คุ้มสมุนไพร "ภูมิปัญญาไทย เพื่อสุขภาพและความงามคุณ" บริการ อยู่ไฟ หลังคลอด ถึงบ้าน และจำหน่ายชุด อยู่ไฟ ด้วยตนเอง
 

จัดการ ผื่น รุม ลูกอ่อน

โดย : ชาดา

ผื่นที่เกิดขึ้นกับเนื้อเนียนบางของลูกน้อย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยย่อมต้องสร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ และเพราะบางครั้ง ผดผื่นที่เกิดขึ้นนั้นเลี่ยงไม่ได้ ความเข้าใจและรับมือเมื่อผดผื่นมาทักทาย จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบค่ะ

ใบหน้า

กลากน้ำนม ฟังจากชื่อแล้วไม่ได้เกิดจากคราบน้ำนม เชื้อรา ไวรัส หรือการกินนม หกเลอะเทอะ แต่เกิดจากผิวหนังแพ้และมีความไวต่อแสงแดด

ลักษณะของกลากน้ำนมเป็นวงสีขาวจาง มีขุยลอกบางๆ ไม่มีขอบเขตของวงชัดเจน ลูกจะไม่เกิดอาการคันใดๆ และมักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า เราจึงมักเข้าใจไปว่าเกิดจากการที่นมเลอะเทอะ

Care it

เลี่ยงการถูกแสงแดด แต่หากจำเป็นต้องอยู่กลางแดด ควรสวมหมวก กางร่ม หรือใช้ผ้าอ้อมบังแดดให้ลูกน้อย

อาบน้ำและดูแลรักษาความสะอาดตามปกติ ไม่จำเป็นต้องทายาหรือทากันแดด หากลูกอายุยังไม่ถึง 6 เดือน

ศีรษะ

คราบสะเก็ดหนาๆ บนหนังศีรษะ สำหรับเด็กแรกเกิดถือเป็นเรื่องปกติ คือคราบไขมันที่แห้งกรังอยู่บนหนังศีรษะ ไม่ใช่อาการของโรคผิวหนัง แต่เป็นคราบไขมันที่ยังหลุดลอกไม่หมดตั้งแต่ในท้องคุณแม่ค่ะ

มีลักษณะคล้ายรังแค ลูกน้อยจะไม่มีอาการคันใดๆ เกิดขึ้นที่หนังศีรษะ ลูกจะไม่มีอาการคันและหายภายใน 1-2 สัปดาห์ค่ะ

Care it

ใช้เบบี้ออยล์ทาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วสระผมด้วย แชมพูเด็กตามปกติ คราบก็จะหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น

ไม่จำเป็นเลยที่ต้องเช็ดถูแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังอักเสบ

ผิวหนังตามตัว

แขน ขา หลัง บริเวณข้อพับ ผดเหงื่อ บ้านเราเป็นเมืองร้อนไม่ว่าจะวันฝนพรำหรือหนาว อากาศก็ยังร้อนและทำให้เหงื่อออกอยู่ดี ผู้ใหญ่เรามีวิธีจัดการกับเหงื่อได้ค่ะ แต่ลูกนอนในท่าเดียว หรือขยับตัวไม่บ่อย ผดเหงื่อก็เกิดขึ้นได้ บริเวณที่มักจะเกิดขึ้นก็เป็นส่วนที่อับชื้น และไม่ค่อยได้สัมผัสกับอากาศ เช่น ข้อพับแขน หรือขา รักแร้ หรือบริเวณลำคอ

ผดเหงื่อมีทั้งลักษณะที่เป็นตุ่มน้ำเม็ดเล็กๆ หรือตุ่มแดง และทำให้ลูกน้อยคัน ซึ่งก็อาจจะทำให้ลูกน้อยไม่สบายตัวได้

Care it

หากอากาศร้อนมาก อาจจะอาบน้ำหรือเช็ดตัวให้ลูกวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น

หลังอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวให้แห้ง และสวมเสื้อผ้าที่บางเบาสบาย

ก้น ขาหนีบ ข้อพับขา

ผื่นผ้าอ้อม เพราะผิวลูกน้อยยังบอบบาง การสวมผ้าอ้อมนานเกินไป บวกกับเปียก อับ ชื้น แฉะที่เกิดจากทั้งปัสสาวะและอุจจาระนั้น ก็ทำให้เกิดผื่นขึ้นได้ บริเวณที่เกิดขึ้นก็คือส่วนที่ผ้าอ้อมสัมผัสนั้นเอง โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศ ก้น ขา หนีบหรือต้นขาด้านใน

ผื่นผ้าอ้อมจะมีลักษณะเป็นตุ่มหรือปื้นแดง นูนขึ้นมาและอาจจะเป็นได้มากกว่าหนึ่งตำแหน่ง

