Group Blog
 
All blogs
 

Review : AirAsia Hong Kong Trip 2014 ตะลุยฮ่องกงแบบอิ่มบุญ&อิ่มท้องไปกับแอร์เอเชีย

สวัสดีค่าเมื่อวันที่ 10-12 พฤษภาคม 2014 ที่เพิ่งผ่านมานี้
หมูได้รับเกียรติจากทาง AirAsia ชวนให้ไปร่วมทริปทำบุญกันที่ฮ่องกง
ถามมาปุ๊บตอบตกลงปั๊บ ระดับเค้าเรื่องเที่ยวไม่เคยต้องตัดสินใจ
ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆเสมอ 555 มาตะลุยฮ่องกงไปด้วยกันเลยจ้า



10/05/2014


ทริปนี้มีบิวตี้บล็อคเกอร์ไปด้วยกันทั้งหมด 6 คน
คือ พี่มด CinnamonGal , พี่ปูเป้ Pupe_so_sweet ,
พี่แป้ง Kirari , พี่ตูนน์ Tuniez83 , เอิ๊ก Erk-Erk
และก็เค้า Mhunoiii
ทุกคนบินกันไปตั้งแต่ไฟลท์ 15.35 น. หมูติดงานตอนเช้าเลยบินตามไปตอนเย็น
ไฟลท์ FD502 ออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 17.20 น. เกท 21

ขอเม้านิดนึงว่าเค้าเสร็จงานจากเดอะมอลล์งามวงศ์วานตอนบ่ายสามกว่าๆ
รีบขึ้นแท็กซี่มาดอนเมือง แต่พอเข้าเส้นวิภาวดีช่วงเลยม.เกษตรไปนิดนึง
รถติดนิ่งสนิทเพราะมีม็อบเลยต้องต่อมอเตอร์ไซค์แทน
ซึ่งพี่วินใจร้ายมากมายบอกว่าชั่วโมงเร่งด่วนด้านหน้ามีม็อบเห็นว่ามียิงกันด้วย
เค้าบอกเค้าต้องเสี่ยงตายเลยขอคิดแพงหน่อย พอถามว่าคิดเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ
บอกให้เราเสนอมาเค้าเห็นว่าไม่ได้ไกลมากแล้วเลยถามว่าสองร้อยไหวไหมคะ
พี่วินโกรธไล่ลงรถเลยจ้าบอกว่าให้แค่นี้ไม่ไปต้องห้าร้อย จ่ายแค่นี้ใครจะไป
โชคดีมากมีมอเตอร์ไซค์คันข้างๆวิ่งรถเปล่ามาพอดีถามพี่เค้าว่าสองร้อยไปไหม
เค้าบอกไปรีบย้ายขึ้นคันใหม่โดยด่วน สรุปก็บึ่งไปทันเวลาเช็คอิน เฮ้ออออโล่งอก
พี่วินคันแรกคือหยาบคายและเอาเปรียบมากกกก แต่อยากเตือนสาวๆไว้
ว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อย่าเพิ่งปรี้ดแล้วไปมีเรื่องกับเค้า
เราเป็นแค่ผู้หญิงคนเดียวอยู่ท้ายรถเค้าถ้าเค้าทำร้ายเราขึ้นมาไม่คุ้มเลย
กับการเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนแบบนั้น สงบสติพูดจาดีๆและหาทางแก้ไป
ท่องไว้ค่ะว่าชีวิตเรามีค่ามากกว่าจะเอามาแลกกับอารมณ์โกรธของคนแบบนี้



สำหรับการบินระหว่างประเทศเคาท์เตอร์เช็คอินจะเปิดก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 3 ชั่วโมง
เราสามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าได้ในเว็ป www.airasia.com
หรือโหลดเป็นแอพพลิเคชั่นไว้ในมือถือได้เลยชื่อแอพ AirAsia
ซึ่งเราจะสามารถพิมพ์ตั๋วโดยสารได้เองจากที่บ้านสะดวกสบายขึ้นอีกเยอะจ้า
สำหรับการโหลดสัมภาระต้องรีบมาให้ทันก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 45 นาทีฮะ
แม้จะเกิดเรื่องวุ่นวายแต่หมูก็ไปทันเวลาได้โหลดสัมภาระนะ อิอิ



ขอแนะนำนิดนึงสำหรับใครที่อยากไปเที่ยวในราคาสบายกระเป๋า
โดยเน้นเป็นแบบเที่ยวเองไม่ง้อทัวร์ เค้าแนะนำอย่างแรง
ให้จองกับเว็ป www.airasiago.com



มันง่ายและสะดวกมากเพราะเราสามารถจองตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักได้เลย
ที่สำคัญการจองแบบแพ็คคู่แบบนี้ราคาจะถูกกว่าจองแยกกันมากกกกก!!!
ความเด็ดคือลองนั่งเปิดหาไปเรื่อยๆจะเจอราคาดีๆโผล่มาให้ตกใจ
แบบไม่ต้องไปนั่งแย่งกันจองเวลามาโปรตั๋วเครื่องบิน อันนั้นต้องใช้ความพยายาม
เน็ตเค้าช้าไม่เคยจองทันเล้ยยยย แต่มาจองผ่านเว็ปนี้เอาได้ราคากระแทกใจตลอดฮะ



เอาหลักฐานการพาครอบครัวไปเที่ยวฮ่องกงรอบที่แล้วมาอวด
จองผ่าน AirAsiaGo แบบตั๋วเครื่องบินรวมที่พัก 4 วัน 3 คืน
ได้ในราคาคนละ 10,996.08 บาท!!! กรี้ดดดดป่ะล่า
โรงแรมที่เค้าเลือกคือ The City View Hotel ระดับ 3.5 ดาว
ทำเลดีสุดๆๆๆอยู่ติดรถไฟใต้ดินสถานี Yua Ma Tei เลย
เป็นย่านชอปปิ้งคนพลุกพล่านเดินเล่นได้ยันดึกไม่เปลี่ยวแหล่มมาก
ราคาข้างต้นยังไม่รวมค่าน้ำหนักกระเป๋าแต่เค้าซื้อน้ำหนักเพิ่มทั้งไปและกลับ
ตกแล้วราคาอยู่ที่คนละหมื่นหนึ่งกว่าๆ เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ
หมูฟินเวลาจองได้ราคาถูก เพราะต้องจ่ายเองให้ทุกคนในทริป 555

***ฟินยิ่งกว่าคือเค้าไป 5 คนแต่จองแค่ 2 ห้อง
จัดเป็นนอน 3 คนหนึ่งห้องขอเตียงเสริม แต่พอไปถึง
ทางโรงแรมแจ้งว่าทางแอร์เอเชียจองมาเป็น 4 ห้องต่อคืน
อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นดังนั้นตามราคาที่เราจ่ายไป
เลยได้ห้องพัก 4 ห้องตลอด 3 คืนจ้า อลังเฟร่ออออ!



ทางแอร์เอเชียจองที่นั่งแบบ Hot Seat ให้
เป็นที่นั่งในแถวที่ 1-5 แถวที่ 12 และ 14 ซึ่งจะได้เรียกขึ้นเครื่องก่อน
ที่นั่งของเค้าคือ 1D แถวหน้าสุดริมทางเดิน เดินขึ้นเครื่องปุ๊บถึงเลย ใกล้ห้องน้ำ
ความพิเศษคือมีพื้นที่ยืดขามากกว่าปกติ เหมาะมากสำหรับคนตัวสูงๆช่วงขายาวๆ
ราคา Hot Seat แถว 1 จะแพงกว่าที่นั่ง Hot Seat ปกติ
ประมาณ 50 บาท
Hot Seat ซึ่งสำหรับไฟลท์ฮ่องกงราคา ปกติคือ 350 บาทค่ะ



และนี่คือความปลาบปลื้มของเค้าบินเองหลายทีไม่เคยลองสั่งอาหารมาทาน
อยากบอกว่าตัวเองพลาดมากเพราะอาหารบนเครื่องอร่อยมากกกก
อาหารบนเครื่องเป็นของร้านสีฟ้า ของคาวเค้าหม่ำลาซานญ่าไก่เข้มข้นใช้ได้เลย
แต่ที่เด็ดสุดๆคือของหวานแนะนำว่ามิควรพลาดคือ "ข้าวเหนียวมะม่วง" !!!
ข้าวเหนียวหวานมันกลมกล่อมกำลังดี อัดมาแน่นไปนิดแต่เนื้อนุ่มนะ
เสิร์ฟกับมะม่วงครึ่งลูกซีลพลาสติกมาเรียบร้อยไม่มีรอยช้ำแม้แต่น้อย
เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้หวานฉ่ำอมเปรี้ยวเล็กน้อยกินกับข้าวเหนียวนุ่มหนึบ แอร๊ยยยยฟิน Smiley

สำหรับการสั่งอาหารแนะนำให้สั่งจองล่วงหน้าตอนจองตั๋วมาเลย
เพราะราคาจะประหยัดกว่าอีก 20% เทียบกับการมาซื้อทานบนเครื่อง
แถมยังได้เลือกสิ่งที่อยากทานมาเลยด้วย การซื้อบนเครื่องจะไม่ได้มีเมนูครบจ้า
ราคาอาหารเค้าไม่ได้แพงเว่อร์นะ ราคาปกติมาก 100-190 บาทเอง
อย่างข้าวเหนียวมะม่วงจานนี้ 100 บาทสำหรับการจองล่วงหน้าฮะ
ถูกกว่าร้านดังสุดแพงตรงทองหล่ออีกอ้ะ แถมอร่อยกว่ามากด้วย
สำหรับการสั่งอาหารเซ็ตจะได้น้ำเปล่าบริการให้ด้วยอีกหนึ่งขวดจ้า

วันที่เค้าบินเครื่องออกดีเลย์เล็กน้อยตามกำหนดคือ 17.20 น.
ออกช้าไปประมาณ 15-20 นาที แต่กัปตันซิ่งทำให้ถึงก่อนเวลา
แลนด์ดิ้งคือ 21.05 น.นิดหน่อย อิอิ ใช้เวลาเดินทางประมาร 2.45 นาที
เค้านับเวลาไม่ผิดนะเพราะเวลาฮ่องกงจะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงจ้า



ถึงฮ่องกงแล้วก็บึ่งเข้าไปเก็บสัมภาระที่โรงแรม
ทริปนี้พักที่ Holiday Inn Golden Mile ตรงถนน Nathan
ใกล้กับรถไฟใต้ดินทางออกสถานี East
Tsim Sha Tsui
ซึ่งหมูนอนกับพี่เป้ พี่เป้วางของเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
ช่วยให้เค้าต้องเก็บของให้เรียบร้อยไปด้วย แหะๆ
ชอบของที่ระลึกที่ทางแอร์เอเชียเตรียมให้มากกกเป็นปลั๊กแถวที่มีช่องเสียบสาย USB ได้เลย
ชีวิตสะดวกขึ้นอีกมากพกแค่สายไอโฟนไอแพด ขอบคุณมากๆนะค้า มีประโยชน์สุดๆ



มื้อแรกในฮ่องกงเกือบเที่ยงคืนแล้วโชคดีมีร้านแถวๆโรงแรมเปิด 24 ชั่วโมง
ชื่อร้าน Ngan Lung Restaurant อาหารรสชาติดีอร่อยใช้ได้เลย
ราคาไม่แพงจานละ 30-50 HKD คิดเป็นเงินไทยเรทตอนที่ไปคูณ 4.2 ฮะ
เค้าลอง Noodle with Spicy Pork (38 HKD) อร่อยดีน้า
รสเข้มข้นเหมือนหมูผัดซอสมะเขือเทศ ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันสไปซี่ยังไง 555
จริงๆความเด็ดของร้านนี้อีกอย่างก็คือมี Free Wifi 20 นาที ให้ลูกค้าที่มาทานในร้านด้วยจ้า
เห็นว่าเป็นร้านแบบเฟรนไชส์มีหลายสาขา ดีเนอะหาทานได้ 24 ชม.
มีคนแนะนำมาด้วยว่าขนมปังปิ้งเค้าอร่อยไว้รอบหน้ามาลองน้า



แวะไป 7-11 สำรวจตลาดนิดหน่อย ได้น้ำขวดใหญ่ นมกลิ่นมะม่วงผสมมะลอกอ
และเยลลี่ผลไม้มาสองกล่อง แค่ที่เห็นนี่ก็ปาเข้าไป 35.48 HKD ละ
น้ำเปล่าที่นี่ราคาจะสูงกว่าบ้านเราพอควรเลย ขวดนี้ประมาณ 50 บาทแน่ะ
แนะนำว่าน้ำเปล่าให้ซื้อตามร้านขายของชำจะถูกกว่า 7-11 ฮะ
แต่ตอนนั้นตีหนึ่งละไม่มีตัวเลือก ส่วนนม
กลิ่นมะม่วงผสมมะลอกอ
คิดเป็นเงินไทยกล่องละ 27 บาทไม่แพงอร่อยด้วยหอมๆดีฮับ



11/05/2014

มอร์นิ่งงงง....สวัสดีวันที่สองในฮ่องกงจ้า
เริ่มมื้อเข้าสไตล์ฮ่องกงมาแล้วต้องไม่พลาดติ่มซำ
แปดโมงเช้าไกด์พานั่งรถไปหม่ำที่ห้าง Paramount Banquet Hall
อยู่บนถนน Waterloo ไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพัก
ตัวห้างยังไม่เปิดแต่สามารถลงบันไดเลื่อนไปยังร้านติ่มซำที่อยู่ชั้นล่างสุดได้ค่ะ
เค้าเคยมาทานร้านนี้เมื่อตอนมาฮ่องกงครั้งแรก หูยนานมากละน่าจะ 4-5 ปีก่อน
รสชาติอาหารเค้าใช้ได้นะพวกโจ๊ก ขนมจีบ ฮะเก๋า ปอเปี๊ยะ ฯลฯ
แต่แอบเสียใจก๋วยเตี๋ยวหลอดของโปรดเค้าที่เคยกรี้ดตอนมาครั้งก่อน
รอบนี้แย่ลงมากง่า คราวก่อนเป็นไส้กุ้งชิ้นนึงได้กุ้งสามตัว
รอบนี้เป็นไส้หมูแดงที่ชิ้นนึงมีหมูใส่มาจิ๊ดเดียว เสียจายยยเค้าชอบเมนูนี้มากง่ะ



แต่ก็ได้เมนูปลอบใจก็คือ ซาลาเปาลาวาไส้ครีมไข่เค็ม
บิออกมาไส้ลาวาเยิ้มได้ใจ หวานมันเน้นรสเค็มมากกว่ารสหวาน
กินพร้อมแป้งนุ่มๆ ฮร้ายยอาหย่อย Smiley



ภารกิจวันนี้คือการตระเวนไหว้พระทำบุญวัดชื่อดังต่างๆในฮ่องกง
เริ่มจากที่แรกที่พลาดไม่ได้สำหรับใครที่มาฮ่องกง
คือการไปสักการะ เจ้าแม่กวนอิม ที่
หาดรีพัลส์เบย์ Repulse Bay หรือวัดทินหัว Tin Hua
ในทริปโชคดีมากนี้ทางแอร์เอเชียได้เชิญอาจารย์โอ๋ ซึ่งเป็นอาจารย์ชื่อดัง
ในด้านศาสตร์ของดวงและฮวงจุ้ยมาร่วมทริปด้วย
อาจารย์โอ๋จึงช่วยแนะนำทุกคนตลอดทริปว่าต้องมีพิธีการในการไหว้อย่างไร
เพราะปกติถ้ามาเองเราก็ไหว้มั่วๆไปตามประสาอ่าน้า ได้ทำถูกพิธีก็ดีกว่าเนอะ
เค้าจะพยายามแชร์วิธีการให้เท่าที่เค้าจำได้น้า

เริ่มต้นการเดินเข้าซุ้มประตู สองด้านของซุ้มจะมี
ปี่เซี๊ยะหรือสิงห์จีนอยู่คู่หนึ่ง
ด้านซ้ายจะเป็นเพศเมียเหยีบลูกสิงห์ ด้านขวาเพศผู้เหยียบลูกบอล
ก่อนเดินเข้าให้ล้วงมือไปลูบลูกบอลในปากแล้วลูบตั้งแต่หัวจรดหางสามครั้ง
โดยผู้ชายให้ลูบ
ปี่เซี๊ยะเพศเมียด้านซ้าย ผู้หญิงให้ลูบเพศผู้ด้านขวา
จากนั้นเดินผ่านซุ้มด้วยการก้าวเท้าซ้ายเข้าไปค่ะ

เมื่อผ่านประตูเข้าไปจะพบเจ้าพญามังกรและรูปปั้นลูกแก้วสารพัดนึก
ในจุดนี้เราสามารถถวายลูกแก้วที่เรานำมาไว้ได้แล้วทำการขอพร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน ครอบครัว ความรัก
โดยการนำมือวางที่รูปปั้นลูกแล้วแล้วตั้งใจอธิษฐานค่ะ



เมื่อเข้าไปด้านในก็จะพบรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมหันหน้าออกทะเล
ให้จุดธูป 9 หรือ 16 ดอก ซึ่งจำนวนอาจารย์โอ๋จะแนะนำให้
แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะของเค้าจุด 9 ดอก
แล้วนำมาไหว้โดยท่องบทสวดบูชาเจ้าแม่กวนอิม
ซึ่งมีตั้งเป็นหินสลักภาษาไทยอยู่ที่หน้าองค์เจ้าแม่เลยค่ะ



เมื่อไหว้เรียบร้อยให้ทำการถวายสร้อยมุก 9 เส้นที่เตรียมมา
โดยแต่ละคนอาจารย์โอ๋จะแนะนำที่ถวายต่างกัน
ของเค้าถวายที่เท้าซ้ายของเจ้าแม่กวนอิมทั้งเก้าเส้น

เสร็จแล้วก็ทำการขอพรโดยไปยืนที่จุดมาร์กสี่เหลี่ยม
ซึ่งเค้าเชื่อว่าเป็นหัวใจขององค์เจ้าแม่กวนอิม
โดยเป็นจุดที่เมื่อยืนแล้วเงยหน้าขึ้นไปจะตรงกับพระพักตร์ของท่านพอดีค่ะ
คนจะต่อแถวเพื่อเรียงคิวขอพร แนะนำว่ามาช่วงเช้าๆคนไม่เยอะมากจ้า



ด้านขวาจะเป็นองค์เจ้าแม่ทับทิมซึ่งให้ขอพรให้เรื่องคุ้มครองความปลอดภัยในการเดินทาง
สมัยก่อนเวลาชาวประมงจะออกเรือจะต้องมาขอพรที่เจ้าแม่ทับทิมนี้ค่ะ
และบริเวณเหรียญทองด้านหน้าสามารถขอพรเรื่องทรัพย์สินเงินทองได้
เมื่อขอพรเสร็จให้ทำการลูบที่เหรียญสามครั้งแล้วทำท่าโกยเงินเข้ากระเป๋าจ้า



จากนั้นไปเดินข้ามสะพานเพื่อต่ออายุ
โดยเดินวนขึ้นสะพานสามรอบ ระหว่างเดินให้ตั้งจิตตามนี้ค่ะ

รอบแรก : ให้นึกถึงหน้าที่การงานขอให้มีความมั่นคง

รอบที่สอง : ให้นึกถึงสุขภาพ ขอให้ตนเองและคนที่รักแข็งแรง

รอบที่สาม
: ขอให้ทุกสิ่งในชีวิตหน้าที่การงานการเงินเจริญก้าวหน้า
ขอให้พรทุกสิ่งที่ขอมาสมหวังดังที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

เมื่อเสร็จแล้วเวลาเดินกลับอย่าเดินสวนย้อนขึ้นไปบนสะพานนะคะ
ให้เดินอ้อมไปยังทางธรรมดา เป็นความเชื่อว่าเดินย้อนทำให้อายุสั้นค่ะ



ในศาลานี้จะมียันต์แปดทิศสามารถไปยืนในยันต์เพื่อทำการขอพรได้เช่นกันค่ะ
วันนี้บิวตี้บล็อคเกอร์ทั้ง 6 คนแต่งตัวมา 6 แนว 6 สไตล์เลย อิอิ



และจุดที่ทุกคนไม่เคยพลาดก็คือการมาไหว้
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย
ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวย (God of wealth)

โดยการนำแบงค์มาลูบที่องค์เทพเจ้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า 3 รอบ
อาจารย์โอ๋แนะนำให้เป็นแบงค์ที่ลงท้ายด้วยเลข 89
เพราะเลข 8 และเลข 9 เป็นเลขมงคลแปลว่าร่ำรวยตลอดกาลตลอดไป
เสร็จแล้วให้เก็บแบงค์นั้นไว้เป็นเงินก้นกระเป๋าพกติดตัวไว้จะช่วยให้มีโชคลาภ
อ้ออย่าลืมลูบที่ก้อนทองด้านข้างด้วย ลูบเฉพาะก้อนใหญ่ด้านล่าง 3 รอบเช่นกันจ้า

ก่อนออกจากวัดอาจารย์โอ๋แนะนำให้บริจาคเงินให้ทางวัดตามศรัทธา
เพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ที่เราเข้ามาใช้สถานที่ท่าน มาขอพรจากท่าน
ซึ่งทางวัดจะได้นำเงินนั้นไปบูรณะซ่อมแซมวัดต่อไปค่ะ
และตอนเดินออกจากวัดให้ก้าวเท้าขวาในการเดินออกไปค่ะ



เดินทางไปยังจุดหมายที่สองคือ

วัดแชกุงหมิว (Che Kung Temple) หรือ วัดกังหัน
วัดนี้เป็นเก่าแก่มากที่มีอายุกว่า 300 ปีตั้งอยู่ในเขตซาถิ่น (Satin)
และด้วยความที่เป็นวัดที่โด่งดังทางรัฐบาลเลยมีการสร้างรถไฟใต้ดิน
สถานี Che Kung Temple Station เพื่อให้เดินทางมาถึงที่วัดนี้ได้โดยสะดวก
เห็นฮ่องกงเป็นเกาะเล็กๆแต่มีวัดมากกว่า 600 วัดเลยทีเดียว
เพราะคนบนเกาะมีความศรัทธาและความเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าและฮวงจุ้ยมากๆค่ะ

เมื่อมาถึงด้านหน้าจะมีจุดให้ซื้อธูปและชุดบูชาราคาเริ่มต้น 38 HKD หรือประมาณ 210 บาท
แล้วทำการเขียนชื่อของเรา คนในครอบครัว และคนที่เรารักลงไปเพื่อขอพร
จากนั้นเจ้าหน้าที่ด้านในจะจุดธูปใหญ่ให้เราสามดอกและสวดนำให้เราไหว้
โดยหันไปไหว้ฟ้าดินทางประตูสามครั้ง แล้วหันกลับมาไหว้เทพเจ้าแชกุงอีกสามครั้งจึงทำการปักธูป



เทพเจ้าแชกุง เดิมเป็นนายพลที่ทุกครั้งที่จะออกรบจะมีกังหันคู่กาย
ก่อนออกรบจะมีพิธีหมุนกังหันซึ่งจะได้ชัยชนะกลับมาเสมอๆทำให้เป็นที่
เคารพ ศรัทธา น่าเกรงขามของผู้คน จนเมื่อท่านเสียชีวิตไป
ได้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นในหมู่บ้าน แล้วมีชาวบ้านนำกังหันคู่กายท่าน
มาไว้ที่หน้าหมู่บ้านแล้วขอพรให้ช่วยปัดเป่าโรคร้ายออกไป
โดยได้อธิฐานว่าถ้าโรคร้ายหายไปจะสร้างวัดถวายให้ท่านนั่นเอง
องค์เทพเจ้าแชกุงจริงๆคือองค์เล็กด้านล่าง
ส่วนองค์ใหญ่เป็นรูปปั้นเพื่อความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามค่ะ



ไฮไลท์ของการมาวัดนี้คือการหมุนกังหัน
โดยคนทั่วไปให้หมุนแรงๆไปทางขวาสามรอบ
เป็นความเชื่อว่ากังหันจะพัดพาสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต
แต่สำหรับคนปีชงให้หมุนกังหันไปทางซ้ายสามรอบและทางขวาหนึ่งรอบ
เสร็จแล้วก็ไปทำการตีกลองสามครั้งเป็นอันเสร็จพิธี
ซึ่งให้ทำแบบนี้ที่กังหันทั้งสองด้ายซ้ายขวาขององค์เทพเจ้าแชกุงจ้า



