Review : Japan Trip [Part 7]วันที่13 DisneySea & วันที่14 โยโกฮาม่า & วันที่15-16 ชอปปิ้งก่อนกลับไทย
My Makeup TodaY วันที่สิบสามในญี่ปุ่น [6/11/2013]จัดให้เป็นมินิฮาวทูขั้นตอนตามนี้ฮับ 1. ทาสีชมพูอ่อนทั่วเปลือกตา 2. คัดเบ้าตาด้วยสีชมพูอมแดง 3. เขียนขอบตาด้วยไลน์เนอร์แบบปากกา Kate สีดำ เน้นเส้นหนาๆหางตาตวัดเชิดขึ้น 4. เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอ Cosluxe สีเงิน 5. ทาอายแชโดวสีดำที่หางตาล่างเบลน ให้เข้ากับไลน์เนอร์สีเงินด้วยอายแชโดวสีชมพูอมแดง 6. ทาสีขาวมุกที่หัวตาล่าง 7. ทาสีขาวมุกตรงกางเปลือกตาบนเพื่อให้ตาดูกลมโต 8. ดัดขนตาติดขนตาปลอมบนแล้วปัดมาสคาร่าทับ จานั้นปัดขนตาล่าง 9. ติดขนตาปลอมด้านล่างเน้นฟูๆ ***ขนตาบนของไทยยี่ห้อ BohkToh เบอร์ P-047 ขนตาล่าง Dolly Wink #8 ***อายแชโดวพาเลท Shu Uemura 6Princess Collection #Pink ***คอนแทคเลนส์ DreamColor1 Sky #Violet ***รองพื้น Shu Uemura Lightbulb #764 แป้งฝุ่น Candy Doll ***แก้ม Canmake ***ปาก Etude Rosy Tint Lip #1 + Clinique #RunwayCoral + Candy Doll #ApricotBeige My Outfit TodaY วันนี้มาสายแบ๊วเต็มพลังเพราะจะไปปล่อยแก่ที่โตเกียวดิสนีย์ซี ฮี่ๆ เอี๊ยมซื้อที่ตลาดนัด Promp รัชดา ราคาประมาณ 500 บาท เสื้อมินนี่ตัวในซื้อที่สยามหน้าดิจิตอลเกทเวย์ 350 บาท เสื้อกันหนาวสีเหลือง Uniqlo จำว่าราคาไม่ถึงพันซื้อตอนเซลล์ฮะอุ่นดี ส่วนรองเท้าคู่เดิมใส่แทบทั้งทริปของ Maxstar สั่งจากเว็ปของเกาหลี//www.maxstarstore.com/ ค่ารองเท้า+ค่าส่ง+ภาษีตกคู่ละสองพันต้นๆ กระเป๋า Charles & Keith สอยมาจากสิงคโปร์ใบละประมาณสองพันกว่าบาท ทรงผมแบ๊วๆม้วนด้วยเลอซาช่าสไปรัลแล้วมัดแกละสองข้างฮับ ----------------------------------------------------------------------- การเดินทางไป Tokyo DisneySea แสนง่าย นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Mahaima แล้วก็ต่อ Disney Line ไปยัง Disneysea ได้เลยฮับ รถไฟของดิสนีย์น่าร๊ากห่วงที่จับเป็นหัวมิกกี้ดูสมวัยเรายิ่งนักกร๊ากกก มาถึงแว๊วววไปซื้อตั๋วกันก่อน เค้ามาวันธรรมดาเลยชิลๆมาซื้อตั๋วที่นี่ วันที่เค้าแนะนำถ้าอยากมาแล้วคนไม่เยอะมาก ต่อแถวเครื่องเล่นไม่นานคือ"วันพุธ" หมูคอนเฟิร์ม!ราคาค่าตั๋วแบบรวมเครื่องเล่น 1-Day Passport ผู้ใหญ่ 6,200 yen (1,980 บาท) <<<เค้าซื้อแบบนี้ เด็ก 12-17 ปี 5,300 yen (1,690 บาท) เด็กเล็ก 4-11 ปี 4,100 yen (1,310บาท) 2-Day Passport : เข้าได้ทั้ง DisneySea และ DisneyLand แต่ต้องเข้าที่ละวันโดยต้องเป็นสองวันติดกันเท่านั้น ผู้ใหญ่ 10,700 yen (3,415 บาท) เด็ก 12-17 ปี 9,400 yen (3,000 บาท) เด็กเล็ก 4-11 ปี 7,400 yen (2,362บาท) โตเกียวดิสนีย์ซีสร้างเมื่อปี 2544 เป็นสวนสนุกแห่งที่ 9 จากทั้งหมด 11 ที่เป็นของดิสนีย์ ซึ่งเป็นที่เดียวในโลกที่สร้างติดทะเลและใช้งบประมาณมหาศาล เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดจากการถมที่ในทะเล บรรยากาศด้านในเลยจำลองพื้นที่เกี่ยวกับน้ำ เช่น เวนีซ เมืองบาดาล เรือไททานิก ถ้ำใต้น้ำในปล่องภูเขาไฟ ฯลฯ ซึ่งสวยอลังอ้ะตื่นตาตื่นใจ เนื่องจากสวนสนุกตั้งริมทะเลลมจะแรงมากอากาศจะเย็นกว่าในเมือง แนะนำว่าควรเตรียมเสื้อกันหนาวมาหนาๆหน่อยเน่อ ลมพัดหัวกระเจิงทั้งวัน สวนสนุกนี้ผู้ใหญ่มาก็ลั้นลาได้ไม่ใช่แนวการ์ตูนจ๋า แถมถือเบียร์เดินกินชมวิวชิลๆได้ด้วย เวลาเปิดปิดจะแล้วแต่วันส่วนใหญ่จะปิดสี่ทุ่ม แนะนำให้เช็คจากในเว็ปไปฮะ >>>CLICK<<< โซนด้านหน้าสุดตรงทางเข้าคือโซน "Mediterranean Habour" จำลองคลองเวนีซจากอิตาลี มีให้ล่องเรือกอนโดล่าชิลๆถัดไปคือโซน "American Waterfront" อาคารเครื่องเล่นจะจำลองลักษณะเมืองของอเมริกาสมัยก่อน เครื่องเล่นแรกวิ่งไปต่อแถวอย่างไวตั้งใจว่าต้องไม่พลาดก็คือ "Toy Story Mania!" เป็นเครื่องเล่นที่ใหม่สุดถึงแม้จะไม่ใหม่มากแล้วก็ตามเปิดตัวไปเมื่อกรกฏาคม 2012 แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์มาว่าต้องต่อแถวนานมากเลยเลือกที่จะไปเล่นเป็นสิ่งแรก ซึ่งโชคดีเค้าไปวันพุธที่คนน้อยต่อแถวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้เล่นไม่นานอย่างที่คิด ที่สำคัญคือสนุกสมการรอคอย เป็นรถรางนั่งไปเป็นคู่ๆต้องใส่แว่นตามสามมิติ รถค่อยๆวิ่งไปแล้วหยุดให้เล่นเกมส์เป็นแบบ 3D Carnival Festival เหมือนงานวัด มียิงปืน ปาเป้า โยนห่วงแบบสามมิติ มันส์ตรงที่มีแต้มโชว์ให้ดูด้วยแข่งกันกับคู่ของเรา แบบนี้มันยอมมิได้นะฮร้าสู้ขาดใจ 555 ยิงจนเครื่องแทบพัง พอถึงทางออกเค้าก็จะสรุปผลคะแนนของทุกคันให้ชมกัน ซึ่งเค้าแพ้หลุดลุ่ย แต่ตะลึงคนที่ได้คะแนนสูงสุดในรอบที่เค้าเล่น ได้คะแนนเกือบห้าแสนแน่ะ มีแอบเมาท์กับคุณแฟน ว่าเค้าต้องต่อแถวเล่นมาหลายรอบแล้วแน่เลย555 สรุปว่าเป็นเครื่องเล่นที่ได้ปล่อยแก่สนุกกับภาพสามมิติง่ายๆแต่ดูน่ารัก มันส์ตรงมีการแข่งขันกันเอง มาที่นี่แนะนำให้ลองเล่นจริงๆฮับหมูติดใจ อยากจะต่อแถวอีกรอบแต่ออกไปแล้วท้อคนเยอะกว่าตอนแรกมากไว้คราวหน้าละกันเนอะ ตัวเด็ดอีกหนึ่งอย่างที่ทุกคน Reccomend! มาว่าห้ามพลาด เรียกกันคุ้นเคยในชื่อ "ลิฟต์หล่น" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า " Tower of Torror" มีแต่คนบอกว่าตัวนี้หวาดเสียวมากสงสัยทำใจไว้เยอะไปไม่หวาดเสียวเลย แต่ประทับใจตรงที่วิวสวย เครื่องเล่นเป็นลิฟต์เก่าๆเลื่อนขึ้นแล้วตกลงแบบวืดๆ จุดพีคขึ้นลิฟต์ขึ้นไปค้างที่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นช่องที่กระจกแตกมองเห็นวิวกว้างๆของดิสนีย์ซี วิวจากจุดนั้นสวยอลังการมากแต่ต้องมองแบบห้ามกระพริบตาเพราะว่าแว่บเดียวมันก็จะตกลง เสียดายง่าเห็นแว่บเดียวจริงๆ ต่อแถวอยู่ชั่วโมงกว่าได้เห็นวิวเพียงเสี้ยววินาทีแต่ก็สวยคุ้มค่าฮับ ตอนเค้าเล่นสนุกตรงที่คนที่ขึ้นลิฟต์พร้อมกันเป็นกลุ่มหนุ่มๆวัยสะรุ่นใส่ชุดนักเรียน ส่งเสียงบิวท์กันเองตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไปในลิฟต์ คือขำและฮามากสนุกขึ้นอีกเป็นกอง 555 ต้องยกให้คนญี่ปุ่นเลยการแสดงออกทางอารมณ์เค้าชัดเจนสุดๆไม่แอ๊บไม่กั๊ก อิอิ ใกล้พระอาทิตย์ตกไปล่องเรือกันกับ "DisneySea Transit Steamer Line" ใช้เวลาในการล่องไปรอบๆสวนสนุก 13 นาที เค้าชอบนะทำให้เรารู้ว่ารอบๆมีอะไรบ้าง จะได้เห็นว่าจุดไหนที่น่าสนใจและจะได้วางแผนได้ว่าเราจะไปตรงไหนต่อดี ล่องเรือคนน้อยมากไม่ต้องต่อแถวเดินเข้าไปมึนๆได้นั่งเรือเลยเย้ๆ วิวยามค่ำคืนเห็นเรือไททานิกจอดอยู่คู่กับตึกลิฟต์หล่นสวยมั่กๆ ร้านของที่ระลึกของที่ดิสนีย์ซีจะมีน้องหมี Duffy กับสาวน้อย Shellie May ซึ่งที่ดิสนีย์แลนด์ไม่มีนะคร้าบ สาวๆญี่ปุ่นฮิตมากหิ้วน้องหมีดัฟฟี่กันแทบทุกคน หน้าตาแบ๊วๆใสๆน่ารักแต่ราคาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่มีเสื้อผ้าให้เลือกใส่ตามชอบราคาแรงพอกัน แต่ไหนๆมาแล้วเลยต้องซื้อเป็นที่ระลึกสักตัว เราเบี้ยน้อยหอยน้อย จัดดัฟฟี่กะลาสีตัวเล็กมาตัวเดียวแค่ตัวน้อยนี้ก็หลายร้อยบาทแล้วจ้า โซนถัดไป "Port Discovery" ตรงทางเข้าโซนนี้มีเครื่องเล่น "Aquatopia" หน้าตาเป็นเรือบั๊มเค้าว่าคล้ายๆรถบั๊มบ้านเราเลย ท้องฟ้าที่ดิสนีย์ซีหลังพระอาทิตย์ตกสวยมาก สีฟ้าอมน้ำเงินเขียวๆถ่ายมายังกะฉากไม่เหมือนฟ้าจริงเลยเนอะ เครื่องเล่นอีกหนึ่งอย่างในโซนนี้คือ "StromRider" ตั้งอยู่ในอาคาร " The Center for Weather Control" เป็นเครื่องเล่นที่จำลองให้เราเข้าไปนั่งเครื่องบินที่ขับทะลุเข้าไปในพายุ โดยมีจอภาพใหญ่ๆฉายภาพแบบ Simulator ตัวเครื่องบินก็จะโยกสั่นด้วยไฮโดรลิกไปตามเนื้อเรื่อง เวลาตกลงไปในน้ำหรือฝนตกกระจกเครื่องบินแตกเราก็เปียกจริงด้วย เปียกมากกว่าที่คิดในเรื่องฝนตกพักใหญ่ออกจากเครื่องเล่นมาเจอลมข้างนอกหนาวเลยจ้า เครื่องเล่นนี้ไม่น่ากลัวแต่อาจจะเวียนหัวได้เพราะโยกไปโยกมาฮับ ต่อมาในโซน "Lost River Delta" กับเครื่องเล่น "Indiana Jones Adventure: Temple of the Crystal Skull" อันนี้หนุกดีนะเค้าชอบมากต่อแถวแป๊บเดียวสิบห้านาทีได้เล่น อิอิ เป็นแบบรถรางกึ่งรถไฟเหาะแบบอินดอร์เหมือนเราได้ผจญภัยไปกับอินเดียน่าโจนส์ในฉากต่างๆ เค้าทำฉากและเอ็ฟเฟ็คได้เริ่ดมาก เล่นเอาตื่นเต้นมีฉากให้ลุ้นเรื่อยๆ หมูแนะนำว่าควรลอง!!! ต่อด้วย "Raging Spirits" รถไฟเหาะตีลังกา 360 องศา แต่ด้วยความที่เป็นรางสั้นๆตีลังการอบเดียววงแคบๆพอกรุบกริบ แอบงงว่าอ้าวนี่ตีลังกาแล้วเหรอยังไม่รู้สึกตัวเลย 555 สำหรับเค้าอันนี้ชิลๆไม่มีอะไรน่ากลัว แต่เล่นตอนกลางคืนรางเปิดไฟสวยงามนั่งชมวิวไปเพลินดีฮะ ถัดมาคืนโซน "Arabian Coast" เป็นโซนเมืองแขกๆอาหรับๆ ไปเล่น "Sindbad's Storybook Voyage" มา โซนนี้เป็นเครื่องเล่นจะสำหรับเด็กน้อยแต่เค้าก็สนุกนะ555 ล่องเรือชมเรื่องราวการผจญภัยของซินแบด เหมือนกับ Small World ที่ฮ่องกง แต่เค้าว่าฉากอันนี้สวยอลังการกว่า เรียงร้อยเรื่องราวได้สนุกกว่านั่งชมแล้วเพลินดี เค้าชอบฉากในโซน "Arabian Coast" สวยอลังการดี ถัดไปคือโซน "Mermaid Lagoon" เห็นจากตอนล่องเรือฉากสวยอลังจริงๆ แต่เครื่องเล่นด้านในเหมาะสำหรับเด็กน้อย เช่น ถ้วยหมุนๆ โซนนี้เลยแวะมาถ่ายรูปอย่างเดียวฮะ โซนสุดท้าย "Mysterious Island" โซนนี้แลดูอลังเหมือนฉากในหนังเลยเริ่ดๆ เดินมาถึงโซนนี้เค้าจุดพลุเกือบจะจบพอดีเลยสรุปคือมาทันดูแค่พลุสามลูกสุดท้าย ไม่เป็นไรปลอบใจตัวเองไปว่าเก็บไว้ดูตอนมาเที่ยวรอบหน้าละกัน 555 ไปเล่นเครื่องเล่นสุดท้ายที่เค้าว่ามาถึงนี่แล้วต้องเล่นกันดีกว่า เป็นไฮไลท์ปิดท้ายได้อย่างสวยงาม คือ "Journey to the Center of the Earth" เป็นรถไฟเหาะที่เริ่มจากการขุดลึกลงไปใต้โลกเป็นฉากจำลองเมืองใต้พิภพ สัตว์ประหลาดต่างๆตรึมเลย เด็ดตรงท้ายๆมีมังกรพ่นไฟแล้วรถก็แล่นขึ้นมา ผ่านจุดบนสุดของภูเขาไฟซึ่งเป็นปล่องเปิดจะมองเห็นวิวดิสนีย์ซีแบบกว้างๆได้แวบนึง ถ้าใครไม่กลัวความสูงแนะนำว่าลืมตาตลอดไม่งั้นมองตรงนี้ไม่ทันกระพริบตาเดียวหายไปแร้น สรุปเป็นเครื่องเล่นสุดท้ายที่เค้าได้เล่น ปิดท้ายได้อย่างน่าประทับใจฮับ ในโซนเดียวกันเค้าไม่ได้เล่นเครื่องเล่นไปอย่างนึงคือ "20,000 Leagues Under the Sea" แต่หลายรีวิวบอกว่าอันนี้เฉยๆไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ถือว่าเก็บเอาไว้ตอนมารอบหน้ามาเล่นพร้อมดูพลุละกัน อิอิ ก่อนออกไปแวะเวิ่นเวออยู่ในร้านขายของที่ระลึกพักนึง มุ้งหมีน่ารักอ้ะแต่สรุปตัดใจได้ด้วยราคาจิแพงไปหนายยยย หลุดรอดออกมาจากร้านของฝากได้แบบไม่เสียกะตังดีใจจุงเบย เป็นการมาดิสนีย์ซีที่ฟินกะเครื่องเล่นได้เล่นแทบทุกอย่าง บรรยกาศด้านในสวยเดินถ่ายรูปเล่นก็เพลินละ มีโอกาสมาอีกแน่นอนคร้าบ ออกจากดิสนีย์ซีก็ดึกละต้องรีบบึ่งรถไฟกลับบ้านเพื่อน เพราะว่านอกเมืองมีรถไฟถึงแค่ห้าทุ่มตกรถนี่ซวยเลยต้องรอถึงเช้า มื้อเย็นเลยฝากท้องไว้ที่ร้าน Cafe Gusto แถวบ้านเพื่อนร้านที่กินตอนมาถึงญี่ปุ่นวันแรก เค้าหม่ำสปาเก็ตตี้กุ้งให้กุ้งอย่างเยอะเลย 7-8 ตัวแน่ จานละ 670 yen (215 บาท) แหล่มมั่ก ส่วนคุณแฟนหม่ำสเต็กไก่เทอริยากิไก่สองชิ้นใหญ่ๆเนื้อชุ่มๆราคาพอๆกันเริ่ดค่า ร้านนี้เป็นร้านเฟรนด์ชายที่เห็นทั่วๆญี่ปุ่น หมูแนะนำฮะรสชาติดีราคาไม่แรง สวัสดีเช้าวันที่สิบสี่ในญี่ปุ่นฮับ [7/11/2013] มื้อเช้าวันนี้คุณแม่เพื่อนชาวญี่ปุ่นจัดให้เฮลท์ตี้มากกกก โยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีน้ำตาลใส่พลับสุก , น้ำเต้าหู้ใส่โยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีน้ำตาล , โยเกิร์ตรสเบอร์รี่พรุนเสาวรส , ลูกพลับสด , ลูก feijoa (ซ้ายบน) คุณแม่เก็บมาให้จากในสวนครัวที่บ้าน เพิ่งเคยลองกลิ่นหอมๆรสหวานเบาๆมีเม็ดกรุบๆไฟเบอร์และวิตามินซีสูง จริงๆมีแอปเปิ้ลเหลืองด้วย เช้านี้ลำไส้ปรอดโปร่งโล่งสบายเลยจร้า 555 วันนี้คุณแม่เพื่อนพาเที่ยวเย้ๆ มัมพาขับรถไปถึงโยโกฮาม่า พาเด็กน้อยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติเสมือนจริง "Orbi Yokohama" ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือกันระหว่างช่องสารคดี BBC Earth ประเทศอังกฤษ และ บริษัท SEGA ผู้ผลิตเกมรายใหญ่ในญี่ปุ่น โดยใช้เทคโนโลยีทางภาพและเสียง ที่ทันสมัยที่สุดของ SEGA บวกกับภาพสุดยอดสารคดีที่ถ่ายทำจากทั่วโลกของเครือ BBC ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ราคา 2,600 yen (830 บาท) นักเรียน 1,300 yen (415 บาท) ซึ่งบัตรเข้าชมจะหน้าตาเหมือนนาฬิกาข้อมือเอาไว้แสกนเข้าในจุดทางเข้า เปิด 10.00-23.00 น. ถ้าไม่ได้ขับรถมาเองสามารถนั่งรถไฟมาได้ รายละเอียดเข้าไปชมในเว็ปของเค้าได้เลยตามนี้จ้า //orbiearth.jp/en/tickets/#hours เข้าไปจุดแรกเราจะเจอจอฉายภาพขนาดใหญ่ ให้เราเข้าไปยืนในวงกลมแล้วจะโบกมือสัมผัสกับตัวสัตว์ที่วิ่งไปวิ่งมาในจอได้ โดยสัตว์ตัวที่เราเลือกจะมีข้อมูลรายละเอียดทั่วไปขึ้นมาให้เราชม โบกกันจนเมื่อยแขน คาดว่าต้องการให้เราได้ออกกำลังกายไปด้วยเป็นแน่แท้ 555 ด้านในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็น Exhibition Zone ต่างๆ ให้เราเข้าไปสัมผัสกับภาพและเสียงจากธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ เช่น ศึกษาความไวในการขยับตัวของสัตว์เทียบกับการขยับตัวของคน มีห้องถ่าย Green Screen แล้วเอาตัวเราไปซ้อนในฉากให้ด้วย หนุกๆขำๆ เค้าชอบโซนนี้เป็นแท่นฉายภาพรูปวงรีซึ่งจะเปลี่ยนตัวสัตว์ไปเรื่อยๆ ตัวสัตว์ที่ฉายจะขยับกระดุ๊กกระดิ๊กได้ด้วยน่าร๊าก โดยฉากหลังก็จะเปลี่ยนไปตามแหล่งที่อยู่ของสัตว์นั้นๆ ห้องจำลองสภาพอากาศ ณ อุณหภูมิ -89.2 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ -32 เซลเซียส ห้องนี้มัมติดใจเข้าไปสองรอบ มัมน่าร๊ากเล่นสนุกเหมือนเด็กเลย เค้าจะให้เราเข้าไปที่ห้องแรกที่อุณหภูมิศูนย์องศาก่อนแล้วก่อนเข้าไปเจอกับ -32 แต่เจอ -32 แค่ 10 วินาทีเท่านั้น เป็นลมอัดเข้าตัวเราแรงๆ ซึ่งเอาจริงๆทุกคนลงความเห็นว่าไม่หนาวง่ะแค่รู้สึกว่าลมแรงๆ เลยชวนเข้าไปลองกันอีกรอบซึ่งก็เหมือนเดิมไม่หนาวแค่เย็นลมไปยืนท้าลมให้หัวฟูเล่น555 ถ้าเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆเค้าว่าที่นี่เฉยๆนะไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นมากนัก เดินแป๊บเดียวก็ทั่วแล้วเทียบกับราคาตั๋วที่ค่อนข้างแพงก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ฮะ แต่มาแล้วเราต้องอย่าคิดมากเล่นไปให้สุดทำตัวลั้นลาไว้เที่ยวไหนก็สนุกเนอะ ก่อนออกจากโยโกฮาม่ามัมพาไปแวะหม่ำขนมที่ Red Brick Warehouse เป็นอาคารที่ปรับปรุงมาจากโกดังเก่า สร้างด้วยอิฐแดงดูสวยคลาสสิคสุดๆ ถ่ายมาเหมือนอยู่ยุโรปมากกว่าอยู่ญี่ปุ่นเนอะ ร้านที่มัมพามาชื่อร้าน "Bills" เป็นร้านแพนเค้กชื่อดังจากออสเตรเลีย ซึ่งมีสาขาแรกอยู่ที่ซิดนีย์ ช่างน่าอับอายยิ่งนักเค้าเคยไปอยู่ซิดนีย์มาเกือบปี ไม่รู้จักและไม่เคยกิน เอาฟระได้มาลองครั้งแรกที่ญี่ปุ่นนี่หล่ะ555 ร้านแอบโหดนิดนึงคือมาสี่คนต้องออเดอร์อาหารหรือเครื่องดื่มสี่อย่างตามจำนวนคน เลยสั่งเป็น Orecchiette Pasta พาสต้าหนึบๆกลมๆรสชาติกลมกล่อมดี และต้องไม่พลาดที่จะลองแพนเค้กมัมสั่ง Berry Berry Pancake มาให้ เป็นแพนเค้กเพิ่งทอดใหม่ๆเสิร์ฟมากับเบอร์รี่หลากชนิดราดด้วย Maple Serup สำหรับเค้าก็แยกไม่ค่อยออกว่าแพนเค้กมันอร่อยต่างกันยังไงแต่เบอร์รี่ที่ใส่มาอาหย่อยมั่กๆ อาหารไม่ครบสี่เค้าเลยสั่งโก้โก้ คุณแฟนสั่งลาเต้ ซดเครื่องดื่มอุ่นๆตอนอากาศเย็นๆเข้ากั๊นเข้ากัน มื้อเย็นวันนี้อร่อยเด็ดที่สุดตั้งแต่มาญี่ปุ่น เพราะมัมจัดสุกี้ญี่ปุ่นแบบโฮมเมดให้หม่ำเริ่ดที่ซู้ดดดด ช่วยกันเตรียมเครื่องล้างผักหั่นเนื้อสนุกมาก เนื้อเป็นเนื้ออย่างดีที่มัมหมักกับข้าวและยีสต์ไว้เองด้วยเลิฟมัมๆๆ ได้เรียนรู้วิธีการกินแบบญี่ปุ่นแท้ๆแบบที่ทำทานกันในบ้าน สุกี้สำหรับญี่ปุ่นคือเนื้อวัวเท่านั้นไม่มีการใส่เนื้อหมู เริ่มด้วยการใส่น้ำมันงาเล็กน้อยแล้วผัดต้นหอมญี่ปุ่นให้หอมๆ ใส่มิริน ซุป และซอสโชยุลงไปแค่พอขลุกขลิก ตามด้วยเต้าหู้ ผัก เส้นบุกตามชอบ ส่วนเนื้อค่อยเอาลงไปลวกเวลาจะทาน กรีดร้องงงงเขียนบล็อคไปหิวไปอีกแว๊ววว นึกถึงกลิ่นเนื้อที่โชยขึ้นมาอร๊างง เวลาทานลวกเนื้อแค่พอสุกแล้วจิ้มกับไข่ดิบ เนื้อนุ่มสุดยอดละลายในปากอยากกินอีกจังเล้ยยย หม่ำสุกี้แกล้มกับอุเมะชูหรือเหล้าบ๊วยที่หมักกันเองในบ้านมันฟินที่สุด! เค้าว่าอร่อยคนละแบบกับกินที่ร้าน เหมือนเราทำกับข้าวกินกันในครอบครัวอ่าเนอะแฮปปี้ ปิดท้ายด้วยของหวานลูกพลับฉ่ำๆ ลูกฟิกซ์สด <<<อร่อยมากของโปรดเค้าหากินย๊ากยาก และคัสตาร์ทยี่ห้อดังที่โมโมโกะเพื่อนเค้าซื้อมาให้ลองจำยี่ห้อไม่ได้แต่จำรสชาติได้เด็ดม๊วก กินอิ่มกันแล้วโมโมโกะชวนลงไปเล่นดอกไม้ไฟกันที่ริมแม่น้ำหลังบ้าน เก๋นะฮร้าปกติดอกไม้ไฟเค้าเล่นกันหน้าร้อน ลองมาเล่นหน้าหนาวกันดู หนุกไปอีกแบบเล่นไปตัวสั่นงั่กๆไป คนผ่านไปผ่านมามองกันงงๆเล่นอะไรตอนนี้ 555 แป๊บเดียววันที่สิบห้าในญี่ปุ่นแล้วไวเว่อร์ [8/11/2013] พรุ่งนี้ต้องกลับไทยวันนี้เลยจัดเป็นวันฟรีเดย์.....