คุ้มสมุนไพร "ภูมิปัญญาไทย เพื่อสุขภาพและความงามคุณ" บริการ อยู่ไฟ หลังคลอด ถึงบ้าน และจำหน่ายชุด อยู่ไฟ ด้วยตนเอง
 

รู้หลักเลี้ยงลูกด้วยนมขวด




คงมีคุณแม่น้อยคนนะคะที่ให้ลูกทานนมขวดอย่างเดียว เพราะอย่างไรนมแม่ก็ดีที่สุด ข้อดีนั้นคงไม่ต้องพูดกันมาก คงทราบดีกันอยู่แล้ว แต่ก็มีคุณแม่หลายท่านที่มีเหตุผลบางอย่างที่ต้องให้ลูกทานนมขวดอย่างเดียว เช่น มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ติดปัญหาเรื่องเวลา เป็นต้น

อย่างไรก็ดี เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมขวดแล้ว ก็ควรให้ความสำคัญกับการเลือกใช้นมให้ถูกประเภทด้วย มิเช่นนั้นอาจเกิดอันตรายกับทารกได้ รวมไปถึงการชงนมให้ถูกวิธี นอกจากนี้ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากมายที่คุณแม่ควรรู้ ซึ่งเราก็ได้รวบรวมมาให้อ่านตรงนี้แล้วค่ะ
รู้หลักก่อนเลือกซื้อ
ปัจจุบันมีนมผงสำหรับทารกวัยแรกที่จำหน่ายในบ้านเรามากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งก็ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทยว่าผ่านมาตรฐานแล้ว และไม่เป็นอันตรายต่อทารก ข้อสำคัญ

คุณแม่จึงควรตรวจสอบฉลากข้างกระป๋องนมให้ดี ควรเลือกชนิดของนมให้ถูกต้องกับอายุของทารก และให้เหมาะสมกับเค้า เนื่องจากทารกและคนอาจตอบสนองต่อนมแต่ละชนิดไม่เท่ากัน รวมทั้งตรวจสอบข่าวคราวต่างๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ค่ะ แต่หากไม่แน่ใจ ก็ควรปรึกษากุมารแพทย์ก่อนให้ลูกทานนะคะ ดูว่าเค้าแพ้อะไรหรือไม่ จะได้ประกันความปลอดภัยให้เค้าค่ะ


หลักเกณฑ์การเลือกชนิดของนมผง
ปัจจัยการเลือกสำคัญๆ ก็ได้แก่ ดูวันหมดอายุของนมชนิดนั้นๆ ดูส่วนประกอบของนมว่ามีอะไรบ้าง มีสารอาหารมากน้อยแค่ไหน มีการเพิ่มเติมสารอาหารที่สำคัญสำหรับทารกหรือไม่ และดูว่านมชนิดนั้นใช้สำหรับเด็กอายุเท่าใด ซึ่งจะมีบอกไว้ เช่น 0 – 1 ปี, 1 - 3 ปี และ 3 ปีขึ้นไป

จากนั้นก็มาดูความเหมาะสมด้านราคา แต่ก็ควรตัดสินคุณภาพของนมจากราคานะคะ เพราะนมที่มีราคาแพงไม่จำเป็นจะต้องเป็นนมที่มีคุณภาพดีที่สุดเสมอไป และก็อย่าเลือกเพียงว่าได้ของแถม ได้ส่วนลด หรือได้โปรโมชั่นใดๆ ให้เลือกจากความเหมาะสมที่สุดค่ะ


วิธีชงนมให้ลูก
โดยสัดส่วนของการชงนมผง จะต้องดูที่ฉลากข้างกระป๋องประกอบด้วยเสมอ เพราะแต่ละยี่ห้อจะมีสัดส่วนการชงที่แตกต่างกัน เช่น นม 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 2 ออนซ์ หรือ นม 1 ช้อนโต๊ะ : น้ำ 1 ออนซ์

การนมชงแต่ละครั้ง ควรชงเท่าที่เด็กพอทานพอนะคะ ไม่เก็บค้างไว้ ให้ชงด้วยน้ำร้อน ไม่ต้องถึงกับน้ำเดือดค่ะ ทิ้งไว้ให้อุ่นพอทานได้จนหมด ส่วนที่เหลือก็ทิ้งนะคะ เพราะหากเก็บไว้ อาจจะมีเชื้อโรคมาปนเปื้อนได้ค่ะ

สำหรับปริมาณการดื่มนมแต่ละครั้ง เนื่องจากว่าลูกน้อยแต่ละคนจะมีสัดส่วนร่างกายที่แตกต่างกัน รวมไปถึงน้ำหนักที่แตกต่างกันในแต่ละวัย จึงอาจไม่ใช้อายุในการพิจารณาก็ได้ค่ะ แต่ให้พิจารณาที่น้ำหนักตัวเป็นเกณฑ์ เช่น ถ้าลูกน้อยหนัก 5 กิโลกรัม ก็ควรให้เค้าดื่มนมในปริมาณ 5 ออนซ์ ต่อมื้อ จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ โดยให้ทานทุกๆ 3 - 4 ชั่วโมงนะคะ