บริเวณด้านขวาของวัดจะมี
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวย
เช่นเดียวกับที่รีพัลส์เบย์ โดยจะมีถังทองให้ทำการลูบตั้งแต่ด้ามตักลงมาที่ตัวถัง
แล้วทำท่าโกยเงินเข้ากระเป๋า ทำแบบนี้สามครั้งค่ะ



ด้ายซ้ายของวัดจะมีเทพเจ้าประจำปีเกิดเค้าถ่ายของปีขาลมาฝาก
ของเค้าคือเทพองค์ขวาสุดประจำปีขาล 1986
เป็นเทพถือคทาฝักบัวแสดงถึงความร่ำรวยจ้า



ได้เวลาหม่ำมื้อเที่ยงเป็นร้านอาหารทั่วไปมีข้าว บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว กาแฟ
เค้าจำไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไรแต่คงเป็นร้านดังอยู่คนเยอะใช้ได้เลยฮะ



มื้อนี้เน้นทานเบาๆไปก่อนเพราะเราจะไปหนักที่มื้อเย็น
นี่เรียกว่าเบาแล้วนะ สั่งมาแบ่งๆกันทาน
ฮี่ๆ
มีข้าวผัด ไก่ทอด เฟรนช์ฟราย ราดหน้าทะเล
และปลาทอดราดซอสเนยกระเทียม
ราคาไม่กลางๆ 40-80 HKD รสชาติอาหารโดยรวมก็อร่อยใช้ได้ค่า



วัดต่อมาเป็นวัดดังเช่นกันคือ วัด Sik Sik Yuen Wong Tai Sin
วัดนี้สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงได้ที่สถานี
Sik Sik Yuen Wong Tai Sin Station
สังเกตง่ายว่าวัดไหนที่เป็นวัดดัง เค้าจะมีสถานีรถไฟใต้ดินเป็นชื่อของวัดเลยอ่าเนอะ



จุดหมายของการมาวัดนี้คือการมาไหว้เทพเจ้าหวังต้าเซียน
ซึ่งเดิมทีท่านเป็นปุถุชนธรรมดาแต่ได้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์
ท่านได้ช่วยเหลือคนเจ็บป่วยมากมายตลอดเวลา 40 ปี
จึงได้รับการขนานนามให้เป็นเทพเจ้าแห่งสุขภาพ
ดังนั้นการมาวัดนี้จึงเน้นการขอพรในเรื่องสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ
นอกจากนี้ยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือสามารถขอพรได้ทุกเรื่องอีกด้วย



ไฮไลท์ของวัดนี้ที่คนจีนนิยมมากทำกันคือการเสี่ยงเซียมซี
ซึ่งเป็นที่เล่าขานว่าแม่นมาก แต่คนจีนจะไม่เสี่ยงทายรวมๆเพียงครั้งเดียว
จะเสี่ยงทายเป็นเรื่องๆไปไม่ว่าจะเป็นการงาน การเงิน ความรัก ฯลฯ
ดังนั้นหนึ่งคนจึงใช้เวลานานในการเสี่ยงเซียมซี



ไฮไลท์อีกหนึ่งอย่างคือการมาขอพรเรื่องความรัก
กับเทพเจ้าหยุคโหลว ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก
ด้วยการผูกด้ายแดงเพื่อขอให้เจอเนื้อคู่ ขอให้สมพรในเรื่องความรัก



ด้านขวาของวัดมีองค์พระถังซัมจั๋งให้ไหว้เพื่อขอให้คุ้มครองให้ปลอดภัยในการเดินทาง
และท่านขงจื๊อซึ่งไหว้เพื่อขอพรในเรื่องของสติปัญญา
และด้านหน้าวัดจะมีรูปปั้นของ 12 นักษัตรประจำปีเกิด เค้าเป็นสาวปีขาลดุนะพูดเลย อิอิ



และวัดสุดท้ายของวันนี้คือ วัด
Kwun Yam Temple
ที่ย่านฮองฮัม Hung Hom สร้างขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ.1873
เป็นอีกวัดนึงที่ชาวฮ่องกงให้ความนับถือมากกกในเรื่องให้โชคลาภ



ภายในวัดจะเป็นที่ประทับขององค์เจ้าแม่กวนอิมที่ศักดิ์สิทธิ์มาก
ซึ่งถ้าเป็นช่วงตรุษจีนนี่ต้องมาต่อแถวกันข้ามคืนเพื่อรอเข้าวัดนี้กันเลยทีเดียว
บ้างก็เรียกชื่อวัดนี้ว่าวัดกู้เงินเจ้าแม่กวนอิมเพราะสามารถมาขอพรเรื่องเงินที่นี่ได้
เมื่อประสบความสำเร็จก็มาทำบุญคือให้เหมือนการมาใช้หนี้เงินกู้
รวมถึงมีพิธีการขออั่งเปาซองแดงจากเจ้าแม่กวนอิมด้วยซึ่งจะนิยมทำกันช่วงตรุษจีนค่ะ



หลังจากตระเวนทำบุญมาเรียบร้อยถึงสี่วัด
ก็ถึงเวลา Free Time พักเบรคก่อนทานมื้อเย็น
โดยรถบัสพาเรากลับไปส่งที่โรงแรมแล้วให้เวลาพักผ่อนเดินเที่ยวตามอัธยาศัย
เจ๊มดเลยพาทุกคนมาตะลุย ห้าง Habour City ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม



เป้าหมายของการมาห้างนี้ก็คือร้านขนมชื่อดังจากฝรั่งเศส "
Pierre Herme"
ซึ่งขนมที่มาร้านนี้แล้วต้องลองทานให้ได้ก็คือมาการอง
หรือมากาฮอง (ออกเสียงแบบฝรั่งเศส) นั่นเอง!!!
เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งกับ Laduree หลายคนก็ว่าปิแอร์อร่อยกว่า
ซึ่งก็คือเค้าคนนึงแหละ คราวก่อนที่ไปฝรั่งเศสลองชิมเทียบสองยี่ห้อแล้ว
เค้าประทับใจปิแอร์กว่าลาดูเร่น้า ซึ่งราคาแพงพอกัน ที่นี่ตกชิ้นละ 120 กว่าบาทแน่ะ
มากาฮองร้านนี้ตัวเชลล์จะกรอบเบาเนื้อจะหนึบๆกำลังดี
ที่เด็ดคือกลิ่นจะหอมฟุ้งมากกกก และเหลือกลิ่นในปากหลังทานเสร็จด้วยฮะ



หม่ำไปคนละสองชิ้นมื้อนี้อภินันทนาการโดยเจ๊มด
ขอบคุณเจ๊มากๆเลยคร้าบบบบ Smiley



ติดๆกับร้าน
Pierre Herme เป็นร้านช็อคโกแลตชื่อดังจากเบลเยี่ยม ร้าน Godiva นั่นเอง
จัดช็อคโกแล็ตซอร์ฟเสิร์ฟไปคนละโคน โคนละ 45 HKD หรือประมาณ 190 บาท
เนื้อไอติมช็อคโกแล็ตเข้มข้นสุดพลัง สำหรับเค้ารู้สึกว่ามันหวานแหลมไปหน่อย
ทานแล้วแสบคออยู่ฮะ แต่ที่เด็ดโดนใจเจ้มากคือโคนวาฟเฟิลหอมกรอบอร่อยสุดๆไปเลย



มื้อเย็นวันนี้ฝากท้องกันที่ร้าน Budaoweng Hotpot Cuisine
อยู่ชั้น 23 ของตึก iSquare อยู่ตรงข้ามกับโรงแรม Holiday Inn Golden Mile ที่เราพักเลย



มื้อนี้กรีดร้องงงงงงงงงงง.....ขอบอกว่าเป็นฮ็อตพอทที่เทพมากแนะนำเลย
อร่อยเวิ่นเวอ  มีปลาดิบสดๆเสิร์ฟมาลำนึงด้วย หมูเริงร่าสุดๆ Smiley



เพิ่งเคยได้ลองทานหอยงวงช้างลวก เนื้อกรุบๆกรอบๆอาหย่อยเน้อ
ส่วนเนื้อและหมูร้านนี้คอนเฟิร์มให้ว่าที่สุด!!! นุ่มละมุนลิ้นมากๆไม่มีคำว่าเหนียวเลย
แต่น้ำจิ้มต้องเตรียมมาเองนะฮะ พี่ไกด์น่ารักมากซื้อน้ำจิ้มสุกี้พันท้ายนรสิงห์เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ
บอกเลยว่าเป็นมื้อที่กินไปเยอะมากและฟินมากลวกหมูลวกเนื้อลวกผักมีฟามสุข
ถ้าได้มาฮ่องกงอีกจะต้องมาหม่ำร้านนี้อีกให้จงได้ ให้ไปเลยห้าดาว Smiley
SmileySmileySmileySmiley



ปิดท้ายด้วยของหวานที่ทางแอร์เอเชียเตรียมไว้ให้
มีเค้กกับสตรอเบอร์รี่ลูกเบิ้ม อร่อย อิ่ม และอืดไปตามๆกัน
ขอบคุณสำหรับมือสุดพิเศษนี้มากๆนะค้า Smiley



ปิดท้ายด้วยภาพวิวสวยๆจากร้านอาหารนี่ขนาดฝนตกยังสวยเลยเน้อ
ช่วงสามวันที่มานี่โชคดีสุดๆคือตามพยากรณ์อากาศฝนจะตกแน่ๆทุกวัน
ซึ่งก็ตรงแต่ว่าเป็นการตกเฉพาะช่วงเย็นและกลางคืน ช่วงกลางวันแค่ฟ้าครึ้มๆ
ทำให้ไม่มีแดดเลยไม่ค่อยร้อนแม้อากาศจะ 25-27 องศาจ้า
แต่ข้อเสียนิดนึงก็คือกลางคืนฝนตกหนักมากจะออกไปชอปปิ้งลั้นลาไม่สะดวกนั่นเอง แหะๆ



12/05/2014

มาเร็วเคลมเร็วจริงๆสวัสดีวันสุดท้ายในฮ่องกงค่า
มื้อเช้าติ่มซ่ำตามธรรมเนียม เช้านี้คนละที่กับร้านแรก
แต่ร้านแรกเมื่อวานอร่อยกว่าฮะ ร้านนี้ไม่มีซาลาเปาไส้ไหลเสียจาย



ภารกิจของวันนี้คือการนั่งกระเช้า Ngong Ping 360 ไปไหว้พระใหญ่
ที่วัดโปลิน (PoLin Temple) บนเกาะลันตา
เค้าจะมีกระเช้าสองแบบคือแบบธรรมดาและแบบคริสตัลคือเป็นใสๆทั้งตัวกระเช้า
ราคาต่างกันเยอะอยู่ ทริปนี้นั่งกระเช้าแบบธรรมดา
เค้าเคยมาสามครั้งก็นั่งแต่แบบธรรมดา
เค้าว่าแค่นี้ก็สวยและเสียวใช้ได้ละฮับใครกลัวความสูงนี่ไม่ต้องพูดถึง



วันนี้จังหวะดีมากตอนเช้าที่นั่งขึ้นไปมีเมฆลอยต่ำเป็นหมอกสีขาวๆ
เวลากระเช้าค่อยๆเลื่อนไปจะเหมือนเราลอยเข้าสู่ม่านเมฆสวยมากกกก Smiley
อากาศตอนอยู่บนกระเช้าเย็นสบายสุดๆประมาณ 23-24 องศา



ขึ้นมาบนเกาะลันตาเห็นองค์ประใหญ่แล้ว
สองครั้งก่อนที่มาก็ไหว้แค่ตรงนี้แต่วันนี้จะเดินขึ้นไปไหว้เป็นครั้งแรก



บันไดทางเดินขึ้นองค์พระใหญ่ไม่สูงมากมีความสูงทั้งหมด 268 ขั้น
ค่อยๆตั้งสติเดินท่อง ก้าวซ้าย-พุทธ/ก้าวขวา-โธ ไปเดี๋ยวก็ถึงค่ะ



องค์พระใหญ่ทำจากทองสัมฤทธิ์หนัก 250 ตัน สูงถึง 34 เมตร
นั่งอยู่บนฐานกลีบบัว ยกพระหัตถ์ขวาและแบพระหัตถ์ด้านซ้ายไว้บนตัก
พระเนตรจ้องมองลงมาเหมือนดังว่ากำลังประทานพรให้แก่ผู้ที่ไปกราบไหว้
สำหรับการไหว้พระใหญ่อาจารย์โอ๋ให้สวดบทสวดแตกต่างกันตามวันเกิด
เท่าที่จำได้คือของเค้าวันจันทร์สวดบทพาหุงมหากา สำหรับวันพฤหัสสวดคาถาชินบัญชร
วันอาทิตย์สวดบทอิติปิโส 56 จบ เสร็จแล้วไม่ว่าเกิดวันไหนก็ปิดท้ายด้วยคาถาเงินล้าน

พอสวดจบเงยหน้ามองพระพักตร์แล้วขอพรหนึ่งข้อค่ะ
ถือเป็นการฝึกความอดทนอย่างหนึ่งเลยเพราะอากาศด้านบนร้อนมาก
ฟ้าเปิดแดดเปรี้ยงสุดๆ แต่ทุกคนก็สามารถผ่านจุดนั้นมาได้ Smiley



ได้เวลานั่งกระเช้ากลับไม่มีเมฆหมอกแล้ว
ได้เห็นองค์พระใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขาสวยงามมาก



กองทัพต้องเดินด้วยท้องมาถึงมื้อเที่ยงของวันนี้แอร์เอเชียจัดเต็มอลังการให้อีกแล้ว
ที่ ร้าน
LEI GARDEN สาขา Elements Mall เป็นห้างใหญ่อยู่สถานี Kowloon ค่า
อาหารมาเป็นเต็มโต๊ะแต่ละจานใหญ่อลังการหน้าตาน่าทานมาก Smiley



เป็นอีกหนึ่งมื้อที่อร่อยเด็ดและประทับใจสุดๆ
เสียดายที่เวลามีน้อยทุกคนรีบเพราะต้องเผื่อเวลาไปชอปปิ้งก่อนขึ้นเครื่อง
เลยดื่มด่ำได้ไม่เต็มที่ แต่บอกเลยว่าอาหารเค้าอร่อยเริ่ดทุกอย่าง
หมูแดงเนื้อฉ่ำเยิ้มน้ำราดอร่อยมากก หมูกรอบเรียกได้ว่ากรอบที่สุดตั้งแต่เคยกินมา
เป็ดปักกิ่งห่อมาให้แบบพร้อมทานมีชิ้นที่เป็นหนังและชิ้นที่เป็นเนื้อรสชาติสุดยอด
และสุดท้ายที่ฟินยิ่งกว่าฟินคือปูทอดกระเทียม ปูใหญ่มากสดมากเนื้อหวานเด้ง Smiley



ปิดท้ายด้วยซาลาเปาไส้ไหลครีมไข่เค็มลาวา
ร้านนี้เนื้อแป้งจะนุ่มๆไส้จะเน้นออกไปทางรสหวาน
ไส้ไม่เยิ้มมากแต่ทานแล้วก็อร่อยเช่นกันค่า
และของหวานก็คือสาคูมะม่วงใส่ส้มโอ
เค้าชอบซดน้ำนะหอมมะม่วงอร่อยเลยแต่ส้มโอขมๆไปนิดจ้า
หม่ำมื้อเที่ยงเสร็จก็มีเวลาให้ชอปปิ้งกรุบกริบๆประมาณหนึ่งชั่วโมง
เดินเล่นกันได้เต็มที่ฟรีสไตล์แต่ต้องมาเจอกันในเวลา 16.45 น.
เพื่อนั่งรถไปสนามบินให้ทันเวลาเช็คอิน



แป๊บเดียวจะได้เวลากลับแล้วหลังจากเช็คอินเสร็จก็มานั่งรอกันในสนามบิน
เค้าชอบสนามบินฮ่องกงมากกกกแบบว่าอินเตอร์เน็ตก็ฟรีมีที่ชาร์ตเป็นช่อง USB ให้อีก
อยากกราบขอร้องให้สนามบินบ้านเราช่วยทำบ้าง ไม่รู้อีกนานแค่ไหนจะมีแบบนี้บ้างเนอะ
สำหรับตลอดทริปนี้ใช้อินเตอร์เน็ตแบบแชร์มาจากเครื่องพี่ปูเป้
ซึ่งพี่เป้ซื้อซิมของฮ่องกงใส่เป็นซิมระบบ PCCW HKT

แบบ 8 วัน ราคา 96 HKD (ประมาณ 405 บาท) ใช้อินเตอร์เน็ตได้ 5 GB

ช่วยพี่เป้หารกับพี่แป้งใช้กันสามคนคุ้มกว่าเปิดโรมมิ่งมากมายจ้า



บินกลับไทยไฟลท์
FD505 เวลา 19.50 น. เครื่องดีเลย์เล็กน้อย
แต่ก็ถึงไทยไม่ช้าใช้เวลาพอๆกับขามาประมาณ 2.50 ชั่วโมงค่ะ
สำหรับการมานั่งรอในสนามบินฮ่องกงตอนเช็คอิน บางครั้งที่ตั๋วเค้าจะยังไม่ระบุเกทให้
ต้องเข้าไปเช็คที่จอด้านในอีกที ดังนั้นควรมาเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อย
เพราะบางครั้งต้องนั่งรถไฟฟ้าเพื่อเปลี่ยนเทอมินอลถ้ามาแบบฉิวเฉียดอาจจะตกเครื่องได้จ้า



ด้วยความที่เย็นย่ำค่ำแล้วขึ้นเครื่องปุ๊บเกิดอาการหิวเปิดส่องเมนูอาหารทันที 555
ราคาแม้จะเป็นการซื้อบนเครื่องก็ไม่ได้แพงกว่าราคาจองในเว็ปมากนัก
แต่แค่จะไม่มีตัวเลือกให้เลือกเยอะเหมือนการสั่งจองล่วงหน้าจ้า



เมนูบนเครื่องมื้อนี้ฟินอีกแล้วอาหย่อยมากกกกก
แนะนำให้ลองกันสำหรับคนชอบกินเผ็ดกับเมนู "เล็กคาราบาว"
เป็นไก่ต้มเค็มสูตรเด็ดของคุณเล็กคาราบาวที่ใส่พริกขี้หนูแบบไม่ยั้ง
รสเค็มเผ็ดกินกับข้าวสวยร้อนๆนะสุดยอดดดแซ่บค่ะแซ่บ ซัดเกลี้ยงไม่ให้เหลือ
ซึ่งเซ็ตเมนูเล็กคาราบาวนี้จะมาคู่กับโค้กหนึ่งกระป๋อง
และของหวานที่เด็ดไม่แพ้ของคาวคือ "ลูกตาลลอยแก้ว"
หวานเบาๆกำลังดีเนื้อลูกตาลไม่เละด้วยเอาไว้แก้เผ็ดไก่ได้อย่างลงตัว
เซ็ตนี้ถ้าสั่งจองออนไลน์ราคาแค่ 190 บาทเองเน่อ
อีกเซ็ตนึงคือไก่บาร์บีคิวอันนี้ก็ใช้ได้แต่บอกเลยว่าโดนเล็กคาราบาวแย่งซีนไปเต็มๆ 555



เรื่องของกินนี่ได้เรื่อยๆแม้จะจบหวานคาวไปแล้วก็ยังต่อแสน็กได้อีก 555
อันนี้ก็อร่อย กล้วยตากพลังงานแสงอาทิตย์ของ Banana Society
บนเครื่องขายกล่องละ 60 บาท กล่องนึงมี 4 ชิ้นจ้า



เป็นมื้อเย็นที่อิ่มและอร่อยอีกหนึ่งมื้อ
จัดว่าเป็นอีกหนึ่งบริการของแอร์เอเชียที่เค้าเพิ่งเคยได้ลองและประทับใจ
ไว้บินรอบหน้าจะลองสั่งอาหารเมนูอื่นมาลองคร้าบ
รสชาติมันเด็ดไม่ใช่อาหารแบบที่เสิร์ฟบนเครื่องบินเหมือนที่เคยๆกินมากเลย Smiley



ขอขอบคุณแอร์เอเชียและทีมงานทุกๆคนในทริปนี้ที่ดูแลเป็นอย่างดี (มากกกๆๆ) ตลอดทริป
เป็นทริปที่สนุกสนานได้บุญและอิ่มท้องทุกมื้อด้วยอาหารอร่อยๆที่จัดเตรียมมาเป็นอย่างดี
ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆบล็อคเกอร์ทุกคนที่ทำให้ทริปนี้ยิ่งสนุกและมีความสุขเข้าไปใหญ่
สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อคนี้ล่วงหน้าด้วยค่า Smiley

Smiley XOXO
Smiley




 

Create Date : 14 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 14 พฤษภาคม 2557 5:58:09 น.
Counter : 17310 Pageviews.  

Review : Amsterdam-Paris Trip [Part 1] ตะลุยอัมสเตอร์ดัมเนเธอร์แลนด์กับการไปยุโรปครั้งแรก!!!

Smiley Goedendag : คู้เดิ้นดัค : สวัสดีค่า Smiley
ขอแอ๊บทักทายเป็นภาษาดัตช์นิดนึง อิอิ
ต้อนรับบล็อคแรกของการตะลุยยุโรปครั้งแรกของเค้า
ด้วยการไปเยือนอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
หรือชื่อเดิมที่เรารู้จักกันในนามประเทศฮอลแลนด์นั่นเอง
พร้อมแล้วไปเที่ยวด้วยกันเล้ยยยย!



