห่งนี้ สมเด็จย่าสร้างขึ้นโดยใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
เน้นประโยชน์ใช้สอย ดีไซน์เรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น ด้านในเข้าชมได้แต่ห้ามถ่ายรูป
จากห้องโถงด้านในมองเห็นวิวเขาที่ด้านหลังเป็นประเทศพม่าด้วยอากาศดีสวยงามมากค่า



วิวด้านหน้าพระตำหนักเห็นตัวเมืองเชียงราย



ลงจากพระตำหนักมาหมดแรงหิวพอดี
แวะทานข้าวที่ห้องอาหารดอยตุง ลักษณะเหมือนโรงอาหาร
ดูป้ายราคาก็ปกติดีแต่ไหงสั่งมาทานมื้อนี้แพงสุดในทริปนี้เลยน๊อ
คือเทียบปริมาณอาหารกะราคาแล้วแอบตกใจ
ตามที่เห็นด้านบนเลยมีน้ำพริกหนุ่ม ไข่ต้ม หมูหวาน
ข้าวเปล่าสองจาน สไปรท์กะชาเย็น หมดไปเกือบสี่ร้อยบาท !!! หมูช็อค



อิ่มท้องไปแบบงงๆก็เดินเข้ามาชมในส่วนของสวนแม่ฟ้าหลวง
เพราะซื้อตั๋วเอาไว้แล้วตอนที่เข้าพระตำหนัก
ตอนเค้าไปเหมือนกำลังลงดอกไม้เพิ่มอยู่เลยยังดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่จ้า หรอมแหรมๆ



ดอกอะไรใหญ่เท่าหน้า! ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นกุหลาบพันปีนะฮะ
ดอกใหญ่จนก้านรับน้ำหนักไม่ไหวหัวทิ่มลงต้องเอาไม้ดามเกือบทุกดอกเลยใหญ่จริงอะไรจริง



แดดเริ่มมาฟ้าเริ่มใสเย้ๆ แดดมาแล้วดูสวยขึ้นเยอะ แต่ร้อนขึ้นแยะเลย แหะๆ



ได้เวลามุ่งสู่แม่สายกัน ทริปนี้เป็นทริปอินเตอร์เนชั่นแนลเพราะเราจะไปเยือนต่างแดนกัน 555
ไปเยือนประเทศเพื่อนบ้านพม่านั่นเอง ก่อนจะข้ามแดนต้องไปทำหนังสือผ่านแดนซะก่อน
ณ ที่ว่างการอำเภอแม่สาย ใช้เพียงบัตรประชาชนเท่านั้นพาสปอร์ตไม่ต้อง
มีค่าทำหนังสือผ่านแดนคนละ 30 บาท จะได้เป็นเอกสารปรินท์ไซส์เอสี่คนละใบแบบนี้จ้า



มองเห็นซุ้มด้านหน้าแล้วผ่านซุ้มเข้าไปก็คือเขตแดนของประเทศพม่า
เราสามารถนำรถข้ามไปได้แต่จะต้องทำเรื่องมาก่อนตั้งแต่ตอนทำหนังสือผ่านแดน



เค้าไม่กะเอารถข้ามไปเลยไปวนหาที่จอดแบบงงๆ
ได้ที่จอดของเอกชน 40 บาท ในตลาดสายลมจอย
ที่จอดตรงนี้มีห้องน้ำด้วยแต่ค่าเข้าคนละ 5 บาทจ้า



เดินผ่านจุดตรวจบัตรผ่านแดนดูให้หน้าตาตรงกันเป็นอันโอเค
แค่นี้ก็ข้ามไปสู่ต่างประเทศได้แล้ว ฮี่ๆ ก่อนเข้าประเทศพม่า
มีจ่ายค่าเข้าอีกสิบบาทให้กับทางฝั่งพม่านะฮะ



ผ่านเข้าไปปุ๊บสิ่งแรกเลยที่จะโดนคือการมาตื๊อให้นั่งรถเช่าสามล้อ
ซึ่งด้านหน้าๆด่านตรวจจะตื๊อได้เวิ่นเวอน่ารำคาญมาก
เค้าจะพยายามบอกเราว่าเดินไปก็ไม่มีอะไรนั่งรถไปดีกว่า
ซึ่งราคาจะบอกเราอยู่ที่ 250-300 บาท มีการบอกว่านี่ราคาพิเศษด้วยนะ
แต่แนะนำว่าให้เดินข้ามสะพานเข้าไปนิด ทางขวามือจะมีรถแบบเดียวกันจอดเรียงๆอยู่
ตรงนี้ไม่ตื๊อไม่วุ่นวายจ้าเดินไปถามราคาได้เลยแค่ 150 บาทเท่านั้น!!!
นั่งชมเมืองสบายๆแวะแหล่งท่องเที่ยวพอเป็นพิธี
คนที่นี่พูดไทยกันหมดฮะมีทั้งคนไทยทั้งคนพม่า เงินที่จ่ายก็ใช้เงินบาทเราได้เลย



นั่งรถชมเมือง บ้านเมืองเค้าอาคารบ้านช่องก็เหมือนเรานี่หล่ะ
จุดแรกที่แวะไปคือวัด......จำชื่อวัดมิได้ แหะๆ อ่านก็ไม่ออก



วัดแบบพม่าจะเน้นหลังคาสีทองอร่าม
เวลาแดดสาดลงมาดูสวยอลังการงานสร้างมากเลย



แต่ด้านในจะดูเรียบง่ายกว่าวัดบ้านเราไม่มีจิตกรรมฝาผนัง
ช่วงที่เค้าไปมีคนมาถือศีลอยู่วัดกันเยอะเลย



คงเป็นวัดที่เน้นพาคนไทยมาเยี่ยมชมจริงๆ
ตู้บริจาคเขียนภาษาไทยชัดเจนอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร



จุดที่สองที่แวะไปเค้าประทับใจนะสวยเลยหล่ะคือ "เจดีย์ชเวดากองจำลอง"
ไซส์เล็กกว่าของจริงที่ย่างกุ้งเยอะอยู่ถ้าเค้าจำไม่ผิดประมาณ 3 เท่า
เจดีย์เล็กรอบๆองค์จริงมี 108 แต่จำลองมี 24 เจดีย์ เชื่อว่าของจริงคงต้องอลังการมาก
เพราะของจริงนี่เป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของพม่าที่ห่อหุ้มด้วยทองกว่า 23 ตัน!!!



แดดมาได้ฟ้าสีฟ้าตัดกับองค์เจดีย์สีทองอร่ามงามเนอะ
แต่ขอบอกว่าร้อนแสบใช้ได้เลยเพราะต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าจ้า
จะมีที่ให้ฝากรองเท้าซึ่งตอนออกเพิ่งรู้คิดเงินด้วย คู่ละ บาท



รอบเจดีย์จะมีให้ไหว้พระตามวันเกิด
เค้าเกิดวันจันทร์เหมือนกันเลยไว้องค์เดียวกัน
สัตว์นำโชคลาภเป็นเสือตรงกับปีเกิดพอดีด้วยบังเอิญจริง



แวะไหว้พระเค้าบอกว่าพระที่นี่ศักดิ์สิทธิ์
ที่เรียงอยู่สามองค์ด้านบนคือองค์เทพทันใจ
ขออะไรก็ได้ 1 ข้อ ชาวพม่าเชื่อกันว่าอธิษฐานแล้วจะสมปรารถนา
ซึ่งก่อนมาเที่ยวเห็นแม่บ่นว่าไม่สบายตัวอาการวัยทองกำเริบเวียนหัวทั้งวัน
เลยอธิษฐานให้อาการของแม่ดีขึ้น ก่อนออกจากพม่าโทรหาแม่ถามว่าวันนี้เป็นไงมั่ง
แม่บอกเนี่ยอาการเวียนหัวเพิ่งหายเลย ดีขึ้นละ อันนี้ก็ไม่รู้จริงไหมแต่แม่ดีขึ้นเค้าก็ดีใจ Smiley



ภาพคู่ด้านบนถ่ายโดยฝีมือสาวพม่าที่เค้าจะมาเดินกางร่มให้เรา
พร้อมเล่าประวัตินิดๆหน่อยๆเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
ซึ่งพอชมครบโดยรอบแล้วเค้าจะมีการเสนอขายของที่ระลึกให้เราช่วยอุดหนุน
แต่เค้าให้เป็นเงินสองสาวนี่ไปแทนไม่ได้เอาของที่ระลึก
ให้ไปร้อยนึงเพราะสองสาวน่ารักดีพูดจาน่ารักไม่ฮาร์ดเซลล์ อิอิ



วัดต่อมาหน้าตาไม่เหมือนกับที่เราคุ้นเคย ด้านหน้าวัดเขียนว่า
"Union Of Myanmar Township Dhammayon Tachileik"
ด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระหยกขาว และพระสามมิติ
องค์เล็กๆด้านล่าง ซึ่งไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหนสายตาของพระพุทธรูป
จะเหมือนมองตามเราไปด้วย แต่เค้าไม่ได้เข้าไปชมใกล้ๆ
เกรงใจชาวบ้านที่มาสวดมนต์กันอยู่เลยได้แค่ไหว้ห่างๆอยู่ด้านหลัง
จริงๆโปรแกรมสุดท้ายจะมีการพาไปชมบ้านกระเหรี่ยงคอยาวด้วย
ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชม แต่เค้าไปช่วงเย็นใกล้ปิดละเลยไม่ได้แวะไป
นั่งรถเที่ยวเพลินๆใช้เวลาไปทั้งหมดประมาณ 50 นาทีจ้า



ปิดท้ายด้วยการเดินชอปปิ้งในตลาดท่าขี้เหล็ก
ซึ่งก็คือตลาดฝั่งพม่า ถ้าฝั่งไทยก็คือตลาดแม่สายจ้า
เห็นเค้าว่าของฝั่งนี้ถูกกว่าฝั่งแม่สายนิดหน่อย
จริงเปล่าไม่รู้เพราะของที่ขายส่วนใหญ่เป็นของก๊อปแบรนด์
ซึ่งเค้าไม่ใช่แนวเค้าเลยมิได้สำรวจตลาดเดินเล่นเอาให้รู้ว่าเป็นไงอ่าฮับ