วิธีทำความสะอาดขวดนม
การทำความสะอาดขวดนม ให้เริ่มล้างจากขวดนม, หัวนมยาง, ฝาครอบ, ฝาเกลียว และอุปกรณ์อื่นๆ ด้วยน้ำเปล่า จากนั้นล้างซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำยาผสมน้ำอุ่น และล้างซ้ำอีกครั้งเพื่อให้น้ำยาหลุดออกค่ะ

การล้างขวดนม คุณแม่ควรเน้นล้างบริเวณด้านในและบริเวณคอขวดและเกลียว โดยล้างให้สะอาด ส่วนการล้างหัวนมยาง ให้ใช้แปรงล้างหัวนมยางทำความสะอาด จากนั้นล้างอุปกรณ์ทุกชิ้นเป็นครั้งสุดท้าย แล้วนำขวดนมและอุปกรณ์อื่นๆ ไปทำการฆ่าเชื้อโรคค่ะ


การฆ่าเชื้อโรคขวดนมและอุปกรณ์ต่างๆ
การฆ่าเชื้อด้วยการต้ม ควรล้างอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องการฆ่าเชื้อให้สะอาดก่อนค่ะ แล้วค่อยนำไปต้มในหม้อประมาณ 25 นาที แต่วิธีนี้หัวนมยางอาจจะเสื่อมสภาพได้ง่ายค่ะ

ใช้หม้อนึ่งไอน้ำไฟฟ้า เช่นกันค่ะ ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกอย่างด้วยน้ำสะอาดก่อน แล้วค่อยนำมาอาจจะใส่น้ำลงไปในหม้อนึ่ง 2 ออนซ์ หรือดูคู่มือการใช้หม้อนึ่งซึ่งแต่ละยี่ห้ออาจแตกต่างกันค่ะ ข้อดีของวิธีนี้คือ ประหยัดเวลา รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่วนมากใช้เวลาในการนึ่งประมาณ 10 นาทีนะคะ


Tips
- เวลาให้นมลูกด้วยนมขวด คุณแม่ควรใช้มือลูบศีรษะเค้าเบาๆ นะคะ เพื่อเป็นการสื่อสารกับเค้าและสร้างสายสัมพันธ์จากแม่สู่ลูกค่ะ
- เวลาให้นมลูกควรจับก้นขวดยมให้ยกสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดลมดันเข้าท้องลูกค่ะ

ขอขอบคุณ นิตยสารแม่และเด็ก




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 21:33:59 น.
Counter : 875 Pageviews.  

สายสะดือของหนู น่าห่วงแค่ไหน?



ทันทีที่หนูเกิดมา คุณหมอกก็เอาเชือกมาผูก หรือไม่ก็ใช้แผ่นพลาสติกคล้ายไม้หนีบผ้ามาหนีบเอาไว้ เพื่อไม่ให้เลือดของหนูออก ก่อนจะตัดสายสะดือของหนูทิ้งไป และพอสายสะดือหนูเริ่มแห้งใน1-2วัน และไม่มีเลือดออก คุณหมอก็มาจัดการเอาเชือกหรือแผ่นพลาสติกที่สะดือออก

และตอนนี้คุณแม่ผู้ใจดีของหนูกำลังเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดสะดือให้หนูตั้งแต่ส่วนที่ติดกับผิวหนังจนหมด คุณหมอผู้วุ่นวายคนเดิม ยังบอกเพิ่มอีกว่า ให้คุณแม่คอยสังเกตผิวหนังภายนอกของสะดือทุกวันนะ ว่ามันไม่ร้อนแดงเพราะการอักเสบ มีกลิ่นเหม็น หรือมีหนองนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะต้องอุ้มหนูมาให้คุณหมอดู
เวลาผ่านไป1-3 สัปดาห์แล้ว สายสะดือของหนูค่อยๆหลุดออกไป แล้วก็มีเลือดออกมาเปื้อนผ้าอ้อม1-2 วัน หมอบอกคุณแม่ว่า เป็นเรื่องปกติ แต่พวกที่ผิดปกติก็คือพวกที่สายสะดือหลุดเร็ว ซึ่งอาจเกิดจากสายสะดือติดเชื้อ เพราะสายสะดือไม่สะอาด

ส่วนเด็กที่พอสายสะดือหลุดแล้วเลือดออกมามาก ก็ควรที่จะพามาหาหมอเพื่อความปลอดภัยของหนู แต่ถ้าสายสะดือหลุดไปแล้ว 1 อาทิตย์ ยังมีน้ำใสๆหรือมีหนอง ทั้งที่ทำความสะอาดดีแล้ว อาจใส่ยาซิลเวอร์ไนเตรทเข้มข้นทาลงไปก็ได้