การเดินทางครั้งนี้นั่งเครื่องบินสายการบินประจำชาติของเนเธอร์แลนด์เลย
นั่นก็คือ สายการบิน KLM เป็น Direct Flight บินตรงสู่อัมสเตอร์ดัม
ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องให้วุ่นวาย ใช้เวลาในการนั่งบนเครื่องบินประมาณ 12 ชั่วโมงจ้า
ซึ่งได้เล่าเม้ามอยอย่างละเอียดยิบไว้ให้แล้วในบล็อคแรก
ใครยังไม่ได้อ่าน เชิญไปเสพย์กันได้ตามลิงค์ด้านล่างเลยคร้าบ

Smiley Review : แชร์ประสบการณ์
นั่งสายการบิน KLM Royal Dutch Airlines ครั้งแรก
สู่อัมสเตอร์ดัม Netherlands


ขอบอกว่าเขียนไว้ละเอียดที่สุดของที่สุดตั้งแต่ขั้นตอนการจอง
การเช็คอินล่วงหน้า การโหลดกระเป๋า ราคา อาหารบนเครื่อง
รวมถึงการดูแลผิวเวลาต้องนั่งเครื่องบินนานๆ แนะนำว่ามิควรพลาดด้วยประการทั้งปวง อิอิ Smiley



ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิตอน 12.20 น.
ไปถึงอัมสเตอร์ดัมเวลา 18.25 น. เวลาที่นู่นช้ากว่าเรา 6 ชั่วโมงฮะ
ซึ่งเค้าเองเป็นคนนอนดึกมากอยู่แล้วเลยไม่มีอาการเจ็ทแล็คเลยแม้แต่น้อย
ชอบจริงเป็นการเที่ยวที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือต้องปรับเวลาเลย 555
การบินไปยุโรปครั้งแรกบอกเลยว่าตื่นเต้นมาก ลุกมาชมวิวเป็นระยะๆ
วิวสวยเว่อร์จริงๆเค้าชอบนสุดคือช่วงที่บินผ่านตะวันออกกลาง
ภูเขาสีส้มๆมีหิมะปกคลุมที่ยอดมันสวยมากกกก Smiley



ด้วยความที่ สายการบิน KLM เป็นสายการบินยุโรป
ดังนั้นไซส์เก้าอี้ก็เลยเป็นไซส์ยุโรปไปด้วยสาวไซส์มินิอย่างเค้าบอกเลยว่ากว้างขวาง
นั่งสบายยืดขาจนสุดเข่ายังห่างจากเบาะข้างหน้าเป็นคืบเล้ย
ซึ่งขาที่นั่งไปนั้นได้เพื่อนใหม่เป็นคุณลุงชาวเดนมาร์กผู้น่ารัก
นั่งเม้ามอยกันหลายชั่วโมงราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน 555
ประเด็นแรกที่คุยกันคือคุณลุงหันมามองเค้าแล้วเรียกเค้าว่า "Small Girl"
บอกยูนี่ดีจังนั่งเครื่องบินไปไหนก็สบายเพราะตัวเล็กที่นั่งดูกว้างไปเลย
เอ๊ะเดี๋ยวนะนี่ลุงชมหรือแอบด่าว่าหนูเตี้ยคะ 555 คือลุงเค้าสูงมาก 196 ซม.
เราก็เลยกลายเป็นสาวไซส์จิ๋วมากในสายตาเค้า แหม่ก็สูงห่างกันแค่ 30 ซม.เองนะ เอิ๊กๆ
เดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมกันลุงมายืนเทียบแล้ววัดดูเค้าสูงแค่รักแร้ลุงเอง ยังกะสเมิร์ฟเลย555
จากประเด็นสาวจิ๋วเลยนั่งคุยนู่นนี่ไปเรื่อยจนถึงอัมสเตอร์ดัมเลย
โดนหยอกโดนแซวตลอดไฟลท์ ลุงเห็นเค้าถ่ายภาพทุกช็อตทุกมุมเพราะตั้งใจจะกลับมาเขียนรีวิวไง
ลุงเลยแกล้งแอบโผล่มาในเฟรมบ้าง ยื่นมือบังกล้องบ้าง สนุกดีน้าได้เพื่อนใหม่ตั้งแต่เริ่มทริป
บอกเลยว่าระดับภาษาอังกฤษเค้านั้นไม่ได้ดีเลย แต่เป็นคนไม่ค่อยอายที่จะพูด
ศัพท์แสงในสมองมีไม่กี่คำแต่ประติดประต่อให้เป็นประโยคแบบสื่อสารได้
และด้วยบุคลิกเราเป็นคนยิ้มง่ายฝรั่งคุยด้วยแล้วเค้ามักจะเอ็นดูเราเหมือนเราเป็นเด็ก
ทุกครั้งที่ไปเมืองนอกมักจะได้เพื่อนใหม่ระหว่างทริปเสมอๆ นี่แหละน้าเสน่ห์ของการเดินทาง Smiley



12 ชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงอัมสเตอร์ดัมแล้ว เย้!
สนามบินที่เราไปลงคือ Schiphol Airport (อ่านว่า สะ-คิป-โพล บ้างคนออกเป็น โฮล)
ภาษาดัตช์อ่านออกเสียงยากมากกก ตัวสะกดเยอะจริงจัง
ไม่จำเป็นจะไม่อ่านป้ายอะไรใดๆทั้งนั้นมั่นใจว่าพูดไปเค้าก็ฟังเราไม่ออก
ถ้าต้องการสอบถามอะไรยื่นชื่อให้เค้าดูดีที่สุดฮะ
สนามบินเค้าก็กว้างขวางอยู่แต่ไม่ใหญ่โตอลังการดาวล้านดวงเท่าสุวรรณภูมิ
ซึ่งเค้าชอบนะไม่ต้องเดินไกล จุดรับกระเป๋าเดินไปนิดเดียว
สำหรับการเข้ายุโรปเราต้องทำการขอ
Shchengen Visa (วีซาเชงเก้น) มาก่อนอยู่แล้ว
ต้องขั้นตอนตม.จึงง่ายมากสะดวกรวดเร็ว ของเค้าเปิดดูพาสปอร์ตแว่บเดียว
ไม่ถามอะไรเลยปล่อยผ่านแบบชิลๆ ส่วนหลังจากรับกระเป๋า
ตรงทางออกจะมีแสกนกระเป๋าอีกนิดนึงตรงนั้นเจ้าหน้าที่ศุลกากรซึ่งยิ้มแย้มมาก
เค้าก็ถามทั่วไปมาเที่ยวเหรอ มากี่วัน แสกนกระเป๋าเจออาหารกระป๋องแพ็คๆก็ไม่มีปัญหาอะไรฮะ
เจ้าหน้าที่แลดูใจดีเลยถามวิธีการเข้าเมืองเค้าเสียเลย เค้าเข้าเมืองง่ายมาก
เดินผ่านตรงนี้ออกไปนิดเดียวเจอสถานีรถไฟอยู่ในตัวอาคารเลย
บอกเสร็จสรรพซื้อตั๋วตรงไหน ลงสถานีอะไร ขอบพระคุณมากคร้าบ



ออกมาปุ๊บสิ่งแรกที่เจอเลยคือบูทขายซิมการ์ด!!!
สวรรค์โปรดนี่แหละสิ่งที่ต้องการ เพราะเค้าศึกษาก่อนเดินทาง
หลายเสียงว่าไปยุโรปไม่แนะนำให้เปิด Roaming
อาจจะเกิดปัญหาหนี้สินบิลค่าโทรศัพท์ถล่มบ้านได้
การไปซื้อซิมที่นู่นใส่จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพราะราคาไม่สูงมาก
ในสนามบินบูทที่มาตั้งคือค่าย Lebara ซึ่งเป็นค่ายใหญ่มีใช้หลายประเทศทั่วโลก
ซึ่งเค้าเองก็เคยใช้ตอนอยู่ซิดนีย์ก็เลยคิดว่าน่าจะโอเค ราคาซิมก็ไม่แรงมาก
20 Euro ( 890 บาท) เล่นเน็ตได้ 7 วัน 3G แบบไม่จำกัด
เค้ามาเที่ยว 7 วันพอดีได้เน็ตแบบ Unlimit ด้วยโอ๊ยคิดเลยว่าเจ๋งมาก
ซื้อซิมเพียงอันเดียวใส่มือถือแล้วตั้งใจว่าจะเปิด Personal Hotspot
ปล่อยสัญญาณอินเตอร์เน็ตแชร์ให้ไอแพด คุ้มนะเนี่ยราคานี้เล่นได้สองเครื่อง
แต่........มันไม่เป็นอย่างที่คิด ค่ายมือถือที่นี่ร้ายนะฮร้าตั้งค่าล็อคไม่ได้เปิดแชร์เน็ต!!!
คือล็อคเครื่องไม่ให้ขึ้นโหมดเปิด Personal Hotspot ไปเลย รู้ทันความคิดเรามากกระซิกๆ
และบริเวณบูทนี้ก็มีเฉพาะ Micro Sim ใช้ได้เฉพาะมือถือรุ่นเก่า ไม่มี Nano Sim ขาย
ดังนั้นใครใช้ไอแพดหรือ iPhone5 หมดสิทธิ์นะจ๊ะ แชร์เน็ตก็ไม่ได้ไปหาใหม่เอาดาบหน้าฮือ
ส่วนเรื่องโปรค่าโทรศัพท์เค้าไม่ได้ดูน้าเพราะโทรกลับบ้านผ่านแอพใน Line เอาฮับ

***ที่นี่ใช้เงินสกุล Euro เพราะเป็นประเทศในสหภาพยุโรป
ช่วงที่เค้าไปค่าเงินประมาณ 43 กว่าๆไม่ถึง 44 บาทจ้า




หน้าตาของจุดขายตั๋วรถไฟเข้าเมือง ตั้งอยู่ในสนามบินเลยหาง่ายจริง
ทางลงสถานีก็อยู่ติดกันเลยเรียกได้ว่าสะดวกสบายสุดๆ
สถานีที่เค้าจะไปคือสถานีหลักกลางเมืองอัมสเตอร์ดัมเลย
Amsterdam Centraal Station เค้าพิมพ์ Centraal ไม่ผิดน้า
สะกดแบบภาษาดัตช์จะมีตัว a สองตัวจริงๆ การออกเสียงเค้าจะควบ ร ชัดเจน
เซ็น-เตร่าาาา สำเนียงคล้ายคนใต้บ้านเราแบบติดทองแดงๆนิดๆเลย มีเสน่ห์ดีน้า
ราคาตั๋วใบละ 4.40 Euro (195 บาท) แพงเอาเรื่องตามค่าครองชีพหล่ะนะ



แม้จะถามเจ้าหน้าที่มาเป็นอย่างดีแล้วว่าขึ้นชานชลาฝั่งไหน
แต่ด้วยความสามารถก็ขึ้นรถผิดคันอยู่ดี หลงตั้งแต่เริ่ม 555 ชินละ
ขอบอกว่าคนที่นี่น่ารักและเป็นมิตรสุดๆพอเค้าเห็นว่าเราหลง
ช่วยกันเช็คให้ใหญ่เลยว่าเราต้องเปลี่ยนรถตรงสถานีไหน ลงตรงไหน
เค้ายินดีช่วยเหลือเราสุดๆเปิดมือถือเช็คให้แบบเป๊ะๆ ซึ้งอ้ะขอบคุณมากๆคร้าบ
ณ อัมสเตอร์ดัมตอนนั้นอุณหภูมิประมาณ 9-10 องศาคนที่นู่นแต่งตัวจัดเต็ม
กรุณาดูคอสตูมคุณแฟนเค้านึกว่ามาช่วงซัมเมอร์แลดูคอนทราสก์เกิ๊น 555



และด้วยน้ำใจของชาวดัตช์เราก็มาถึง
Amsterdam Centraal Station ได้โดยสวัสดิภาพ เย้ๆ
สถานีนี้เป็นสถานีหลักตั้งอยู่กลางเมือง เป็นจุดที่ใช้ต่อรถไปยังเมืองต่างๆ
เป็นสถานีรถไฟที่สวยมากตั้งอยู่ตรงชายฝั่งอ่าวไอย์ (ij) สร้างมาตั้งแต่ปี 1889
อายุร้อยยี่สิบกว่าปีแน่ะ เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์
ผสมผสานกับนีโอโกธิก คลาสสิก สวยงาม ดูมีมนต์ขลังเนอะ
เค้ามักเลือกที่พักที่ใกล้สถานีหลักเวลาเดินทางไปยังประเทศที่ไม่เคยไป
เพราะจะเป็นจุดที่สะดวกสุด สิ่งอำนวยความสะดวกครบ และค่อนข้างปลอดภัยจ้า




โรงแรมที่เค้าพักอยู่ไม่ไกลจากสถานี Centraal
สามารถเดินเข็นกระเป๋าเดินทางกระเตงๆไปได้ระยะทางประมาณ 850 เมตร
ตามแผนที่เค้าจะแนะนำให้ออกทางประตูกลาง
แต่ถ้าไม่มีสัมภาระเท่าไหร่เดินตัดออกไปออกประตูฝั่งซุปเปอร์มาร์เก็ต Albert Heijn
จะเดินใกล้ขึ้นอีกนิดนึง แต่จะต้องเดินข้ามตรงสถานีรถรางซึ่งรถค่อนข้างขวักไขว่นิดนึงฮะ
อยากจะบอกว่าการมีอินเตอร์เน็ตที่สามารถเปิด Google Map ได้
เป็นความอบอุ่นใจอย่างยิ่งในการเดินทางต่างแดน



และแล้วมามาถึงที่หมาย สำหรับเค้าอากาศเย็นๆเดิน 850 เมตรนี่ชิลๆน้าไม่เหนื่อย
โรงแรมที่เค้าจองมาคือ City Hotel Amsterdam โดยจองผ่านเว็ป Booking.com เว็ปประจำ
โดยตกราคาคืนละ 90 Euro (ประมาณ 4,000 บาท) แบบรวมอาหารเช้า
ในเว็ปแอบบอกว่าโรงแรมห่างจากสถานีแค่ 500 เมตร บอกสั้นกว่าทางจริงไปนิดนะฮร้า อิอิ
ข้อดีของการจองผ่าน
Booking.com คือใช้บัตรเครดิตในการจองแต่มาจ่ายเงินจริงที่โรงแรม
ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเราแลกเป็นเงินของประเทศนั้นๆมาจ่ายมักจะถูกกว่าฮะ
รีเซฟชั่นที่นี่มีหลายคนจะผลัดเปลี่ยนเวรกันไปเรื่อยๆ แต่อัธยาศัยดีทุกคนภาษาอังกฤษเป๊ะมั่กๆ



โรงแรมเป็นตึกแบบดั้งเดิมแต่ปรับปรุงด้านในให้เป็นห้องพัก
เค้าชอบการตกแต่งเรียบๆง่ายๆแต่ดูอบอุ่นดี มีเคาท์เตอร์บาร์ด้วย
ที่โรงแรมมีสัญญาณ Wi-Fi ให้เล่นฟรี แต่จะมีเฉพาะชั้นล่างเท่านั้น ที่ห้องพักไม่มีฮะ



แต่ขอบอกว่าโรงแรมแทบทุกแห่งของที่นี่มักจะเป็นอาคารดั้งเดิมแต่ปรับปรุงต่อเติมเป็นโรงแรม
ซึ่งมักจะเป็นอาคารที่สูงแค่ 3-4 ชั้น ดังนั้นจะ ไม่มีลิฟต์!!! ซะเป็นส่วนใหญ่นะคร้าบ
บันไดก็จะเหมือนบันไดในบ้านคนขนาดค่อนข้างแคบหน่อย
และจะไม่มีบริการหอบกระเป๋าขึ้นไปให้ที่ห้องพัก ดังนั้นถ้าผู้หญิงเดินทางคนเดียว
แนะนำว่าหอบสำภาระมาอย่าเยอะมากไม่งั้นสิ้นสภาพกลางบันไดแน่นอน
ดีนะเค้ามีพนักงานหิ้วกระเป๋าส่วนตัว <<< คุณแฟนนั่นเอง ช่วยหอบกระเป๋าขึ้นไปให้ อิอิ
แต่ด้วยความที่เป็นกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่สุด 2 ใบ คุณแฟนก็เกือบสิ้นสภาพเช่นกัน 555



ท๊า ดา....สภาพภายในห้องพักกว้างขวาง สะอาด สวยงาม ประทับใจเลย



สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องมีผ้าเช็ดตัวให้สองผืน
ไดร์เป่าผม เครื่องทำน้ำอุ่น เท่านี้ฮะ ไม่มีน้ำดื่มให้แบบบ้านเรา
สำหรับราคาสี่พันเทียบกับค่าครองชีพและทำเลแล้วเค้าโอเคมากเลยกับโรงแรมนี้แนะนำๆฮับ



สำหรับการมายุโรปครั้งแรกสิ่งที่เค้ากังวลสุดคือเรื่อง "อาหาร"
เพราะเป็นคนไม่ค่อยถูกกะอาหารฝรั่งเท่าไหร่ ไม่ชอบอะไรชีสๆเอือมๆง่า
เลยพกอาหารไทยสำเร็จรูปมาเต็มพิกัดซึ่งยุโรปสามารถนำเข้าประเทศได้ไม่มีปัญหา
ใครติดอาหารไทยแบบเค้าแนะนำข้าวหอมมะลิกระป๋องยี่ห้อ คุณเพิ่ม
หาซื้อได้ในโลตัสกระป๋องละ 16 บาท เวลาทานถ้าไม่มีไมโครเวฟ
สามารถอุ่นให้ข้าวนิ่มขึ้นได้ด้วยการแช่ในน้ำร้อนประมาณ 3-5 นาที
ก็เปิดน้ำร้อนจากก๊อกในห้องน้ำนั่นแหละฮะแช่ไว้เลย ข้าวจะนิ่มขึ้นบริเวณขอบๆกระป๋อง
แม้ตรงกลางกระป๋องจะแข็งๆหน่อยแต่ก็ทานได้ไม่แย่
ส่วนอาหารสำเร็จรูปเค้าแนะนำ โรซ่า แบบเป็นซองๆ เวิร์คมาก
มีอาหารให้เลือกหลากหลายประเภท อุ่นโดยการแช่น้ำร้อนก็ง่าย อุ่นไวกว่ากระป๋องเยอะ
เรื่องกินนี่ไม่เคยพลาดเตรียมพร้อมมาดีเสมอ แต่อายเกินจะบอกว่าตกม้าตายเรื่องนึง
ฝากไว้เลยว่าเตรียมอาหารมาพร้อมแล้วอย่าลืมเตรียม "ช้อน" มาด้วย !!!
จะกินแล้วเพิ่งคิดได้ว่าไม่มีช้อน เวรกรรมจริงๆฮือ เลยต้องเดินลงไปหาซื้อที่ซุปเปอร์ใกล้ๆ
ซึ่งก็มีอยู่ในสถานี Centraal ชื่อร้าน HEMA เป็นร้านที่มีทุกสิ่งเหมือนพวกโลตัสเอ็กเพรส
แต่มันน่าเจ็บใจนะ............มีทุกสิ่งจริงๆตั้งแต่อาหารสดยันเครื่องสำอาง แต่ไม่มีช้อน!!!
มื้อนี้คุณแฟนเลยต้องตัดฝาพลาสติกของกล่องแครกเกอร์ทูน่ามาใช้ตักข้าวแทนช้อน เฮร่ออ...



กว่าจะเอ้อระเหยทำนู่นนี่นั่นเสร็จก็ดึกเลยคืนนี้เลยขอเดินสำรวจแค่ใกล้ๆโรงแรมพอ
แม้จะอยู่กลางเมืองแต่เวลาประมาณสี่ทุ่มถนนที่นี่ก็เริ่มโล่งละนานๆมีรถโผล่มาคันนึง
แต่จะมีคนขี่จักรยานและคนเดินไปเดินมาเรื่อยๆ ทำให้บรรยากาศดูไม่เปลี่ยว
อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าสงบแต่ไม่เหงาถ้าได้มาสัมผัสจะรู้สึกได้
ว่าเป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัว เดินเล่นได้แบบสบายใจจริงๆนะ



ราตรีสวัสดิ์คืนแรก ณ อัมสเตอร์ดัมด้วยวิวคลองงามๆใกล้ๆโรงแรม
เมืองบ้าอะไรไม่รู้สวยคลาสสิกแบบไม่ต้องแต่งเดิม ตกหลุมรักซะละ Smiley



Goedemorgen : คู้เดอะ ม๊อร์เคิ่น : สวัสดีตอนเช้าค่า Smiley
เริ่มเช้าวันใหม่กันด้วยการหม่ำอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์กันที่โรงแรม
ห้องอาหารเป็นโถงสูงมีที่นั่งให้พอกับจำนวนแขกบรรยากาศน่านั่ง



อาหารเช้าที่นี่เรียกได้ว่า คุ้มมมมมมมมม!!! คือไม่ได้หลากหลายมากก็อเมริกันเบรคฟาสต์ทั่วไป
แต่ว่าก็ครบถ้วนและอิ่มอร่อย เค้าปลาบปลื้มกับแฮมและเบคอนของที่นี่มากคุณภาพดีสุดๆ
เกิดมาในชีวิตไม่เคยฟาดแฮมและเบคอนเยอะเท่านี้มาก่อนฟาดคนเดียวทีละสิบกว่าแผ่น!
เสียดายที่มีแต่ไข่ต้มถ้าได้ไข่ดาวกะแม็กกี้ด้วยนะจะฟินนาเล่ยิ่งกว่า
บนโต๊ะเค้าจะมีแค่เกลือและพริกไทยไว้ให้ ซึ่งใครเป็นพวกติดซอสแบบเค้า
แนะนำว่าพกซอสมะเขือเทศมาด้วยจะทำให้หม่ำได้เยอะขึ้นฮะ เปรี้ยวๆหน่อยแก้เอือม
ตอนเค้าไปพกซอสมะเขือยี่ห้อ ภูเขาทอง แบบเป็นซองใหญ่มีฝาเกลียว
น้ำหนักเบากว่าแบบขวด ที่สำคัญเทกินง่าย ซอสรสชาติอร่อยด้วย อิอิ



ความเด็ดอีกอย่างของมื้อเช้าคือขนมปังเค้าเนื้อแน่นนุ่มอร่อยมาก
เอามาปิ้งกินทาแยมแล้วเริ่ด ซึ่งมาสารพัดแยม เนย เนยถั่ว ฯลฯ ให้เลือก
ที่โดนใจเค้าสุดคือน้ำผึ้ง กะ เฮเซนัท เอามานั่งป้ายกินเล่นเลยอ้ะ หมูติดใจ Smiley



ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มที่เค้าชอบคือช็อคโกแล็ตสำเร็จรูปที่โรงแรมนี้ใช้คือยี่ห้อ Chocomel
รสชาติเข้มข้น หวานมัน ยิ่งราดนมสดที่เค้าเอาไว้ราดกาแฟลงไปด้วยอีกหน่อยนะ ฮร้ายยยฟิน
มื้อเช้าทุกวันในอัมสเตอร์ดัมเลยอิ่มหนำสำราญ อิ่มแปร้อยู่ได้ยันบ่ายประหยัดค่ากินไปเยอะคร้าบ



ฟาดมื้อเช้าจนอิ่มแล้วได้เวลาตะลุยอัมสเตอร์ดัมกันแล้ว เย้!
อากาศเช้าวันนี้ [28/11/2013] คือ 9 องศา คือเย็นอ้ะเค้าก็แต่งจัดเต็มเอาให้อุ่น
ท่อนบนใส่เสื้อ Uniqlo Heattech แขนยาวด้านใน
ทับด้วยเสื้อ Uniqlo Fleece คอเต่าแขนยาว
แล้วทับด้วยเสื้อไหมพรมอีกตัวนึง พร้อมพันผ้าพันคอ
ท่องล่างใส่เลกกิ้ง
Heattech แบบบางซ้อนกันสองชั้น
ใส่ถุงเท้าแบบถักจากขนแกะกับบูทยาว อุ่นแบบเอาอยู่สบายๆ
ส่วนคุณแฟนอิชั้นนั้น.............ไม่ต้องบรรยายแต่งตัวซัมเมอร์เหมือนเดิม
นางชอบอากาศเย็น เป็นคนขี้ร้อน แต่อันนี้ก็ขี้ร้อนไปม๊ายยย Smiley



มาทำความรู้จัก "อัมสเตอร์ดัม" กันก่อน!
อัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) เป็นเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์
ตั้งอยู่ริมฝั่ง แม่น้ำอัมสเทล (Amstel) เริ่มก่อตั้งประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 12
ชื่อเมืองมาจากคำ 2 คำ คือ Amstel แม่นํ้าอัมสเตล บวกกับคำว่า Dam ที่แปลว่าเขื่อน
เมื่อรวมความแล้วก็คือ “เขื่อนที่อยู่ริมเเม่นํ้าอัมสเตล”  นั่นเองจ้า



อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่มีลักษณะพื้นที่เป็นเกาะมีคูคลองล้อมรอบเมืองถึง 4 ชั้น
ซึ่งถูกขุดขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 มีความยาวรวมกันกว่า100 กม.
เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรและขนส่งสินค้ารวมถึงเป็นคูเมืองเพื่อป้องกันข้าศึกศัตรู
มีประตูกันน้ำถึง 16 แห่ง จึงเรียกได้ว่าอัมสเตอร์ดัมนี้เป็น เมืองแห่งคลอง
ด้วยลักษณะผังเมืองที่เชื่อมกันหมดทำให้เดินเที่ยวได้ง่ายมากกกไม่ต้องกลัวหลงเลยฮะ
และด้วยความที่เมืองเค้าอนุรักษ์ตัวอาคารให้เป็นแบบยุคก่อนเอาไว้
จึงเป็นเมืองที่สวยงามมีเสน่ห์ติดอันดับต้นๆของยุโรปเลย
มาเที่ยวที่นี่แค่เดินเล่นรอบเมืองก็คุ้มละ เดินเพลินมากสวยจริงจังค่า Smiley

Credit ขอบคุณข้อมูลจากเว็ป : //travel.thaiza.com  ค่า



บ้านสองฟากริมฝั่งคลองเป็นอาคารแบบยุโรปจ๋า
สะท้อนเงาในแม่น้ำไม่รู้จะบรรยายยังไง สวยจบ!
ภาษาหลักซึ่งเป็นภาษาราชการของที่นี่คือภาษาดัตช์
ซึ่งตามป้ายต่างๆก็เป็นภาษาดัตช์ ใช้ตัวอักษรแบบภาษาอังกฤษแต่ตัวสะกดจะเยอะแยะ
สำหรับเค้าคืออ่านป้ายไม่ออกเลย ไม่กล้าออกเสียง มั่นใจว่าออกเสียงไปก็ผิด 555
แต่สำหรับการมาเที่ยวไม่ต้องห่วงชาวดัตช์พูดภาษาอังกฤษกันได้ทุกคน และสำเนียงฟังง่ายมากจ้า
เคยอ่านเจอในหนังสือเค้าบอกคนอัมสเตอร์ดัมเฉลี่ยแล้ว
เป็นเมืองที่คนมีความสูงมากสุดในโลกด้วย ซึ่งก็จริงผู้ชายนี่ 180++ ส่วนผู้หญิงก็ 170++
เอาว่าสาวสเมิร์ฟอย่างเค้าอยู่แล้วตัวเท่าลูกหมาไปเลย คุยทีเงยหน้าซะเมื่อยคอ 555
จากที่สังเกตคนที่นี่จะมีหลายเชื้อชาติ แต่โดยรวมถือว่าเป็นเมืองที่คนเอเชียไม่เยอะมากค่ะ



