คุ้มสมุนไพร "ภูมิปัญญาไทย เพื่อสุขภาพและความงามคุณ" บริการ อยู่ไฟ หลังคลอด ถึงบ้าน และจำหน่ายชุด อยู่ไฟ ด้วยตนเอง
 

7 เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ



1.เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2.ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3.หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4.การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5.อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6.น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7.น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

ที่มา ชีวจิต





 

Create Date : 17 มีนาคม 2551    
Last Update : 17 มีนาคม 2551 17:08:23 น.
Counter : 516 Pageviews.  

อยู่ไฟนั้น... สำคัญไฉน??

“การอยู่ไฟ” เป็นวิธีที่ผู้เฒ่าผู้แก่มักให้หญิงที่เพิ่งคลอดอยู่ไฟเพื่อให้มดลูกกลับเข้าอู่และเป็นวิธีที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่โบราณ ทุกวันนี้การอยู่ไฟหลังคลอดก็ยังเป็นที่นิยมของคุณแม่หลังคลอดอยู่ เพราะการอยู่ไฟจะช่วยให้คุณแม่มีทรวดทรงองค์เอว ผิวพรรณหน้าตาสดใสเหมือนก่อนตั้งครรภ์

ทำไมคุณแม่หลังคลอดต้องอยู่ไฟ?? เพราะหลังคลอดลูก ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการเศร้าหมอง เนื่องจากสภาพฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งความเหนื่อยล้า เจ็บปวดและความวิตกกังวลในการเลี้ยงลูก ในอดีตหญิงหลังคลอดจึงใช้วิธีการดูแลตัวเองด้วยการอยู่ไฟซึ่งจะทำให้เกิดผลดีในภาพรวม ตามความเชื่อของชาวบ้านเชื่อว่า การอยู่ในที่ร้อน ดื่มน้ำร้อน อาบน้ำร้อน เป็นการพัก

ฟื้นเพื่อสะสมกำลังให้สุขภาพร่างกายแข้งแรง ทำงานหนักได้ ไม่ปวดเมื่อย ต่อสู้กับโรคภัยต่างๆได้ ไม่มีอาการหนาวสะท้านเมื่อถูกลมฝน ซึ่งผลกระทบต่างๆอาจจะไม่เห็นทันทีแต่จะปรากฏให้เห็นเมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้การอยู่ไฟยังช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว มีน้ำนมมาก ทำให้ลูกสุขภาพร่างกายแข็งแรง ส่วนวิธีการอยู่ไฟนั้นมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้

1. การนั่งถ่าน หรือการรมควันสมุนไพรคือการใช้ควันที่เกิดจากการเผาสมุนไพร ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะในการกระตุ้นการบีบตัวของมดลูก ช่วยขับน้ำคาวปลา ทำความสะอาดแผลฝีเย็บและช่องคลอด สมานแผลบรรเทาอาการเจ็บปวดแผลตามกรรมวิธีโบราณ

2. การเข้ากระโจมคือการนำสมุนไพรสดหรือแห้งหลายชนิดมาต้มในกระโจม เพื่อให้ได้ไอน้ำจากการต้ม ซึ่งจะต้องอยู่ในที่มิดชิดเพื่อให้ร่างกายได้รับไอน้ำอย่างทั่วถึง

3. การประคบสมุนไพรเป็นวิธีการที่ช่วยทำให้แผลฝีเย็บแห้งดีและลดการอักเสบ ลดการคัดของเต้านม ทั้งยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อย หลังคลอดบุตร 7 วัน สามารถประคบด้วยลูกประคบ ซึ่งมีตัวยาหลักคือ ไพล ตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชันผิวมะกรูด เถาขมิ้นอ่อน ใบส้มป่อย ใบมะขาม การบูร

4. การทับหม้อเกลือเป็นการดูแลคุณแม่หลังคลอดให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้น้ำคาวปลาไหลสะดวก

บรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยลดไขมันสะสมที่หน้าท้อง โดยการนำเกลือสมุทรใส่หม้อดินตั้งไฟให้ร้อนแล้วนำมาสมุนไพรเช่น ไพล ว่านนางคำ ว่านชักมดลูก ใบพลับพลึง เป็นต้นใช้ผ้าห่อแล้วนำมาประคบตามหน้าท้อง แขน ขา น่อง ความร้อนจากหม้อเกลือจะค่อยๆ ปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องและสกัดสมุนไพรสดชื่นซึ่งมีน้ำมันหอมระเหย มีตัวยาออก

ฤทธิ์โดยตรงต่อสุขภาพการทับหม้อเกลือหลังคลอดลูกนั้น กรณีคลอดธรรมชาติควรทำหลังจากการคลอดไม่เกิน 14 วัน ส่วนกรณีผ่าตัดคลอดสามารถทำได้เมื่อครบ 1 เดือนนอกจากนี้ ยังมีการบำรุงร่างกายด้วยอาหารทีมี่ประโยชน์ เช่น ข้าวซ้อมมือที่อุดมไปด้วยวิตามิน รับประทานปลาให้มากเพราะโปรตีนจากปลานั้นย่อยง่าย รับประทานผัก

สมุนไพรเพื่อเพิ่มน้ำนม เช่น แกงเลียง บวบ ตำลึง หัวปลีเป็นต้น และควรงดอาหารรสจัด อาหารหมักดองเห็นไหมคะว่าการอยู่ไฟนั้นทั้งสำคัญและมีประโยชน์มากเลยทีเดียวสำหรับคุณแม่เพิ่งคลอด เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัวเร็ว สุขภาพแข็งแรงได้ดังเดิม เพื่อที่จะได้มีกำลังวังชาเอาไว้รับมือกับเจ้าตัวน้อยต่อไปคะ

ข้อมูลจาก บางกอกทูเดย์




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2551 16:10:09 น.
Counter : 647 Pageviews.  

เหตุเกิด...หลังคลอด




นับจากวินาทีที่ทารกน้อยคลอดออกมาคุณแม่ก็ต้องพบกับ "ภาระใหม่" ในการดูแลทารกน้อยและการเปลี่ยนแปลงสภาพของร่างกายตนเอง อาทิเช่น รูปร่างเปลี่ยนแปลงไป เต้านมขยายโตขึ้น หน้าท้องใหญ่ เจ็บปวดแผล เป็นต้น


เริ่มตั้งแต่หลังคลอด แพทย์จะเย็บแผลบริเวณช่องคลอดและฝีเย็บซึ่งเกิดจากการคลอดปกติ กล่าวคือ ในระหว่างการคลอดขณะที่ทารกโผล่ศีรษะออกมาภายนอก แพทย์จะช่วยตัดฝีเย็บ เพื่อขยายปากช่องคลอดให้กว้างออก เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อรอบๆ ปากช่องคลอดยืดขยายจนอักเสบ เมื่อคลอดเสร็จแล้ว แพทย์จะเย็บฝีเย็บนี้กลับเข้าที่เดิม ดังนั้นในวันแรกหลังคลอด แผลนี้อาจจะมีอาการบวมอักเสบและเจ็บปวด แพทย์จึงมักจะให้รับประทานยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ เพื่อลดอาการอักเสบบวมดังกล่าว


อีกทางหนึ่งที่ท่านสามารถจะบรรเทาอาการเจ็บแผลและลดอาการบวมได้ คือ การใช้น้ำแข็งประคบในวันแรกและต่อไปใช้วิธีอบแผลด้วยความร้อน ส่วนการรับประทานยาแก้ปวดควรเลือกเป็นพาราเซตามอลครั้งละ 2 เม็ดทุก 4-6 ชั่วโมง และยาแก้อักเสบห้ามใช้ยากลุ่มเตตร้าซัยคลิน เพราะจะมีผลต่อทารกที่รับนมแม่ ส่วนใหญ่แพทย์มักจะใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนนิซิลิน


ถ้าดูแลอย่างถูกต้องอาการเจ็บปวดแผล ควรจะหายได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ และแผลจะหายสนิทภายใน 3 สัปดาห์หลังคลอด กรณีที่แผลมีแนวโน้มจะอักเสบ ท่านควรเช็ดทำความสะอาดแผลด้วยสำลีสะอาดชุบน้ำอุ่น โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังวันละ 2 ครั้งหลังอาบน้ำ ยิ่งในรายที่มีน้ำคาวปลาออกมากควรใช้ผ้าอนามัยรองรับและเปลี่ยนบ่อยๆ อย่าให้แผลอับชื้น เพราะจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้


เมื่อกล่าวถึงน้ำคาวปลา คุณแม่ท้องแรกอาจจะงงๆ ว่าคือ อะไรกันแน่ น้ำคาวปลาก็คือ เลือดที่คล้ายๆ ประจำเดือนไหลออกมาทางช่องคลอดจากตำแหน่งผนังมดลูกที่รกเคยเกาะตัวอยู่ เมื่อรกหลุดลอกตัวออกมาเลือดก็จะซึมมาจากรอยนี้ เรียกว่า "น้ำคาวปลา" แต่จะมีสีจางลงเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไปและจะหยุดไหลเองภายในเวลา 2 สัปดาห์


อวัยวะอีกอย่างที่ได้รับความกระทบกระเทือนในระหว่างคลอดก็คือ "กระเพาะปัสสาวะ" ซึ่งจะมีอาการบวมช้ำ ผนังกระเพาะปัสสาวะบวมแดงกว่าปกติ ท่านจะไม่ค่อยปวดปัสสาวะหลังคลอด ปัสสาวะยาก ปัสสาวะไม่ออกหรือออกไม่หมด ปัสสาวะกะปริดกะปรอย เนื่องจากระหว่างที่ท่านเบ่งคลอด กระบังลมจะหย่อนลงมากกระเพาะปัสสาวะทำให้เก็บปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ บางคนขณะจามออกมาจะมีอาการปัสสาวะเล็ดก็ได้ การปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ ไม่ควรอั้นปัสสาวะเพราะจะยิ่งทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรหมั่นบริหารร่างกาย บริหารช่องคลอดและกระบังลมให้ถูกต้อง อาการเหล่านี้จะดีขึ้น เมื่อช่องคลอดและกระบังลมเข้าที่แล้วคือประมาณ 3 เดือนหลังคลอด


นอกจากนี้ร่างกายของคุณแม่หลังคลอด จะมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง นอกเหนือจาก "ความอ้วน" "หน้าท้องหนา" ที่หลายๆ ท่าน "รับไม่ได้" นั่นเป็นผลมากจาก "มดลูก" ของคุณแม่ซึ่งเป็นที่อยู่ของทารกระหว่างที่อยู่ในครรภ์หลังคลอดจะมีขนาดเล็กลง แต่ยังไม่เล็กลงจนเท่ากับก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งหากลองคลำดูท่านจะรู้สึกว่าเป็นก้อนแข็งๆ กลมๆ ที่บริเวณหน้าท้องโดยส่วนยอดบนสุดของมดลูก จะอยู่ในระดับสะดือของท่านและจะค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จนสามารถกลับเข้ามาอยู่ในอุ้งเชิงกรานได้ ท่านจะไม่สามารถคลำพบได้อีก


โดยทั่วไปมดลูกจะลดขนาดจนเท่าปกติใช้เวลาประมาณ 1 เดือน สำหรับท่านที่เคยมีประสบการณ์ จะสงสัยว่าเหตุใด จึงมีอาการปวดท้องน้อยคล้ายๆ กับที่ปวดประจำเดือน และมักจะปวดมากเมื่อลูกดูดนมของท่าน คำตอบง่ายๆ กรณีนี้ก็คือ อาการปวดเกิดจากมดลูกบีบเกร็งตัว เพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมาอีกในระยะหลังคลอด มีกลไกที่ทำให้ร่างกายไม่เสียเลือดมาก และที่ท่านปวดมากขึ้น เมื่อลูกดูดนมก็เนื่องมาจากการที่ลูกดูดนมแม่ จะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งออกมากระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัวมากขึ้น จึงปวดท้องน้อยมากขึ้น แต่การหดรัดตัวของมดลูกนี้กลับมีประโยชน์ ในด้านที่ทำให้มดลูกลดขนาดจนเข้ามาอยู่ในอุ้งเชิงกรานได้เร็วขึ้น ที่เรียกว่ามดลูกเข้าอู่ได้เร็วกว่านั่นเอง และหน้าท้องของคุณแม่ก็จะยุบลงไปเร็วขึ้นด้วย