ถึงแม้หนูจะดูปกติดี แต่คุณแม่ก็ยังกังวลใจเรื่องสะดือของหนูต่อไปอีก เพราะสะดือของหนูมันจุ่นเหลือเกิน จะเป็นเพราะตอนหนูคลอดแล้วพยาบาลตัดสายสะดือให้หนูไม่ดีหรือเปล่า

คุณหมอบอกว่า มันไม่เกี่ยวกับการตัดสายสะดือให้ดีหรือไม่ และบอกกับคุณแม่ว่า ไม่มีอะไรน่าห่วง และไม่ต้องรักษาอะไร เพราะในที่สุดมันก็จะหายไปเอง เพราะความใสใจของคุณแม่ ตอนนี้หนูจึงโตขึ้นและมีสะดือสวยๆไม่อายใครๆด้วย
ความเชื่อเกี่ยวกับการตัดสายสะดือ

ความเชื่อ
คนสมัยก่อนจะมีความชื่อว่า สะดือหรือสายสะดือ ที่ต่อจากสะดือของทารกในครรภ์เพื่อรับอาหารจากแม่นั้น เมื่อมีการทำคลอด หมอตำแยจะใช้ไม้ไผ่ตัดสายสะดือของเด็ก ซึ่งการตัดสายสะดือนั้นก็มีความสำคัญ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าตัดสายสะดือให้เหลือสั้นเกินไป เมื่อเด็กน้อยผู้นั้นเติบโตขึ้นมาจะเป็นคนที่ใจร้อน วู่วาม โมโหง่าย นอกจากนั้นยังมีความเชื่ออีกว่า หากพ่อแม่เก็บเอาสายสะดือที่หลุดออกจากร่างกายของลูกทุกคนมาตากแดดเก็บเอาไว้ ต่อมาถ้านำเอาสายสะดือเหล่านั้นมาแช่น้ำให้ลูกๆดื่ม มีความเชื่อว่าลูกๆทุกคนจะมีความรักอย่างแน่นแฟ้น

ความคิด
นายแพทย์ ธงชัย ศิริติกุล กุมารแพทย์ ให้ความคิดเห็นว่า “คงไม่จริง ตามหลักวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ไม่มีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ โดยตามหลักสรีระแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้

ความเป็นจริง
สายสะดือ เป็นสายที่เชื่อมต่อระหว่างทารกและมารดา เป็นสายที่นำส่งอาหารจากแม่มาสู่ลูกหลังคลอดทารกจะถูกตัดสายสะดือในระยะ 4-5 ซม.จากหน้าท้อง สายสะดือจะถูกบีบไว้ด้วยตัวหนีบ จากนั้นสายสะดือจะเริ่มแห้งและหลุดภายในประมาณ 7-10 วัน ทารกบางคนอาจเกิดภาวะไส้เลื่อนมาที่บริเวณสะดือ ทำให้ดูสะดือโป่ง อาการดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 1 ปี แต่หากทารกมีรอยโป่งที่สะดือใหญ่ผิดปกติ หรือไม่ยุบหายไปตามกาลเวลา ควรปรึกษาแพทย์


ขอขอบคุณ นิตยสาร บันทึกคุณแม่





 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 21:18:18 น.
Counter : 2121 Pageviews.  

เตรียมหัวนมอย่างไรก่อนคลอด

ตั้งใจไว้ว่ายังไงซะก็จะต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้ แล้วแบบนี้เราจะต้องเตรียมหัวนมอย่างไรบ้างนะก่อนคลอด เพื่อเวลาที่เจ้าตัวเล็กออกมาจะได้กินนมแม่แบบสบายๆ

สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่รู้หรือว่ายังไม่แน่ใจว่าตอนที่กำลังตั้งครรภ์ เราจะต้องดูแลหัวนมเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า เพื่อว่าพอลูกน้อยออกมาปั๊บก็ได้อิ่มอร่อยกับนมแม่ปุ๊บเลย คุณมีนะ สพสมัยมีคำแนะนำดีๆ สำหรับการเตรียมดูแลหัวนมก่อนจะคลอดมาฝากค่ะ

การเตรียมดูแลเต้านมก่อนคลอดไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ดูแลตามปกติเพราะหัวนมถูกเตรียมมาโดยธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงในระหว่างตั้งครรภ์อยู่แล้ว คือตรงบริเวณเต้านมจะมีเลือดมาเลี้ยงเยอะ มีความนุ่มนวลที่เกิดจากต่อมไขมันที่เกิดขึ้นบริเวณหัวนม ทำให้ตรงบริเวณนั้นนุ่มขึ้น แล้วก็มีความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบๆ หัวนม อันเนื่องมาจากการทำงานของฮอร์โมน เพราะฉะนั้นหัวนมของแม่ถูกธรรมชาติสร้างและเตรียมมาให้อยู่แล้ว เราไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษมากมาย

แต่สิ่งที่สำคัญที่คุณแม่ควรจะทำในช่วงก่อนคลอดก็คือ การสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองค่ะ คนที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นั้น สิ่งสำคัญมาจากความมั่นใจว่าตัวเองอยากให้ และสามารถที่จะให้นมลูกได้ หรือถ้ามีเวลาก็หาข้อมูลให้เยอะๆ อาจจะลองฝึกอุ้มลูกในท่าต่างๆ หรือคุยกับคุณแม่ที่มีประสบการณ์ในการให้นมลูก ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ลูกได้ค่ะ


ปัญหาเรื่องหัวนม

หลายคนจะคิดว่า ตัวเองมีปัญหาเรื่องหัวนม เช่น หัวนมบอด หัวนมยาว แบบนี้จะให้นมลูกได้หรือเปล่า ก็ขอบอกตรงนี้เลยนะคะว่าไม่ว่าจะหัวนมแบบไหนก็ไม่เป็นปัญหาทั้งนั้น เพราะเวลาที่ลูกดูดนมการดูดที่ถูกต้องคือ เด็กจะดูดตรงลานนมเข้าไปด้วย ไม่ใช่แค่ที่หัวนมอย่างเดียว แล้วเวลาที่เขาดูดก็จะช่วยยืดกล้ามเนื้อตรงหัวนม จนกระทั่งมันยืดยาวพอที่เขาจะอมเข้าไปได้

อีกอย่างเขาก็ใช้สัญชาตญาณในการอยู่รอดหาวิธีที่จะงับลงบนลานนมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นความสำคัญจึงอยู่ที่ความมั่นใจของคุณแม่ และการให้ลูกได้กินนมแม่เร็วที่สุดใน 2 ชั่วโมงแรก เพื่อกระตุ้นให้ลูกเกิดการเรียนรู้ที่ดูดนมจากอกแม่ และหลังจากนั้นเขาก็จะสามารถดูดนมแม่ได้เองค่ะ

แต่สำหรับคุณแม่ที่ไม่แน่ใจว่าหัวนมตัวเองนั้นใช้ได้หรือไม่ สั้นไปหรือเปล่า หรือหัวนมบอด ลองใช้วิธีนี้ตรวจสอบดูค่ะ
คุณแม่ลองใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางบนลานนมให้ช่องว่างระหว่างนิ้วอยู่ที่หัวนมเหมือนกับคีบบุหรี่ และให้ดูว่าคุณแม่สามารถคีบหัวนมได้หรือไม่ ถ้าสามารถคีบได้นั่นแสดงว่าหัวนมปกติค่ะ เพราะมีคุณแม่บางคนที่คิดว่าตัวเองหัวนมบอดหรือหัวนมสั้นเนื่องจากเวลาใส่เสื้อชั้นใน แล้วเสื้อชั้นในกดทับหัวนม ทำให้เข้าใจว่าตัวเองหัวนมสั้นหรือหัวนมบอด ซึ่งถ้าเกิดหัวนมคุณแม่บอดจริงๆ จะสังเกตได้จากเวลาที่คีบแล้วหัวนมจะไม่โผล่ขึ้นมาเลย

วิธีแก้ไขคือ ก่อนคลอดคุณแม่พยายามนวดหรือดึงให้หัวนมขึ้นมาก็จะพอช่วยได้ค่ะ หรือจะลองวิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้านดูก็คือ เวลาที่คุณแม่ให้นมลูกก็กดเต้านมให้แบนลงไป เพื่อที่หัวนมจะได้โผล่มาได้มากขึ้น

สำหรับคุณแม่ที่รู้สึกว่าตัวเองหัวนมยาว คำตอบก็คือ ถ้าลูกดูดนมแม่หัวนมจะไม่ยาวเพิ่มค่ะ เวลาที่ลูกดูดเสร็จหัวนมก็จะหดกลับ การที่คุณแม่มีหัวนมยาวก็เหมือนลูกต้องกินอาหารชิ้นโตๆ นั่นล่ะค่ะ คือเขาจะสามารถกินได้ เพียงแต่ว่าต้องอ้าปากให้กว้างหน่อยเท่านั้นเอง

และการที่หัวนมยาวก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะเวลาที่ลูกดูดนมแม่ ทำให้กล้ามเนื้อค่อยๆ ยืดและยาวไปจนถึงจุดรอยต่อระหว่างเพดานอ่อนกับเพดานแข็งในปากลูก ซึ่งพอลูกดูดแล้วกลืนจะทำให้หัวนมของแม่ไปกระตุ้นตรงบริเวณด้านบน ซึ่งเป็นจุดที่สามารถกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในเรื่องของการดูด การกลืน และช่วยป้องกันการสำลัก ถ้าเราเอาหัวนมเข้าปากลูกน้อยเกินไป ลูกมีโอกาสจะสำลักได้เยอะกว่าค่ะ