ชอปปิ้งงงงง!!! ฮี่ๆ ออกมาลั้นลาย่านวัยสะรุ่นที่ฮาราจูกุเป็นย่านที่เสื้อผ้าราคาถูกหน่อยพอจิชอปไหว แนะนำให้ลองเดินในซอย Takeshita ดูเสื้อผ้าเยอะดีไซน์ญี่ปุ่น แต่ผลิตจีนราคาเลยไม่แรงฮะ เลือกดีๆก็ได้เสื้อผ้าคุณภาพดีได้อยู่น้า ชอปจนหมดพลังแนะนำให้เดินมาเติมพลังที่ร้านนี้อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟฮาราจูกุนั่นแล เปิดหาใน Google Map ได้เลย ชื่อร้าน Kyusyu Jungara จุดเด่นคือมีป้ายภาษาไทย!!! เมนูเริ่ดมากภาษาไทยอธิบายชัดเจน นอกจากเมนูจะไทยแล้วพนักงานยังพูดไทยได้นิดหน่อยด้วย แนะนำให้ดิบดี"เมนูนี้อร่อยมากๆครับ" แหม่เว้ยแนะนำขนาดนี้ไม่ลองได้ไง 555 เค้าสั่งเมนูเด็ดมาลองเลยเมนู Kyusyu Jangara ตามชื่อร้าน เป็นราเมนสไตล์คิวชูซุปกลมกล่อมมาก เส้นราเมนจะเล็กๆกลมๆ สั่งแบบเซ็ตคู่กะข้าวหน้าหมูตุ๋นและสลัด 1,250 yen (400บาท) แบ่งกันหม่ำสองคนอิ่มกำลังดี จบไปอีกหนึ่งมื้อ ได้ลองมากาฮอง Laduree ไปแล้ววันนี้เลยมาตามล่าร้านคู่แข่ง Pierre Herme ที่เค้าว่าเด็ดไม่แพ้กัน เค้ามาซื้อที่ห้าง Isetan Shinjuku ราคาแรงกว่าอีกนะนี่ชิ้นละ 294yen (94 บาท)ของ Laduree ชิ้นละ 270 yen เนื้ออันนี้จะหนักและหนึบกว่าแต่หวานน้อยกว่า Laduree สรุปคือเค้าชอบแป้งด้านนอกของ Laduree แต่ชอบความหนึบ และความหวานที่น้อยกว่าของ Pierre อร่อยไปคนละแบบอ่านะ แต่ที่เหมือนกันคือราคาจะแพงไปหน๊ายยยลองให้รู้นานๆกินทีละกัน ของ Pierre เค้าชอบรสวานิลลากับจัสมินกลิ่นหอมติดจมูกมากกกกกก สตรอเบอร์รี่ซื้อที่ห้างเดียวกันแดงฉ่ำสะใจแต่ไม่หวานเท่าที่กินเมื่อวันก่อนง่ะ ใครชอบคอนแทคเลนส์ของญี่ปุ่นเค้าเดินมั่วๆไปเจอมาอยู่ในย่านชินจูกุนั่นแล หน้าร้านวงไว้ให้ตามในภาพ มีคอนแทคเลนส์ให้เลือกจนตาลาย แต่การจะซื้อคอนแทคเลนส์ที่นู่นจะต้องมีการเซ็นต์เอกสารซึ่งมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ถ้าจะไปซื้อมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นไปด้วยก็ดีฮะ สรุปคือร้านนี้เค้าเข้าไปแล้วซื้อบ่ได้ พนักงานเอาเอกสารมาให้กรอกเค้าอ่านไม่ออกร้านเลยไม่ขายให้ ฮือ แต่เดินข้ามมาอีกฝั่งร้าน Matsumoto ยอมขายให้เอกสารที่ให้เซ็นต์ แค่กรอกชื่อกะที่อยู่ในญี่ปุ่นลงไปแค่นั้นเองก็ซื้อได้ละ ปั๊ดโถ๊วววว! รอบหน้าไม่พลาดจิเข้าไปตะลุยร้านนั้นใหม่ คอนแทคเลนส์สวยละลานตามาก ขอบอกว่าคอนแทคเลนส์ของญี่ปุ่นใส่แล้วสวยเป็นธรรมชาติมากกกก ติดแค่ราคาแรว๊งงง มื้อเย็นวันนี้จัดปิ้งย่างๆมาจนครึ่งเดือนละยังไม่ได้ลองปิ้งย่างเลย ไม่รู้จะเลือกร้านไหนเลยลอง Gyukaku สาขา Shinjuku ตั้งอยู่บนตึก Tops House ร้านนี้มีในไทยด้วยแต่เค้ายังไม่เคยลองกิน มาลองของออริจินัลก่อนเลยละกัน อิอิ เค้าหม่ำแบบบุฟเฟ่ต์ 90 นาที ราคารวม Vat หัวละ 3,654 yen (1,167 บาท) ปิ้งย่างที่นี่เนื้อกะหมูใช้ได้เลยมีให้เลือกหลากหลายคุณภาพดี แต่ที่เด็ดคือซีฟู้ด หอยเชลล์เอย กุ้งเอย ตัวใหญ่สะใจ น้ำจิ้มเค้าก็รสชาติดีหม่ำกะผักสดแหล่มเลย แต่อันนี้ความเห็นส่วนตัวน้าเค้าชอบแบบหมูย่างเกาหลีมากกว่า เคยไปกินที่เกาหลีเหมือนเครื่องเคียงมันจะโดนใจกว่าอ่าฮับแล้วแต่คนชอบเนอะ ปิดท้ายด้วยของหวานที่อร่อยโฮกกกประทับใจกว่าปิ้งย่างอีก คือไอติมชาเขียวและไอติมวานิลลาราดคาราเมล เนื้อไอติมหนึบๆกลิ่นหอมรสหวานกำลังดีโดนใจเจ้มากๆ แต่โกรธนะแม้จะเป็นบุฟเฟ่ต์แต่ไอติมเสิร์ฟให้แค่คนละก้อน อะไรแว๊! อีกหนึ่งแหล่งชอปสุดโปรดที่เค้าไม่พลาดก็คือ 7-11 และตามซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ แวะร้านนู้นนิดร้านนี้หน่อยตุนขนมเตรียมขนกลับไทย เป็นการชอปปิ้งที่แฮปปี้มาก แต่อย่าดูถูกไปซื้ออย่างละนิดละหน่อยตลอดทริปนี่หมดเงินไปกะขนมเยอะสุดเลยหล่ะ แหะๆ และแล้วมันก็มาถึงวันสุดท้ายในญี่ปุ่น [9/11/2013] กระซิกๆ สิบหกวันเวลาช่างผ่านไปไวยังกะโกหก มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่นโมโมโกะพาไปหม่ำร้านโปรดเป็นร้านราเมนอยู่แถวๆบ้านย่าน Chufu เป็นราเม็งแบบแยกน้ำซุป คนละแบบกับราเม็งเย็นเน่อ แอบตื่นเต้นร้านแถวบ้านอร่อยเว่อร์ทำไมโมโมโกะไม่บอกเค้าแต่แรก 555 เค้าชอบหน่อไม้ที่ใส่มาด้วยมากๆซุปแบบออริจินอลร้านนี้สุดยอดกลมกล่อมสุดๆ คุณแฟนเค้าลองรสเผ็ดสุด ก็เผ็ดเลยนะสำหรับคนไทยแต่เป็นความเผ็ดระดับที่ทนได้ แต่มั่นใจกว่าคนญี่ปุ่นต้องบ่นว่าเผ็ดมากแน่ๆ ไม่รู้เค้าเอาไว้ขายใครรสแซ่บดี อิอิ จากบ้าน Chofu กลับมาสนามบินเค้าอาศัยรสบัสเหมือนตอนขาค่ารถบัสคนละ 3,200 เยน (ประมาณ 1,020 บาท) แรงหน่อยแต่สะดวกอ่านะ เค้าบิน United Airline สายการบินนี้ฟิกซ์เรื่องน้ำหนักกระเป๋ามากนะ โหลดได้แค่คนละหนึ่งใบและน้ำหนักต้องไม่เกิน 23 กิโล ซึ่งของเค้าเกินไปไกล 555 เลยซื้อเพิ่มเป็นน้ำหนักกระเป๋าอีกหนึ่งใบไปเลย โดยจ่ายเพิ่ม $75 (ประมาณ2,250บาท) จะได้น้ำหนักเพิ่มไปอีก 23 กิโล เค้าว่าระบบนี้ก็แฟร์ดีรอบหลังมาจะได้เตรียมกระเป๋ามาขนของ ฮี่ๆ ได้เพิ่มมาอีกตั้ง 23 กิโลต้องใช้ให้คุ้มค่า รอบนี้ไม่ได้เตรียมตัวเท่าไหร่เลยใส่ถึงพลาสติกโหลดไป เข้าไปสนามบินยังมิวายโดนละลายทรัพย์ไปอีกประมาณเกือบหมื่นบาทไทย!!! ขนมในสนามบินมีให้ชอปอีกบานตะไทถ้าใครอยากซื้อของฝากแนะนำว่ามาซื้อสนามบินนี่หล่ะฮะ โดนไปสองถุงใหญ่ๆเงินที่อุตสาห์ดีใจว่าจะเหลือกลับไม่เหลือละกระซิกๆ ของที่ซื้อในสนามบินเยอะจัดช่องเก็บของเหนือศีรษะเก็บไม่พอ ขนมที่ซื้อมาทางสายการบินเลยจัดการโหลดให้ใต้ท้องเครื่องก่อนจะขึ้นเครื่อง แหะๆ จัดการสัมภาระเรียบร้อยก็ขึ้นเครื่องกลับบ้านได้ บนเครื่องมีหนังสือพิมพ์ไทยให้ด้วย แต่เครื่องรอบนี้ไม่มีจอด้านหน้า แต่ฉายหนังบนจอรวมให้ สามารถเสียบหูฟังฟังได้ ดูเรื่อง The Great Gatsby มีพากย์ไทยด้วยแฮะ อาหารบนเครื่องมีให้จัดเต็มเอร็ดอร่อยเหมือนขามากินจนพุงอืด เค้าชอบน้ำแอปเปิ้ล 100% ของ Miniute Maid ที่เสิร์ฟบนเครื่องมากมาย หกชั่วโมงผ่านไปมาถึงไทยแล้วจ้าจบทริปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิตไปอย่างเมามันส์ นี่คือสภาพข้าวของทั้งหมดกับการไปใช้ชีวิตลั้นลาในญี่ปุ่นมาครึ่งเดือนเยอะจริงอะไรจริง หวังว่าบล็อคที่เขียนทั้งหมดตั้งแต่ [Part 1] - [Part 7] จะเป็นประโยชน์ สำหรับเพื่อนๆที่สนใจจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองนะคร๊าบ เป็นประเทศที่ประทับใจจริงๆ การเดินทางสะดวกสบายเที่ยวง่ายมาก สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือใช้เงินไปเท่าไหร่ เค้าตอบให้ไม่ได้จริง เพราะเค้าใช้ระบบลงเงินกองกลางกับคุณแฟนเพื่อเอาไว้จ่ายค่าเดินทางและค่ากิน ส่วนค่าชอปก็ต่างคนต่างจ่าย เรื่องงบประมาณจึงขึ้นอยู่กับว่าเรากินเที่ยวหรูหราแค่ไหน แต่การวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นเราต้องทำการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จ่ายค่า JR Pass ไปล่วงหน้าอยู่แล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายหลักที่เราตั้งงบประมาณได้ ส่วนเงินที่จะเอาไปใช้ก็ลองเผื่อไปดูว่าเราชอบกินหรูแค่ไหน ชอปปิ้งประมาณไหน พกเงินไปแต่พอดีส่วนที่เหลือแนะนำว่ารูดบัตรเอาก็ได้ฮะ พกเงินไปมากๆมันก็เสี่ยงอ่าเนอะ สำหรับบล็อคนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบแล้วเจอกันทริปหน้าฮับ จุ๊บๆ ----------------------------------------------------------------------------- รวบรวมลิงค์ [Part 1] - [Part 7] ตามนี้ฮับReview : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku & วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน , หม่ำโอโคโนมิยากิร้านดัง Mizuno & วันที่8 ปราสาทโอซาก้า, ศาลเจ้า Temmagu และ Osaka Aquarium Kaiyukan Review : Japan Trip [Part 5] วันที่9 ไปเกียวโตพักเรียวกัง , วัดทอง , ซูชิเวียนจานละ 137 yen & วันที่10 เช่ากิโมโนใส่ตะลุยศาลเจ้าเ ฮอัน , วัดเงิน , ย่านกิอง , หม่ำทงคตสึเจ้าดัง Katsukara Review : Japan Trip [Part 6] วันที่ 11 ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาวFushimi Inari , นาโกย่า , ไก่ทอดยามะจัง & วันที่ 12 ข้าวหน้าปลาไหล Houraiken , วัดไทย-ญี่ปุ่น Nittaiji Review : Japan Trip [Part 7]วันที่13 Tokyo DisneySea & วันที่14 พิพิธภัณฑ์ Orbi Yokohama & วันที่15-16 ชอปปิ้งทิ้งทวนก่อนกลับไทย
Create Date : 13 มกราคม 2557
Last Update : 14 มกราคม 2557 0:43:24 น.
Counter : 7982 Pageviews.
Review : Japan Trip [Part 6] วันที่ 11 ศาลเจ้าFushimi Inari & วันที่ 12 ข้าวหน้าปลาไหล ,วัดNittaiji
My Makeup TodaY วันที่สิบเอ็ดในญี่ปุ่น [4/11/2013] จัดให้เป็นมินิฮาวทูขั้นตอนตามนี้ฮับ 1. ทาสีส้มในแนวชั้นตาเบลนให้ฟุ้ง 2. ทาสีชมพูอ่อนเหนือแนวชั้นตา 3. ทาสีเหลืองครีมที่หัวตา 4. คัดเบ้าตาด้วยสีน้ำตาลเข้ม 5. เขียนขอบตาด้วยไลน์เนอร์แบบปากกา Kate สีดำเน้นหางตาเส้นหนาลากยาวแต่ไม่ตวัดให้เชิด 6. เขียนขอบตาล่างด้วยดินสอ Cosluxe สีเงิน 7. ทาหางตาล่างด้วยสีน้ำตาลเข้มผสมสีส้ม 8. ทาหัวตาล่างด้วยสีเหลืองครีม 9. ดัดขนตาปัดมาสคาร่าติดขนตาปลอมบน-ล่าง ***ขนตาซื้อที่ญี่ปุ่นฮะ ขนตาบนของ Vanilla Birthday No.2 ขนตาล่าง Dolly Wink #8 ***อายแชโดวพาเลท Shu Uemura 6Princess Collection #Pink ***คอนแทคเลนส์ DreamColor1 Sky #Violet ***รองพื้น Shu Uemura Lightbulb #764 แป้งฝุ่น Candy Doll ***แก้มสีชมพูจากพาเลทShu Uemura 6Princess Collection #Pink ผสมสีส้มอ่อนCanmake ***ปาก Clinique #RunwayCoral + Candy Doll #ApricotBeige + Coffret D'Or Liquid Lip สีชมพู ชุดยูกาตะที่โรงแรมไว้ให้ใส่เป็นชุดนอน ไม่รู้ว่านี่ไซส์มาตรฐานของเค้ามันยาวไปหรืออิชั้นเตี้ย ใส่ออกมายาวกรอมเท้าเป็นแมกซี่เดรสเลยฮร้า 555 เค้าชอบชุดยูกาตะนะใส่นอนสบายดีแต่คือแบบนอนดิ้น เช้ามาสภาพอาจจะดูไม่ได้นิดนึง กร๊ากกกก มื้อเช้าวันนี้รองท้องด้วยขนมปังไส้ยากิโซบะ เหมือนจะไม่เข้ากันแต่กินๆไปมันก็อร่อยดีน้า รสยากิโซบะเค้าจะผัดรสจัดหน่อยกินกับขนมปังจะกำลังดี ซื้อมาจากร้านในสถานีเกียวโตแต่จะชื่อร้านบ่ได้ฮับ จุดมุ่งหมายของเราในวันนี้ก็คือ ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ศาลเจ้าพ่อจิ้งจอกขาว การเดินทางสามารถนั่งรถไฟสาย JR มาลงที่สถานี Inari ได้เลย หรือถ้านั่งรถไฟสาย Local ให้มามาลงที่สถานี Fushimiinari ฮับ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต สร้างขึ้นเพื่อถวายให้แด่เทพเจ้าแห่งการกสิกรรมที่ช่วยให้พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ คือ เทพเจ้าอินาริ และในบริเวณรอบๆศาลเราจะพบรูปปั้นของสุนัขจิ้งจอก ซึ่งสุนัขจิ้งจอกเหล่านี้ก็คือผู้ส่งสารไปให้เทพเจ้าอินารินั่นเอง แผ่นป้ายเขียนคำขอพรที่นี่จะเป็นต้นเสาโทริอิ (อันละ 800 yen) ทำไมถึงเป็นเสาโทริอิเดี๋ยวมาดูกัน ความโด่งดังของศาลเจ้าแห่งนี้คือมีเสาโทริอิตั้งเรียงรายเป็นทางยาวขึ้นไปบนหุบเขา เป็นระยะทางกว่า 4 กม. ถ้าจะใช้เวลาเดินจนสุดทางต้องใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงแน่ะมีจำนวนเสาโทริอิมากที่สุดในญี่ปุ่น เรียงกันเป็นอุโมงนับหมื่นต้น ซึ่งได้มาจากการสร้างบริจาคของคนที่ศรัทธา หรือมาขอพรไว้ เมื่อพรสมดังที่หวังก็มาสร้างถวายเหมือนเป็นการแก้บนของบ้านเราอ่าเนอะเสาโทริอิ (Torii) มักจะพบในวัดหรือศาลเจ้าของนิกายชินโตเปรียบเสมือนทางเข้าสู่สวรรค์ ราคาการบริจาคสร้างเสาแต่ละต้นขึ้นอยู่กับความใหญ่สตาร์ทราคาที่ 175,000 yen OMG!!! ซึ่งบนเสาจะมีการสลักชื่อคนหรือบริษัทองค์กรที่บริจาคนั้นๆเอาไว้ ถ้าจะถ่ายรูปเค้าแนะนำถ่ายด้านที่มีตัวหนังสือสลักไว้ จะดูสวยและดูได้บรรยากาศกว่าถ่ายด้านที่เป็นเสาเปล่าๆฮับ ยิ่งได้แสงแดดลอดๆหน่อยแจ่ม! แต่ทำใจว่าภาพมันจะติดส้มๆแดงๆหน่อยเพราะเราอยู่ในอุโมงค์เสาอ่าน้าสีมันสะท้อนรอบตัว ทางเดินจะค่อยๆไต่ขึ้นไปบนเขามีแผนที่ให้ด้วยระยะทางรวมกว่าสี่กิโลเมตร แต่มันเป็นการเดินขึ้นง่ะ เดินมาพักนึงแล้วพึ่งได้เสต็ปแรก!You are here อยู่จุดแดงๆมุมขวาล่าง นี่เป็นแค่เพียงการเริ่มต้น ในจุดพักเสต็ปแรกคือจุดศาลเจ้าโอะคุฉะ จะมีป้ายขอพรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกน่ารักเชียว แต่ละคนแต่งเติมหน้าตาซะเฟี้ยวเลย ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะแผ่นละ 800 yen เท่าเสาโทริอิด้านล่างฮะ เสต็ปพักต่อมาเป็นจุดชมวิวสวยสงบแต่แอบน่ากลัวนิดนึง จะเป็นเสาหรือศาลเจ้าเก่าๆมีตะไคร่ขึ้นด้วยง่า บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่เดินแล้วแอบหลอน แหะๆ ณ จุดนี้เค้าจะมีบอกเวลาไว้เลยว่าจะไปจุดถัดไปใช้เวลาเท่าไหร่ จุดถัดไปใช้เวลา 18 นาที และจะขึ้นไปยอดสุดใช้เวลา 54 นาที!!! ขอบพระคุณป้ายนะคะที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่าควรหยุดแต่เพียงเท่านี้ 555 ไม่ไหวจริงๆคร๊าบเดินขึ้นลงงานนี้ไม่รอดแน่เลยขอเดินย้อนกลับไปด้านล่างดีกว่า แหะๆ ขาเดินลงบังเอิญได้อี๊กกกกก เจอสองสาวในชุดกิโมโนหน้าคุ้นเชียว 555ปอเช่ Porscerta และ นิชา Minipandaz นั่นเองจ้า แหม่ญี่ปุ่นมันแคบ ที่เก๋คือทางเดินตรงที่เจอกันมันแยกเป็นสองอุโมงค์ ดันเลือกเดินอุโมงค์เดียวกันเลยได้เจอกัน พรหมลิขิตบันดาลชักพา ฮริ้วววว ดีนะที่เลือกเดินกลับลงมาเพราะจากที่ฟ้าแดดเปรี้ยงกลับมีฝนปรอยซะงั้น ดีที่แค่ปรอยเบาๆพอจะเดินเม้าสวยๆกลางสายฝนได้ 555 ออกจากศาลเจ้ากลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม แล้วขึ้นชินคันเซ็นบึ่งไปนาโกย่ากันใช้เวลาจากเกียวโตไปนาโกย่าแค่ชั่วโมงเดียวฮับ ไม่ลืมที่จะแวะซื้อข้าวกล่องก่อนขึ้นรถ อิอิ รอบนี้ให้คุณแฟนเลือก นางเลือกข้าวหน้าเนื้อมาอร่อยง่ะเนื้อนุ๊มนุ่มรสหวานๆเค็มๆกลมกล่อม อัดแน่นเต็มกล่องแบ่งกันหม่ำสองคนกล่องละ 1,000 yen ประมาณสามร้อยนิดๆแหล่ม! ปิดท้ายด้วยของหวานสารพันขนมที่ซื้อจากใน 7-11 ตุนไว้เต็มเป้ แหะๆ ระหว่างทางจากเกียวโตไปนาโกย่าจะเห็นวิวเป็นแปลงผักหรือนาข้าวสองข้างทางเลย ออกจากสถานี้มุ่งหน้าไปเช็คอินโรงแรมก่อนเลย ชื่อโรงแรม Business Hotel SHINMEI ทำเลที่ตั้งตามสไตล์เค้าต้องติดกับสถานีหลักเดินทางง่าย อิอิ ตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีนาโกย่าเลยอยู่ติดกับตึก Tsutaya เดินข้ามถนนมาสังเกตง่ายมีร้าน Yoshinoya อยู่ด้านล่างจ้าBusiness Hotel เป็นโรงแรมที่มีหลายแห่งทั่วญี่ปุ่น สำหรับที่นี่เค้าจองผ่าน ได้ราคาคืนละ 7,350 yen (2,230บาท) เช็คอินแล้วจะได้ของที่ระลึกซองเล็กๆติดไม้ติดมือมาด้วย เป็นพวกสบู่ แชมพู มาส์กหน้า หรือฟองน้ำขัดตัวฮะ ห้องแคบหน่อยแต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันเตียงนุ่มสบายดีเค้าชอบ โรงแรมในญี่ปุ่นเท่าที่ไปพักมาเค้าชอบตรงที่พวกสบู่แชมพูมีไว้ให้ในห้องน้ำเลย เป็นแบบขวดใหญ่ๆหัวปั๊มกดใช้ได้แบบไม่อั้น เวิร์คกว่าให้แบบชิ้นจิ๋วๆนะ ซึ่งจะใช้เป็นยี่ห้อดีๆด้วยอย่าง Shiseido , Pola เริ่ดอ้ะ ไม่ต้องพกไปให้หนักกระเป๋า จัดแจงเก็บกระเป๋าล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วออกมาเดินเล่นสำรวจเมืองกัน นาโกย่าเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างเกียวโตกับโตเกียว อดีตเลยเป็นเมืองท่าเป็นจุดแวะพัก เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของญี่ปุ่น เป็นเมืองที่อาร์ตมาก สถาปัตยกรรมในเมืองจะดูเก๋ๆ มีรูปปั้นศิลปะแนวๆอยู่รอบเมืองเดินชมได้เพลินๆ ตระเวนเดินหาจุดที่เป็น Landmake ของเมืองนาโกย่า เริ่มจากชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่กลางเมือง ซึ่งเจอแทบทุกเมืองใหญ่ๆเลยนะเจ้าชิงช้าสวรรค์เนี่ยสงสัยคนญี่ปุ่นจะชอบมาก อิอิ ถัดไปหน้าตาคล้ายหอไอเฟล คือ Nagoya TV Tower ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสวนสาธารณะ Central Park อยู่ในย่านซาคาเอะ (Sakae) ซึ่งเป็นย่านธุรกิจของเมือง เป็นหอกระจายสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ หอสูง 180 เมตร มีจุดชมวิวอยู่ด้านบนที่ความสูง 100 เมตร แต่เค้ามิได้ขึ้นไปเน่อ การเดินทางนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Sakae ได้เลยแต่เค้าค่อยๆเดินมาจากสถานีนาโกย่า เดินได้ชิลๆไม่ได้ไกลมากประมาณ 3 กม. แต่ขอบอกว่านาโกย่าลมแรงมว๊ากกกก อุณหภูมิ 14-15 องศาพอๆกะเมืองอื่นแต่รู้สึกหนาวกว่ามากลมสะท้านทรวงหัวกระเจิดกระเจิงสุดๆ ติดกันกับ TV Tower คือ Oasis 21 เป็นอาคารทรงวงรีหน้าตาล้ำมาก ซึ่งเป็นศูนย์รวมของร้านค้า ร้านอาหาร สวนสนุกในร่ม Spaceship Aqua ห้างสรรรพสินค้า Milky Way Plaza และต้นทางสถานีรถบัสและรถเมล์(Bus Terminal) รวมทั้งรถ Airport Bus ชั้นบนสุดของ Oasis 21 จะเป็นจุดชมวิวขึ้นลิฟต์ไปได้เลยไม่เสียตัง เก๋นะทำเป็นสระน้ำใหญ่ๆไว้บนดาดฟ้า เวลาถ่ายภาพแล้วจะสะท้อนเห็นตึก TV Tower อยู่ด้านหลังด้วย งามมมมั่ก แต่ขอบอกว่าบนนั้นหนาวมากกลมพัดตัวแทบปลิว ขากลับเดินมิไหวแร้นหนาวเลยนั่งรถไฟใต้ดินแทน มาถึงสถานีนาโกย่าเดินผ่านเครปร้าน Dipper Dan Crepe กลิ่นหอมยั่วมากกก ต้องจัดมาลองอันละ 350 yen (110 บาท) อูยยยมันเริ่ดอ้ะ แป้งหอมนุ่มหนึบ ครีมเข้มข้น สตรอเบอร์รี่ฉ่ำๆฟินนาเร่ ถ่ายคลิปตอนทำมาฝากด้วย ฮี่ๆ >>>CLICK<<< มาถึงนาโกย่าร้านดังหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดได้แก่ "ร้านไก่ทอดยามะจัง" (yamachan) แค่รอบๆสถานีนาโกย่าก็มีเป็นสิบสาขาแล้วหาไม่ยาก เค้าเดินมั่วๆมาก็เจอสาขาที่เค้ากินหันหน้าออกจากสถานีแล้วเดินเลียบไปทางขวา หรือเข้า Google Map แล้วเสิร์ชว่า Yamachan Nagoya เจอตรึมเลยจ้า วิธีสังเกตร้านยามะจังให้สังเกตโลโก้ผู้ชายชูสองนิ้วแบบในรูปเลย เมนูเด็ดร้านนี้ก็คงไม่พ้น ปีกไก่ทอด(Tebasaki) แต่ก็มีเมนูอื่นๆให้เลือกอีกมากมายซาซิมิก็น่าหม่ำ Maborishino Tebasaki : ปีกไก่ทอดรสออริจินอล จานนึงมี 5 ชิ้น ราคา 420yen (133 บาท) เป็นเมนูเบสิกที่มาแล้วต้องสั่งรสชาติแบบออริจินอลคือรสเค็มๆเผ็ดๆพริกไทย สำหรับคนไทยเผ็ดพริกไทยแค่นี้เรียกว่าเด็กๆ แต่ความเค็มนี่จัดว่าแสบลิ้นเลย ทอดมาใหม่ๆร้อนๆกรอบๆก็อร่อยดีฮะแต่กินแล้วหิวน้ำสำหรับเค้ามันเค็มไปหน่อยอ่านะ เมนูเคียงเยอะกว่าเมนูหลักอีก แหะๆ รวมๆเค้าว่าโอเคหล่ะรสจัดจ้านดี มานาโกย่าแล้วก็ควรลองทาน ใครว่าอาหารญี่ปุ่นจืดจะเปลี่ยนความคิด....