ถัดจากมดลูกจะเป็นอวัยวะที่อยู่ต่อเนื่องกันต่ำลงมาที่เรียกว่า "ช่องคลอด" ซึ่งโดยปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ ผนังช่องคลอดจะมีรอยย่น แต่ระหว่างตั้งครรภ์ ผนังช่องคลอดจะเรียบไม่มีรอยหยัก เมื่อคลอดแล้วก็จะกลับมาเป็นรอยหยักเช่นเดิม แต่ขนาดช่องคลอดจะเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากช่องคลอดจะต้องขยายตัวอย่างมาก ระหว่างที่ศีรษะของทารกโผล่ออกมาออกมาขยายกว่าเดิม 5-8 เท่าเลยก็ว่าได้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อต่างๆ บริเวณนี้ยืดขยายออกคล้ายหนังสติ๊ก เช่น กล้ามเนื้อต่างๆ ภายในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น


แต่ถึงแม้ว่าช่องคลอดจะยืดขยายออกไปได้ เราก็สามารถทำให้มันหดตัวกลับคืนมาได้ ด้วยการออกกำลังกาย "ขมิบก้นและขมิบช่องคลอด" วันละประมาณ 30 ครั้ง ทำทุกวันช่องคลอดจะกระชับขึ้นและจะแข็งแรงเป็นปกติภายในระยะเวลา 3 เดือน


ในกรณีที่คุณแม่รักสวยรักงาม มักจะยอมไม่ได้ถ้าหน้าท้องมีสีคล้ำดำขึ้นจากเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ ทำให้ไปเสียเงินเสียทองด้วยการอบผิว ขัดผิว หรือหาซื้อยาต่างๆ มาทา แต่ผลสุดท้ายก็หายพร้อมๆ กับคุณแม่ที่ไม่ได้สนใจทำอะไรเช่นนั้น เพราะสีคล้ำนั้นจะค่อยๆ หลุดลอกออกมาเป็นขี้ไคลจนหมดภายใน 4-5 เดือน พร้อมๆ กับร่างกายผิวหนังชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนที่มีสีธรรมชาติ


อีกอวัยวะหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ "เต้านม" โดยที่ในช่องน้ำนมเริ่มไหล เต้านมจะคัดตึงขยายโตขึ้นจนเห็นได้ชัด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่จะไม่ปกติเมื่อนมคัดตึงจนเกิดอาการไข้ขึ้น เมื่อท่านไม่ดูแลให้ถูกวิธี การดูแลที่ถูกก็คือ เมื่อท่านมีอาการ "นมคัด" ให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นประคบรอบๆ เต้านม พร้อมๆ กับบีบนวดเบาๆ ทั่วทั้งเต้า แล้วบีบเอาน้ำนมออกมาบ้าง จนเมื่อน้ำนมออกมาจนเกลี้ยงเต้า แล้วท่านจึงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาประคบเต้านมทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังต้องใส่เสื้อยกทรงไว้เสมอ เพื่อประคองทรงป้องกันไม่ให้เต้านมหย่อนยาน เนื่องจากการขยายใหญ่โตกว่าปกติของเต้านมหลังคลอด ในกรณีที่ปวดเต้านมมาก ให้ท่านรับประทานยาพาราเซตามอล 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด ทุกๆ 6 ชั่วโมงจนกว่าจะหายปวด แต่ถ้ามีอากรบวมแดงกดแล้วเจ็บหรือไข้สูงมากควรไปพบแพทย์