เกือบห้าโมงได้เวลากลับฝั่งไทยแล้วบ๊าย บาย เมียนมาร์ Smiley



จากแม่สายกลับไปตัวเมืองเชียงรายประมาณ 60 กิโล
เลยแวะซื้อผลไม้ตรงแม่สายพร้อมเกาลัดคั่วใหม่ๆไว้หม่ำระหว่างทาง
ผลไม้ที่นี่ราคาโอเคเลยมีทั้ง พีช พลับ ลูกไหน พุทราของโปรดคุณแฟนทั้งนั้น
ส่วนเกาลัดเค้าว่าราคาถูกดีหอมอร่อยลูกใหญ่ด้วยโลละร้อยเดียว



กลับมาถึงเชียงรายหัวค่ำๆพอดีได้เวลามื้อเย็น
เย็นนี้ทานดินเนอร์กันที่ "ร้านข้าวต้มมีนา"
ตั้งอยู่บนถนนบรรพปราการ ขับจากหอนาฬิกามาทางวัดศรีเกิดค่ะ



ร้านนี้ไม่มีเมนูต้องเดินไปสั่งที่หน้าร้านก่อนแล้วค่อยเดินไปเลือกหาที่นั่ง



เค้าสั่งมาทั้งหมดสี่อย่าง คือ ยอดมะระผัดน้ำมันหอย หมูแดงเต้าหู้
เห็ดหูหนูผัดไข่กะพริกหนุ่ม และต้มจืดปลาเค็มเต้าหู้หมูสับ
ขอบอกว่ารสชาติดีกลมกล่อมทุกสิ่งอย่าง รสชาติหมูแดงกะเต้าหู้คล้ายๆขาหมู
ส่วนเห็ดหูหนูผัดกินเพลินๆไว้จะลองทำบ้าง ฮี่ๆ
คิดเงินมามีข้าวสวยสองโค้กอีกหนึ่งรวมแล้วแค่ 265 บาทเท่านั้นราคาน่าคบมั่กๆ
เป็นร้านข้าวต้มเก๋ๆที่มี wifi ให้เล่นฟรีด้วย 555



ปิดท้ายดินเนอร์ด้วยการหาของหวานล้างปาก
ขับมาทานร้านนี้ตรงห้าแยกพ่อขุนเพราะขับผ่านเมื่อวันก่อน
เห็นมีเขียนว่าทับทิมกรอบของโปรดเค้าเลยอยากลอง อิอิ
สั่งไอติมกะทิทับทิมกรอบ ทับทิมดันหมด ฮือออออ
เลยเอาเป็นไอติมกะทิรวมมิตรมาแทน
ตัวไอติมเข้มข้นหวานมันเลยเนื้อแบบไอติมโบราณละลายไวหน่อย
ส่วนเครื่องก็เป็นของเชื่อมทั่วไปถ้าได้ทับทิมกรอบคงฟินกว่านี้
ราคาถ้วยละ 20 บาทจ้า อิ่มอร่อยกลับโรงแรมนอนได้ Smiley



วันสุดท้ายในเชียงรายเริ่มต้นแบบชิลๆด้วยการทำสปาในโรงแรม
รายละเอียดการทำสปาของเค้าอ่านได้ในลิงค์ด้านล่างนี้ฮับ

Review : Le Meridien Chiang Rai Resort <3 ตกหลุมรักรีสอร์ทสวยริมแม่น้ำกก




ชิลกะสปาเกือบถึงบ่ายสี่ก็จรลีออกจากโรงแรมมาหามื้อก้ำกึ่งทานกัน 555
จะมื้อเที่ยงก็ไม่ใช่ จะมื้อเย็นก็ไม่เชิง โดยทานกันที่ร้านอาหารพื้นเมือง "สลุงคำ" จ้า
ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินติดกับโรงเรียนสันติวิทยาคมไม่ไกลจากห้าแยกพ่อขุน



สั่งมาลองทั้งหมด 4 เมนู ได้แก่ วุ้นเส้นผัดไข่เค็มดิบกุ้งสด<<<เด็ดมากกกลมกล่อมเค้าปลื้ม
แกงเผ็ดไก่บ้านยอดมะพร้าว<<<อันนี้เหมือนแกงกะทิปกติไม่เผ็ดง่าแต่ก็อร่อยดี
น้ำพริกเผากุ้งไข่ต้ม<<<รสชาติดีค่ะแต่น้ำมันพริกเยอะไปนิดจะเอือมง่ายหม่ำๆกะผัก
สุดท้ายคืออกเป็ดรมควัน<<<เฉยๆแฮะไม่มีน้ำจิ้มเค้าเลยขอน้ำจิ้มแจ่วมาจิ้มค่อยมีรสชาติหน่อย
สรุปอาหารรวมๆรสชาติดีเลยราคารวมข้าวและน้ำมื้อนี้ 615 บาทจ้า
ถือว่าไม่แพงเทียบกับรสชาติถูกปากและปริมาณต่อจานที่ให้เยอะจริงเล่นเอาจุกเลย อิอิ