สิ่งที่เราจะเห็นได้ทั่วเมืองก็คือ "จักรยาน"
ถือเป็นพาหนะหลักของคนที่นี่ ซึงเค้าจะมีเลนสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ
เป็นเลนสวนเหมือนเลนรถยนต์เลย และตามข้างทางก็จะมีที่สำหรับจอดจักรยานให้รอบเมือง
การเดินเล่นในเมืองควรเดินบนทางเท้าและต้องระวังจักรยานเป็นพิเศษ
เนื่องจากเค้าปั่นจักรยานกันทั้งเมืองรถจะเยอะมากและคนที่นี่ปั่นกันเร็วมากไม่ค่อยเบรคนะฮะ



ประเทศเนเธอร์แลนด์จะแบ่งเป็น 4 ฤดู คือ
ใบไม้ผลิ        มีนาคม – เดือนพฤษภาคม
ร้อน      มิถุนายน – สิงหาคม
ใบไม้ร่วง    กันยายน – พฤศจิกายน
หนาว      ธันวาคม – กุมภาพันธ์

อากาศจัดว่าเย็นตลอดปีร้อนสุดก็แค่ 22 องศา หนาวสุดคือติดลบต้นๆ
ช่วงที่เค้าไปคือ 27 พฤศจิ - 3 ธันวา 2556 อยู่ในช่วงเข้าหน้าหนาว
อากาศจะค่อนข้างเย็นอุณหภูมิตอนกลางวัน 6-9 องศา
ตอนกลางคืนบางคืนนี่เหวี่ยงลงไปถึง -1 หรือ -2 เลย
เค้าไปตรงช่วงที่คาบเกี่ยวจากฤดูใบไม้ร่วงเลยได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีด้วย
ต้นไม้เหลืองๆแดงๆตามสองข้างทางให้บรรยากาศเหงาๆน่าเล่นเอ็มวีมาก อิอิ
ในช่วงหนาวๆแบบนี้ฟ้าจะครึ้มๆมัวๆหน่อยแทบไม่ได้จ๊ะเอ๋กับพระอาทิตย์
และฟ้าจะมืดเร็วมากประมาณ 4-5 โมงเย็นฟ้าก็มืดหมดแล้วจ้า



เป้าหมายวันนี้ที่ตั้งใจไว้คือไปเดินเล่นตรงจตุรัสกลางเมืองดัมสแควร์ (Dam Square)
แต่ระหว่างทางก่อนถึงขอแว่บเข้าย่านชอปปิ้งนี้ดดดนึง อิอิ
ย่านชอปปิ้งชื่อดังของอัมสเตอร์ดัมอยู่บนถนน Kalverstraat และ Leidsestraat
ใกล้ๆกับดัมสแควร์เลยฮะ สังเกตง่ายคนพลุกพล่านสองข้างทางมีร้านรวงเต็มเอี้ยดสองข้างทาง
มีแสงแดดโผล่มาให้ดีใจแว่บนึงแล้วแดดก็จากไป อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ต้องควักเสื้อ Uniqlo Ultra Light Down มาคลุมทับอีกชั้นนึง
ด้านในบุด้วยขนเป็ดเค้าสอยมาจากญี่ปุ่นตอนเซลล์ ขอบอกว่าคุ้มมาก
แนะนำให้ซื้อไว้ถ้าจะไปเที่ยวเมืองหนาว อากาศประมาณติดลบต้นๆเอาอยู่
น้ำหนักเบาพับแล้วเหลือตัวนิดเดียวพกพาง่าย
Uniqlo บ้านเราก็มีขายฮะ



ส่วนใหญ่เป็น Street Brand ทั่วไปๆที่เราคุ้นเคย เช่น H&M , Bershka , Nike ฯลฯ
ราคา H&M ที่นี่เค้าแว่บเข้าไปดูนิดนึงก็พอๆกะบ้านเราไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
แต่ที่กรี้ดดดและตื่นเต้นคือ เครื่องสำอางแบรนด์ Flormar
เป็นแบรนด์ที่กำเนิดในอิตาลีแต่ผลิตในตุรกี มีช็อปส่วนใหญ่อยู่ในโซนยุโรป
พูดเลยว่ามาแล้วควรแวะ! ตอนที่ไปมีโปรซื้อ 4 จ่าย 3 ด้วยเริ่ด!



หน้าตาแอบคล้าย MAC เบาๆ แต่ราคาเบากว่าเย๊อะะะ
ลิปราคา 3-7 Euro บรัช/แป้ง 12-15 Euro
เค้าซื้อลิปมาแล้วกรี้ดดดเลยเนื้อครีมมี่พิกเมนต์เข้มข้นปกปิดสีปากมิด
กลับมาแล้วอยากได้อีก ฮือ นี่ขนาดไม่ใช่คนบ้าเครื่องสำอางนะนี่
รอบหน้าไปอีกไม่พลาดบอกเลย จัดให้เป็นของดีเมืองอัมสเตอร์ดัม555



แต่จริงๆเค้าไม่ได้จะมาชอปปิ้งไร้สาระนะที่แวะมาย่านชอปปิ้งเนี่ย อิอิ
แวะมาเพื่อซื้อซิมการ์ดใส่ไอแพดจ้า ซิมนาโนและโปรอินเตอร์เน็ตสำหรับไอแพดจะหายากหน่อย
เค้าซื้อจากร้าน Be!Company โดยใช้ค่าย Vodafone ซึ่งเป็นค่ายใหญ่มีทั่วโลกเช่นกัน
ถ้าเค้าจำไม่ผิดจะเป็นโปรเน็ต 7 วันใช้ได้ 300M ราคา 20 Euro (885 บาท)
ทางร้านจะเซ็ตตั้งค่าทุกอย่างให้เราเลย เราไม่สามารถทำเองได้อยู่ละเพราะเป็นภาษาดัตช์ล้วนๆ
โดยถ้าเราใช้เน็ตใกล้หมด 300M จะมีแมสเสจส่งมาเตือน (เป็นภาษาตัตช์แต่พอเดาได้)
เราสามารถเติมเงินซื้อโปรเน็ตเพิ่มได้ตามช็อปของร้าน
Be!Company
หรือช็อปของ
Vodafone เองจ้า ซึ่งในย่านชอปปิ้งที่เดินเล่นตะกี๊
ก็มีช็อป
Vodafone แหละเค้าเพิ่งมาเจอตอนหลัง แหะๆ Smiley มีอินเตอร์เน็ตแล้วเย้ๆอุ่นใจ



และแล้วก็มาถึง
จุดหมายปลายทางของเราเสียทีแวะไปซะหลายชั่วโมง
ดัมสแควร์ (Dam Square) จตุรัสกลางเมืองที่มักใช้เป็นจุดที่ใช้นัดพบกันเพราะสังเกตง่าย
เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญๆไม่ว่าจะเป็น
พระราชวังหลวง (Royal Palace) ที่เห็นอยู่ในภาพ
เป็น 1 ใน 3 ของพระราชวังที่ยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยของราชวงศ์อยู่ด้วยค่ะ
โดยปกติจะเปิดให้กับผู้คนทั่วไปในการเข้าชมด้านในได้ แต่ช่วงที่เค้าไปปิดปรับปรุง โธ่ Smiley,
อนุสรณ์สถานสงคราม (War Mermorial) , โบสถ์ใหม่(New Church)
นอกจากนี้บริเวณจัตุรัสดัมสแควร์ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธี
ของสำนักพระราชวัง พวกงานเฉลิมฉลองวันแห่งการรำลึก ฯลฯ
รวมถึงเป็นแหล่งที่มีนักแสดงมาร้องรำทำเพลงแสดงเปิดหมวกกันด้วยจ้า



บริเวณจตุรัสแห่งนี้คล้ายสนามหลวงบ้านเรามากตรงที่มีนกพิราบเยอะโฮกกกกก
แต่พิราบที่นี่อยู่ดีกินดีอวบอ้วนกว่าบ้านเราเยอะ อยู่กันเป็นฝูงไม่กลัวคนเลย



ด้านหน้าพระราชวังจะมีบริการนั่งรถม้าแบบยุคโบราณด้วยเสียเงินฮะแต่ไม่ได้ถามว่าเท่าไหร่
และแอบเล็งร้านรถเข็นสีแดงนี้ไว้จอดตระหง่ายอยู่ร้านเดียวกลางลานเลย
เป็นร้านขาย American Hot-Dogs ไส้ปลา Haring
เจ้าปลาแฮริ่งนี่แหละเป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของเนเธอร์แลนด์
เคยดูในรายการ Tonight Show ลักษณะเป็นปลาดิบดองในกระป๋อง
ให้ฟิลแบบปลาร้าบ้านเรา เห็นว่ากลิ่นร้ายกาจพอตัว แต่จะแล้วจนรอด
เค้าก็ได้แค่เล็ง แหะๆ สรุปแล้วมาเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ลองปลาแฮริ่งคร้าบ คราวหน้าต้องไม่พลาดๆ



ด้านขวามือของพระราชวังหลวงคือ
โบสถ์ใหม่(New Church)
ที่สร้างขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่ 14 แล้วผ่านการบูรณะซ่อมแซม
จนถึงมีการสร้างใหม่จนสวยงามอย่างในทุกวันนี้ ตอนเค้าไปมีจัดนิทรรศกาล
โชว์วัฒนธรรมและข้าวของของจีนสมัยราชวงศ์หมิงด้วย แต่มิได้เข้าไปดูฮะ
จะเสียเงินมาดูประวัติศาสตร์จีนในอัมสเตอร์ดัมมันก็ยังไงอยู่เนอะ Smiley



ฝั่งขวามือของพระราชวังหลวงจะเป็น ห้าง
Peek & Cloppenburg
ซึ่งในห้างนี้จะมีพิพิธภัณฑ์โชว์หุ่นขี้ผึ้งของ Madame Tussaud
ในห้างนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เข้าไปแล้วโหรงเหรงๆ แหะๆ
ส่วนฝั่งตรงข้ามพระราชวังหลวงเลยจะเป็น ห้าง Kalvertoren
อันนี้สวรรค์ของนักชอปปิ้งผู้ชื่นชอบแบรนด์เนมทั้งหมด มีครบทุกแบรนด์ฮะ
ราคาในอัมสเตอร์ดัมจะสูงกว่าในฝรั่งเศษนิดหน่อยแต่หลักไม่กี่ร้อยบาท
เทียบกับบ้านเราแล้วก็ถือว่ายังถูกกว่าเยอะ หลายร้อยถึงหลายพัน
แต่อย่างพวก Longchamp อาจจะมีแบบให้เลือกไม่เยอะมากนัก เพราะขายหมดไวจ้า



ส่วนด้านหลังโบสถ์ New Church จะมีศูนย์การค้า Magna Plaza
ด้านในโล่งๆเงียบๆหน่อยไม่ค่อยมีร้านค้าอะไร แต่เค้าไปช่วงปลายพฤศจิ
ก็เริ่มมีการตกแต่งต้นคริสมาสต์กันแล้ว บรรยากาศเลยดูสดใสขึ้นทันตา
จริงๆแวะเข้าไปในห้างนี้เพื่อหาห้องน้ำเข้านี่แหละ
ในยุโรปสามารถหาห้องน้ำเข้าได้ตามห้างสรรพสินค้า
ตามร้านฟาสต์ฟู้ดอย่าง KFC , McDonald หรือตามร้านกาแฟ
แต่ทุกที่จะต้องเสียเงิน! ค่าเข้าห้องน้ำจะอยู่ที่ 0.5-0.75 Euro (20-30กว่าบาท)
มานี่ฉี่แพงมากกกก และอาจจะหาที่เข้ายากดังนั้นพยายามเข้าให้สุดตั้งแต่ที่โรงแรมดีกว่าฮะ



เดินลัดเลาะออกจาก Dam Square กลับสู่ฝั่งที่พักด้านสถานี Centraal
ช่วงที่ไปมีงานเหมือนตลาดนัดของกินด้วย แหล่มเลย
มีซุ้มขายขนมขายของกินมาตั้งเรียงเป็นแถวตามข้างทาง ตื่นตาตื่นใจมาก! Smiley



หูยของกินแต่ละอย่างหน้าตาน่ากินสุดๆ
โดยเฉพาะพวกขนมหวานอยากลองไปเสียทุกสิ่ง
โดยเฉพาะช็อคโกแล็ตเค้าทำเป็นรูปกล้องรูปเครื่องมือช่างน่าร๊ากมากก
แต่เห็นราคาแล้วก็ซีดนะ 7-12 Euro ต่อชิ้น ลดความอยากลงไปได้เยอะเลย 555
ถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึกอย่างเดียวละกันเนอะ Smiley



แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่มาถึงอัมสเตอร์ดัมแล้วต้องลอง ใครไม่ลองถือว่าผิด!
นั่นก็คือ
Stroopwafels (สโตรปวาฟเฟิล)
เป็นขนมเอกลักษณ์ของฮอลแลนด์ ทำจากวาฟเฟิลแผ่นบางกรอบ
สอดไส้ด้วยน้ำเชื่อมคาราเมลเข้มข้นหอมหวาน เนื้อจะกรอบแบบหนึบๆ
แนะนำให้ทานคู่กับชาหรือกาแฟดำ โดยวางไว้บนแก้วชาหรือกาแฟร้อนๆ
ทิ้งไว้แป๊บนึงให้คาราเมลละลายเยิ้มนิดๆ มีแต่คนบอกมากว่าฟินมาก
ส่วนเค้าเองลองทานเพียวๆก็อร่อยดี ชอบกลิ่นหอมของคาราเมลและความหนึบๆเวลาเคี้ยว
แต่ไม่ได้รู้สึกฟินมากมายเพราะเค้าว่ามันหวานมว๊ากกกกกกกกก หวานเกินไปง่า
แต่ก็นะมาถึงถิ่นแล้วแนะนำว่าต้องลองราคาไม่แพงมากห่อละ 2 Euro (90 บาท)
3 ห่อ 5 Euro สามารถซื้อเป็นของฝากกลับไปได้ฮะ



อีกหนึ่งสิ่งที่ถ้ามาอัมสเตอร์ดัมแล้วไม่ได้ลองถือว่าผิด!
ก็คือ เฟรนช์ฟรายด์ฮอลแลนด์ ร้านนี้คิดว่าเป็นร้านดัง
ชื่อร้าน Manneken Pis คนต่อแถวรุมเต็มหน้าร้านเลย



เค้าจะมีให้เลือกเป็นไซส์ S , M , L เค้าสั่งไซส์ M ราคา 3.75 Euro (165 บาท)
เฟรนช์ฟรายที่นี่ไม่มีซอสให้ต้องสั่งแอดเพิ่มต่างหาก
ซึ่งมานี่ต้องลองกินตามธรรมเนียมเค้าดูคนที่นี่จะทานเฟรนช์ฟรายด์ราดด้วยมายองเนส
แอดซอสมายองเนสเพิ่มคิด
0.5 Euro (22 บาท) รวมแล้ว 187 บาท
ก็ถือว่าราคาไม่ได้แพงมากน้าเพราะให้เยอะมากกก กินสองคนอิ่มเหมือนกินข้าวมื้อนึงเลยขอบอก
ความพิเศษคือเฟรนช์ฟรายด์เค้าจะแท่งอวบอ้วน กรอบนอกนุ่มใน
ทานตอนทอดเสร็จใหม่ๆหูยอร่อยมากกกอ้ะ แต่ต้องระวังมันลวกปาก
อากาศเย็นๆได้กินของทอดร้อนๆฟินเนอะ รสชาติก็เข้ากับมายองเนสดีน้านี่
แต่กินไปซักครึ่งนึงเค้าว่ามันเริ่มจะเอือม ถ้าราดซอสมะเขือเทศน่าจะตัดเลี่ยนได้ดีกว่า
ก็แล้วแต่คนชอบอ่านะ แต่มาแล้วควรลองแบบที่เค้าทานๆกันมันได้ฟิลกว่า ฮี่ๆ



มาต่อกันที่ย่านดังที่ต้องมาเห็นกับตาสักครั้ง ย่านเรดไลท์ (Red Light District)
หรือย่านโคมแดง เป็นย่านที่โสเภณีสามารถประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมาย OMG!!!
อัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่ดูสง๊บ สงบ แต่มีกฎหมายที่ทำให้เราๆตะลึงได้สองอย่าง
คือเป็นโสเภณีเป็นอาชีพถูกกฎหมายสำหรับคนอายุเกิน18 ปีที่ทำงานนี้โดยสมัครใจ
และจะมีร้านกาแฟ คลับ หรือคอฟฟี่ช็อป ที่เปิดจำหน่ายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายด้วย!
น่าตะลึงพรึงเพริดยิ่งนัก ดังนั้นมาสักครั้งลองแวะมาดูเป็นการเปิดโลกทัศน์เนอะ
โดยสาวๆที่นี่จะใส่บิกินี่เซะซี่ยืนอยู่ในตู้กระจกแบบโจ๋งครึ่ม เดินเลือกได้เลยตามสองข้างทาง
ซึ่งถ้าตู้ไหนมีคนใช้บริการเค้าก็จะปิดม่านไว้ กฎเหล็กของการเดินย่านนี้
คือห้ามถ่ายภาพสาวๆเหล่านี้โดยเด็ดขาด!!! ให้เกียรติเค้าหน่อยอย่าแอบถ่ายมาโพสกันเลย



แม้จะเป็นย่านโลกีย์แต่ดูไม่น่ากลัวน้าเพราะคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว
และที่เค้าชอบคือคลองตรงกลางของย่านนี้มีฝูงหงส์ขาวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติเยอะมาก
หงส์พวกนี้ไม่กลัวคนด้วย ว่ายอวดโฉมมาโชว์ตัวหน้ากล้องราวกับนางแบบ
มันดูสวยขัดกับบรรยากาศของย่านนี้มีความเป็นคอนทราสก์ที่ลงตัวอย่างบอกไม่ถูก



การเดินเล่นรอบเมืองทำให้ได้พบว่าที่นี่เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องเสรีจริงๆ
ร้านเซ็กส์ชอปเปิดกันทุกตรอกซอกถนน คั่นอยู่ระหว่างร้านอาหารกันเลยทีเดียว แหะๆ



ดึกแล้วเด็กดีกลับเข้าที่พักดีกว่า ก่อนกลับแวะซื้อผลไม้บำรุงร่างกายสักนิด

ร้านขายผักผลไม้สดของที่นี่ขายยันดึกจริงๆ เจออยู่ตามข้างทางนี่หล่ะ เกือบสี่ทุ่มละยังขายอยู่เลย



และนี่คืออาหารเย็นของคืนนี้ 555 มันเข้ากันไหมเนี่ย
น้ำร้อนใส่มาม่าขอมาจากเคาท์เตอร์บาร์ด้านล่างของโรงแรม
หม่ำกับข้าวราด เนื้อปลาผัดพริกขิงชาวเล (อร่อยเด็ดโฮกแนะนำๆซื้อในโลตัสฮะ)
ปิดท้ายของหวานด้วยสโตรปวาฟเฟิล และสตรอเบอร์รี่ที่ซื้อมาแพ็คละ
3.75 Euro (165 บาท)
อิ่มและอร่อยไปอีกหนึ่งมื้อ ดีใจที่ขนอาหารไทยมารสชาติที่คุ้นเคย อิอิ



Welterusten : เวลล์ เตอะ รึส เติ่น : Good Night :
ราตรีสวัสดิ์จ้า Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

แล้วเจอกันบล็อคหน้าหมูจะพานั่งรถไฟ Thalys ไปเที่ยวปารีสกัน
อย่าลืมติดตามชมนะคร้าบ ใครยังไม่ได้อ่านบล็อคแรกเข้าไปชมกันได้ที่

Review : แชร์ประสบการณ์นั่งสายการบิน
KLM Royal Dutch Airlines ครั้งแรก สู่อัมสเตอร์ดัม Netherlands


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าค่า Smiley




 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2557    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2557 21:54:18 น.
Counter : 20248 Pageviews.  

Review : แชร์ประสบการณ์นั่งสายการบิน KLM Royal Dutch Airlines ครั้งแรก สู่อัมสเตอร์ดัม Netherlands



สวัสดีค่าหนุ่มๆสาวๆนักเที่ยวทั้งหลายรอชมทริปอัมสเตอร์ดัมกันอยู่ใช่ม้า
มาเริ่มกันบล็อคแรกเลยในเรื่องการเดินทางไปจะขอเล่าให้ฟังกันแบบละเอียด
กับประสบการณ์การใช้บริการสายการบินดัตช์มุ่งสู่ยุโรปเป็นครั้งแรก
ถือเป็นการบินที่นานที่สุดและไกลที่สุดในชีวิต ตื่นเต้นนะนี่
จะเข้ายุโรปได้ก็ต้องทำการขอ Shchengen Visa (วีซาเชงเก้น) กันก่อน
ซึ่งในเรื่องการขอวีซ่าเค้าอาจจะให้รายละเอียดอะไรไม่ได้มาก
เพราะทางสายการบินเป็นผู้ยื่นเรื่องขอให้เนื่องจากเป็นการไป
แบบได้รับเชิญจากสายการบิน KLM ไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์
ซึ่ง KLM เป็นสายการบินประจำชาติของเค้าการยื่นเรื่องจึงผ่านฉลุยไม่มีปัญหา
แต่ก็ต้องทำการยื่นเอกสารเหมือนคนอื่นปกติ หลักฐานการงาน เสตทเม้นต์ ฯลฯ
การเข้ายุโรปสามารถยื่นขอวีซาประเทศที่เราจะไปลงแห่งแรกเพียงที่เดียว
ก็จะสามารถใช้วีซ่านั้นๆในการท่องเที่ยวไปยังประเทศอื่นๆในยุโรปได้จ้า



การไปเที่ยวยุโรปในครั้งนี้เค้าได้รับเกียรติมากๆจาก
สายการบิน KLM Royal Dutch Airlines สายการบินดัตช์ประจำชาติเนเธอร์แลนด์
เชิญเค้าไปทดลองใช้บริการพร้อมอำนวยความสะดวกในการทำวีซ่าให้ ขอขอบคุณมากๆค่ะ
แต่การไปยุโรปครั้งแรกผู้หญิงมึนๆแบบเค้าเดินทางคนเดียวก็อย่างไรอยู่
เลยชวนคุณแฟนไปด้วยกันซึ่งทำการซื้อตั๋วด้วยตัวเอง
ผ่านแอพลิเคชั่นบนมือถือซึ่งได้ราคาดีด้วย ดีใจๆ
เลยอยากแชร์การใช้แอพนี้ให้ชมกันมันมีประโยชน์และสะดวกมากจริงๆฮะ

----------------------------------------------------------------------

แอพของสายการบินชื่อว่า KLM พิมพ์ตรงตัวง่ายๆแบบนี้เลย
มีให้โหลดฟรีทั้งสำหรับ iPhone/iPad และ Andrioid
สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินเปิดหน้าแรกมาเลือก "Special Offers" โลด
หน้าแรกจะขึ้น Best Fare to Europe ให้เราชม ซึ่งราคาที่เค้าได้คือราคานี้แหละ อิอิ
เสร็จแล้วก็กรอกวันที่จะบินไป-กลับ ซึ่งแอพจะหาเที่ยวบินในช่วงวันนั้น
แบบ +/- 3 วันให้เป็นตัวเลือกเพิ่มเติม โดยแสดงราคาที่เป็นราคา net แล้วให้เลย
ราคาที่เค้าได้คือ ไป-กลับ กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม 27,685 บาท
ซึ่งราคาโดยปกติจะอยู่ที่สามหมื่นต้นๆ ปลื้มปริ่มได้ราคาดี Smiley
แต่ถ้าใครไม่ถนัดดูในแอพก็สามารถเข้าไปชมโปรโมชั่นได้ในเว็ปไซต์ได้ตามลิงค์ด้านล่างจ้า
www.klm.co.th



เมื่อทำการจองและจ่ายตังเรียบร้อยแล้วก็จะได้
Ticket Number
และ Flight Number
ซึ่งเราสามารถใช้หมายเลขนี้ในการเช็คอินผ่านแอพได้เลย
โดยจะเช็คอินได้ภายใน 30 ชั่วโมงก่อนขึ้นบิน
ขอบอกว่ามีประโยชน์มากเพราะเค้าไปถึงสนามบินเลทนิดหน่อย
ดีนะที่เช็คอินไปก่อน ที่สนามบินคนต่อแถวรอเช็คอินกันอลังการสุดๆ
การเช็คอินจากแอพนี้เราจะได้ Boarding Pass มาเลย
ไปถึงสนามบินก็แค่ไปโหลดกระเป๋ารวดเร็วขึ้นอีกเป็นเท่าตัว!