ว่ามันเค็ม 555 เดินกลับมาสถานีเจอขนมอบกรอบรสไก่ยามะจัง ยังไม่เข็ดซื้อมาลองอีก อู้วเค็มเหมือนไก่ทอดเป๊ะ เผ็ดๆพริกไทยดีแต่ต้องกินน้ำเปล่าตามเรื่อยๆเค็มแสบลิ้นจุงเบยMy Makeup TodaY วันที่สิบสองในญี่ปุ่น [5/11/2013] ทาเปลือกตาด้วยสีเบจแล้วกรีดไลน์เนอร์หางยาวเฟื้อย อัดขนตาปลอมทั้งบนและล่างแน่นตึ้บ เกิดการเสพย์ติดขนตาล่างแบบไม่รู้ตัว555 ขนตาบนขนมาจากไทยจำมิได้ว่ายี่ห้ออะไรเบอร์อะไร แต่ขนตาล่างซื้อที่นี่ของ Dolly Wink เบอร์ 8 (บ้านเราก็มีขายใน Tsuruha ฮับ)My Outfit TodaY เห่อเสื้อคลุมกิโมโนสีแดงแซ่บๆสอยมาจากศาลเจ้าพ่อจิ้งจอก เท่านั้นเป็นชาวบ้านมาขายเองมีชุดกิโมโนด้วยสวยมากแต่ซื้อมาแล้วใส่บ่เป็น เลยช่วยอุดหนุนเสื้อคลุมกิโมโนมาสองตัวราคาน่ารักน่าคบตัวละ 1,500yen (475 บาท) ขอบอกว่าอุ่นมากกกก แต่ผ้าก็หนักมากเช่นกัน แหะๆ ด้านในเค้าใส่ Heattech แขนยาวตัวเดียวเองเอาอยู่ ส่วนกระโปรงหนังสีเบจแบรนด์ GU ตัวละไม่ถึงสามร้อยบาท รองเท้า Forever21 ฮะ เป้าหมายวันนี้ที่ตั้งใจว่าต้องมาให้ได้คือร้านข้าวหน้าปลาไหลชื่อดัง "Houraiken" ซึ่งเค้ามีทั้งหมด 4 สาขา ในห้างก็มี แต่มาถึงนี่ต้องไปลองที่ร้านต้นตำรับเนอะถึงจะได้ฟิล ขึ้นรถไฟไปลงที่สถานี Temma-Cho แถวๆสถานีนี้จะมีอยู่ 2 ร้าน ร้าน A คือร้านต้นตำรับ ตอนแรกเค้าเดินมาผิดดันไปออกทางออก Exit 1 แล้วเดินไปร้านที่ตำแหน่ง C ร้านนี้จะอยู่ติดกับศาลเจ้า ซึ่งไปถึงแล้วเกิดอาการกรีดร้องร้านปิด!!! แต่เค้าหยิบโบชัวร์มาให้แล้วบอกว่ามีอีกร้านนึงใกล้ๆซึ่งอีกร้านคือร้านต้นตำรับ โชคดีมีคนญี่ปุ่นมาผิดเหมือนกันเลยเดินตามๆเค้าไปอีกร้านนึง 555 ร้าน Houraiken ต้นตำรับอยู่ตรงตำแหน่ง A ตามแผนที่ ต้องเดินข้ามสะพานลอยมา มาถึงมั่นใจละว่าถูกเห็นควันและปลาไหลลอยมา บรรยากาศหน้าร้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนถูกต้องแน่นอน เดินเข้าไปลงชื่อต่อคิว อื้อหือ คิวที่เราได้คือต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงเอาฟระมาถึงนี่ละรอก็รอ คนญี่ปุ่นนี่มีความอดทนในการรอหม่ำอาหารมากๆนั่งกันชิลๆรอบๆร้านเป็นเพื่อนกันไม่มีอิดออด ยุทธการรอคิวหลอกล่อให้หิวก่อนของทางร้านสัมฤทธิ์ผล เข้าไปแล้วหิวมากกกอ่านเมนูตาลายกะจะสั่งแหลกพอเห็นราคาสติมาทันใด 555 บรรยากาศร้านเป็นบ้านแบบญี่ปุ่นสองชั้นโต๊ะแบบนั่งพื้น สั่งอาหารไปนั่งรออีกประมาณเกือบยี่สิบนาทีหิวโฮกกกก เย้ๆปลาไหลมาแว๊ว เค้าสั่งข้าวหน้าปลาไหล Hitsu-mabushi ขนาดปกติ แม้จะหิวปางตายแต่มิกล้าสั่งไซส์พิเศษเพราะขนาดปกติ ก็ราคา 3,100yen แล้วง่า (985บาท) นี่ราคายังไม่รวม Vat 5% นะ! ร้านนี้เป็นร้านต้นตำรับเจ้าแรกของนาโกย่าที่คิดค้นข้าวหน้าปลาไหล แบบ Hitsu-mabushi ซึ่งจะเสิร์ฟมาในหม้ออบโปะด้วยปลาไหลย่างแบบอัดแน่น ในเมนูจะมีสอนวิธีการกินแบบ Hitsu-mabushi ไว้ด้วย แต่ ณ จุดนั้นวิธีไหนก็ได้จัดการตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กแล้วโซโล่โลด จะกินเดี่ยวๆก็ได้ กินกับต้นหอมก็ได้ หรือราดน้ำซุปที่ต้มจากกระดูกปลาไหลลงไปก็ได้ เนื้อปลาไหลที่นี่ยอมรับว่าทำดีมากไม่มีกลิ่นคาวเลยเนื้อนุ๊ม นุ่ม ไม่มีก้างปนมาแม้แต่น้อย ซอสที่ใช้ย่างก็รสเข้มข้นกลมกล่อมคือลงตัวทุกอย่างติดตรงราคากินบ่อยไม่ไหวจนพอดี555 แต่คุณแฟนเค้าเป็นคนไม่ทานของย่างที่ติดไหม้ๆเลยกินแบบไม่ค่อยฟิน เพราะเค้าจะย่างมาเกรียมนิดๆ คุณแฟนเค้าเลยชอบร้านข้าวหน้าปลาไหล แถวๆศาล Osaka Temmangu ที่โอซาก้ามากกว่า ส่วนเค้าชอบทั้งสองร้านอร่อยคนละแบบฮะ ปลาไหลฟินในระดับปกติแต่ที่เค้าฟินมว๊ากกกก็คือ "ไข่เจียวไส้ปลาไหล" ลักษณะเป็นไข่หวานเนื้อหนาๆสอดไส้ปลาไหลย่างเนื้อนุ่มๆ เสิร์ฟมาในน้ำซุปกลมกล่อม อร๊ากกกกเขียนบล็อคไปหิวไปติดใจเมนูนี้ฝุดๆๆๆ แต่ราคาแรงใช้ได้เลยจานนี้มีไข่มาแค่สองชิ้น 950 yen (300 บาท)ไม่รวม Vat 5% นะฮร้า ท้องอิ่มเที่ยวต่อได้ จุดหมายนี้คุณแฟนอยากมาสุดๆ "TOYOTA Automobile Museum" ซึ่งปรากฏว่า "ปิด" นางถึงขั้นหงุดหงิดเพราะวันที่ไปปิดแบบไร้สาเหตุ เป็นวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดราชการอะไรแค่อยากจะปิด โว๊ะ! มันน่าโมโหตรงที่ต้องนั่งรถรถไฟออกมานอกเมืองอย่างไกลเลย ต้องนั่งรถของบริษัท Limino ไปลงที่ Geidai-dori Station จำว่าค่ารถแพงด้วยเลยยิ่งพาลให้หงุดหงิด หุหุ ประเด็นอาจจะอยู่ตรงที่นั่งรถแพงนี่หล่ะ 555 มุ่งสู่เป้าหมายต่อไปนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี Kakuozan ก่อนอื่นต้องหาของหวานทานให้หายหงุดหงิดก่อน อิอิ หาเรื่องกินไปงั้นแหละ หม่ำๆขนมไทยากิ หรือขนมปลาไทปกติจะเป็นแป้งแบบแพนเค้ก แต่เค้าลองซื้อแบบแป้งโมจิอร่อยไปคนละแบบน้าอันนี้แป้งหนึบหนับ ไส้ครีมทะลักมากครีมเค้าเข้มข้นชอบตรงที่ไม่หวานมาก ชิ้นละ 140 yen (45บาท)จ้า เป้าหมายของเราก็คือ วัดนิตไตจิ (Nittaiji Temple) ตั้งอยู่ สถานี Kakuozan ออก Exit 1 แล้วเดินตามถนนใหญ่ เป็นเนินเดินขึ้นไปประมาณ 600 เมตร จะเห็นทางเข้าวัดอยู่ตรงสามแยกจ้า ตั้งใจมาที่วัดนี้เพราะเป็นวัดที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ที่มีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งชื่อของวัด Ni มาจากคำว่านิฮงหรือนิปปอนที่แปลว่าญี่ปุ่น , Tai มาจากคำว่าไทย และ Ji แปลว่าวัด รวมแล้วเลยเป็นชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า วัดไทย-ญี่ปุ่น โดยสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแก่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2443 เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ชาวพุทธในญี่ปุ่น ในวัดมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของเสด็จพ่อร.5 ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าพระวิหารด้วย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อฉลองวัดครบรอบ 100 ปีเมื่อพ.