ดูแลหัวนม

จะว่าไปแล้วแค่การอาบน้ำดูแลร่างกายตามปกติก็เพียงพอแล้วค่ะ การใช้ครีมคงไม่จำเป็นเท่าไรถ้าผิวคุณแม่ไม่ได้แห้งมากเกินไป แต่เพื่อความสบายใจถ้าอยากจะใช้ครีมบำรุงก็ใช้ได้ค่ะ เช่น พวกโลชั่นหรือน้ำมันมะกอกก็ได้ แต่ควรเลือกชนิดที่ไม่กระตุ้นให้เกิดการแพ้ ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีการดูดซึมดี เพราะเมื่อผิวชุ่มชื่น ก็จะช่วยลดอาการแตกลายได้ แต่ถ้าคุณแม่เลือกครีมที่มีความเหนอะหนะมากเกินไป จะทำให้ผิวบริเวณนั้นอุดตันกับไขมัน ต่อมไขมันจะไม่สามารถขับน้ำออกมาได้ ทำให้เกิดตุ่มสิวขึ้นมาได้ค่ะ

สบู่ที่ใช้ควรมีความเป็นกรดด่างที่น้อยๆ เพราะว่าผิวคุณแม่ช่วงนี้มีการขับไขมันออกมาเยอะ คุณแม่จะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว และไม่สยายใจด้วยว่าตัวเองสะอาดแล้วหรือยัง เพราะฮอร์โมนในร่างกายช่วงที่คุณแม่ตั้งท้องทำให้สีผิวเปลี่ยนเป็นสีที่คล้ำขึ้น คุณแม่บางคนจึงอาจจะเข้าใจว่าตัวเองสกปรกเลยใช้สบู่หรือมีการทำความสะอาดบริเวณเต้านมมากจนเกินไป ซึ่งก็ไม่ดี เพราะจะทำให้ผิวแห้งแล้วแบคทีเรียที่ช่วยปกป้องร่างกายของเราถูกกำจัดออกไปด้วย ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงไป การปกป้องผิวบริเวณนั้นก็ลดลงด้วย

และยังมีผลต่อเนื่องตามมาอีกค่ะ คือหัวนมแตก ปกติหัวนมแตกจะพบในช่วงหลังคลอด จากการดูดไม่ถูกวิธี หรือการดูดแรงเกินไปของลูกประมาณ 99.99% ส่วนอีก 0.01% เกิดได้ก่อนคลอดนี่ล่ะค่ะ จากการที่คุณแม่ดูแลพิถีพิถันกับบริเวณหัวนมมากจนเกินไป บางคนก็ดึงเอาจุกไขมันที่อยู่ในหัวนมที่จะมีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆ ออก เพราะเข้าใจว่าเป็นสิ่งสกปรก ก็ต้องบอกให้เข้าใจเลยค่ะว่า คุณแม่อย่าไปดึงออก เพราะไขมันตรงนั้นเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้ และไขมันตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไรกับลูก แต่ถ้าเราไปดึงออก ไปถูสบู่เยอะเกินไป บริเวณนั้นจะเกิดการแห้งและทำให้หัวนมแตกในที่สุด


สร้างความคุ้นเคย

เวลาที่คุณแม่ให้ลูกดูดนมครั้งแรกๆ จะรู้สึกเจ็บๆ ตึงๆ นั่นเป็นเพราะตรงหัวนมจะมีเส้นประสาทมาเลี้ยงเยอะ และคุณแม่ยังไม่คุ้นเคยค่ะ ซึ่งถ้าสร้างความคุ้นเคยไว้บ้างก็จะช่วยให้คุณแม่เจ็บน้อยลง ตำราฝรั่งเขาก็บอกวิธีสร้างความคุ้นเคยไว้ค่ะ คือให้คุณแม่ลองใช้ผ้าเช็ดตัวถูบริเวณหัวนมเบาๆ หลังอาบน้ำเสร็จ เพื่อให้เกิดการสัมผัสที่เปลี่ยนไปจากสัมผัสธรรมดาเวลาที่เราอาบน้ำ และทำให้หัวนมคุ้นเคยกับการถูกกระตุ้นค่ะ

และสุดท้ายอย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและหมั่นสร้างความมั่นใจให้ตัวเองบ่อยๆ ค่ะ ไม่ว่าหัวนมเราจะเป็นแบบไหน เราก็จะสามารถให้นมลูกและเลี้ยงเขาจนโตได้

ที่มา.. นิตยสารรักลูก




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 21:10:18 น.
Counter : 5711 Pageviews.  