และเมื่อลูกเริ่มดูดนม แม่ไม่ทราบวิธีให้นมที่ถูกต้อง เช่น ให้ลูกคาบหัวนมตื้นๆ เหงือกของลูกจะกดตรงบริเวณหัวนมทำให้ไม่มีน้ำนมไหล ลูกก็จะออกแรงดูดมากจนทำให้หัวนมของท่านแตกและเป็นแผล วิธีแก้ไขก็คือ ให้นมลูกให้ถูกวิธี โดยให้ลูกดูดนมให้ลึกจนริมฝีปากและเหงือกกดบนลานนม ทำให้แรงกดของเหงือกรีดน้ำนมออกมาได้ง่าย ท่านก็จะไม่รู้สึกเจ็บด้วย


ส่วนแผลที่หัวนม หากไม่มากให้ท่านเช็ดทำความสะอาดด้วยสำลีชุบน้ำอุ่นหลังให้นมลูก แล้วทาด้วยวาสลินครีม หรือลาโนลินครีม เพื่อให้ผิวบริเวณที่เป็นอ่อนนุ่มลง และหายแตกโดยเร็วก่อนที่จะให้นมลูกครั้งถัดไป ก็ให้เช็ดทำความสะอาดเอาครีมออกให้หมดก่อน พอลูกดูดนมเสร็จก็ทำเช่นเดิมจนกว่าจะหาย


ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นเพียง "เหตุ" ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณแม่หลังคลอดที่มักพบอยู่เสมอๆ เท่านั้น อาจมีอาการผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น ท่านควรใช้วิจารณญาณในการพิจารณา หากอาการนั้นมีผลกระทบต่อตัวท่านและลูกน้อยของท่าน เช่น เลือดออกมาทางช่องคลอด เป็นต้น ท่านควรรีบไปพบแพทย์อย่านิ่งนอนใจ


นอกจากนี้สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งผ่านการคลอดครั้งแรก ผู้เขียนขอแนะนำให้ท่านนอนหลับพักผ่อนหลังการคลอด 6 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมาท่านจะแข็งแรง ไม่มีอาการหน้ามืดเป็นลมเพราะความอ่อนเพลีย แต่ถ้าหากท่านเสียเลือดมากในระหว่างคลอด ต้องการการพักผ่อนที่มากกว่านั้น และควรมีคนเฝ้าไข้ ในระหว่างที่ท่านยังอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลไม่ควรจะเอาแต่นอน ควรฝึกหัดเลี้ยงลูกหัดเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เรียนรู้ถึงวิธีการให้นมที่ถูกต้อง การทำความสะอาด-อาบน้ำให้ลูก การอุ้มที่ถูกต้อง ฯลฯ จากพยาบาล เมื่อท่านกลับถึงบ้านจะได้ทำได้เองด้วยความคล่องตัว พึ่งระลึกเสมอว่า ถ้าท่านยังเลี้ยงลูกหรือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองจะยิ่งทำให้ท่านฟื้นตัวกลับสู่สภาพเหมือนก่อนตั้งครรภ์ได้เร็วขึ้น


ขอแถมท้ายด้วยเรื่องอาหารการกินและยาสำหรับท่านในช่วงหลังคลอด ท่านควรรับประทานยาแก้อักเสบที่แพทย์จัดให้จนหมดอย่างเคร่งครัดรับประทานยาบำรุง พวกวิตามินผสมธาตุเหล็ก คล้ายๆ กับที่ท่านรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ต่อไปอีก 4 สัปดาห์ เพื่อช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดที่ต้องเสียไปในระหว่างการคลอด และช่วยบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง แคลเซียมเสริมหรือรับโดยการดื่มนมสดวันละ 2 แก้ว แต่ถ้าท่านมีอาการท้องผูก ไม่ควรรับประทานยาระบายให้ดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทาน อาหารที่มีกาก เช่น ผักและผลไม้ปริมาณมากขึ้นแทน การรับประทานยาในระหว่างให้นมลูก ต้องระลึกอยู่เสมอว่าลูกของท่านจะได้รับยาผ่านทางน้ำนมด้วย ดังนั้นปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยานะคะ


ที่มา...นิตยสารแม่และเด็ก




 

Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2551 16:45:15 น.
Counter : 1364 Pageviews.  