เหลือเวลาอีกพักใหญ่ก่อนขึ้นเครื่องกลับเลยแวะไปถนนคนเดินเชียงราย ณ ถนนธนาลัย
หรือ "กาดเจียงฮายรำลึก" ซึ่งจะมีทุกวันเสาร์ตั้งแต่ห้าโมงเย็นยันเที่ยงคืน
เค้าไปตอนห้าโมงครึ่งด้วยความที่ฝนเพิ่งตกไปร้านรวงเลยเพิ่งเริ่มตั้งโหรงเหรงเลย
เสียดายมากเพราะได้ยินแต่คนชมว่าถนนคนเดินที่นี่แจ่มยิ่งกว่าเชียงใหม่
ของที่ขายเป็นของพื้นเมืองจริงๆ หลากหลายกว่า ไว้โอกาสหน้าจะมาแอ่วใหม่นะเจ้า



เดินวนไปวนมาได้ของหวานล้างปากเป็นไอติมจิ๋วป้าต๋อยเจ็ดยอด
จิ๋วจริงๆ 6 อัน 20 บาท น่ารักรสชาติอร่อยด้วยจัดมาเลย 6 รส ง่ำๆ



ไม่มีที่ไปเลยตกลงใจไปสนามบินนั่งรอสบายๆละกัน
พร้อมกับเสบียงที่ได้มาจากกาดเจียงฮายรำลึกอีกหนึ่งอย่าง
คือ "ข้าวหลาม" ขอชมเลยว่าคนเชียงรายนึ่งข้าวเหนียวอร่อยมว๊ากกกก
คือข้าวนุ่มหนึบกำลังดี ติดใจตั้งแต่ตอนซื้อข้าวเหนียวหมูทานที่หน้าวัดร่องขุ่น
ข้าวหลามของที่นี่อร่อยเค้าชอบรสชาติกลมกล่อมหวานน้อยๆ
ไม่มันกะทิมากไปไม่มันเยิ้ม เลิฟเลย ทานระหว่างรอเครื่องมาสวยๆ 555



สมชื่อบล็อคหมูน้อยมากๆปิดท้ายทริปนี้ด้วยภาพของกิน
กับของว่างบนเครื่องการบินไทย น้ำผลไม้รวมของโปรด
คู่กับพายไส้หมูหรือไก่ยอนี่หล่ะเค้าไม่แน่ใจอร่อยดีฮับ

-------------------------------------------------------------------------

จบทริปเชียงรายอินเลิฟอย่างสวยงาม อิ่มแปร้ทั้งอิ่มท้องและอิ่มใจ
แนะนำเลยว่าให้ไปเที่ยวเชียงรายกันสักครั้ง
แล้วจะติดใจในความเรียบง่าย การดำเนินชีวิตแบบเนิบๆ
ที่อาจจะเนิบไปนิดสำหรับการขับรถบนท้องถนน 555
แต่เค้าว่าก็เป็นเสน่ห์ที่น่ารักดีควรมาสัมผัสซักครั้ง
ขอบคุณทุกคนที่ตามมาเที่ยวด้วยกัน แล้วเจอกันทริปหน้า บ๊าย บายค่า Smiley




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2556    
Last Update : 7 ตุลาคม 2556 3:55:29 น.
Counter : 20202 Pageviews.  

Review : เชียงรายอินเลิฟภาคแรก หอนาฬิกา วัดร่องขุ่น ไร่บุญรอด และพิพิธภัณฑ์บ้านดำจ้า <3

สวัสดีค่ามาพบกับหมูน้อยตะลอนทัวร์ เย่ๆ Smiley
ช่วงนี้จะได้พบกันในหมวดท่องเที่ยวเรื่อยๆนะค๊า
ปีนี้หมูวางทริปลั้นลาไว้แน่นเอี้ยดมาก บอกเลยว่าเค้าเลิฟสุดๆ
กับการได้ออกไปเจอที่ใหม่ๆ ได้เปลี่ยนที่นอน (เบื่อบ้าน555)
การท่องเที่ยวสำหรับเค้าคือการเติมพลังชีวิตให้มีแรงฮึดกลับมาทำงานต่อ
โม้เวิ่นเวอมาเยอะละมาเข้าเรื่องกันดีกว่ากับ ทริปเชียงรายอินเลิฟ เอิฟ เอิฟ.....
มิใช่ว่าเป็นทริปสวีทหวานแหววแต่อย่างใด แต่เป็นทริปที่ทำให้เค้าตกหลุมรักเชียงรายนั่นเอ๊ง




ทริปนี้หมูเดินทางไปวันที่ 25-28 กันยายน 2556
ปกติเค้าจะไปเที่ยวเชียงใหม่อยู่แล้วทุกปีแต่ยังไม่เคยไปเชียงรายเลย
ทริปนี้ตัดสินใจไปเชียงรายแบบปุปปับเนื่องจากได้โปรค่าตั๋วเครื่องบินถูก 555