พาเบบี๋ไปอาบน้ำ

การอาบน้ำให้ทารกแรกเกิด นับเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้คุณแม่มือใหม่เป็นกังวล อาจจะด้วยความไม่คุ้นเคย หรือกังวลว่าจะอาบแล้วจะทำให้ลูกน้อยเจ็บตัว เป็นต้น แต่จริงๆ แล้ว การอาบน้ำให้ทารกไม่ยากเลย อาศัยเทคนิคเล็กน้อย และอาบให้เค้าบ่อยๆ ไม่นานก็จะง่ายเองค่ะ



ก่อนพาหนูไปอาบน้ำ อย่าลืมเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้นะคะ
1. ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ และผ้าขนหนูเล็กสำหรับเช็ดตัว
2. แชมพูสำหรับทารก
3. สบู่หรือครีมอาบน้ำสำหรับทารก
4. สำลีก้อน
5. แป้งฝุ่น
6. ตุ๊กตาหรือของเล่น (นี่ล่ะ สำคัญเลย)


พร้อมแล้ว ก็พาหนูลงอ่างได้เลยค่ะ ส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ก็ควรวางของไว้ใกล้ๆ มือคุณแม่นะคะ จะได้หยิบใช้ถนัดๆ ก่อนอื่นให้คุณแม่ผสมน้ำเย็นกับน้ำร้อน โดยใช้หลังมือของคุณแม่วัดอุณหภูมิดูก่อน อุณหภูมิที่เหมาะกับหนูก็สังเกต
ง่ายๆ ค่ะ คือเท่าที่มือคุณแม่จะทนความร้อนได้นั่นล่ะค่ะ


แต่...อ๊ะ อ๊ะ รู้ก่อนไว้นะ
คุณแม่ควรทำความเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่จะต้องระวังเป็นพิเศษ คือ สะดือของหนู ซึ่งหากสะดือของหนูยังไม่หลุด อย่าเพิ่งอาบน้ำให้หนูเลยค่ะ เปลี่ยนมาใช้วิธีเช็ดตัวแทนดีกว่า โดยเช็ดตัวให้หนูวันละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเช้า และ ช่วงเย็น เพราะถ้าสะดือของหนูแฉะหรือชื้น จะทำให้หนูติดเชื้อได้ค่ะ
อย่างไรก็ดี คุณแม่คะ สะดือของหนูจะแห้งและหลุดเองประมาณ 7 - 10 วัน ตอนนั้นคุณแม่ก็อาบน้ำให้หนูได้เลยนะคะ เพราะหนูน่ะ อยากเล่นน้ำจะแย่อยู่แล้ว

อยากให้หนูสะอาด อาบน้ำให้หนูตามนี้เลยค่ะ
คุณแม่ก็ใช้มือข้างที่ถนัดช้อนไหล่และคอของหนู ผ่านใต้รักแร้ ส่วนมืออีกข้างประคองก้นและอุ้มหนูเอาไว้ จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำอุ่นหมาดๆ เช็ดที่ตาหนูทั้งสองข้าง แล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดตรงจมูกและปากของหนู ส่วนรูจมูก ให้ใช้สำลีชุบน้ำหมาดๆ ม้วนให้แน่น แล้วสอดเข้าไปเช็ดแต่ละข้าง แล้ววักน้ำเพื่อล้างคอ หน้าอกและลำตัวส่วนบนของหนู จากนั้นใช้ฟองน้ำลูบตัว แล้วใช้มือถูสบู่ให้เป็นฟองและถูตัวหนูท่อนบน

ส่วนมือของหนูก็ให้ถูเป็นอันดับสุดท้าย แล้วจับมือหนู เช็ดสบู่ออกจากมือ ต่อไปจึงเช็ดแขนและลำตัวค่ะ (แต่จริงๆ จะสลับลำดับก็ได้นะคะ แล้วแต่ความสะดวกค่ะ ขอเพียงอาบน้ำให้หนูให้สะอาดเป็นพอค่ะ)

ข้อสำคัญ การถูสบู่ให้หนู คุณแม่ควรเน้นตรงข้อพับและซอกคอหน่อยนะคะ และต้องพลิกตะแคงถูด้านหลังให้ทั่วด้วย โดยใช้สำลีหรือฟองน้ำ จากนั้นก็ฟอกสบู่ตัวหนูท่อนล่าง แล้วเช็ดสบู่ออกให้หมด แต่คุณแม่ไม่ควรแช่ตัวหนูลงในอ่างน้ำนานๆ นะคะ


สระผมให้หนูก็ง๊าย...ง่าย
ให้คุณแม่อุ้มหนูแนบไว้ทางข้างซ้ายของลำตัว โดยให้ลำตัวหนูทอดอยู่บนแขนซ้าย ส่วนศีรษะหนูอยู่ในอุ้งมือ และอย่าลืมใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางพับหูของหนูปิดไว้เพื่อป้องกันน้ำเข้าหูค่ะ ใช้ฟองน้ำลูบผมหนูให้ทั่ว แล้วฟอกด้วยแชมพูสำหรับทารก จากนั้นใช้ฟองน้ำล้างให้สะอาด แล้วเช็ดผมของหนูให้แห้งทันทีค่ะ