ท้องนี้ไม่มีลาย (แน่นอน)




ใครว่าคนท้องมักปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่จริ๊ง ไม่จริง จีนนี่คนหนึ่งล่ะที่ขอค้านหลังชนฝา โดยเฉพาะเรื่องท้องลายนี่ แม่ท้องหลายคนกลัวกันมาก ทางไหนว่าทำแล้วไม่ท้องลาย มีหรือคุณแม่จะไม่สน


มีคำถามว่า ท้องลายเกิดขึ้นได้ยังไง เป็นแล้วจะหายไหม แล้วป้องกันได้หรือเปล่า จีนนี่เลยเกิดอาการที่เรียกว่า ก้นร้อนนั่งไม่ติดเก้าอี้ รีบค้นคว้าหาข้อมูลมาคลายข้อข้องใจให้แม่ท้องซึ่งรวบรวมได้ดังนี้ค่ะ

ท้องลายเกิดจากฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้มีการแตกตัวของโปรตีนใต้ผิวหนัง เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบของการป้องกันค่ะ


เกิดจากการยืดขยายของผิวหนังที่มากเกินไป เช่น คุณแม่น้ำหนักตัวขึ้นเยอะ จนทำให้ผิวหนังยืดตัวมากจนแตก ข้อนี้ก็ต้องพยายามควบคุมน้ำหนักตัวให้ขึ้นพอประมาณนะคะ (เดือนละประมาณ 2 กก.) เพื่อให้ผิวหนังยืดตัวอย่างช้าๆ และต่อเนื่องกัน


ท้องจะลายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของผิวหนังของคนๆ นั้นด้วยค่ะ บางคนผิวแห้ง บางคนผิวชุ่มชื้น คนที่ผิวแห้งก็ต้องสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวโดยการดื่มน้ำ ทาครีมบำรุงอย่างโลชั่น หรือน้ำมันมะกอก ขณะทาก็นวดเบาๆ ให้ทั่วเพื่อให้ผิวหนังนุ่มและยืดหยุ่น อ้อ...ทาครัมหรือโลชั่นควรทาตามแนวผิวที่แตก จะได้ไม่ไปเพิ่มรอยแตกให้มากขึ้นไปอีก


การเกาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดท้องลาย ดังนั้น ช่วงนี้ควรตัดเล็บให้สั้นๆ นะคะเพราะไม่แน่ว่าเวลานอนหลับๆ อาจเผลอไปเกาก็ได้ เมื่อคันใช้มือลูบท้องเบาๆ หากคันเพราะผิวแห้งตึงก็ควรใช้ครีมหรือโลชั่นทา แต่ถ้าเกิดอาการคันมากถึงขนาดต้องทายาควรขอคำแนะนำจากแพทย์นะคะ


ท้องลายมีสาเหตุมาจากการนอน เพราะเวลานอนตะแคงท้องจะเอียงไปด้านที่นอน ทำให้ผิวหนังด้านตรงข้ามถูกดึงรั้ง ยิ่งท้องแก่ท้องยิ่งใหญ่ น้ำหนักก็ยิ่งเยอะ โอกาสที่จะเกิดการดึงรั้งก็มีมากขึ้นค่ะ เวลานอนก็อาจจะหาหมอนใบเล็กรองไว้ที่ท้องจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นค่ะ


การใช้ครีมหรือยาทาต้องมั่นใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อเจ้าตัวน้อยในท้องด้วยนะคะ




ก็ได้คำตอบกันไปแล้วนะคะว่า ท้องลายนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ วิธีป้องกันนั้นก็อย่างที่บอกไว้แล้ว ส่วนเป็นแล้วจะหายหรือไม่นั้นคำตอบคือไม่หายค่ะ แต่อาจจะจางลงไปบ้างเท่านั้น จีนนี่ว่าอย่าไปกังวลกับเรื่องนี้มากเลยค่ะ แม่ท้องบางคนไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่ เห็นท้องทีไรก็ไม่เคยลายสักที สุขภาพของคุณแม่และหนูๆ ในท้องสำคัญกว่าค่ะ

ที่มา..นิตยสารดวงใจพ่อ




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2551 16:58:07 น.
Counter : 1201 Pageviews.  