คุณแฟนเค้าจองตั๋วการบินไทยได้ตอนมีโปร
รวมราคาไป-กลับประมาณคนละ 1,400 บาทฮับ
โปรจะมีเรื่อยๆติดตามดูได้ในเว็ป //www.thaiairways.co.th/ จ้า
Boarding Time 7:45 น. ไปถึงสนามบินเร็วหน่อย
เค้าไปใช้เวลานั่งแต่งหน้ารอก่อนขึ้นเครื่องเครื่องมาสวยพอดี อิอิ
เครื่องที่นั่งไปคือ A300-600 เป็นรุ่นเก่าสังเกตได้จากจอทีวี อิอิ
แต่สภาพข้างในยังสวยงามดีอยู่ฮับนั่งสบาย ที่นั่งแบ่งแบบ 2-4-2
เสียดายไปถึง Window Seat จองเต็มหมดแล้วอดดูวิวเลย
อาหารว่างบนเครื่องจะเป็นน้ำผลไม้รวมเอื้องหลวงของโปรดเค้าคู่กะแซนด์วิช



ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงเชียงรายเจ้า
ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เห็นเล็กๆแบบนี้เป็นสนามบินอินเตอร์น้า



ถึงสนามบินก็พุ่งไปยังจุดเช่ารถของ AVIS อยู่ตรงประตูด้านหน้าสามบินเลยจ้า
สำหรับการเช่ารถเค้าชอบซื้อเป็นวอยเชอร์เก็บไว้เวลามีงานท่องเที่ยว
เซฟราคาไปได้เยอะ รอบนี้ได้วอยเชอร์แบบ 5 แถม 1 เก็บไว้ใช้เผื่อทริปอื่นได้ด้วย อิอิ
เชียงรายรอบนี้เน้นขับไม่สมบุกสมบันเลยเลือกเป็นรถเล็ก
ตอนบุคขอรถ Jazz ไป แต่ว่าวันที่ไป Jazz หมดเลยได้ Yaris มาแทน
ค่าเช่าตกวันละประมาณ 850 บาทรวมประกันทุกสิ่งอย่างแต่มีจ่ายค่าศุกร์เสาร์วันละสามร้อยฮับ



กองทัพเราต้องเดินด้วยท้องเนอะ มื้อแรก ณ เชียงราย
คุณแฟนทำการบ้านมาว่าร้านนี้ดังจัดเลยจ้า "ร้านพอใจ"
อยู่ในตัวเมืองด้านหลังโรงแรมวังคำหาง่ายจ้า
เค้าไปมึนๆเลยจอดรถกันพื้นที่โรงแรมเสียค่าจอดไป 20 บาท แหะๆ



มาเหนือก็ต้องหม่ำข้าวซอยไก่อร่อยดีน้ารสชาติเข้มข้น
ติดใจผักดองที่เสิร์ฟมาด้วยกัน คล้ายกิมจิม๊วกกกอยากขอเบิ้ล อิอิ
ต่อด้วยขนมจีนน้ำเงี้ยว อันนี้กินไม่เป็น แหะๆ เลยไม่รู้ว่าแบบไหนอร่อย
กินไปเรื่อยๆเผ็ดได้ใจเลยน้ำมันพริกลอยฟ่อง ให้เลือดมาก้อนใหญ่อลังการ
ปิดท้ายด้วยคอหมูย่างสีเค้าเหลืองๆแปลกตาดี แต่ย่างแห้งไปนิดเลยแอบแข็งๆฮับ
แต่ราคาไม่แพงถ้าจำไม่ผิดราคาชาม/จานละ 30 บาททุกอย่างเลย
ตอนหลังที่โรงแรมบอกมาว่าเค้าว่ากันว่าร้านนี้เป็นร้านของน้องสาวอ.เฉลิมชัยด้วยฮะ



เวลาประมาณบ่ายโมงกว่าเลยหอบข้าวของไปเช็คอินที่โรงแรมก่อน
เค้าพักที่โรงแรม Le Meridien Chiang Rai Resort ตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก
เขียนรีวิวแยกไว้ให้ต่างหากแบบละเอียดยิบเข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยจ้า

Review : Le Meridien Chiang Rai Resort <3
ตกหลุมรักรีสอร์ทสวยริมแม่น้ำกก




ด้วยความที่ก่อนวันเดินทางเค้านั่งปั่นงานยันเช้า
ได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง เข้าโรงแรมปุ๊บเลยหลับเป็นตาย
ตื่นมาอีกทีก็เย็นละ ออกมาหามื้อเย็นหม่ำต่อเลยละกัน กรั่กๆทริปนี้ชิลเว่อร์
มื้อเย็นฝากท้องที่ "ร้านหลู้ลำ" เป็นร้านที่พนักงานโรงแรมแนะนำมา
อยู่ตรงซอยทางเข้าโรงแรมเลยฮับ เป็นร้านอาหารพื้นเมืองริมแม่น้ำกก
คนเยอะทุกวันเลยขับเข้าออกโรงแรมเห็นมีรถจอดเต็มตลอด ของเค้าดีจริง!