Care it

ปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ ปล่อยให้ก้นลูกได้สัมผัสกับความโล่งบ้าง

เลือกผ้าอ้อมที่ไม่คับหรือหลวมเกินไป ทดลองด้วยการใช้นิ้วคุณแม่สอด หากสอดนิ้วได้แสดงว่าผ้าอ้อมขนาดพอดีค่ะ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าอ้อม ควรเช็ดล้างก้นและอวัยวะเพศให้สะอาด และปล่อยให้แห้งก่อน ใส่ผ้าอ้อมตัวใหม่

กรณีที่เป็นแบบเรื้อรังและไม่หายนานกว่า 1 สัปดาห์ ควรพาลูกน้อยพบคุณหมอจะดีกว่าซื้อยารักษาผดผื่นมาทาเอง เพราะลูกอาจจะแพ้ยาได้

พื้นฐานง่ายๆ ดูแลเมื่อลูกเป็นผื่น

เมื่อลูกน้อยเกิดผดผื่น มีหลักการง่ายๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลลูกน้อย

อย่าแคะ แกะ เกา บริเวณที่เป็นผดผื่น หรือมีตุ่มน้ำใสๆ ก็อย่าทำให้แตก

หากต้องสัมผัส หรือเช็ดบริเวณที่เป็นผื่น ก็ควรทำอย่างเบามือ เพราะการสัมผัสแรง อาจจะทำให้อักเสบได้ง่าย

ช่วงที่เป็นผื่น ควรให้ลูกสวมเสื้อผ้าแบบบางเบาให้ผิวได้สัมผัสอากาศภายนอก จะดีกว่าอับชื้นในเสื้อผ้าที่หนาเตอะ

ตัดเล็บลูกให้สั้นเสมอ เพื่อป้องกันลูกเกาจนผิวหนังแสบถลอก

เมื่อลูกเป็นผื่นนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ ไม่มีทีท่าว่าจะหาย ควรพบคุณหมอ ไม่ควรซื้อยามาทาหรือให้ลูกกินเองค่ะ

เมื่อเข้าใจสาเหตุของหลากหลายผื่นแล้ว การรับมือกับตุ่มผื่น ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลได้ค่ะ

ที่มา MODERNMOM




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2552    
Last Update : 28 ตุลาคม 2552 14:23:34 น.
Counter : 1630 Pageviews.  

กำจัดน้ำมูก ให้เจ้าจอมซน

ที่มาของน้ำมูก

น้ำมูก เป็นสารคัดหลั่งที่อยู่ในโพรงจมูก ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นภายในรูจมูก มีลักษณะใส ๆ ถ้ามีการระคายเคืองภายในรูจมูกมาก จะมีการผลิตน้ำมูกออกมามาก และถ้าร่างกายได้รับเชื้อโรค เม็ดเลือดขาวจะออกมาแสดงตัวต่อสู้กับเชื้อโรค เม็ดเลือดขาวบางส่วนตาย สีของน้ำมูกก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เหลืองปนเขียว เขียวข้น จากจุดนี้เอง พ่อแม่หลายท่านใช้สังเกตอาการหวัดของลูก แต่การที่มีน้ำมูกไหล หรือสีของน้ำมูกเปลี่ยนไป ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ 100% เพราะการตรวจสุขภาพคุณหมอก็ต้องทำการฟังปอด ตรวจโพรงจมูก ตรวจคอ ตรวจหู ด้วยอยู่แล้ว

น้ำมูกแบบไหน แปลว่า ไม่สบาย

ในขณะที่ร่างกายแข็งแรงปกติ ก็อาจมีน้ำมูกได้ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ๆ อาจจะมีน้ำมูกที่ค้างอยู่ในจมูกช่วงกลางคืน แต่เมื่อสั่งออกก็หมดไป แสดงว่าไม่ได้ป่วย แต่ถ้าน้ำมูกมีตลอดทั้งวัน สีข้นกว่าปกติ แสดงว่ามีอาการหวัด ถ้าเป็นหวัดธรรมดา (ไม่มีไข้) ประมาณ 2-3 วัน น้ำมูกก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ (ไม่ต้องใช้ยา แต่ต้องดูแลให้ถูกหลักด้วย เช่น ไม่ดื่มน้ำเย็น พักผ่อนมาก ๆ ทำร่างกายให้อบอุ่น) แต่ถ้าเป็นมากกว่า 10 วัน ต้องระวังเรื่องภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบ และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน ต้องรีบพาลูกไปหาหมอ เพราะอาจเรื้อรังเป็นโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้อีก