เมื่อเช็คอินแล้วเค้าจะมีรายละเอียดให้เช็คได้ในเรื่องการโหลดกระเป๋า
สายการบินต่างชาติที่เคยนั่งมาหลายแห่งบอกเลยว่ากฏต้องเป็นกฎ
ไม่อะลุ่มอล่วยมากมายแบบบ้านเรา ดังนั้นเช็คให้ดีว่าเค้าให้ขนกระเป๋าไปได้กี่ใบ
น้ำหนักกระเป๋าไม่เกินเท่าไหร่ สำหรับ KLM โหลดกระเป๋าได้ 1 ใบไม่เกิน 23 kg นะค้า
นอกจากนี้แล้วยังสามารถเลือกหรือเปลี่ยนที่นั่งผ่านแอพนี้ได้ด้วย
ที่นั่งในระดับ Economy จะมีทั้งแบบที่ธรรมดาและแบบที่เป็นที่นั่งพิเศษซึ่งจะต้องเพิ่มเงินดังนี้

Smiley Economy Comfort Seat
Smiley
คือ ที่นั่งที่อยู่โซนแถวหน้าใกล้ประตูเครื่องบิน เอนหลังได้มากกว่า
และมีระยะห่างระหว่างเบาะมากกว่าที่ปกติอีก 10 cm
ต้องจ่ายเพิ่ม
ประมาณ 6,350 บาท

Smiley Seat with Extra Leg Room Smiley
คือ ที่นั่งที่อยู่ติดกับประตูทางออกไม่มีเบาะขวางด้านหน้า
เอนหลังได้มากกว่า และมีพื้นที่ด้านหน้ากว้างขึ้น 22 cm

ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 3,050 บาท

Smiley Preferred Seat Smiley
คือ ที่นั่งที่คนมักจะจองกันเป็นที่นั่งปกติแต่อยู่ริมหน้าต่าง
หรือริมทางเดิน
ต้องจ่ายเพิ่มประมาณ 1,310 บาท



สบายใจมี
Boarding Pass อยู่ในมือไปถึงสนามบินเดินเข้าช่องพิเศษได้เลย
จะเป็นช่องสำหรับ Internet/Mobile Boarding Pass Only
ไปถึงโชว์
Boarding Pass พร้อมพาสปอร์ตแล้วก็โหลดกระเป๋า
ขั้นตอนตรงนี้อาจจะไม่ได้เร็วกว่าการเช็คอินปกติเท่าไหร่
แต่ที่เร็วกว่ามากคือไม่ต้องต่อแถวให้เสียเวลา ช่องนี้โล่งเชียว
กระเป๋าที่เค้าใช้คือไซส์ใหญ่สุดเท่าที่จะหาได้ 555 เรียกไม่เป็นว่าขนาดกี่นิ้ว
ยังไงกระเป๋าใหญ่ไว้ก็ดีกว่าพื้นที่เหลือก็ยังยัดของกลับมาได้
น้ำหนักเค้าให้ 23 kg ขาไปก็เลขสวยละ 22.8 kg โอ้วแม่เจ้า!!!



Flight KL 0876 กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม ออกเดินทางจากกรุงเทพ 12.20 น.
ถึงอัมสเตอร์ดัม 18.25 น.
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 12 ชั่วโมง เวลาที่นู่นช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมงจ้า
เครื่องออก 12.20 น. แต่เค้าเรียก Boarding Time ตอน 11.00 น.
ไปรอไวหน่อยก็ดีนะจ๊ะ แปะไว้ชัดเจนไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องไปถึงก่อนเครื่องขึ้น 20 นาที!!!



เครื่องบินที่จะพาเราไปยังอัมสเตอร์ดัม
เป็นแบบ Direct Flight ไม่มีการจอดแวะพักคือ Boing 777-200ER ฮับ



เบาะจะจัดเรียงแบบ 3-4-3



ขาไปเค้านั่งแบบ
Economy Comfort Seat อยู่โซนแถวหน้าๆ 14J และ 14K
ที่นั่งแบบนี้จะห้อยป้ายสีส้มไว้และมีม่านอันเล็กๆกั้นแยกระหว่างที่นั่งธรรมดา
เบาๆของ KLM กว้างกว่าสายการบินบ้านเราจริงอะไรจริง นั่งแล้วสบายตัวกว่า
คงเพราะเป็นสายการบินยุโรป คนบ้านเค้าสูงใหญ่กว่าบ้านเราอ่าเนอะเลยต้องทำเบาะไซส์นี้
ยิ่งได้ที่นั่งพิเศษมีพื้นที่ด้านหน้าเพิ่มอีก 10 cm สาวเสมิร์ฟอย่างเค้ายิ่งสบายเลย
เข่าเค้าห่างจากเบาะด้านหน้าเป็นคืบ 555 แต่คุณลุงชาวเดนมาร์คข้างๆสูงมากกก
สูงเกือบสองเมตรนั่งแล้วเข่าชนเบาะหน้าพอดี นั่งเม้ามอยกันคุณลุงบอกต้องนั่งแต่ที่แบบนี้
ที่นั่งธรรมดาไม่ไหวนั่งแล้วขยับตัวไม่ได้เลย มีการบอกด้วยนะว่าอิจฉาสาวไซส์มินิอย่างเค้า
นั่งเครื่องบินแล้วสบายเลยสิ คงไม่รู้สึกอึดอัด เอิ่มนี่ลุงชมหรือหลอกด่าว่าหนูเตี้ยคะ 555



ผ้าห่มเค้าตามไซส์ฝรั่งอีกเช่นเคยผืนใหญ่ดีผ้าหนาๆนุ่มๆด้วยห่มแล้วอุ่นดี
ที่โดนใจเค้ามากคือหูฟังเป็นแบบคล้องหู แบบนี้ใส่นานๆแล้วไม่เจ็บหู
สำหรับนิตยสารบนเครื่องของ KLM จะชื่อว่า HollandHerald
ลำที่เค้านั่งมาไม่มีช่องให้เสียบ USB ให้เสียบชาร์ตมือถือหรือแทปเล็ต
ดังนั้นขึ้นเครื่องแนะนำว่าเตรียม Power Bank มาด้วยดีกว่าเผื่อเล่นเพลินแบ็ตหมด



เครื่องขึ้นแป๊บเดียวก็มีหนมหม่ำละอัลมอลด์คั่วเกลือกะน้ำนางเอก อิอิ
แอร์ของ KLM จะมีอายุหน่อย ยูนิฟอร์มและแต่งหน้าทำผมสบายๆ



อาหารมื้อแรกพร้อมเสิร์ฟ อื้อหือมาเต็มถาด มีทบอลถาดนี้ของเค้า Smiley



อันนี้ของคุณแฟนเค้าก๋วยเตี๋ยวไก่ Smiley



มีทบอลเค้าชีสอลังการมากอร่อยดีแต่เค้าไม่ค่อยทานชีสเลยแอบเอือมไปหน่อย
ส่วนของคุณแฟนก๋วยเตี๋ยวไก่รสชาติคล้ายผัดไทเลยอร่อยง่า
สรุปแย่งก๋วยเตี๋ยวไก่มากินแทน 555 Smiley รสเข้มข้นไม่จืดชืดตามประสาอาหารบนเครื่องบิน
ส่วนของหวานเป็นเค้กทิรามิสุแหล่มเลยรสเข้มข้นเช่นกัน ซัดเกลี้ยงถาด



ขอไวน์อยากลองแค่แก้วเดียวแอร์จัดให้มาเป็นขวดเลย
เป็นไวน์กลุ่มโลกใหม่จากชิลิ ยี่ห้อ Terra Andina รสชาติโอเคเลย
ไวน์ขาวออกเปรี้ยวฝาดนิดนึง เค้าลองแล้วชอบไวน์แดงมากกว่า
แต่กินไม่หมดขวดกลัวจะเมาเสียก่อน จิบๆพอแค่ให้เลือดหมุนเวียน ฮี่ๆ



เคล็ดลับการนั่งเครื่องบินให้หน้าเป๊ะของเค้าคือ
ก่อนขึ้นเครื่องแต่งหน้าจัดเต็มไปตามปกติเพราะกลัวไม่แต่งหน้าตม.จะไม่ยอมให้ผ่าน 555
พอขึ้นเครื่องค่อยคลีนผิวออกโดยใช้ Bioderma เช็ดแต่เว้นเหลือคิ้วกะตาเอาไว้
เค้าชอบใช้ตัวนี้ตรงที่เช็คผิวได้เกลี้ยงจริงโดยไม่ต้องล้างหน้าตาม
เสร็จแล้วโบกสกินแคร์เข้าไปหนักๆเลย พอใกล้จะลงเครื่อง
ค่อยลงแค่เบสเมคอัพใหม่ปัดแก้มนิดนึงแล้วพ่นน้ำแร่ทับ
ไม่เสียเวลาแต่งตากะคิ้ว แค่นี้ก็ได้หน้าเป๊ะทั้งตอนขึ้นและลงเครื่องละฮะ

***ของเหลวสามารถนำขึ้นเครื่องได้ถ้าต่อหนึ่งชิ้นมีปริมาณไม่เกิน 100ml
และรวมทั้งหมดแล้วไม่เกิน 1 ลิตร โดยดูจากปริมาณข้างหลอดไม่ใช่ปริมาณที่เหลือจริง

***Bioderma จิ๋วได้แถมมาตอนซื้อไซส์จริงที่บูทของ Bioderma
ในงาน Health & Cuisine 2013 ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์จ้า



บินผ่านตะวันออกกลางวิวสวยมากกกภูเขาที่มีหิมะปกคลุมยอดเขา
บินระยะทางไกลๆเค้าว่า Window Seat ช่วยให้เราไม่เบื่อ
ได้เห็นวิวสวยๆจากมุมสูงและทำให้รู้สึกอึดอัดน้อยลงด้วย



มื้อแรกยังไม่ทันย่อยดีแอร์เริ่มแจกของว่างอีกแล้ว
แหม่เว้ยแววอ้วนมาตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริป 555
ซึ่งมัฟฟินช็อคโกแล็ตชิปอร่อยมากกกกแนะนำไม่ควรพลาด



จากภูเขาสวยๆตะกี๊แป๊บเดียวก็เข้าคาบสมุทรละ



กำลังบินผ่านทะเลแคสเปียน อีกสี่ชั่วโมงครึ่งก็จะถึงแล้ว เย้ๆ



แว่บไปถ่ายภาพห้องน้ำบนเครื่องมาให้
สบู่ล้างมือยี่ห้อ Rituals กลิ่นยูคาลิปตัสเฟรชๆดี



เข้าโซนยุโรปแล้วจ้า



อากาศเย็นๆที่หน้าต่างมีเกล็ดหิมะฟรุ้งฟริ้งด้วย
เค้าก็ไม่แน่ใจแต่หน้าตามันก็คล้าย Snow Flake อ่าน้า 555



อาหารชุดใหญ่มาอีกละ รอบนี้ไม่มีเมนูให้เลือกมีแบบเดียว
รสชาติดีบอกเลยแต่มื้อแรกยังอืดเลยทานไม่ค่อยหมด แหะๆ
อยากบอกว่าติดใจขนมปังเค้าง่ะ เนื้อนุ่มๆแน่นๆไม่แห้งๆแข็งๆเหมือนที่เคยเจอ



แลนด์ดิ้งอย่างนุ่มนวล เย้ๆ ถึงอัมสเตอร์ดัมโดยสวัสดิภาพคร้าบ
อากาศคนละเรื่องกะบ้านเรา เจออุณหภูมิเก้าองศาเข้าไปสดชื่น Smiley



จุดรับกระเป๋าเค้าแบ่งเป็นสองฟากมีสายพานเยอะมาก
ตอนแรกหลงเดินวนไปวนมา เอ๊ะกระเป๋าเราจะไปอยู่ฝั่งไหนน้า
แล้วก็พึ่งคิดได้ทำไมไม่ดูที่จอฟระ เฟอะฟะกันจริงเชียว Smiley

จบการเดินทางขามาแบบอิ่มๆกลิ้งๆลงเครื่อง
สำหรับการเดินทางไกลครั้งแรกต้องยกความดีความชอบให้สายการบิน
ที่นั่งกว้างนั่งสบายโดยเฉพาะสาวไซส์เสมิร์ฟอย่างเค้า555
บริการดี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน อาหารจัดเต็ม ที่สำคัญอร่อยด้วย
ทำให้การเดินทางร่วม 12 ชั่วโมงไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยและเหมือนจะถึงไวกว่าที่คิดฮับ



เจ็ดวันผ่านไปไวเหมือนโกหกมาเล่าถึงวันกลับกันดีกว่า
ขากลับเมื่อขึ้นจาก Metro แล้วเราต้องเดินข้ามมาเช็คอินที่ฟาก Departures 2



เข้ามาใน
Departures 2 ปุ๊บฝั่งซ้ายมือจะเจอ KLM Ticket Office
ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นคอมตั้งไว้ให้เป็นโซน KLM Self Service Ticketing



เค้าไม่แน่ใจเหมือนในอาคารนี้จะเป็นเคาท์เตอร์เช็คอินของสายการบิน KLM ล้วนๆเลย
เดินหาช่องทางกลับบ้าน กรุงเทพเชิญช่อง 12 ค่ะ Smiley



ด้านหน้ามีเครื่องเช็คอินด้วยตัวเอง (Self Service Check In) เรียงให้เป็นพรืดเลย
จากการสังเกตแล้วสายการบินต่างชาติจะเน้นให้ผู้โดยสารสามารถดำเนินการด้วยตัวเอง
มากกว่าที่จะต้องใช้พนักงานมานั่งจัดการให้ ซึ่งเค้าชอบมาก รวดเร็วกว่าไม่ต้องต่อแถวรอนานๆ



เรียนรู้ตั้งแต่ขามาเตรียมพร้อมเช็คอินในแอพมาเองเรียบร้อย
มาถึงยื่นไอแพดโชว์ Boarding Pass ให้พนักงานได้เลยไวว่องนะฮร้า



และนี่คือนวัตกรรมใหม่ที่อาจจะมีมานานแล้วแต่เค้าเพิ่งเคยเห็น
เครื่องโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ !!! เก๋กู้ดมากอ้ะ
ใครเช็คอินแล้วเดินมาโหลดกระเป๋าเองโลด มีให้บริการประมาณ 5 เครื่อง



ขั้นแรกยกกระเป๋าขึ้นไปชั่งน้ำหนักก่อนได้เลย
ถ้าน้ำหนักเกินมันจะเช็คอินไม่ได้ ซึ่งก็เกินจริงๆ 555
น้ำหนักที่สายการบินกำหนดคือไม่เกิน 23 kg
ส่วนน้ำหนักกระเป๋าเค้าคือ 24.5 kg กับ 24.2 ปั๊ดโถ่วววเกินมากใบละนิด
เลยต้องกางกระเป๋ารื้อๆของออกนิดนึง พนักงานเห็นกางๆรื้อๆ
เลยเดินมาบอกว่าเครื่องนี้โหลดน้ำหนักได้ 23.8 kg นะ ไม่ต้องรื้อของออกมาก
เย้ๆ หยิบออกนิดหน่อยเอาไปลองชั่งใบนึง 23.2 kg อีกใบนึง 23.8 kg เป๊ะเลย555 Smiley



เมื่อน้ำหนักขึ้นชกผ่านก็ทำการแสกนบาร์โค้ดใน Boarding Pass ได้เลย
เก๋ๆอ้ะ ยกไอแพดขึ้นไปแปะที่เครื่องเพื่อแสกนบาร์โค้ดได้เลย



แสกนเรียบร้อยก็จะขึ้นข้อมูลของเราถ้าข้อมูลถูกต้องก็กด YES
ไม่ต้องไปเกรงกลัวในหน้าจอบอกน้ำหนักกระเป๋าจำกัด 23 kg
แต่น้ำหนักกระเป๋าเค้าอีกใบ 23.8 kg ผ่านไปได้แบบไม่ติดขัดอันใดจ้า



ทำการแปะสติกเกอร์ห้อยแท็กกระเป๋าให้เรียบร้อย
เครื่องก็จะทำการโหลดกระเป๋าเข้าไป เสร็จแล้วง่ายแท้!



โหลดกระเป๋าเสร็จเครื่องจะปรินท์ใบ Claim Tag มาให้
จากนั้นเดินไปหาพนักงานยื่น Boarding Pass ในไอแพดหรือมือถือให้
พนักงานก็จะทำการแสกนและปรินท์ 
Boarding Pass เป็นใบกระดาษมาให้จ้า



ขากลับก็นั่งเครื่องแบบเดียวกับขามา
Boing 777-200ER
Flight KL 0875 อัมสเตอร์ดัม-กรุงเทพ ออกเดินทางจากอัมสเตอร์ดัม 17.25 น.
ถึงกรุงเทพวันถัดไปเวลา 10.20 น.
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง
เวลาที่ไทยเร็วกว่าอัมสเตอร์ดัม 6 ชั่วโมง ขากลับเร็วกว่าขาไปตั้งชั่วโมงนึงแน่ะ




เบาะเหมือนเดิมแบ่งแถวเป็น
3-4-3



ขากลับนั่งเบาะธรรมดา 51A และ 51B ไม่ได้นั่ง
Economy Comfort Seat
แต่บอกเลยว่าสำหรับสาวเสมิร์ฟแบบเค้านั้นรู้สึกแทบไม่ต่าง 555
คือนั่งแล้วเข่าก็ยังห่างจากเบาะข้างหน้าอีกเกือบคืบนี่หล่ะข้อดีของสาวไซส์มินิ



พอเครื่องเทคออฟเสร็จสักพัก (ประมาณความสูง 20,000 feet)
สิ่งที่ผู้โดยสารทุกคนตื่นเต้นคือเครื่องบินลำนี้มีสัญญาณ Wi-Fi !!!
เปิดเครื่องมือสื่อสารกันจ้าละหวั่น ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงทดลองการให้บริการ
ผู้โดยสารสามารถใช้ไวไฟฟรี ในการเข้าเว็ป KLM.com ผ่านมือถือ
เข้าไปดูข่าวสารต่างๆ online magazines หรือบริการเสริมอื่นๆเช่น การเช่ารถ
แต่ก็มีแบบเสียตังให้เลือกถ้าเราอยากใช้ไวไฟเข้าเว็ปอื่นๆ เล่นเฟซบุค เช็คIG
โดยสามารถซื้อบริการโดยตัดผ่านบัตรเครดิตเอา มีให้เลือกสองราคา คือ
แบบ 1 ชั่วโมง ราคา 8.95 ยูโร (400 บาท)
หรือแบบเหมาตลอดการเดินทาง 24 ชั่วโมง ราคา 16.95 ยูโร (760 บาท)
เป็นราคาอินเตอร์เน็ตที่แรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ถ้าจะเล่นจริงๆเค้าว่าเหมาตลอดไฟลท์คุ้มกว่า
ตอนแรกก็สองจิตสองใจเอาไงดี แต่เค้าบินไฟลท์เย็นแป๊บๆก็ค่ำละ
ขอหลับยิงยาวตัดขาดตัวเองออกจากโลกไซเบอร์สักพักดีกว่า
อ้างเหตุผลไปงั้นแหละเอาจริงๆตังหมดละไม่มีเงินจะจ่ายค่าเน็ต เงินหมดอดเล่น 555



ขนมเรียกน้ำย่อยมาแล้วอัลมอลด์คั่วเกลือกกับสไปรท์ขอเลมอนซีกๆได้นะ
เค้าชอบใส่เลมอนแล้วจะหอมๆเปรี้ยวๆสดชื่นดี



มื้อแรกบนเครื่องมาแล้วเป็นข้าวหน้าไก่
เค้าว่าซอสที่ราดเหมือนซอสเทริยากิอร่อยอย่างแรง Smiley
ดีใจๆเพราะตอนแรกสั่งไก่ไปเค้าบอกว่าหมด เลยนั่งทำหน้าจ๋อยๆ
สจ๊วตเลยเดินไปเช็คมาให้อีกทีสรุปเหลืออีกสองที่สุดท้ายเลยได้หม่ำ ฮี่ๆ
เค้าไม่ค่อยนิยมทานอาหารฝรั่งเพราะมันเลี่ยนง่าย ยิ่งต้องนั่งเครื่องนานๆมันจะรู้สึกไม่สบายท้อง
ได้อาหารแบบเอเชียที่เราคุ้นเคยรู้สึกดีกว่ามาก ดีนะที่เค้ามีเมนูให้เลือกสองแบบ
อาจจะเพราะเป็นเที่ยวบินที่ไปกรุงเทพด้วยเมนูเลยมีให้เลือกทั้งยุโรปและเอเชีย



นอกจากข้าวจะแหล่มแล้วของหวานก็เริ่ดคล้ายๆพานาคอตต้าฟาดให้เรียบ
ขนมปังอร่อยคงเส้นคงวาปกติไม่ค่อยกินแต่นี่ไม่เคยเหลือทั้งขาไปขากลับเลย



หลับยิงยาวตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นพอดีสวยงามเชียว



แต่ตื่นมาแล้วต้องพบกับความเสียใจระหว่างที่หลับไปเค้ามีแจกไอติม
อะไรว๊าคุณแฟนก็ช่างเกรงใจไม่ยอมปลุกอดกินเลยเห็นมะ มีการเยาะเย้ยด้วยว่าอร่อยมาก ชิส์



ไหนๆก็ตื่นละนั่งดูหนังฆ่าเวลาดีกว่า
เปิด Fast & Furious 6 ดูไปก็แอบเศร้าไป
ช่วงที่เค้าไปเที่ยวคือช่วงที่มีข่าว Paul Walker เสียชีวิตพอดีเลย
ที่น่าเศร้าเพราะพอลเป็นพระเอกทั้งในจอและนอกจอ
เป็นแฟมิลี่แมน ช่วยเหลือมูลนิธิองค์กรการกุศลมากมาก
เฮ้อ! ดูแล้วปลงชีวิตคนสั้นนักอยากทำอะไรให้รีบทำเนอะ



มื้อเช้ามาแล้วจัดเต็มอีกตามเคยแต่ไม่มีชอยส์ให้เลือกมีแบบเดียว
เป็นอาหารฝรั่งอร่อยดีแต่ไม่ใช่แนวเลยเน้นหม่ำขนมปังกะของหวานแทน



เค้กแครอทหอมกลิ่นชินนามอนใช้ได้เลย
ส่วนที่ช่วยให้เฟรชในยามเช้าสำหรับเค้าคือผลไม้เย็นๆ ชื่นใจ



สิบชั่วโมงกว่าๆก็เข้าน่านฟ้าไทยแล้วจ้ามาถึงก่อนกำหนดเกือบครึ่งชั่วโมง
สวัสดีเมืองไทย ขอเวลาหมูปรับตัวนิดนึงนะร้อนเกิ๊น! แต่ไม่ว่าจะไปไหนยังไงก็รักบ้านเราที่ซู้ด

--------------------------------------------------------------------------------------------

หวังว่าบล็อคนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆที่รักการท่องเที่ยว
แล้วอย่าลืมติดตามรีวิวเที่ยวยุโรปเองครั้งแรกกับ ทริปอัมสเตอร์ดัม-ปารีส
จะมันส์ขนาดไหน ต้องเตรียมตัวอย่างไร จะรีบปั่นบล็อคมาให้ชมกันคร้าบ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าค่า

Smiley XOXO
Smiley




 

Create Date : 15 มกราคม 2557    
Last Update : 31 มกราคม 2557 2:36:43 น.
Counter : 35167 Pageviews.  