มื้อเย็นจัดเต็มเริ่มด้วยไส้อั่วอร่อยดีฮับรสชาติเข้มข้น
ต่อด้วยน้ำพริกหนุ่มเค้าเสิร์ฟมาแค่กะผักและแคปหมู
แต่เค้าขอแอดไข่ต้มยางมะตูมเพิ่ม ฮี่ๆ น้ำพริกหนุ่มรสนัวม๊วก
สั่งเห็ดออรินจิชุบแป้งทอดมาทานเล่น เด็ดอ้ะเมนูนี้เค้าปลื้มไว้กลับไปทำกินเองบ้าง
ปิดท้ายด้วยแกงส้มปลาช่อนทอดมากะไข่ชะอม รสชาติกลมกล่อมเผ็ดๆหน่อยเอาไปเลยห้าดาว



สั่งมาล้นโต๊ะกินกันสองคนคิดเงินมาแล้วต๊กกะใจ
เฮ้ยยยถูกไปป่าวเนี่ยทั้งหมดนี่ห้าร้อยนิดๆถ้าจำไม่ผิด 525 บาท
ปริมาณอาหารต่อจานก็อัดแน่น รสชาติก็สุดยอด กินกันจุกแอ้ก
ขอยกให้เป็น Mhunoiii Recommended!!! มาเชียงรายแวะมาลองกันนะเจ้า



หม่ำมื้อเย็นเสร็จก็มืดละเลยขับรถวนเล่นในเมือง
เพื่อมาชมหอนาฬิกาเชียงรายอันโด่งดัง โดยการออกแบบของอ.เฉลิมชัย
สวยอลังการงานดีเทลมองปุ๊บรู้ปั๊บว่าฝีมือการออกแบบของใครเป็นเอกลักษณ์สุดๆ
โคมไฟถนนของที่นี่ก็อลังไม่แพ้กันเลยจ้า ทองอร่ามตามาก



ทุกวันเวลา 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม และ 3 ทุ่ม จะมีการแสดงแสงสีเสียงสวยงาม
ประกอบเพลงเชียงรายรำลึก.....ณ ราตรีหนึ่งซึ่งยังฝังใจ เชียงรายฟ้าแจ่ม Smiley
คนมุงถ่ายรูปกันเต็มเลยรู้เลยว่านี่คือนักท่องเที่ยว อิอิ ฟังเพลงเพลินๆดูแสงสีงามๆ



บริเวณรอบๆหอนาฬิกามีร้านอาหารร้านกาแฟให้เลือกตรึม
และเพื่อไม่ให้เสียชื่อเจ้าแม่ชาไข่มุกขอลองของเชียงรายจั๊กกะหน่อย
เค้าลองชามุกร้าน So-Tea เป็นชาที่ปลูกในไร่ชาที่เชียงราย
ตัวชาหอมอร่อยมากใส่น้ำผึ้งเสียดายมุกเละไปหน่อยฮับ
จุดเด่นของร้านนี้คือมี wifi และมีชิป(หรือเดลนี่หล่ะ)ทำหน้าที่เชคชาน่ารักโฮกกก



ก่อนกลับโรงแรมเดินแวะหาหนมหม่ำอีกนิด
ตรงที่เค้าจอดรถเจอ ร้านน้ำเต้าหู้ญีปุ่น(โทนิว)
อยู่ข้างร้านแว่นตาท็อปเจริญตรงแถวหอนาฬิกาเช่นกัน
สะดุดตากับปาท่องโก๋ยาว ย๊าว ยาว ตัวละ 15 บาท กะให้กินแทนข้าวว่างั้น
ลองซื้อมาสองตัว ถือแล้วไม่แน่ใจปาท่องโก๋หรือดาบเจได 555



ปาท่องโก๋เนื้อนุ่มแน่นดีฮับ ซื้อสังขยามาจิ้มด้วย
รสชาติสังขยาเข้มข้นโดนใจ แต่สังขยาที่นี่เค้าข้นเป็นพุดดิ้งเลยนะนี่
อ้อเค้ามีซื้อน้ำเต้าหู้แบบแช่เย็นมาด้วยนะ อร่อยอ้ะข้นหวานมันคล้ายหม่อมแม่ต้มเองเลย



ปิดท้ายก่อนนอนให้หลับสบ๊ายยยยด้วยสาเกพีชของญี่ปุ่น
อันนี้หิ้วมาเอง 555 คุณแฟนซื้อมาจากร้านไวน์ใน The Emporium
หอมพีชรสหวานๆอร่อยดีน้า ไม่แพงด้วยขวดละประมาณ 250 บาทฮับ
จบวันแรกไปแบบ ชิล อิ่ม และอืด หลับเป็นตาย 555



สวัสดีเช้าวันที่สอง ณ เชียงราย ในห้องพักมีเตารีดไอน้ำกะโต๊ะรีดผ้าให้ด้วยน้า
ห้องเค้าพิเศษแถมคนรีดมาให้ด้วย อิอิ จัดการรีดผ้าที่ขนมาเที่ยวให้เรียบร้อย ขอบคุณค้าบบบ



มื้อเช้าฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารของโรงแรมหมูโด้ปทั้งข้าวทั้งไข่
เป็นคนฟาดมื้อเช้าแบบจัดเต็ม ตื่นมาปุ๊ปหิวปั๊บ
โดนป๊ากะแม่บังคับให้หม่ำมื้อเช้าแต่เด็กไม่กินข้าวไม่ยอมให้ไปโรงเรียน
มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด เป็นมื้อที่กินแล้วไม่อ้วนอยากกินอะไรฟาดแหลกได้เลยค้าบ