9 วิธี ช่วยให้คุณแม่สวยปิ๊งๆ จากภายในสู่ภายนอก

1. อาหารประเภท Nice'n Easy ไม่มีจริงหรอก

อาหารง่ายที่คุณจะหาทานและปรุงได้อย่างรวดเร็วในทุกวันนี้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่ง ไก่ทอด คุณอาจจะคิดว่าง่ายและสะดวกเพียงแต่เติมน้ำร้อนหรือกดเเบอร์โทรสี่ตัวเท่านั้น… ต่ออาหารเหล่านั้นไม่ทางเลือกที่ดีเพราะมีไขมันสูง นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังทำให้คุณอ้วนได้ด้วย อย่าให้ความเคยชินและความสะดวกสบายทำให้คุณเผลิคิดว่าอาหารเหล่านี้มันดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงที่จะกินขอแนะนำว่า ถ้าคุณรู้สึกอิ่มและพอเมื่อไหร่ให้หยุดกินซะ อย่ากินเพราะคิดว่าเสียดาย หรือติดใจความอร่อย


2. เสียเหงื่อบ้างก็ดีนะ

ความกระฉับกระเฉงอาจจะมาพร้อมกับคราบเหงื่อและหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาอีกนิด เพื่อช่วยให้การเต้นของหัวใจคุณดีขึ้น ลองหากิจกรรมที่ช่วยให้เหงื่อออกมาบ้างก็ดีนะคะ ร่างกายคุณจะได้รับการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น แถมยังช่วยให้คุณดูดีขึ้นมาได้อีกต่างหากอาจจะเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายที่จะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลองเต้นแอโรบิคแค่วันละ 20 นาทีหรือถ้าไม่ชอบอยู่นิ่งๆ จะลองวิ่งออกกำลังกายก็ได้ การเต้นหรือว่ายน้ำก็เป็นการออกกำลังกายที่น่าสนใจเมื่อออกกำลังกายหนักๆ เสร็จแล้วก็หันมาคลายกล้ามเนื้อและลดอุณหภูมิในร่างกายลง


3. เพิ่มธาตุเหล็กให้ร่างกาย

ธาตุเหล็กจำเป็นต่อร่างกายอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กคือเนื้อแดงที่ไม่มีไขมัน หรือจะลองเป็นเนื้อไก่ ปลา หรือในจำพวกผักใบเขียวก็มีธาตุเหล็กสูงเช่นกัน ร่างกายของเราจะดูดซึมธาตุเหล็กจากสัตว์ได้ลำบากกว่าธาตุเหล็กสูงเช่นกัน ร่างกายของเราจะดูดซึมธาตุเหล็กจากสัตว์ได้ลำบากกว่าธาตุเหล็กจากพืชแต่ถ้าอยากให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีให้ดื่มน้ำส้มซึ่งวิตามินจะช่วยในเรื่องของการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี แต่ชาและกาแฟนั้นจะทำให้การดูดธาตุเหล็กไม่ดีนัก


4. ดื่มน้ำมากๆ เข้าไว้

คุณๆ คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าวันหนึ่งๆ เราควรดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 8 แก้วเป็นอย่างน้อย หรืออาจจำเป็นต้องมากกว่านั้นสำหรับวันที่อากาศร้อนหรือหลังออกกำลังกายน้ำสะอาดถือเป็นทางเลือกที่ดี แต่นอกจากนำแล้วเครื่องดื่มอื่นๆ อย่างน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ไร้แอลกอฮอล์ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เช่นกัน