อาบน้ำก็แล้ว สระผมก็แล้ว ต่อไปก็...เช็ดตัว
คุณแม่ก็ใช้แขนสองข้างอุ้มช้อนตัวหนูขึ้นจากอ่าง แล้ววางบนผ้าเช็ดตัวและเช็ดตัวให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณข้อพับต่างๆ ห่อหุ้มตัวหนูให้อบอุ่น ก่อนโรยแป้งฝุ่นให้ทั่วตัวหนู แล้วนุ่งผ้าอ้อม ใส่เสื้อ หวีผมหนูเบาๆ ให้เรียบร้อยค่ะ


เล็กๆ น้อยๆ กับข้อควรระวังในการอาบน้ำให้หนู

อุณหภูมิของน้ำควรเท่ากับอุณหภูมิของร่างกาย อย่าให้น้ำร้อนจนเกินไป วิธีวัด ก็ใช้หลังมือของคุณแม่วัดดูตามที่บอกนะคะ

ในระหว่างที่อาบน้ำ คุณแม่ควรสังเกตอวัยวะต่างๆ ของหนู เช่น ตา หู ปาก ผิวหนัง ไปด้วยว่าปกติดีหรือไม่

ห้ามใช้สบู่ของผู้ใหญ่อาบน้ำให้หนูเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้หนูแพ้ได้ค่ะ

ควรอาบน้ำให้หนูให้เสร็จภายใน 5 - 7 นาที อย่าให้หนูแช่น้ำนานเกินไป

ไม่ควรอาบน้ำให้หนูทันทีหลังให้นม ควรพักสักหนึ่งชั่วโมงก่อนจึงพาหนูไปอาบค่ะ

หากหนูร้องเวลาอาบน้ำ ควรใส่น้ำในอ่างให้ท่วมตัวหนู พยายามอย่าให้มีส่วนของร่างกายหนูโผล่พ้นน้ำมากนัก ช่วงที่นำหนูลงน้ำ

พยายามจับแขนและมือของหนูให้อยู่ที่หน้าอก เพื่อให้หนูรู้สึกปลอดภัยนะคะ

คุณแม่อาจพูดคุยหรือร้องเพลงให้หนูฟังไปด้วย ในขณะที่อาบน้ำให้หนู เพื่อสร้างความเพลิดเพลินค่ะ

ถ้าหน้าหนาว อย่าเพิ่งรีบถอดเสื้อผ้าของหนูนะคะ ให้เช็ดหน้าหนูให้เสร็จก่อน เพื่อทำความสะอาดร่างกายส่วนบนของหนู

ขอขอบคุณ นิตยสารแม่และเด็ก




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 21:00:16 น.
Counter : 1965 Pageviews.  

อาหารสำหรับว่าที่คุณแม่

อาหารสำหรับว่าที่คุณแม่




นับเป็นโอกาสดีที่คุณแม่จะปรับปรุงนิสัยการกินของตนเองในช่วง 9 เดือน อาหารที่รับประทาน นอกจากต้องมีสารอาหารครบถ้วน ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ ยังต้องมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้นด้วย ได้แก่
อาหารที่ให้โปรตีน เช่น ไข่ นม เนื้อสัตว์ และถั่วเมล็ดแห้ง ควรรับประทานไข่วันละ 1-2 ฟอง นมสดวันละ 1-2 แก้ว หรือเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ ทั้งสัตว์บกและสัตว์ทะเล ซึ่งจะได้ธาตุไอโอดีนด้วย อาหารประเภทเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ก็มีโปรตีนไม่แพ้เนื้อสัตว์เช่นกัน

อาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ไขมัน ควรรับประทานพอประมาณร่วมกับอาหารโปรตีน สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับพลังงานมากขึ้นวันละประมาณ 300 แคลอรี่ และควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพราะอาหารที่ให้พลังงานอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังย่อยยากและทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย

อาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่ ควรรับประทานผักผลไม้ทุกวันสลับกันไป เพื่อจะได้วิตามินและกากใยอาหารเพื่อช่วยในการขับถ่ายด้วย เกลือแร่ที่สำคัญ ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และไอโอดีน

นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว น้ำจะช่วยละลายอาหารที่รับประทานให้เหลวขึ้น ซึ่งดีสำหรับทารก และช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นด้วย

ท้องที่โตขึ้นทุกวัน มักพาเอาอาการอีกหลายอย่างมาเป็นของแถม เช่น ปวดหลัง ตะคริว ท้องผูก ฯลฯ แต่อาการเหล่านี้ แก้ไขได้ค่ะ เพียงแค่เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า และหลีกเลี่ยงของแสลงบางอย่าง เท่านี้ก็ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้แล้ว

โลหิตจาง

ช่วงที่ตั้งครรภ์ เม็ดเลือดแดงจะถูกสร้างเพิ่มขึ้น เพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงร่างกายคุณแม่กับเจ้าตัวน้อย และยังต้องเผื่อการสูญเสียเลือดขณะคลอดอีกด้วย ถ้ารู้สึกเหนื่อย หน้าซีด มือเล็บซีด เป็นลมง่าย ก็น่าสงสัยว่าจะได้รับธาตุเหล็กน้อยไป