Review : Japan Trip [Part 7]วันที่13 DisneySea & วันที่14 โยโกฮาม่า & วันที่15-16 ชอปปิ้งก่อนกลับไทย



My Makeup TodaY
วันที่สิบสามในญี่ปุ่น [6/11/2013]

จัดให้เป็นมินิฮาวทูขั้นตอนตามนี้ฮับ
1. ทาสีชมพูอ่อนทั่วเปลือกตา
2. คัดเบ้าตาด้วยสีชมพูอมแดง
3. เขียนขอบตาด้วยไลน์เนอร์แบบปากกา Kate สีดำ
เน้นเส้นหนาๆหางตาตวัดเชิดขึ้น
4. เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอ Cosluxe สีเงิน
5. ทาอายแชโดวสีดำที่หางตาล่างเบลน
ให้เข้ากับไลน์เนอร์สีเงินด้วยอายแชโดวสีชมพูอมแดง
6. ทาสีขาวมุกที่หัวตาล่าง
7. ทาสีขาวมุกตรงกางเปลือกตาบนเพื่อให้ตาดูกลมโต
8. ดัดขนตาติดขนตาปลอมบนแล้วปัดมาสคาร่าทับ จานั้นปัดขนตาล่าง
9. ติดขนตาปลอมด้านล่างเน้นฟูๆ

***ขนตาบนของไทยยี่ห้อ BohkToh เบอร์ P-047 ขนตาล่าง Dolly Wink #8
***อายแชโดวพาเลท Shu Uemura 6Princess Collection #Pink
***คอนแทคเลนส์ DreamColor1 Sky #Violet
***รองพื้น Shu Uemura Lightbulb #764 แป้งฝุ่น Candy Doll
***แก้ม Canmake
***ปาก Etude Rosy Tint Lip #1 + Clinique #RunwayCoral
+ Candy Doll #ApricotBeige




My Outfit TodaY วันนี้มาสายแบ๊วเต็มพลังเพราะจะไปปล่อยแก่ที่โตเกียวดิสนีย์ซี ฮี่ๆ
เอี๊ยมซื้อที่ตลาดนัด Promp รัชดา ราคาประมาณ 500 บาท
เสื้อมินนี่ตัวในซื้อที่สยามหน้าดิจิตอลเกทเวย์ 350 บาท
เสื้อกันหนาวสีเหลือง Uniqlo จำว่าราคาไม่ถึงพันซื้อตอนเซลล์ฮะอุ่นดี
ส่วนรองเท้าคู่เดิมใส่แทบทั้งทริปของ
Maxstar สั่งจากเว็ปของเกาหลี
//www.maxstarstore.com/ค่ารองเท้า+ค่าส่ง+ภาษีตกคู่ละสองพันต้นๆ
กระเป๋า Charles & Keith สอยมาจากสิงคโปร์ใบละประมาณสองพันกว่าบาท

ทรงผมแบ๊วๆม้วนด้วยเลอซาช่าสไปรัลแล้วมัดแกละสองข้างฮับ

-----------------------------------------------------------------------

การเดินทางไป Tokyo DisneySea แสนง่าย
นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Mahaima
แล้วก็ต่อ Disney Line ไปยัง Disneysea ได้เลยฮับ
รถไฟของดิสนีย์น่าร๊ากห่วงที่จับเป็นหัวมิกกี้ดูสมวัยเรายิ่งนักกร๊ากกก



มาถึงแว๊วววไปซื้อตั๋วกันก่อน เค้ามาวันธรรมดาเลยชิลๆมาซื้อตั๋วที่นี่
วันที่เค้าแนะนำถ้าอยากมาแล้วคนไม่เยอะมาก ต่อแถวเครื่องเล่นไม่นานคือ"วันพุธ" หมูคอนเฟิร์ม!

ราคาค่าตั๋วแบบรวมเครื่องเล่น

1-Day Passport

ผู้ใหญ่ 6,200 yen (1,980 บาท)  <<<เค้าซื้อแบบนี้
เด็ก 12-17 ปี
5,300 yen (1,690 บาท)
เด็กเล็ก 4-11 ปี
4,100 yen (1,310บาท)


2-Day Passport : เข้าได้ทั้ง DisneySea และ DisneyLand
แต่ต้องเข้าที่ละวันโดยต้องเป็นสองวันติดกันเท่านั้น
ผู้ใหญ่ 10,700 yen (3,415 บาท)
เด็ก 12-17 ปี
9,400 yen (3,000 บาท)
เด็กเล็ก 4-11 ปี
7,400 yen (2,362บาท)




 โตเกียวดิสนีย์ซีสร้างเมื่อปี 2544 เป็นสวนสนุกแห่งที่ 9 จากทั้งหมด 11 ที่เป็นของดิสนีย์
ซึ่งเป็นที่เดียวในโลกที่สร้างติดทะเลและใช้งบประมาณมหาศาล
เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดจากการถมที่ในทะเล บรรยากาศด้านในเลยจำลองพื้นที่เกี่ยวกับน้ำ
เช่น เวนีซ เมืองบาดาล เรือไททานิก ถ้ำใต้น้ำในปล่องภูเขาไฟ ฯลฯ ซึ่งสวยอลังอ้ะตื่นตาตื่นใจ
เนื่องจากสวนสนุกตั้งริมทะเลลมจะแรงมากอากาศจะเย็นกว่าในเมือง
แนะนำว่าควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาหนาๆหน่อยเน่อ ลมพัดหัวกระเจิงทั้งวัน Smiley
สวนสนุกนี้ผู้ใหญ่มาก็ลั้นลาได้ไม่ใช่แนวการ์ตูนจ๋า แถมถือเบียร์เดินกินชมวิวชิลๆได้ด้วย
เวลาเปิดปิดจะแล้วแต่วันส่วนใหญ่จะปิดสี่ทุ่ม แนะนำให้เช็คจากในเว็ปไปฮะ >>>CLICK<<<
โซนด้านหน้าสุดตรงทางเข้าคือโซน "Mediterranean Habour"
จำลองคลองเวนีซจากอิตาลี มีให้ล่องเรือกอนโดล่าชิลๆ



ถัดไปคือโซน "American Waterfront"
อาคารเครื่องเล่นจะจำลองลักษณะเมืองของอเมริกาสมัยก่อน
เครื่องเล่นแรกวิ่งไปต่อแถวอย่างไวตั้งใจว่าต้องไม่พลาดก็คือ "Toy Story Mania!"
เป็นเครื่องเล่นที่ใหม่สุดถึงแม้จะไม่ใหม่มากแล้วก็ตามเปิดตัวไปเมื่อกรกฏาคม 2012
แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์มาว่าต้องต่อแถวนานมากเลยเลือกที่จะไปเล่นเป็นสิ่งแรก
ซึ่งโชคดีเค้าไปวันพุธที่คนน้อยต่อแถวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้เล่นไม่นานอย่างที่คิด
ที่สำคัญคือสนุกสมการรอคอย เป็นรถรางนั่งไปเป็นคู่ๆต้องใส่แว่นตามสามมิติ
รถค่อยๆวิ่งไปแล้วหยุดให้เล่นเกมส์เป็นแบบ 3D Carnival Festival เหมือนงานวัด
มียิงปืน ปาเป้า โยนห่วงแบบสามมิติ มันส์ตรงที่มีแต้มโชว์ให้ดูด้วยแข่งกันกับคู่ของเรา
แบบนี้มันยอมมิได้นะฮร้าสู้ขาดใจ 555 ยิงจนเครื่องแทบพัง



พอถึงทางออกเค้าก็จะสรุปผลคะแนนของทุกคันให้ชมกัน
ซึ่งเค้าแพ้หลุดลุ่ย แต่ตะลึงคนที่ได้คะแนนสูงสุดในรอบที่เค้าเล่น
ได้คะแนนเกือบห้าแสนแน่ะ มีแอบเมาท์กับคุณแฟน
ว่าเค้าต้องต่อแถวเล่นมาหลายรอบแล้วแน่เลย555 Smiley
สรุปว่าเป็นเครื่องเล่นที่ได้ปล่อยแก่สนุกกับภาพสามมิติง่ายๆแต่ดูน่ารัก
มันส์ตรงมีการแข่งขันกันเอง มาที่นี่แนะนำให้ลองเล่นจริงๆฮับหมูติดใจ
อยากจะต่อแถวอีกรอบแต่ออกไปแล้วท้อคนเยอะกว่าตอนแรกมากไว้คราวหน้าละกันเนอะ



ตัวเด็ดอีกหนึ่งอย่างที่ทุกคน Reccomend! มาว่าห้ามพลาด
เรียกกันคุ้นเคยในชื่อ "ลิฟต์หล่น" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "
Tower of Torror"
มีแต่คนบอกว่าตัวนี้หวาดเสียวมากสงสัยทำใจไว้เยอะไปไม่หวาดเสียวเลย
แต่ประทับใจตรงที่วิวสวย เครื่องเล่นเป็นลิฟต์เก่าๆเลื่อนขึ้นแล้วตกลงแบบวืดๆ
จุดพีคขึ้นลิฟต์ขึ้นไปค้างที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นช่องที่กระจกแตกมองเห็นวิวกว้างๆของดิสนีย์ซี
วิวจากจุดนั้นสวยอลังการมากแต่ต้องมองแบบห้ามกระพริบตาเพราะว่าแว่บเดียวมันก็จะตกลง
เสียดายง่าเห็นแว่บเดียวจริงๆ ต่อแถวอยู่ชั่วโมงกว่าได้เห็นวิวเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็สวยคุ้มค่าฮับ
ตอนเค้าเล่นสนุกตรงที่คนที่ขึ้นลิฟต์พร้อมกันเป็นกลุ่มหนุ่มๆวัยสะรุ่นใส่ชุดนักเรียน
ส่งเสียงบิวท์กันเองตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไปในลิฟต์ คือขำและฮามากสนุกขึ้นอีกเป็นกอง 555
ต้องยกให้คนญี่ปุ่นเลยการแสดงออกทางอารมณ์เค้าชัดเจนสุดๆไม่แอ๊บไม่กั๊ก อิอิ



ใกล้พระอาทิตย์ตกไปล่องเรือกันกับ "DisneySea Transit Steamer Line"
ใช้เวลาในการล่องไปรอบๆสวนสนุก 13 นาที เค้าชอบนะทำให้เรารู้ว่ารอบๆมีอะไรบ้าง
จะได้เห็นว่าจุดไหนที่น่าสนใจและจะได้วางแผนได้ว่าเราจะไปตรงไหนต่อดี
ล่องเรือคนน้อยมากไม่ต้องต่อแถวเดินเข้าไปมึนๆได้นั่งเรือเลยเย้ๆ



วิวยามค่ำคืนเห็นเรือไททานิกจอดอยู่คู่กับตึกลิฟต์หล่นสวยมั่กๆ Smiley



ร้านของที่ระลึกของที่ดิสนีย์ซีจะมีน้องหมี Duffy กับสาวน้อย Shellie May
ซึ่งที่ดิสนีย์แลนด์ไม่มีนะคร้าบ สาวๆญี่ปุ่นฮิตมากหิ้วน้องหมีดัฟฟี่กันแทบทุกคน
หน้าตาแบ๊วๆใสๆน่ารักแต่ราคาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่มีเสื้อผ้าให้เลือกใส่ตามชอบราคาแรงพอกัน
แต่ไหนๆมาแล้วเลยต้องซื้อเป็นที่ระลึกสักตัว เราเบี้ยน้อยหอยน้อย
จัดดัฟฟี่กะลาสีตัวเล็กมาตัวเดียวแค่ตัวน้อยนี้ก็หลายร้อยบาทแล้วจ้า



โซนถัดไป "Port Discovery"
ตรงทางเข้าโซนนี้มีเครื่องเล่น "Aquatopia"
หน้าตาเป็นเรือบั๊มเค้าว่าคล้ายๆรถบั๊มบ้านเราเลย
ท้องฟ้าที่ดิสนีย์ซีหลังพระอาทิตย์ตกสวยมาก
สีฟ้าอมน้ำเงินเขียวๆถ่ายมายังกะฉากไม่เหมือนฟ้าจริงเลยเนอะ



เครื่องเล่นอีกหนึ่งอย่างในโซนนี้คือ "StromRider"
ตั้งอยู่ในอาคาร "
The Center for Weather Control"
เป็นเครื่องเล่นที่จำลองให้เราเข้าไปนั่งเครื่องบินที่ขับทะลุเข้าไปในพายุ
โดยมีจอภาพใหญ่ๆฉายภาพแบบ Simulator
ตัวเครื่องบินก็จะโยกสั่นด้วยไฮโดรลิกไปตามเนื้อเรื่อง
เวลาตกลงไปในน้ำหรือฝนตกกระจกเครื่องบินแตกเราก็เปียกจริงด้วย
เปียกมากกว่าที่คิดในเรื่องฝนตกพักใหญ่ออกจากเครื่องเล่นมาเจอลมข้างนอกหนาวเลยจ้า
เครื่องเล่นนี้ไม่น่ากลัวแต่อาจจะเวียนหัวได้เพราะโยกไปโยกมาฮับ



ต่อมาในโซน "Lost River Delta"
กับเครื่องเล่น "Indiana Jones Adventure: Temple of the Crystal Skull"
อันนี้หนุกดีนะเค้าชอบมากต่อแถวแป๊บเดียวสิบห้านาทีได้เล่น อิอิ
เป็นแบบรถรางกึ่งรถไฟเหาะแบบอินดอร์เหมือนเราได้ผจญภัยไปกับอินเดียน่าโจนส์ในฉากต่างๆ
เค้าทำฉากและเอ็ฟเฟ็คได้เริ่ดมาก เล่นเอาตื่นเต้นมีฉากให้ลุ้นเรื่อยๆ หมูแนะนำว่าควรลอง!!!




ต่อด้วย "Raging Spirits" รถไฟเหาะตีลังกา 360 องศา
แต่ด้วยความที่เป็นรางสั้นๆตีลังการอบเดียววงแคบๆพอกรุบกริบ
แอบงงว่าอ้าวนี่ตีลังกาแล้วเหรอยังไม่รู้สึกตัวเลย 555 สำหรับเค้าอันนี้ชิลๆไม่มีอะไรน่ากลัว
แต่เล่นตอนกลางคืนรางเปิดไฟสวยงามนั่งชมวิวไปเพลินดีฮะ



ถัดมาคืนโซน "Arabian Coast" เป็นโซนเมืองแขกๆอาหรับๆ
ไปเล่น "Sindbad's Storybook Voyage" มา
โซนนี้เป็นเครื่องเล่นจะสำหรับเด็กน้อยแต่เค้าก็สนุกนะ555
ล่องเรือชมเรื่องราวการผจญภัยของซินแบด เหมือนกับ Small World ที่ฮ่องกง
แต่เค้าว่าฉากอันนี้สวยอลังการกว่า เรียงร้อยเรื่องราวได้สนุกกว่านั่งชมแล้วเพลินดี



เค้าชอบฉากใน
โซน "Arabian Coast" สวยอลังการดี



ถัดไปคือโซน "Mermaid Lagoon" เห็นจากตอนล่องเรือฉากสวยอลังจริงๆ
แต่เครื่องเล่นด้านในเหมาะสำหรับเด็กน้อย เช่น ถ้วยหมุนๆ โซนนี้เลยแวะมาถ่ายรูปอย่างเดียวฮะ



โซนสุดท้าย "Mysterious Island"
โซนนี้แลดูอลังเหมือนฉากในหนังเลยเริ่ดๆ



เดินมาถึงโซนนี้เค้าจุดพลุเกือบจะจบพอดีเลยสรุปคือมาทันดูแค่พลุสามลูกสุดท้าย
ไม่เป็นไรปลอบใจตัวเองไปว่าเก็บไว้ดูตอนมาเที่ยวรอบหน้าละกัน 555 Smiley



ไปเล่นเครื่องเล่นสุดท้ายที่เค้าว่ามาถึงนี่แล้วต้องเล่นกันดีกว่า
เป็นไฮไลท์ปิดท้ายได้อย่างสวยงาม คือ "Journey to the Center of the Earth"
เป็นรถไฟเหาะที่เริ่มจากการขุดลึกลงไปใต้โลกเป็นฉากจำลองเมืองใต้พิภพ
สัตว์ประหลาดต่างๆตรึมเลย เด็ดตรงท้ายๆมีมังกรพ่นไฟแล้วรถก็แล่นขึ้นมา
ผ่านจุดบนสุดของภูเขาไฟซึ่งเป็นปล่องเปิดจะมองเห็นวิวดิสนีย์ซีแบบกว้างๆได้แวบนึง
ถ้าใครไม่กลัวความสูงแนะนำว่าลืมตาตลอดไม่งั้นมองตรงนี้ไม่ทันกระพริบตาเดียวหายไปแร้น
สรุปเป็นเครื่องเล่นสุดท้ายที่เค้าได้เล่น ปิดท้ายได้อย่างน่าประทับใจฮับ
ในโซนเดียวกันเค้าไม่ได้เล่นเครื่องเล่นไปอย่างนึงคือ "20,000 Leagues Under the Sea"
แต่หลายรีวิวบอกว่าอันนี้เฉยๆไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่
ถือว่าเก็บเอาไว้ตอนมารอบหน้ามาเล่นพร้อมดูพลุละกัน อิอิ



ก่อนออกไปแวะเวิ่นเวออยู่ในร้านขายของที่ระลึกพักนึง
มุ้งหมีน่ารักอ้ะแต่สรุปตัดใจได้ด้วยราคาจิแพงไปหนายยยย
หลุดรอดออกมาจากร้านของฝากได้แบบไม่เสียกะตังดีใจจุงเบย
เป็นการมาดิสนีย์ซีที่ฟินกะเครื่องเล่นได้เล่นแทบทุกอย่าง
บรรยกาศด้านในสวยเดินถ่ายรูปเล่นก็เพลินละ มีโอกาสมาอีกแน่นอนคร้าบ Smiley



ออกจากดิสนีย์ซีก็ดึกละต้องรีบบึ่งรถไฟกลับบ้านเพื่อน
เพราะว่านอกเมืองมีรถไฟถึงแค่ห้าทุ่มตกรถนี่ซวยเลยต้องรอถึงเช้า
มื้อเย็นเลยฝากท้องไว้ที่ร้าน Cafe Gusto แถวบ้านเพื่อนร้านที่กินตอนมาถึงญี่ปุ่นวันแรก
เค้าหม่ำสปาเก็ตตี้กุ้งให้กุ้งอย่างเยอะเลย 7-8 ตัวแน่ จานละ 670 yen (215 บาท) แหล่มมั่ก
ส่วนคุณแฟนหม่ำสเต็กไก่เทอริยากิไก่สองชิ้นใหญ่ๆเนื้อชุ่มๆราคาพอๆกันเริ่ดค่า
ร้านนี้เป็นร้านเฟรนด์ชายที่เห็นทั่วๆญี่ปุ่น หมูแนะนำฮะรสชาติดีราคาไม่แรง



สวัสดีเช้าวันที่สิบสี่ในญี่ปุ่นฮับ
[7/11/2013]
มื้อเช้าวันนี้คุณแม่เพื่อนชาวญี่ปุ่นจัดให้เฮลท์ตี้มากกกก
โยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีน้ำตาลใส่พลับสุก ,
น้ำเต้าหู้ใส่โยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีน้ำตาล ,
โยเกิร์ตรสเบอร์รี่พรุนเสาวรส , ลูกพลับสด ,
ลูก feijoa (ซ้ายบน)
คุณแม่เก็บมาให้จากในสวนครัวที่บ้าน
เพิ่งเคยลองกลิ่นหอมๆรสหวานเบาๆมีเม็ดกรุบๆไฟเบอร์และวิตามินซีสูง
จริงๆมีแอปเปิ้ลเหลืองด้วย เช้านี้ลำไส้ปรอดโปร่งโล่งสบายเลยจร้า 555 Smiley



วันนี้คุณแม่เพื่อนพาเที่ยวเย้ๆ มัมพาขับรถไปถึงโยโกฮาม่า
พาเด็กน้อยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติเสมือนจริง "Orbi Yokohama"
 ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือกันระหว่างช่องสารคดี BBC Earth ประเทศอังกฤษ
และ บริษัท SEGA ผู้ผลิตเกมรายใหญ่ในญี่ปุ่น โดยใช้เทคโนโลยีทางภาพและเสียง
ที่ทันสมัยที่สุดของ SEGA บวกกับภาพสุดยอดสารคดีที่ถ่ายทำจากทั่วโลกของเครือ BBC
ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ราคา 2,600 yen (830 บาท) นักเรียน 1,300 yen (415 บาท)
ซึ่งบัตรเข้าชมจะหน้าตาเหมือนนาฬิกาข้อมือเอาไว้แสกนเข้าในจุดทางเข้า
เปิด 10.00-23.00 น. ถ้าไม่ได้ขับรถมาเองสามารถนั่งรถไฟมาได้
รายละเอียดเข้าไปชมในเว็ปของเค้าได้เลยตามนี้จ้า
//orbiearth.jp/en/tickets/#hours



เข้าไปจุดแรกเราจะเจอจอฉายภาพขนาดใหญ่
ให้เราเข้าไปยืนในวงกลมแล้วจะโบกมือสัมผัสกับตัวสัตว์ที่วิ่งไปวิ่งมาในจอได้
โดยสัตว์ตัวที่เราเลือกจะมีข้อมูลรายละเอียดทั่วไปขึ้นมาให้เราชม
โบกกันจนเมื่อยแขน คาดว่าต้องการให้เราได้ออกกำลังกายไปด้วยเป็นแน่แท้ 555



ด้านในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็น Exhibition Zone ต่างๆ
ให้เราเข้าไปสัมผัสกับภาพและเสียงจากธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ
เช่น ศึกษาความไวในการขยับตัวของสัตว์เทียบกับการขยับตัวของคน
มีห้องถ่าย Green Screen แล้วเอาตัวเราไปซ้อนในฉากให้ด้วย หนุกๆขำๆ



เค้าชอบโซนนี้เป็นแท่นฉายภาพรูปวงรีซึ่งจะเปลี่ยนตัวสัตว์ไปเรื่อยๆ
ตัวสัตว์ที่ฉายจะขยับกระดุ๊กกระดิ๊กได้ด้วยน่าร๊าก
โดยฉากหลังก็จะเปลี่ยนไปตามแหล่งที่อยู่ของสัตว์นั้นๆ



ห้องจำลองสภาพอากาศ ณ อุณหภูมิ -89.2 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ -32 เซลเซียส
ห้องนี้มัมติดใจเข้าไปสองรอบ มัมน่าร๊ากเล่นสนุกเหมือนเด็กเลย
เค้าจะให้เราเข้าไปที่ห้องแรกที่อุณหภูมิศูนย์องศาก่อนแล้วก่อนเข้าไปเจอกับ -32
แต่เจอ -32 แค่ 10 วินาทีเท่านั้น เป็นลมอัดเข้าตัวเราแรงๆ
ซึ่งเอาจริงๆทุกคนลงความเห็นว่าไม่หนาวง่ะแค่รู้สึกว่าลมแรงๆ
เลยชวนเข้าไปลองกันอีกรอบซึ่งก็เหมือนเดิมไม่หนาวแค่เย็นลมไปยืนท้าลมให้หัวฟูเล่น555



ถ้าเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆเค้าว่าที่นี่เฉยๆนะไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมากนัก
เดินแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วเทียบกับราคาตั๋วที่ค่อนข้างแพงก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ฮะ
แต่มาแล้วเราต้องอย่าคิดมากเล่นไปให้สุดทำตัวลั้นลาไว้เที่ยวไหนก็สนุกเนอะ Smiley



ก่อนออกจากโยโกฮาม่ามัมพาไปแวะหม่ำขนมที่ Red Brick Warehouse
เป็นอาคารที่ปรับปรุงมาจากโกดังเก่า สร้างด้วยอิฐแดงดูสวยคลาสสิคสุดๆ
ถ่ายมาเหมือนอยู่ยุโรปมากกว่าอยู่ญี่ปุ่นเนอะ Smiley



ร้านที่มัมพามาชื่อร้าน "Bills" เป็นร้านแพนเค้กชื่อดังจากออสเตรเลีย
ซึ่งมีสาขาแรกอยู่ที่ซิดนีย์ ช่างน่าอับอายยิ่งนักเค้าเคยไปอยู่ซิดนีย์มาเกือบปี
ไม่รู้จักและไม่เคยกิน เอาฟระได้มาลองครั้งแรกที่ญี่ปุ่นนี่หล่ะ555