5. ขยับตัวบ้างนะ… อย่าเอาแต่นิ่ง

ง่ายมากถ้าอยากมีร่างกายที่ฟิดพร้อมเสมอด้วยวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณสามารถทำได้ในแต่ละวัน เช่น เดินเล่นไปเรื่อย… ปั่นจักรยานไปซื้อของหน้าปากซอย ลองหาเวลาสั้นๆ ช่วงละประมาณ 10 นาที ผ่อนคลายและเคลื่อนไหวร่างกายดูบ้าง สำหรับคุณแม่ที่ทำงานการเดินขึ้นลงบันไดก็น่าจะเป็นทางเลือกสำหรับการเคลื่อนไหวร่างกายที่ดีกว่าการโดยสารลิฟท์ขึ้นลง


6. เลือกขนมทานเล่นให้ฉลาด

ขนมทานเล่นคือทางเลือกแสนง่ายสำหรับคุณๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเวลาออกไปหาอะไรทานมากนักในเวลาที่หิวจัดๆ ลองเลือกของทานเล่นให้ต่างจากอาหารมื้อหลักของคุณดู เช่น ซีเรียสรสดีกับนมไขมันต่ำแก้วหนึ่ง หรือจะเป็นผลไม้อย่างแอปเปิ้ลก็ไม่เลว ถ้าคุณเลือกมื้ออื่นๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์ดีและเพียงพอแล้วขนมกรุบกรอบอื่นๆ ที่อยากจะทานเล่นก็คงไม่เสียหายเพียงแต่ว่าอย่าให้มากเกินไปแค่นั้นแหละค่ะ อ้อแต่ขอเตือนอย่างหนึ่ง อย่าพยายามทานขนมกรุบกรอบหรือขนมกินเล่นในขณะที่ดูทีวีเพราะมันจะทำให้คุณอ้วนโดยไม่รู้ตัว เฮ้อ… ก็มันเพลินนี่นา….


7. อย่าละเลยแคลเซียมเชียวล่ะ

กระดูกและฟันที่แข็งแรงคุณก็มีได้เพียงแค่หมั่นทานอาหารที่มีแคลเซียมที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน แม้คุณจะผ่านช่วงที่กระดูกและฟันเจริญเติบโตมาแล้วก็ตาม แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมไม่บอกก็รู้ค่ะว่ามันคือนมนั่นเองรวมทั้งชีสชนิดต่างๆ ด้วยไอศกรีมหรือโยเกิร์ตก็เข้าท่าอีกอย่างที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือเต้าหู้ ธัญพืชหรือลูกเดือยหรือแม้แต่ในผักที่มีใบก็ถือเป็นแหล่งของแคลเซียมที่ดีเช่นกัน


8. กิจกรรมเพื่อสังคมมีประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจ

นอกจากออกกำลังกายธรรมดาๆ แล้ว กิจกรรมเพื่อสังคมอย่างเช่นเก็บขยะหรือปลูกต้นไม้ก็จะช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตใจของคุณแข็งแรงด้วย คนที่ทำอะไรเพื่อสังคมนี่ดูสวยเฉียบและคมจริงๆ ว่าไหมคะ


9. กินผลไม้และผักให้มากขึ้น

ผักและผลไม้ไม่มีคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแถมยังมีวิตามิน และแร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่สูงด้วย ทานผักผลไม้ให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน ในแต่ละวัน ถ้าคุณไม่แน่ใจว่า 5 ส่วนคือจำนวนเท่าไหร่… ง่ายๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ทานอาหารจะต้องมีผักผลไม้ด้วยในทุกมื้อแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ที่มา..นิตยสารรักลูก




 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2551 16:48:02 น.
Counter : 661 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Healthy Service
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุ้มสมุนไพรบริการอยู่ไฟ คุณแม่หลังคลอด
จำหน่าย ชุดอยู่ไฟ และสมุนไพร
สายด่วน 08-5426-7578 (24 ชม. ทุกวัน)http://www.KUMsamunpai.com/


จำนวนผู้เข้าเว็บ Best Free Hit Counters
Maternity Wear
Maternity Wear 234x60 70% off on over 3,000 designer fragrances SkinStore Special Offers Free Shipping
[Add Healthy Service's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com