ศ. 2530 ดีใจได้มาไหว้เสด็จพ่อร.5 ถึงญี่ปุ่น นอกจากนี้ด้านหน้าวิหารยังมีป้ายหินจารึกพระปรมาภิไธยย่อ จปร. และ ภปร.ของในหลวงด้วย ไม่ว่าอยู่ที่ใดลูกก็ภูมิใจที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมีของพ่อ ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยค่ะ ก่อนออกจากนาโกย่าขอแวะซื้อขนมหม่ำแป๊บเห็นเค้าว่าที่นี่มี Laduree ด้วย ตั้งอยู่ในสถานีนาโกย่าอยู่บนห้าง JR Takashimaya ขึ้นบันไดเลื่อนไปเจอร้านเลย มากาฮองของเด็ดร้านนี้ได้ยินชื่อเสียงมานานในที่สุดก็ได้ลองเสียที ราคาแรงตามชื่อเสียงเลย ชิ้นละ 270 yen ประมาณ 86 บาท รสที่คนนิยมคือรสกุหลาบเค้าลองแล้วเฉยๆ แต่ที่ชอบคือราสป์เบอร์รี่กะวานิลลา เนื้อแป้งเค้ากรอบเบาๆเปลือกแป้งด้านนอกละลายในปาก ไส้หอมฟุ้งๆ แต่รสก็หวานแหลมตามสไตล์มากาฮองต้องทานคู่กับชาถึงจะเวิร์ค สรุปก็โอเคจัดว่าอร่อยมากหล่ะ แต่เคยกินที่ซิดนีย์ร้านบ้านๆ รสชาติอร่อยกว่านี้ หวานน้อยกว่านี้ เค้าเลยไม่ได้ประทับใจมากมายฮะ ได้เวลากลับโตเกียวแล้วหลังจากลั้นลาอยู่คันไซหลายวัน ก่อนขึ้นรถยังมิวายซื้อถั่วรสไก่ทอดยามะจังมาลองอีก บ่นว่าเค็มๆแต่ก็ซื้อไม่เลิกเอ๊ะอย่างไรหรือจะติดใจ 555 จากนาโกย่ากลับโตเกียวใช้เวลาประมาณ 1.40 ชั่วโมงจ้า ถึงสถานีโตเกียวเค้านั่งรถต่อมายังสถานีชินจูกุ เพราะบ้านเพื่อนเค้าต้องต่อรถที่สถานีนี้อยู่แล้ว มาแวะที่นี่เพื่อมาหาอะไรหม่ำก่อนเข้าบ้านเพื่อน เลยหาที่ฝากกระเป๋าในล็อคเกอร์ก่อน ซึ่งมีอยู่หลายจุดเลยในตัวสถานีชินจูกุ ค่าฝากช่องใหญ่ใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่สุดของเค้าได้ราคา 500 yen (160 บาท) ฝากได้ตั้งแต่ 7.00-22.30 น. วิธีการแสนง่ายเปิดล็อคเกอร์ยัดกระเป๋าเข้าไปหยอดเหรียญจนครบจำนวน ไขกุญแจเพื่อล็อคตู้แล้วดึงกุญแจออก ขาเอากระเป๋าออกก็แค่ไขกุญแจเป็นอันเรียบร้อย ถ้าฝากกระเป๋าไว้เกินเวลาที่กำหนดตอนไขออกเค้าจะแจ้งจำนวนเงินที่ต้องหยอดเพิ่มจ้า เดินออกจากสถานีมึนๆเจอร้านนี้น่าหม่ำดีอยู่ไม่ไกลจากสถานีก่อนถึงร้าน Forever 21 พึ่งนึกได้ว่ามาญี่ปุ่นเป็นสิบวันแล้วยังไม่ได้ลองราเม็งเลยได้โอกาสละ อิอิ คือว่าเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนเลยต้องใช้วิชาดัชนีอรหันต์จิ้มๆภาพในการสั่ง ภูมิใจอ้ะราเม็งมื้อแรกอร่อยจังเล้ยยยย เส้นหนึบหนับน้ำซุปเข้มข้นกลมกล่อม ชอบไข่ต้มซีอิ๊วร้านนี้มากเป็นยางมะตูมด้วย ชามซ้ายบน 730 yen (230 บาท) แถมไข่ให้อีกฟอง ส่วนชามล่างเป็นแบบแห้งมีน้ำซุปข้นๆแยกมาต่างหากเด็ดไม่แพ้กัน 780 yen (245 บาท)ฮับ ของหวานล้างปากปิดท้ายบล็อคนี้ด้วยสตรอเบอเร่อ (สตรอเบอร์รี่ลูกเบ้อเร่อ555) ซื้อตรงร้านขายผลไม้ในย่านชินจูกุนั่นแลแต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตรงไหน แหะๆ สามลูกเสียบไม้ไม้ละ 200 yen (64 บาท) แอบแพงนะตกลูกละยี่สิบกว่าบาท แต่หวาน กรอบ ฉ่ำ และกลิ่นหอมมากกกก สรุปว่าอร่อยแพงแต่ฟินฮ้าฟฟฟ ----------------------------------------------------------------------------- แล้วอย่าลืมติดตามภาคสุดท้ายใน [PART 7] นะคร้าบ ใครยังไม่ได้อ่านภาค 1-5 เข้าไปชมได้ตามลิงค์ด้านล่างจ้า Review : Japan Trip [Part 1] เปิดฉากตะลุยประเทศในฝัน ต้องเตรียมอะไรบ้าง & วันที่สอง ณ Akihabara Review : Japan Trip [Part 2]วันที่3หม่ำโซบะชื่อดัง ณ วัดJindai-ji & วันที่4ตะลุยชินจูกุชมวิวบนตึกสูง Review : Japan Trip [Part 3] วันที่5 ศาลเจ้า Meiji Jingu@Harajuku & วันที่ 6 นั่งชินคันเซ็นไปโอซาก้า Review : Japan Trip [Part 4] วันที่7 ตะลุยUniversalวันฮาโลวีน , หม่ำโอโคโนมิยากิร้านดัง Mizuno & วันที่8 ปราสาทโอซาก้า, ศาลเจ้า Temmagu และ Osaka Aquarium Kaiyukan Review : Japan Trip [Part 5] วันที่9 ไปเกียวโตพักเรียวกัง , วัดทอง , ซูชิเวียนจานละ 137 yen & วันที่10 เช่ากิโมโนใส่ตะลุยศาลเจ้าเ ฮอัน , วัดเงิน , ย่านกิอง , หม่ำทงคตสึเจ้าดัง Katsukara ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล่วงหน้าคร๊าบ
Create Date : 08 มกราคม 2557
Last Update : 13 มกราคม 2557 22:55:05 น.
Counter : 14037 Pageviews.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 535 คน [? ]
..........ชื่อ "ทราย" นะค๊า นามแฝงที่ใช้ก็มี SaRaY และก็ Mhunoiii (หมูน้อย) ค่า สนใจการถ่ายภาพ กะการแต่งหน้า จากเป็นงานอดิเรกจะกลายเป็นงานประจำอยู่แล้ว 555 เลยอยากจะทำบลอคเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มานะค๊า ได้มากบ้างน้อยบ้าง มั่วๆกันปายยยย อิอิ สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิดไม่ว่าการลอกเลียนแบบ หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของรูปภาพและข้อความใน http://www.mhunoiii.bloggang.com แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่ หรือเพื่อการอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด ปล.ห้ามมิให้นำภาพใดๆจากในบล็อคไปใช้เพื่อการขายของโดยเด็ดขาดนะคะ !!! ---------------------------------------------------------