ร้านแอบโหดนิดนึงคือมาสี่คนต้องออเดอร์อาหารหรือเครื่องดื่มสี่อย่างตามจำนวนคน
เลยสั่งเป็น Orecchiette Pasta พาสต้าหนึบๆกลมๆรสชาติกลมกล่อมดี
และต้องไม่พลาดที่จะลองแพนเค้กมัมสั่ง Berry Berry Pancake มาให้
เป็นแพนเค้กเพิ่งทอดใหม่ๆเสิร์ฟมากับเบอร์รี่หลากชนิดราดด้วย Maple Serup
สำหรับเค้าก็แยกไม่ค่อยออกว่าแพนเค้กมันอร่อยต่างกันยังไงแต่เบอร์รี่ที่ใส่มาอาหย่อยมั่กๆ
อาหารไม่ครบสี่เค้าเลยสั่งโก้โก้ คุณแฟนสั่งลาเต้ ซดเครื่องดื่มอุ่นๆตอนอากาศเย็นๆเข้ากั๊นเข้ากัน



มื้อเย็นวันนี้อร่อยเด็ดที่สุดตั้งแต่มาญี่ปุ่น
เพราะมัมจัดสุกี้ญี่ปุ่นแบบโฮมเมดให้หม่ำเริ่ดที่ซู้ดดดด
ช่วยกันเตรียมเครื่องล้างผักหั่นเนื้อสนุกมาก
เนื้อเป็นเนื้ออย่างดีที่มัมหมักกับข้าวและยีสต์ไว้เองด้วยเลิฟมัมๆๆ



ได้เรียนรู้วิธีการกินแบบญี่ปุ่นแท้ๆแบบที่ทำทานกันในบ้าน
สุกี้สำหรับญี่ปุ่นคือเนื้อวัวเท่านั้นไม่มีการใส่เนื้อหมู
เริ่มด้วยการใส่น้ำมันงาเล็กน้อยแล้วผัดต้นหอมญี่ปุ่นให้หอมๆ
ใส่มิริน ซุป และซอสโชยุลงไปแค่พอขลุกขลิก
ตามด้วยเต้าหู้ ผัก เส้นบุกตามชอบ ส่วนเนื้อค่อยเอาลงไปลวกเวลาจะทาน
กรีดร้องงงงเขียนบล็อคไปหิวไปอีกแว๊ววว นึกถึงกลิ่นเนื้อที่โชยขึ้นมาอร๊างง Smiley
เวลาทานลวกเนื้อแค่พอสุกแล้วจิ้มกับไข่ดิบ เนื้อนุ่มสุดยอดละลายในปากอยากกินอีกจังเล้ยยย



หม่ำสุกี้แกล้มกับอุเมะชูหรือเหล้าบ๊วยที่หมักกันเองในบ้านมันฟินที่สุด!
เค้าว่าอร่อยคนละแบบกับกินที่ร้าน เหมือนเราทำกับข้าวกินกันในครอบครัวอ่าเนอะแฮปปี้
ปิดท้ายด้วยของหวานลูกพลับฉ่ำๆ ลูกฟิกซ์สด <<<อร่อยมากของโปรดเค้าหากินย๊ากยาก
และคัสตาร์ทยี่ห้อดังที่โมโมโกะเพื่อนเค้าซื้อมาให้ลองจำยี่ห้อไม่ได้แต่จำรสชาติได้เด็ดม๊วก



กินอิ่มกันแล้วโมโมโกะชวนลงไปเล่นดอกไม้ไฟกันที่ริมแม่น้ำหลังบ้าน
เก๋นะฮร้าปกติดอกไม้ไฟเค้าเล่นกันหน้าร้อน ลองมาเล่นหน้าหนาวกันดู
หนุกไปอีกแบบเล่นไปตัวสั่นงั่กๆไป คนผ่านไปผ่านมามองกันงงๆเล่นอะไรตอนนี้ 555



แป๊บเดียววันที่สิบห้าในญี่ปุ่นแล้วไวเว่อร์
[8/11/2013]
พรุ่งนี้ต้องกลับไทยวันนี้เลยจัดเป็นวันฟรีเดย์.....ชอปปิ้งงงงง!!! ฮี่ๆ
ออกมาลั้นลาย่านวัยสะรุ่นที่ฮาราจูกุเป็นย่านที่เสื้อผ้าราคาถูกหน่อยพอจิชอปไหว
แนะนำให้ลองเดินในซอย
Takeshita ดูเสื้อผ้าเยอะดีไซน์ญี่ปุ่น
แต่ผลิตจีนราคาเลยไม่แรงฮะ เลือกดีๆก็ได้เสื้อผ้าคุณภาพดีได้อยู่น้า



ชอปจนหมดพลังแนะนำให้เดินมาเติมพลังที่ร้านนี้อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟฮาราจูกุนั่นแล
เปิดหาใน Google Map ได้เลย ชื่อร้าน Kyusyu Jungara จุดเด่นคือมีป้ายภาษาไทย!!!



เมนูเริ่ดมากภาษาไทยอธิบายชัดเจน
นอกจากเมนูจะไทยแล้วพนักงานยังพูดไทยได้นิดหน่อยด้วย
แนะนำให้ดิบดี"เมนูนี้อร่อยมากๆครับ" แหม่เว้ยแนะนำขนาดนี้ไม่ลองได้ไง 555



เค้าสั่งเมนูเด็ดมาลองเลยเมนู Kyusyu Jangara ตามชื่อร้าน
เป็นราเมนสไตล์คิวชูซุปกลมกล่อมมาก เส้นราเมนจะเล็กๆกลมๆ
สั่งแบบเซ็ตคู่กะข้าวหน้าหมูตุ๋นและสลัด 1,250 yen (400บาท)
แบ่งกันหม่ำสองคนอิ่มกำลังดี จบไปอีกหนึ่งมื้อ Smiley



ได้ลองมากาฮอง Laduree ไปแล้ววันนี้เลยมาตามล่าร้านคู่แข่ง
Pierre Herme ที่เค้าว่าเด็ดไม่แพ้กัน เค้ามาซื้อที่ห้าง Isetan Shinjuku
ราคาแรงกว่าอีกนะนี่ชิ้นละ 294yen (94 บาท)ของ
Laduree ชิ้นละ 270 yen
เนื้ออันนี้จะหนักและหนึบกว่าแต่หวานน้อยกว่า Laduree
สรุปคือเค้าชอบแป้งด้านนอกของ Laduree แต่ชอบความหนึบ
และความหวานที่น้อยกว่าของ Pierre อร่อยไปคนละแบบอ่านะ
แต่ที่เหมือนกันคือราคาจะแพงไปหน๊ายยยลองให้รู้นานๆกินทีละกัน
ของ Pierre เค้าชอบรสวานิลลากับจัสมินกลิ่นหอมติดจมูกมากกกกกก



สตรอเบอร์รี่ซื้อที่ห้างเดียวกันแดงฉ่ำสะใจแต่ไม่หวานเท่าที่กินเมื่อวันก่อนง่ะ



ใครชอบคอนแทคเลนส์ของญี่ปุ่นเค้าเดินมั่วๆไปเจอมาอยู่ในย่านชินจูกุนั่นแล
หน้าร้านวงไว้ให้ตามในภาพ มีคอนแทคเลนส์ให้เลือกจนตาลาย
แต่การจะซื้อคอนแทคเลนส์ที่นู่นจะต้องมีการเซ็นต์เอกสารซึ่งมีแต่ภาษาญี่ปุ่น
ถ้าจะไปซื้อมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นไปด้วยก็ดีฮะ สรุปคือร้านนี้เค้าเข้าไปแล้วซื้อบ่ได้
พนักงานเอาเอกสารมาให้กรอกเค้าอ่านไม่ออกร้านเลยไม่ขายให้ ฮือ
แต่เดินข้ามมาอีกฝั่งร้าน Matsumoto ยอมขายให้เอกสารที่ให้เซ็นต์
แค่กรอกชื่อกะที่อยู่ในญี่ปุ่นลงไปแค่นั้นเองก็ซื้อได้ละ ปั๊ดโถ๊วววว!
รอบหน้าไม่พลาดจิเข้าไปตะลุยร้านนั้นใหม่ คอนแทคเลนส์สวยละลานตามาก
ขอบอกว่าคอนแทคเลนส์ของญี่ปุ่นใส่แล้วสวยเป็นธรรมชาติมากกกก ติดแค่ราคาแรว๊งงง



มื้อเย็นวันนี้จัดปิ้งย่างๆมาจนครึ่งเดือนละยังไม่ได้ลองปิ้งย่างเลย
ไม่รู้จะเลือกร้านไหนเลยลอง Gyukaku สาขา Shinjuku ตั้งอยู่บนตึก Tops House
ร้านนี้มีในไทยด้วยแต่เค้ายังไม่เคยลองกิน มาลองของออริจินัลก่อนเลยละกัน อิอิ



เค้าหม่ำแบบบุฟเฟ่ต์ 90 นาที ราคารวม Vat หัวละ 3,654 yen (1,167 บาท)



ปิ้งย่างที่นี่เนื้อกะหมูใช้ได้เลยมีให้เลือกหลากหลายคุณภาพดี
แต่ที่เด็ดคือซีฟู้ด หอยเชลล์เอย กุ้งเอย ตัวใหญ่สะใจ
น้ำจิ้มเค้าก็รสชาติดีหม่ำกะผักสดแหล่มเลย Smiley
แต่อันนี้ความเห็นส่วนตัวน้าเค้าชอบแบบหมูย่างเกาหลีมากกว่า
เคยไปกินที่เกาหลีเหมือนเครื่องเคียงมันจะโดนใจกว่าอ่าฮับแล้วแต่คนชอบเนอะ



ปิดท้ายด้วยของหวานที่อร่อยโฮกกกประทับใจกว่าปิ้งย่างอีก
คือไอติมชาเขียวและไอติมวานิลลาราดคาราเมล
เนื้อไอติมหนึบๆกลิ่นหอมรสหวานกำลังดีโดนใจเจ้มากๆ
แต่โกรธนะแม้จะเป็นบุฟเฟ่ต์แต่ไอติมเสิร์ฟให้แค่คนละก้อน อะไรแว๊! Smiley



อีกหนึ่งแหล่งชอปสุดโปรดที่เค้าไม่พลาดก็คือ 7-11 และตามซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ
แวะร้านนู้นนิดร้านนี้หน่อยตุนขนมเตรียมขนกลับไทย เป็นการชอปปิ้งที่แฮปปี้มาก
แต่อย่าดูถูกไปซื้ออย่างละนิดละหน่อยตลอดทริปนี่หมดเงินไปกะขนมเยอะสุดเลยหล่ะ แหะๆ



และแล้วมันก็มาถึงวันสุดท้ายในญี่ปุ่น
[9/11/2013] กระซิกๆ Smiley
สิบหกวันเวลาช่างผ่านไปไวยังกะโกหก
มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่นโมโมโกะพาไปหม่ำร้านโปรดเป็นร้านราเมนอยู่แถวๆบ้านย่าน Chufu



เป็นราเม็งแบบแยกน้ำซุป คนละแบบกับราเม็งเย็นเน่อ
แอบตื่นเต้นร้านแถวบ้านอร่อยเว่อร์ทำไมโมโมโกะไม่บอกเค้าแต่แรก 555
เค้าชอบหน่อไม้ที่ใส่มาด้วยมากๆซุปแบบออริจินอลร้านนี้สุดยอดกลมกล่อมสุดๆ
คุณแฟนเค้าลองรสเผ็ดสุด ก็เผ็ดเลยนะสำหรับคนไทยแต่เป็นความเผ็ดระดับที่ทนได้
แต่มั่นใจกว่าคนญี่ปุ่นต้องบ่นว่าเผ็ดมากแน่ๆ ไม่รู้เค้าเอาไว้ขายใครรสแซ่บดี อิอิ



จากบ้าน Chofu กลับมาสนามบินเค้าอาศัยรสบัสเหมือนตอนขา
ค่ารถบัสคนละ 3,200 เยน (ประมาณ 1,020 บาท) แรงหน่อยแต่สะดวกอ่านะ
เค้าบิน
United Airline สายการบินนี้ฟิกซ์เรื่องน้ำหนักกระเป๋ามากนะ
โหลดได้แค่คนละหนึ่งใบและน้ำหนักต้องไม่เกิน 23 กิโล ซึ่งของเค้าเกินไปไกล 555
เลยซื้อเพิ่มเป็นน้ำหนักกระเป๋าอีกหนึ่งใบไปเลย โดยจ่ายเพิ่ม $75 (ประมาณ2,250บาท)
จะได้น้ำหนักเพิ่มไปอีก 23 กิโล
เค้าว่าระบบนี้ก็แฟร์ดีรอบหลังมาจะได้เตรียมกระเป๋ามาขนของ ฮี่ๆ
ได้เพิ่มมาอีกตั้ง 23 กิโลต้องใช้ให้คุ้มค่า รอบนี้ไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่เลยใส่ถึงพลาสติกโหลดไป



เข้าไปสนามบินยังมิวายโดนละลายทรัพย์ไปอีกประมาณเกือบหมื่นบาทไทย!!!
ขนมในสนามบินมีให้ชอปอีกบานตะไทถ้าใครอยากซื้อของฝากแนะนำว่ามาซื้อสนามบินนี่หล่ะฮะ
โดนไปสองถุงใหญ่ๆเงินที่อุตสาห์ดีใจว่าจะเหลือกลับไม่เหลือละกระซิกๆ Smiley



ของที่ซื้อในสนามบินเยอะจัดช่องเก็บของเหนือศีรษะเก็บไม่พอ
ขนมที่ซื้อมาทางสายการบินเลยจัดการโหลดให้ใต้ท้องเครื่องก่อนจะขึ้นเครื่อง แหะๆ
จัดการสัมภาระเรียบร้อยก็ขึ้นเครื่องกลับบ้านได้ บนเครื่องมีหนังสือพิมพ์ไทยให้ด้วย
แต่เครื่องรอบนี้ไม่มีจอด้านหน้า แต่ฉายหนังบนจอรวมให้
สามารถเสียบหูฟังฟังได้ ดูเรื่อง The Great Gatsby มีพากย์ไทยด้วยแฮะ



อาหารบนเครื่องมีให้จัดเต็มเอร็ดอร่อยเหมือนขามากินจนพุงอืด
เค้าชอบน้ำแอปเปิ้ล 100% ของ Miniute Maid ที่เสิร์ฟบนเครื่องมากมาย



หกชั่วโมงผ่านไปมาถึงไทยแล้วจ้าจบทริปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิตไปอย่างเมามันส์
นี่คือสภาพข้าวของทั้งหมดกับการไปใช้ชีวิตลั้นลาในญี่ปุ่นมาครึ่งเดือนเยอะจริงอะไรจริง
หวังว่าบล็อคที่เขียนทั้งหมดตั้งแต่ [Part 1] - [Part 7] จะเป็นประโยชน์
สำหรับเพื่อนๆที่สนใจจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองนะคร๊าบ
เป็นประเทศที่ประทับใจจริงๆ การเดินทางสะดวกสบายเที่ยวง่ายมาก
สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือใช้เงินไปเท่าไหร่ เค้าตอบให้ไม่ได้จริง
เพราะเค้าใช้ระบบลงเงินกองกลางกับคุณแฟนเพื่อเอาไว้จ่ายค่าเดินทางและค่ากิน
ส่วนค่าชอปก็ต่างคนต่างจ่าย เรื่องงบประมาณจึงขึ้นอยู่กับว่าเรากินเที่ยวหรูหราแค่ไหน
แต่การวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นเราต้องทำการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก
จ่ายค่า JR Pass ไปล่วงหน้าอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายหลักที่เราตั้งงบประมาณได้
ส่วนเงินที่จะเอาไปใช้ก็ลองเผื่อไปดูว่าเราชอบกินหรูแค่ไหน ชอปปิ้งประมาณไหน
พกเงินไปแต่พอดีส่วนที่เหลือแนะนำว่ารูดบัตรเอาก็ได้ฮะ พกเงินไปมากๆมันก็เสี่ยงอ่าเนอะ
สำหรับบล็อคนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบแล้วเจอกันทริปหน้าฮับ จุ๊บๆ Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

รวบรวมลิงค์
[Part 1] - [Part 7] ตามนี้ฮับ

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน
ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara


Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง
ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง

Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku
& วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า

Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน,
หม่ำโอโคโนมิยากิร้านดัง Mizuno
&
วันที่8 ปราสาทโอซาก้า, ศาลเจ้า Temmagu
และ Osaka Aquarium Kaiyukan


Review : Japan Trip [Part 5] วันที่9 ไปเกียวโตพักเรียวกัง , วัดทอง ,
ซูชิเวียนจานละ 137 yen & วันที่10 เช่ากิโมโนใส่ตะลุยศาลเจ้าเฮอัน ,
วัดเงิน , ย่านกิอง , หม่ำทงคตสึเจ้าดัง Katsukara


Review : Japan Trip [Part 6] วันที่ 11 ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาวFushimi Inari , นาโกย่า ,
ไก่ทอดยามะจัง & วันที่ 12 ข้าวหน้าปลาไหล Houraiken , วัดไทย-ญี่ปุ่น Nittaiji

Review : Japan Trip [Part 7]วันที่13 Tokyo DisneySea &
วันที่14 พิพิธภัณฑ์ Orbi Yokohama & วันที่15-16 ชอปปิ้งทิ้งทวนก่อนกลับไทย





 

Create Date : 13 มกราคม 2557    
Last Update : 14 มกราคม 2557 0:43:24 น.
Counter : 7982 Pageviews.  

Review : Japan Trip [Part 6] วันที่ 11 ศาลเจ้าFushimi Inari & วันที่ 12 ข้าวหน้าปลาไหล ,วัดNittaiji



My Makeup TodaY
วันที่สิบเอ็ดในญี่ปุ่น [4/11/2013]
จัดให้เป็นมินิฮาวทูขั้นตอนตามนี้ฮับ
1. ทาสีส้มในแนวชั้นตาเบลนให้ฟุ้ง
2. ทาสีชมพูอ่อนเหนือแนวชั้นตา
3. ทาสีเหลืองครีมที่หัวตา
4. คัดเบ้าตาด้วยสีน้ำตาลเข้ม
5. เขียนขอบตาด้วยไลน์เนอร์แบบปากกา Kate
สีดำเน้นหางตาเส้นหนาลากยาวแต่ไม่ตวัดให้เชิด
6. เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอ Cosluxe สีเงิน
7. ทาหางตาล่างด้วยสีน้ำตาลเข้มผสมสีส้ม
8. ทาหัวตาล่างด้วยสีเหลืองครีม
9. ดัดขนตาปัดมาสคาร่าติดขนตาปลอมบน-ล่าง

***ขนตาซื้อที่ญี่ปุ่นฮะ ขนตาบนของ Vanilla Birthday No.2
ขนตาล่าง Dolly Wink #8
***อายแชโดวพาเลท Shu Uemura 6Princess Collection #Pink
***คอนแทคเลนส์ DreamColor1 Sky #Violet
***รองพื้น Shu Uemura Lightbulb #764 แป้งฝุ่น Candy Doll
***แก้มสีชมพูจากพาเลทShu Uemura 6Princess Collection #Pink
ผสมสีส้มอ่อนCanmake
***ปาก Clinique #RunwayCoral + Candy Doll #ApricotBeige
+ Coffret D'Or Liquid Lip
สีชมพู




ชุดยูกาตะที่โรงแรมไว้ให้ใส่เป็นชุดนอน
ไม่รู้ว่านี่ไซส์มาตรฐานของเค้ามันยาวไปหรืออิชั้นเตี้ย
ใส่ออกมายาวกรอมเท้าเป็นแมกซี่เดรสเลยฮร้า 555
เค้าชอบชุดยูกาตะนะใส่นอนสบายดีแต่คือแบบนอนดิ้น
เช้ามาสภาพอาจจะดูไม่ได้นิดนึง กร๊ากกกก Smiley



มื้อเช้าวันนี้รองท้องด้วยขนมปังไส้ยากิโซบะ
เหมือนจะไม่เข้ากันแต่กินๆไปมันก็อร่อยดีน้า
รสยากิโซบะเค้าจะผัดรสจัดหน่อยกินกับขนมปังจะกำลังดี
ซื้อมาจากร้านในสถานีเกียวโตแต่จะชื่อร้านบ่ได้ฮับ



จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ก็คือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine)
หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว
การเดินทางสามารถนั่งรถไฟสาย JR มาลงที่สถานี Inari ได้เลย
หรือถ้านั่งรถไฟสาย Local ให้มามาลงที่สถานี Fushimiinari ฮับ
ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต
สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แด่เทพเจ้าแห่งการกสิกรรมที่ช่วยให้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์
คือ เทพเจ้าอินาริ และในบริเวณรอบๆศาลเราจะพบรูปปั้นของสุนัขจิ้งจอก
ซึ่งสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ก็คือผู้ส่งสารไปให้เทพเจ้าอินารินั่นเอง



แผ่นป้ายเขียนคำขอพรที่นี่จะเป็นต้นเสาโทริอิ (อันละ 800 yen)
ทำไมถึงเป็นเสาโทริอิเดี๋ยวมาดูกัน Smiley



ความโด่งดังของศาลเจ้าแห่งนี้คือมีเสาโทริอิตั้งเรียงรายเป็นทางยาวขึ้นไปบนหุบเขา
เป็นระยะทางกว่า 4 กม. ถ้าจะใช้เวลาเดินจนสุดทางต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงแน่ะ
มีจำนวนเสาโทริอิมากที่สุดในญี่ปุ่นเรียงกันเป็นอุโมงนับหมื่นต้น
ซึ่งได้มาจากการสร้างบริจาคของคนที่ศรัทธา หรือมาขอพรไว้
เมื่อพรสมดังที่หวังก็มาสร้างถวายเหมือนเป็นการแก้บนของบ้านเราอ่าเนอะ
เสาโทริอิ (Torii) มักจะพบในวัดหรือศาลเจ้าของนิกายชินโตเปรียบเสมือนทางเข้าสู่สวรรค์



ราคาการบริจาคสร้างเสาแต่ละต้นขึ้นอยู่กับความใหญ่สตาร์ทราคาที่ 175,000 yen OMG!!!

ซึ่งบนเสาจะมีการสลักชื่อคนหรือบริษัทองค์กรที่บริจาคนั้นๆเอาไว้



ถ้าจะถ่ายรูปเค้าแนะนำถ่ายด้านที่มีตัวหนังสือสลักไว้
จะดูสวยและดูได้บรรยากาศกว่าถ่ายด้านที่เป็นเสาเปล่าๆฮับ ยิ่งได้แสงแดดลอดๆหน่อยแจ่ม!
แต่ทำใจว่าภาพมันจะติดส้มๆแดงๆหน่อยเพราะเราอยู่ในอุโมงค์เสาอ่าน้าสีมันสะท้อนรอบตัว



ทางเดินจะค่อยๆไต่ขึ้นไปบนเขามีแผนที่ให้ด้วยระยะทางรวมกว่าสี่กิโลเมตร
แต่มันเป็นการเดินขึ้นง่ะ เดินมาพักนึงแล้วพึ่งได้เสต็ปแรก!
You are here อยู่จุดแดงๆมุมขวาล่าง นี่เป็นแค่เพียงการเริ่มต้น Smiley



ในจุดพักเสต็ปแรกคือจุดศาลเจ้าโอะคุฉะ
จะมีป้ายขอพรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกน่ารักเชียว แต่ละคนแต่งเติมหน้าตาซะเฟี้ยวเลย
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะแผ่นละ 800 yen เท่าเสาโทริอิด้านล่างฮะ



เสต็ปพักต่อมาเป็นจุดชมวิวสวยสงบแต่แอบน่ากลัวนิดนึง
จะเป็นเสาหรือศาลเจ้าเก่าๆมีตะไคร่ขึ้นด้วยง่า
บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่เดินแล้วแอบหลอน แหะๆ



ณ จุดนี้เค้าจะมีบอกเวลาไว้เลยว่าจะไปจุดถัดไปใช้เวลาเท่าไหร่
จุดถัดไปใช้เวลา 18 นาที และจะขึ้นไปยอดสุดใช้เวลา 54 นาที!!!
ขอบพระคุณป้ายนะคะที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่าควรหยุดแต่เพียงเท่านี้ 555
ไม่ไหวจริงๆคร๊าบเดินขึ้นลงงานนี้ไม่รอดแน่เลยขอเดินย้อนกลับไปด้านล่างดีกว่า แหะๆ



ขาเดินลงบังเอิญได้อี๊กกกกก เจอสองสาวในชุดกิโมโนหน้าคุ้นเชียว 555
ปอเช่ Porscerta และ นิชา Minipandaz นั่นเองจ้า แหม่ญี่ปุ่นมันแคบ
ที่เก๋คือทางเดินตรงที่เจอกันมันแยกเป็นสองอุโมงค์
ดันเลือกเดินอุโมงค์เดียวกันเลยได้เจอกัน พรหมลิขิตบันดาลชักพา ฮริ้วววว Smiley



ดีนะที่เลือกเดินกลับลงมาเพราะจากที่ฟ้าแดดเปรี้ยงกลับมีฝนปรอยซะงั้น
ดีที่แค่ปรอยเบาๆพอจะเดินเม้าสวยๆกลางสายฝนได้ 555



ออกจากศาลเจ้ากลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม
แล้วขึ้นชินคันเซ็นบึ่งไปนาโกย่ากันใช้เวลาจากเกียวโตไปนาโกย่าแค่ชั่วโมงเดียวฮับ
ไม่ลืมที่จะแวะซื้อข้าวกล่องก่อนขึ้นรถ อิอิ รอบนี้ให้คุณแฟนเลือก
นางเลือกข้าวหน้าเนื้อมาอร่อยง่ะเนื้อนุ๊มนุ่มรสหวานๆเค็มๆกลมกล่อม
อัดแน่นเต็มกล่องแบ่งกันหม่ำสองคนกล่องละ 1,000 yen ประมาณสามร้อยนิดๆแหล่ม!
ปิดท้ายด้วยของหวานสารพันขนมที่ซื้อจากใน 7-11 ตุนไว้เต็มเป้ แหะๆ



ระหว่างทางจากเกียวโตไปนาโกย่าจะเห็นวิวเป็นแปลงผักหรือนาข้าวสองข้างทางเลย



ออกจากสถานี้มุ่งหน้าไปเช็คอินโรงแรมก่อนเลย
ชื่อโรงแรม Business Hotel SHINMEI
ทำเลที่ตั้งตามสไตล์เค้าต้องติดกับสถานีหลักเดินทางง่าย อิอิ
ตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีนาโกย่าเลยอยู่ติดกับตึก Tsutaya
เดินข้ามถนนมาสังเกตง่ายมีร้าน Yoshinoya อยู่ด้านล่างจ้า



Business Hotel
เป็นโรงแรมที่มีหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น
สำหรับที่นี่เค้าจองผ่าน ได้ราคาคืนละ 7,350 yen (2,230บาท)
เช็คอินแล้วจะได้ของที่ระลึกซองเล็กๆติดไม้ติดมือมาด้วย
เป็นพวกสบู่ แชมพู มาส์กหน้า หรือฟองน้ำขัดตัวฮะ



ห้องแคบหน่อยแต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันเตียงนุ่มสบายดีเค้าชอบ
โรงแรมในญี่ปุ่นเท่าที่ไปพักมาเค้าชอบตรงที่พวกสบู่แชมพูมีไว้ให้ในห้องน้ำเลย
เป็นแบบขวดใหญ่ๆหัวปั๊มกดใช้ได้แบบไม่อั้น เวิร์คกว่าให้แบบชิ้นจิ๋วๆนะ
ซึ่งจะใช้เป็นยี่ห้อดีๆด้วยอย่าง Shiseido , Pola เริ่ดอ้ะ ไม่ต้องพกไปให้หนักกระเป๋า



จัดแจงเก็บกระเป๋าล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วออกมาเดินเล่นสำรวจเมืองกัน
นาโกย่าเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างเกียวโตกับโตเกียว อดีตเลยเป็นเมืองท่าเป็นจุดแวะพัก
เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของญี่ปุ่น เป็นเมืองที่อาร์ตมาก
สถาปัตยกรรมในเมืองจะดูเก๋ๆ มีรูปปั้นศิลปะแนวๆอยู่รอบเมืองเดินชมได้เพลินๆ



ตระเวนเดินหาจุดที่เป็น Landmake ของเมืองนาโกย่า
เริ่มจากชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่กลางเมือง
ซึ่งเจอแทบทุกเมืองใหญ่ๆเลยนะเจ้าชิงช้าสวรรค์เนี่ยสงสัยคนญี่ปุ่นจะชอบมาก อิอิ
ถัดไปหน้าตาคล้ายหอไอเฟล คือ Nagoya TV Tower
ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนสาธารณะ Central Park อยู่ในย่านซาคาเอะ (Sakae)
ซึ่งเป็นย่านธุรกิจของเมือง เป็นหอกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์
หอสูง 180 เมตร มีจุดชมวิวอยู่ด้านบนที่ความสูง 100 เมตร แต่เค้ามิได้ขึ้นไปเน่อ
การเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Sakae ได้เลยแต่เค้าค่อยๆเดินมาจากสถานีนาโกย่า
เดินได้ชิลๆไม่ได้ไกลมากประมาณ 3 กม. แต่ขอบอกว่านาโกย่าลมแรงมว๊ากกกก
อุณหภูมิ 14-15 องศาพอๆกะเมืองอื่นแต่รู้สึกหนาวกว่ามากลมสะท้านทรวงหัวกระเจิดกระเจิงสุดๆ



ติดกันกับ TV Tower คือ Oasis 21 เป็นอาคารทรงวงรีหน้าตาล้ำมาก
ซึ่งเป็นศูนย์รวมของร้านค้า ร้านอาหาร สวนสนุกในร่ม “Spaceship Aqua”
ห้างสรรรพสินค้า “Milky Way Plaza”
และต้นทางสถานีรถบัสและรถเมล์(Bus Terminal) รวมทั้งรถ Airport Bus



ชั้นบนสุดของ Oasis 21 จะเป็นจุดชมวิวขึ้นลิฟต์ไปได้เลยไม่เสียตัง
เก๋นะทำเป็นสระน้ำใหญ่ๆไว้บนดาดฟ้า เวลาถ่ายภาพแล้วจะสะท้อนเห็นตึก
TV Tower
อยู่ด้านหลังด้วย งามมมมั่ก แต่ขอบอกว่าบนนั้นหนาวมากกลมพัดตัวแทบปลิว Smiley



ขากลับเดินมิไหวแร้นหนาวเลยนั่งรถไฟใต้ดินแทน
มาถึงสถานีนาโกย่าเดินผ่านเครปร้าน Dipper Dan Crepe กลิ่นหอมยั่วมากกก
ต้องจัดมาลองอันละ 350 yen (110 บาท) อูยยยมันเริ่ดอ้ะ
แป้งหอมนุ่มหนึบ ครีมเข้มข้น สตรอเบอร์รี่ฉ่ำๆฟินนาเร่
ถ่ายคลิปตอนทำมาฝากด้วย ฮี่ๆ  >>>CLICK<<<



มาถึงนาโกย่าร้านดังหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดได้แก่
"ร้านไก่ทอดยามะจัง" (yamachan)
แค่รอบๆสถานีนาโกย่าก็มีเป็นสิบสาขาแล้วหาไม่ยาก
เค้าเดินมั่วๆมาก็เจอสาขาที่เค้ากินหันหน้าออกจากสถานีแล้วเดินเลียบไปทางขวา
หรือเข้า Google Map แล้วเสิร์ชว่า Yamachan Nagoya เจอตรึมเลยจ้า



วิธีสังเกตร้านยามะจังให้สังเกตโลโก้ผู้ชายชูสองนิ้วแบบในรูปเลย
เมนูเด็ดร้านนี้ก็คงไม่พ้น ปีกไก่ทอด(Tebasaki)
แต่ก็มีเมนูอื่นๆให้เลือกอีกมากมายซาซิมิก็น่าหม่ำ



Maborishino Tebasaki : ปีกไก่ทอดรสออริจินอล
จานนึงมี 5 ชิ้น ราคา 420yen (133 บาท)
เป็นเมนูเบสิกที่มาแล้วต้องสั่งรสชาติแบบออริจินอลคือรสเค็มๆเผ็ดๆพริกไทย
สำหรับคนไทยเผ็ดพริกไทยแค่นี้เรียกว่าเด็กๆ แต่ความเค็มนี่จัดว่าแสบลิ้นเลย
ทอดมาใหม่ๆร้อนๆกรอบๆก็อร่อยดีฮะแต่กินแล้วหิวน้ำสำหรับเค้ามันเค็มไปหน่อยอ่านะ



เมนูเคียงเยอะกว่าเมนูหลักอีก แหะๆ รวมๆเค้าว่าโอเคหล่ะรสจัดจ้านดี
มานาโกย่าแล้วก็ควรลองทาน ใครว่าอาหารญี่ปุ่นจืดจะเปลี่ยนความคิด....ว่ามันเค็ม 555



เดินกลับมาสถานีเจอขนมอบกรอบรสไก่ยามะจัง
ยังไม่เข็ดซื้อมาลองอีก อู้วเค็มเหมือนไก่ทอดเป๊ะ
เผ็ดๆพริกไทยดีแต่ต้องกินน้ำเปล่าตามเรื่อยๆเค็มแสบลิ้นจุงเบย



My Makeup TodaY วันที่สิบสองในญี่ปุ่น [5/11/2013]
ทาเปลือกตาด้วยสีเบจแล้วกรีดไลน์เนอร์หางยาวเฟื้อย
อัดขนตาปลอมทั้งบนและล่างแน่นตึ้บ เกิดการเสพย์ติดขนตาล่างแบบไม่รู้ตัว555
ขนตาบนขนมาจากไทยจำมิได้ว่ายี่ห้ออะไรเบอร์อะไร
แต่ขนตาล่างซื้อที่นี่ของ Dolly Wink เบอร์ 8 (บ้านเราก็มีขายใน Tsuruha ฮับ)



My Outfit TodaY เห่อเสื้อคลุมกิโมโนสีแดงแซ่บๆสอยมาจากศาลเจ้าพ่อจิ้งจอก
เท่านั้นเป็นชาวบ้านมาขายเองมีชุดกิโมโนด้วยสวยมากแต่ซื้อมาแล้วใส่บ่เป็น
เลยช่วยอุดหนุนเสื้อคลุมกิโมโนมาสองตัวราคาน่ารักน่าคบ
ตัวละ 1,500yen (475 บาท)
ขอบอกว่าอุ่นมากกกก แต่ผ้าก็หนักมากเช่นกัน แหะๆ
ด้านในเค้าใส่ Heattech แขนยาวตัวเดียวเองเอาอยู่
ส่วนกระโปรงหนังสีเบจแบรนด์ GU ตัวละไม่ถึงสามร้อยบาท รองเท้า Forever21 ฮะ



เป้าหมายวันนี้ที่ตั้งใจว่าต้องมาให้ได้คือร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดัง "Houraiken"
ซึ่งเค้ามีทั้งหมด 4 สาขาในห้างก็มี แต่มาถึงนี่ต้องไปลองที่ร้านต้นตำรับเนอะถึงจะได้ฟิล
ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Temma-Cho แถวๆสถานีนี้จะมีอยู่ 2 ร้าน ร้าน A คือร้านต้นตำรับ



ตอนแรกเค้าเดินมาผิดดันไปออกทางออก Exit 1 แล้วเดินไปร้านที่ตำแหน่ง C
ร้านนี้จะอยู่ติดกับศาลเจ้า ซึ่งไปถึงแล้วเกิดอาการกรีดร้องร้านปิด!!!
แต่เค้าหยิบโบชัวร์มาให้แล้วบอกว่ามีอีกร้านนึงใกล้ๆซึ่งอีกร้านคือร้านต้นตำรับ
โชคดีมีคนญี่ปุ่นมาผิดเหมือนกันเลยเดินตามๆเค้าไปอีกร้านนึง 555



ร้าน Houraiken ต้นตำรับอยู่ตรงตำแหน่ง A ตามแผนที่
ต้องเดินข้ามสะพานลอยมา มาถึงมั่นใจละว่าถูกเห็นควันและปลาไหลลอยมา
บรรยากาศหน้าร้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนถูกต้องแน่นอน เดินเข้าไปลงชื่อต่อคิว
อื้อหือ คิวที่เราได้คือต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงเอาฟระมาถึงนี่ละรอก็รอ
คนญี่ปุ่นนี่มีความอดทนในการรอหม่ำอาหารมากๆนั่งกันชิลๆรอบๆร้านเป็นเพื่อนกันไม่มีอิดออด



ยุทธการรอคิวหลอกล่อให้หิวก่อนของทางร้านสัมฤทธิ์ผล
เข้าไปแล้วหิวมากกกอ่านเมนูตาลายกะจะสั่งแหลกพอเห็นราคาสติมาทันใด 555
บรรยากาศร้านเป็นบ้านแบบญี่ปุ่นสองชั้นโต๊ะแบบนั่งพื้น



สั่งอาหารไปนั่งรออีกประมาณเกือบยี่สิบนาทีหิวโฮกกกก
เย้ๆปลาไหลมาแว๊ว เค้าสั่งข้าวหน้าปลาไหล Hitsu-mabushi ขนาดปกติ
แม้จะหิวปางตายแต่มิกล้าสั่งไซส์พิเศษเพราะขนาดปกติ
ก็ราคา 3,100yen แล้วง่า (985บาท) นี่ราคายังไม่รวม Vat 5% นะ!
ร้านนี้เป็นร้านต้นตำรับเจ้าแรกของนาโกย่าที่คิดค้นข้าวหน้าปลาไหล
แบบ
Hitsu-mabushi ซึ่งจะเสิร์ฟมาในหม้ออบโปะด้วยปลาไหลย่างแบบอัดแน่น



ในเมนูจะมีสอนวิธีการกินแบบ
Hitsu-mabushi ไว้ด้วย
แต่ ณ จุดนั้นวิธีไหนก็ได้จัดการตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กแล้วโซโล่โลด
จะกินเดี่ยวๆก็ได้ กินกับต้นหอมก็ได้ หรือราดน้ำซุปที่ต้มจากกระดูกปลาไหลลงไปก็ได้
เนื้อปลาไหลที่นี่ยอมรับว่าทำดีมากไม่มีกลิ่นคาวเลยเนื้อนุ๊ม นุ่ม ไม่มีก้างปนมาแม้แต่น้อย
ซอสที่ใช้ย่างก็รสเข้มข้นกลมกล่อมคือลงตัวทุกอย่างติดตรงราคากินบ่อยไม่ไหวจนพอดี555
แต่คุณแฟนเค้าเป็นคนไม่ทานของย่างที่ติดไหม้ๆเลยกินแบบไม่ค่อยฟิน
เพราะเค้าจะย่างมาเกรียมนิดๆ คุณแฟนเค้าเลยชอบร้านข้าวหน้าปลาไหล
แถวๆ
ศาล Osaka Temmangu ที่โอซาก้ามากกว่า ส่วนเค้าชอบทั้งสองร้านอร่อยคนละแบบฮะ



ปลาไหลฟินในระดับปกติแต่ที่เค้าฟินมว๊ากกกก็คือ "ไข่เจียวไส้ปลาไหล"
ลักษณะเป็นไข่หวานเนื้อหนาๆสอดไส้ปลาไหลย่างเนื้อนุ่มๆ
เสิร์ฟมาในน้ำซุปกลมกล่อม อร๊ากกกกเขียนบล็อคไปหิวไปติดใจเมนูนี้ฝุดๆๆๆ Smiley
แต่ราคาแรงใช้ได้เลยจานนี้มีไข่มาแค่สองชิ้น 950 yen (300 บาท)ไม่รวม Vat 5%นะฮร้า



ท้องอิ่มเที่ยวต่อได้ จุดหมายนี้คุณแฟนอยากมาสุดๆ "TOYOTA Automobile Museum"
ซึ่งปรากฏว่า "ปิด" นางถึงขั้นหงุดหงิดเพราะวันที่ไปปิดแบบไร้สาเหตุ
เป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดราชการอะไรแค่อยากจะปิด โว๊ะ!
มันน่าโมโหตรงที่ต้องนั่งรถรถไฟออกมานอกเมืองอย่างไกลเลย
ต้องนั่งรถของบริษัท Limino ไปลงที่ Geidai-dori Station
จำว่าค่ารถแพงด้วยเลยยิ่งพาลให้หงุดหงิด หุหุ ประเด็นอาจจะอยู่ตรงที่นั่งรถแพงนี่หล่ะ 555



มุ่งสู่เป้าหมายต่อไปนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี
Kakuozan
ก่อนอื่นต้องหาของหวานทานให้หายหงุดหงิดก่อน อิอิ หาเรื่องกินไปงั้นแหละ
หม่ำๆขนมไทยากิ หรือขนมปลาไทปกติจะเป็นแป้งแบบแพนเค้ก
แต่เค้าลองซื้อแบบแป้งโมจิอร่อยไปคนละแบบน้าอันนี้แป้งหนึบหนับ
ไส้ครีมทะลักมากครีมเค้าเข้มข้นชอบตรงที่ไม่หวานมาก ชิ้นละ 140 yen (45บาท)จ้า



เป้าหมายของเราก็คือ วัดนิตไตจิ
(Nittaiji Temple)
ตั้งอยู่
สถานี Kakuozan ออก Exit 1 แล้วเดินตามถนนใหญ่
เป็นเนินเดินขึ้นไปประมาณ 600 เมตร จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ตรงสามแยกจ้า



ตั้งใจมาที่วัดนี้เพราะเป็นวัดที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่มีอายุกว่า 100 ปี

ซึ่งชื่อของวัด Ni มาจากคำว่านิฮงหรือนิปปอนที่แปลว่าญี่ปุ่น , Tai มาจากคำว่าไทย
และ Ji แปลว่าวัด รวมแล้วเลยเป็นชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดไทย-ญี่ปุ่น
โดยสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ได้พระราชทานแก่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2443 เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ชาวพุทธในญี่ปุ่น
ในวัดมี
พระบรมราชานุสาวรีย์ของเสด็จพ่อร.5 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระวิหารด้วย
ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อฉลองวัดครบรอบ 100 ปีเมื่อพ.ศ. 2530 ดีใจได้มาไหว้เสด็จพ่อร.5 ถึงญี่ปุ่น



นอกจากนี้ด้านหน้าวิหารยังมีป้ายหินจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ ภปร.ของในหลวงด้วย
ไม่ว่าอยู่ที่ใดลูกก็ภูมิใจที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมีของพ่อ ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยค่ะ



ก่อนออกจากนาโกย่าขอแวะซื้อขนมหม่ำแป๊บเห็นเค้าว่าที่นี่มี Laduree ด้วย
ตั้งอยู่ในสถานีนาโกย่าอยู่บนห้าง JR Takashimaya ขึ้นบันไดเลื่อนไปเจอร้านเลย
มากาฮองของเด็ดร้านนี้ได้ยินชื่อเสียงมานานในที่สุดก็ได้ลองเสียที
ราคาแรงตามชื่อเสียงเลย ชิ้นละ 270 yen ประมาณ 86 บาท
รสที่คนนิยมคือรสกุหลาบเค้าลองแล้วเฉยๆ แต่ที่ชอบคือราสป์เบอร์รี่กะวานิลลา
เนื้อแป้งเค้ากรอบเบาๆเปลือกแป้งด้านนอกละลายในปาก ไส้หอมฟุ้งๆ
แต่รสก็หวานแหลมตามสไตล์มากาฮองต้องทานคู่กับชาถึงจะเวิร์ค
สรุปก็โอเคจัดว่าอร่อยมากหล่ะ แต่เคยกินที่ซิดนีย์ร้านบ้านๆ
รสชาติอร่อยกว่านี้ หวานน้อยกว่านี้ เค้าเลยไม่ได้ประทับใจมากมายฮะ



ได้เวลากลับโตเกียวแล้วหลังจากลั้นลาอยู่คันไซหลายวัน
ก่อนขึ้นรถยังมิวายซื้อถั่วรสไก่ทอดยามะจังมาลองอีก
บ่นว่าเค็มๆแต่ก็ซื้อไม่เลิกเอ๊ะอย่างไรหรือจะติดใจ 555
จากนาโกย่ากลับโตเกียวใช้เวลาประมาณ 1.40 ชั่วโมงจ้า



ถึงสถานีโตเกียวเค้านั่งรถต่อมายังสถานีชินจูกุ
เพราะบ้านเพื่อนเค้าต้องต่อรถที่สถานีนี้อยู่แล้ว มาแวะที่นี่เพื่อมาหาอะไรหม่ำก่อนเข้าบ้านเพื่อน
เลยหาที่ฝากกระเป๋าในล็อคเกอร์ก่อน ซึ่งมีอยู่หลายจุดเลยในตัวสถานีชินจูกุ
ค่าฝากช่องใหญ่ใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่สุดของเค้าได้
ราคา 500 yen (160 บาท) ฝากได้ตั้งแต่ 7.00-22.30 น.
วิธีการแสนง่ายเปิดล็อคเกอร์ยัดกระเป๋าเข้าไปหยอดเหรียญจนครบจำนวน
ไขกุญแจเพื่อล็อคตู้แล้วดึงกุญแจออก ขาเอากระเป๋าออกก็แค่ไขกุญแจเป็นอันเรียบร้อย
ถ้าฝากกระเป๋าไว้เกินเวลาที่กำหนดตอนไขออกเค้าจะแจ้งจำนวนเงินที่ต้องหยอดเพิ่มจ้า



เดินออกจากสถานีมึนๆเจอร้านนี้น่าหม่ำดีอยู่ไม่ไกลจากสถานีก่อนถึงร้าน Forever 21



พึ่งนึกได้ว่ามาญี่ปุ่นเป็นสิบวันแล้วยังไม่ได้ลองราเม็งเลยได้โอกาสละ อิอิ
คือว่าเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนเลยต้องใช้วิชาดัชนีอรหันต์จิ้มๆภาพในการสั่ง
ภูมิใจอ้ะราเม็งมื้อแรกอร่อยจังเล้ยยยย เส้นหนึบหนับน้ำซุปเข้มข้นกลมกล่อม
ชอบไข่ต้มซีอิ๊วร้านนี้มากเป็นยางมะตูมด้วย ชามซ้ายบน 730 yen (230 บาท) แถมไข่ให้อีกฟอง
ส่วนชามล่างเป็นแบบแห้งมีน้ำซุปข้นๆแยกมาต่างหากเด็ดไม่แพ้กัน 780 yen (245 บาท)ฮับ



ของหวานล้างปากปิดท้ายบล็อคนี้ด้วยสตรอเบอเร่อ (สตรอเบอร์รี่ลูกเบ้อเร่อ555)
ซื้อตรงร้านขายผลไม้ในย่านชินจูกุนั่นแลแต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตรงไหน แหะๆ
สามลูกเสียบไม้ไม้ละ 200 yen (64 บาท) แอบแพงนะตกลูกละยี่สิบกว่าบาท
แต่หวาน กรอบ ฉ่ำ และกลิ่นหอมมากกกก สรุปว่าอร่อยแพงแต่ฟินฮ้าฟฟฟ Smiley

-----------------------------------------------------------------------------

แล้วอย่าลืมติดตามภาคสุดท้ายใน [PART 7] นะคร้าบ
ใครยังไม่ได้อ่านภาค 1-5 เข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างจ้า

Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน
ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara


Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง
ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง

Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku
& วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า

Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน,
หม่ำโอโคโนมิยากิร้านดัง Mizuno
&
วันที่8 ปราสาทโอซาก้า, ศาลเจ้า Temmagu
และ Osaka Aquarium Kaiyukan


Review : Japan Trip [Part 5] วันที่9 ไปเกียวโตพักเรียวกัง , วัดทอง ,
ซูชิเวียนจานละ 137 yen & วันที่10 เช่ากิโมโนใส่ตะลุยศาลเจ้าเฮอัน ,
วัดเงิน , ย่านกิอง , หม่ำทงคตสึเจ้าดัง Katsukara


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ Smiley





 

Create Date : 08 มกราคม 2557    
Last Update : 13 มกราคม 2557 22:55:05 น.
Counter : 14037 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

SaRaY
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [?]




..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน
http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้
ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!!

---------------------------------------------------------

hits
New Comments
Friends' blogs
[Add SaRaY's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.