จุดมุ่งหมายแรกของวันนี้ก็คือ "วัดร่องขุ่น" ของอ.เฉลิมชัย โ
ฆษิตพิพัฒน์
มาเชียงรายไม่แวะมาที่นี่เหมือนมาไม่ถึงเชียงรายเน๊อ
วัดร่องขุ่นตั้งอยู่
ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง
จากโรงแรมที่เค้าพักมาที่นี่ไม่ไกลประมาณ 16 กม.เท่านั้น
วัดตั้งอยู่ริมถนนขับมาปุ๊บเห็นปั๊บขาวโพลนอลังการสะดุดตามากกกกก Smiley
เข้าชมฟรี และเค้ามีผ้านุ่งให้ใส่สำหรับคนที่ใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นตรงทางเข้าจ้า
โบสถ์ในภาพนี้มีคติธรรมว่าให้เดินผ่านนรกหรือปากของพญามารที่เป็นเขี้ยวใหญ่ๆ
ผ่านเข้าไปสู่พุทธภูมิที่เป็นสวรรค์ด้านใน เปรียบดั่งให้เราละซึ่งกิเลศให้หมดสิ้น
โดยการเดินเข้าชมโบสถ์เมื่อผ่านนรกเข้าไปแล้วห้ามเดินย้อนกลับมาทางเดิมค่ะ



ช่วงที่เค้าไปฟ้ามีเมฆนี่ถ้าได้ฟ้าใสๆถ่ายรูปออกมาจะสวยอลังการสุดๆ
ซึ่งอ.เฉลิมชัยตั้งใจว่าจะสร้างโบสถ์ทั้งหมด 9 หลัง คาดว่าจะเสร็จภายใน 60-70 ปี
ซึ่งอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์อีกสองรุ่นช่วยสานความตั้งใจนี้
โดยโบสถ์ทุกหลังจะมีคติธรรมสอนคน หมูจะรอและกลับมาชมอีกแน่นอนค่ะ





เดินชมรายละเอียดของตัววัดก็เพลินตาแล้วค่ะสวยจริงๆ



เค้าชอบที่งานดีไซน์ของอ.จะเน้นอิงตามสมัยเป็นกึ่ง Contemporary Art
มีเอเลี่ยน มีพรีเดเตอร์ จิตกรรรมผนังโบสถ์ด้านในมีลายตัวการ์ตูน
เช่น เซเลอร์มูน กังฟูแพนด้า แมทริกซ์ ผสมอยู่ในลายไทยด้วย แต่ด้านในห้ามถ่ายภาพค่ะ



มองแล้วทราบกันหรือไม่ว่าอาคารทองอร่ามหลังนี้คืออะไร?



เฉลยยยยย....ห้องน้ำค่า !!! เป็นห้องน้ำที่สวยอลังการที่สุดที่เคยเห็นมาเลยแม่เจ้า
อ.เฉลิมชัยท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าห้องน้ำเป็นที่ที่สำคัญมากต่อการใช้ชีวิต
จึงให้ความสำคัญกับการสร้างห้องน้ำที่นี่แบบสุดๆ
มีรองเท้าให้เปลี่ยนก่อนเข้าเรียบร้อย ขันในห้องน้ำเป็นขันสแตนเลสทั้งใบด้วยนะนี่

มื้อเที่ยงของวันนี้ฝากท้องไว้ที่ร้านขายของฝั่งตรงข้ามวัดร่องขุ่น
หม่ำง่ายๆเพราะยังค่อนข้างอิ่มจากมื้อเช้า แหะๆ จัดข้าวเหนียวหมูแดดเดียวไปฮับ



มาต่อกันที่จุดหมายแห่งที่สอง ณ "ไร่บุญรอด"

เป็นไร่ของบริษัทบุญรอดผู้ผลิตเบียร์สิงห์นั่นเองจ้า
ซึ่งอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับวัดร่องขุ่น ขับรถไปแป๊บเดียวค่ะ
ที่นี่จะมีไร่ชา แปลงข้าวบาร์เล่ย์ แปลงเกษตรผสมผสาน
แต่เค้าแค่ขับรถเข้าไปวนๆถ่ายรูปเล่นแล้วออกไม่ได้ลงไปดูอะไรมากจ้า
ด้านหลังเค้าเป็นไร่ชา กว้างใหญ่บนพื้นที่กว่าพันไร่ แดดแร๊ง แรง



ในไร่บุญรอดจะมีร้านอาหารภูภิรมย์ซึ่งทางโรงแรมแนะนำว่าอาหารอร่อยแต่ไม่ได้ลองอ่าฮับ
จอดแวะถ่ายรูปเล่นเป็นจุดๆ ดอกหญ้าที่นี่น่ารักอ้ะดอกสีขาวเล็กๆด้านหลังเป็นวิวเขาสวยเน๊อออ



สาวชาวไร่ ฮี่ๆ มาเที่ยวทุ่งหญ้าแบบนี้แนะนำใส่เสื้อสีสดๆ
เอาสีที่ตัดกะสีเขียวถ่ายรูปมาแล้วเด่นเด้งกว่ากันเยอะจ้า



จุดสังเกตของไร่บุญรอดที่มองเห็นได้จากถนนเลยคือโลโก้สิงห์สีทองตัวนี้
ซึ่งตั้งอยู่เป็นเนินหญ้า สีทอง เขียว ตัดกะท้องฟ้า แซ่บ! สดใสดีเน๊อ