อาหารที่ควรรับประทาน คืออาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ตับ เนื้อไม่ติดมัน อาหารทะเล นม ไข่ งา ถั่วเหลือง ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ผักปวยเล้ง และมะเขือเทศ วิตามินซีช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรซื้อวิตามินสำเร็จรูปมากินเองนะคะ ปรึกษาคุณหมอที่ฝากท้องก่อนจะดีกว่า

ตะคริว

เป็นสัญญาณว่าร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ เพราะต้องแบ่งไปให้เจ้าตัวน้อยสร้างกระดูกและฟัน วิธีแก้ไขก็คือ เพิ่มอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม กุ้งฝอย ปลาตัวเล็กๆ งาดำ ถั่วแดงหลวง ใบยอ ตำลึง

ปวดหลัง

เพราะต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น แถมฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ยังทำให้เส้นเอ็นยืดขยาย ข้อต่อต่าง ๆ คลายตัวหลวมมากขึ้น ความแข็งแรงของข้อลดลง จึงทำให้ปวดหลังได้ ต้องหมั่นทำหน้าเชิด ยืดไหล่ หลังตรงเข้าไว้ และไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูง

อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ น้ำมันปลาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการอักเสบของข้อกระดูกได้ ขิง ขมิ้น ช่วยบรรเทาปวดจากกล้ามเนื้อและข้ออักเสบ กะหล่ำดอก ผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง ช่วยทำให้สร้างมวลกระดูกได้ดีขึ้น

จุกเสียดยอดอก หรือที่เรียกว่า Heartburn

เกิดจากมดลูกขยายตัวไปเบียดกระเพาะอาหาร จนทำให้ใส่อาหารได้น้อย ย่อยช้า ท้องอืด ผสมกับการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง อันเนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ทำให้น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับมายังหลอดอาหาร

วิธีแก้ไขก็คือ รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารทอด กาแฟ น้ำอัดลม นม ช็อกโกแลต จะทำให้ท้องอืดมากขึ้น ส่วนน้ำขิง น้ำมะตูม ช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร และแก้ลมจุกเสียด

ท้องผูก

ขณะตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่คอยป้องกันมดลูกบีบตัวแรง กลับทำให้กล้ามเนื้อลำไส้ผ่อนคลาย และหดตัวน้อยไปด้วย ลำไส้จะเคลื่อนที่ช้าลง น้ำถูกดูดซึมกลับเข้าร่างกายจำนวนมาก ทำให้อุจจาระแข็ง เกิดอาการท้องผูกได้ ยิ่งถ้าเป็นเส้นเลือดขอดบริเวณทวารหนัก เนื่องจากน้ำหนักของมดลูกไปทับเส้นเลือดดำตรงนั้นพอดี ก็จะกลายเป็นริดสีดวงได้ง่าย ๆ

วิธีแก้ไขก็คือ รับประทานอาหารเป็นเวลา ดื่มน้ำมากๆ รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยสูง ช่วยในการขับถ่าย เช่น รำข้าว ข้าวซ้อมมือ ขี้เหล็ก มะขาม ลูกพรุน ไม่ควรซื้อยาระบายมารับประทานเอง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้

แขนขาบวม

หากมีอาการบวมเล็กน้อย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนท้อง เนื่องจากร่างกายมีการสะสมของน้ำเพิ่มขึ้น และยังเป็นอาการชวนสงสัยว่าคุณอาจจะมีความดันโลหิตสูง
วิธีแก้ไขคือ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม ช็อกโกแลต และคาเฟอีน ส่วนกะหล่ำปลีและขึ้นฉ่ายฝรั่ง ช่วยลดความดันได้

นอนไม่หลับ

อาจเป็นความกังวล ขี้ร้อน รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว อาหารที่ช่วยได้ก็คือ นมอุ่น ๆ หรือน้ำขิง ก่อนนอน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น อาหารที่มีโปแตสเซียมช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น ส้ม ลูกพรุน กล้วย อะโวคาโด ผักปวยเล้ง ผักกาดหัว และแครอท ส่วนว่านหางจระเข้ช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า หากคุณนอนไม่พอ

อาการน่ารำคาญเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเอง หันมาสนุกและมีความสุข รอเจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลกดีกว่าค่ะ
โดย เอมอร คชเสนี
ข้อมูล //www.manager.co.th




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 14:33:18 น.
Counter : 1078 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Healthy Service
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุ้มสมุนไพรบริการอยู่ไฟ คุณแม่หลังคลอด
จำหน่าย ชุดอยู่ไฟ และสมุนไพร
สายด่วน 08-5426-7578 (24 ชม. ทุกวัน)http://www.KUMsamunpai.com/


จำนวนผู้เข้าเว็บ Best Free Hit Counters
Maternity Wear
Maternity Wear 234x60 70% off on over 3,000 designer fragrances SkinStore Special Offers Free Shipping
[Add Healthy Service's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com