โดนแอบถ่ายไม่ได้เก๊กเลยนะ 555 รูปในรีวิวนี้จะปนๆกันเป็นรูปจากกล้องเค้าที่เห็นในภาพนี้
คือ Sony NEX-F3 เป็นกล้อง Mirrorless ที่เค้าว่าถ่ายภาพได้เริ่ดแม้จะตกรุ่นไปแล้ว
ส่วนกล้องที่ถ่ายภาพนี้คือกล้องคุณแฟนเป็น DSLR รุ่นเก่าเช่นกัน แหะๆ
Nikon D300 มาเที่ยวทริปนี้เกาะเลนส์ Tamron 17-50 f2.8 จ้า
ภาพที่ลงส่วนใหญ่แทบไม่ได้ปรับอะไรฮับย่อและใส่ลายน้ำ MHUNOIII Smiley



สิงห์โดนถ่ายเสยมุมนี้แอ๊บแบ๊วเลย 555 น่าร๊ากกกก



จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ "พิพิธภัณฑ์บ้านดำ"
ของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติอีกหนึ่งท่าน
บ้านดำตั้งอยู่คนละเส้นทางกับวัดร่องขุ่นจะอยู่ทางไปแม่สาย
ขับผ่านมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายไปประมาณ 3 กิโลเมตร
จะถึง
หมู่บ้านนางแล ให้สังเกตซ้ายมือจะเห็นบริษัทเสริมสุข(เป๊ปซี่)
เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไปจะมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ เข้าไปประมาณ 300 เมตรจ้า



ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรี 8.00-17.00 น. ทุกวันยกเว้นวันจันทร์
แต่ในช่วงพักเที่ยงจะปิดงดเข้าชมชั่วโมงนึงด้วยค่ะ
พึ่งไปวัดร่องขุ่นมาขาวโพลนมากที่นี่จะเน้นสีดำดูเป็นหยินหยางเลย
ข้างในดูขลังและดุดัน ตามสไตล์งานของอ.ถวัลย์
ซึ่งจะมีแสดงโชว์ของสะสมของอ.ไม่ว่าจะเป็นไม้แกะสลัก
กระดูก เขา หรือหนังสัตว์ เค้าไปถึงตอนใกล้ปิดพอดี เข้าไปแล้วขนลุก



ตัวอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์เป็นไม้สักทั้งหลัง
ทาตกแต่งด้วยสีดำเพราะเป็นสีโปรดของอ.ถวัลย์



ดูขนาดแผ่นไม้เทียบกับแขนเค้าจิ นึกไม่ออกเลยว่าต้นจะใหญ่ขนาดไหน



มีพื้นที่มีบ้านทั้งหมด 36 หลัง ซึ่งสร้างไว้เพื่อเก็บของสะสมของอ.ถวัลย์
สีดำตัดกับสีเขียวของต้นไม้เค้าว่าก็สวยและดูทรงพลังดีจัง



ในบริเวณรอบๆพิพิธภัณฑ์ร่มรื่นมากมีแต่ต้นไม้ใหญ่เค้าชอบ



กองหินปริศนาธรรม



ภาพผลงานจิตกรรมของอ.ถวัลย์ เน้นโทนสีดำแดงและทอง
ลายเส้นพู่กันดุดันมาก จ้องแล้วรู้สึกถึงพลังที่เปล่องออกมาเลย



ก่อนกลับที่ลานจอดรถของพิพิธภัณฑ์บ้านดำมีน้องหมาตัวน้อยด้วย
ขี้อ้อนมาก สายตาเว้าวอน ไม่รู้ใครเลี้ยงอยู่น้องมีเสื้อใส่แต่หลังเป็นเชื้อราทั้งหลังเลย
ท่าจะคันน่าดูสงสารง่ะอยากพาไปรักษา อ้อนเก่งมากฉลาดสุดๆขอมือสั่งนั่งได้ด้วย
ฮืออออเห็นสายตาแบบนี้แล้วอยากอุ้มกลับบ้าน หายไวๆนะไอ้ตัวเล็ก Smiley



ตะลอนมาทั้งวันเลยกลับมาตายรังอยู่โรงแรม
ขอบอกว่าบรรยากาศยามเย็นที่ Le Meridien โรแมนติกมากกกก



มื้อเย็นฝากท้องที่ห้องอาหารของโรงแรม
ณ ห้องอาหารอิตาเลียน Favola จัดเต็มฟินสุดๆ
รายละเอียดรีวิวอาหารอยู่ในลิงค์รีวิวโรงแรมเข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้จ้า

Review : Le Meridien Chiang Rai Resort <3
ตกหลุมรักรีสอร์ทสวยริมแม่น้ำกก




หมดวันที่สองไปอย่างมีความสุข
ขอพักไว้เท่านี้ก่อน แล้วค่อยต่อกันที่ภาคจบบล็อคหน้านะค๊า
ราตรีสวัสดิ์ลากันไปด้วยภาพสวยๆของโรงแรมยามค่ำคืนค่า

Smiley XOXO
Smiley




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2556    
Last Update : 3 ตุลาคม 2556 3:58:46 น.
Counter : 17244 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]




..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน
http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้
ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!!

---------------------------------------------------------

hits
New Comments
Friends' blogs
[Add SaRaY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.