วิธีสอนลูกสั่งน้ำมูก

คุณแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ด้วยการใช้กระดาษทิชชู่กดรูจมูกข้างหนึ่งแล้วหายใจออกดังฟิด ใช้ทิชชู่ที่เตรียมไว้เช็ด ทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง โดยแรก ๆ คุณแม่อาจจะเป็นคนกดรูจมูกให้ลูกก่อน และอย่าสั่งแรงจนเกินไป

ดูแลยามน้ำมูกไหล

ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช็ดน้ำมูก ถ้ามีน้ำมูกมาก ทำให้ลูกหายใจไม่สะดวก ควรใช้อุปกรณ์ดูดน้ำมูกออกมา (บางบ้านคุณแม่อาจใช้ปากตัวเองดูดน้ำมูกให้ลูก ซึ่งจะทำให้ลูกไม่เจ็บหรือระคายเคือง แต่ถ้าแม่สุขภาพไม่ดีนัก ต้องระวังเชื้อโรคติดต่อได้ง่ายมาก)

งดการออกไปเล่นนอกบ้าน 2-3 วัน

บางคนจะมีอาการหูอักเสบ (หวัดลงหู) หรือคออักเสบ (หวัดลงคอ) ตามมาด้วย ดังนั้นควรดูอาการอย่างใกล้ชิด

ถ้าน้ำมูกแห้งติดโพรงจมูก ให้ใช้น้ำเกลือ 0.9 % ปริมาณ 1-2 ซี.ซี. (ใช้กระบอกฉีดยา) ค่อยหยดลงไปในรูจมูกทั้งสองข้าง แล้วใช้ลูกยางดูดออกมา

เมื่อลูกอายุได้ 2-3 ขวบควรฝึกลูกสั่งน้ำมูกเอง เป็นการฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้นและเป็นการให้ลูกรักษาสุขภาพอนามัยอีกด้วย

ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ

ทุบหัวหอมห่อผ้า แล้ววางไว้ใต้หมอน หรือหยอดน้ำมันหอมระเหยที่บรรเทาอาการคัดจมูกบริเวณเสื้อผ้า หรือปลอกหมอน เพื่อให้ลูกสูดกลิ่น บรรเทาอาการคัดจมูกหายใจไม่ออกขณะนอน พร้อมทั้งใช้หมอนรองศีรษะให้สูงขึ้นกว่าปกติ

ห้ามทำเด็ดขาด

เราไม่ควรซื้อยาลดน้ำมูกมาป้อนลูกเอง รวมถึงยาแก้ไอด้วย เพราะยาทั้งสองชนิดนี้ มีฤทธิ์ทำให้น้ำมูกและเสมหะแห้ง อาจทำให้เสมหะติดค้างในหลอดลม ไอออกมาไม่ได้ และการที่น้ำมูกไหล เป็นการขจัดเชื้อโรคออกจากร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องกินยา ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอรวมทั้งยาหยอดจมูกเพื่อทำให้จมูกโล่งด้วยเช่นกัน

ไม่ควรแคะจมูกให้ลูกด้วยนิ้วหรือเล็บ ให้ใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้านุ่ม ๆ บาง ๆ พันปลายเขี่ยภายในโพรงจมูกเบา ๆ เพื่อให้เด็กจามออกมา หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดรอบ ๆ รูจมูกเท่านั้น และต้องใช้อย่างระมัดระวังไม่ควรให้เด็กใช้ไม้พันสำลีเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mother & Care




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2552    
Last Update : 28 ตุลาคม 2552 14:16:45 น.
Counter : 936 Pageviews.  

เมื่อต้องลงโทษลูก

เมื่อต้องลงโทษลูก (ข่าวสด)

การเลี้ยงลูกในบางครั้งพ่อแม่อาจมีความจำเป็นที่จะต้องลงโทษลูก เนื่องจากลูกไม่เชื่อฟังหรือทำผิด ซึ่งหากพ่อแม่จำเป็นต้องลงโทษลูก พ่อแม่ควรที่จะ...

บอกให้ลูกรับรู้ถึงความผิดและแนวทางที่ถูกต้องแก่ ลกทุกครั้งที่มีการลงโทษ พ่อแม่บางคนลงโทษลูกโดยไม่บอกว่าสิ่งนั้นผิด ไม่สอนแนวทางที่ถูกให้แก่ลูก จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะลูกจะไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิด และทำอย่างไรจึงจะถูก ดังนั้น ก่อนลงโทษลูกพ่อแม่ควรบอกและสอนให้ลูกเข้าใจว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

ลงโทษด้วยความรัก การลงโทษลูกจะทำเมื่อลูกไม่เชื่อฟังคำสอน กฎระเบียบ คำสั่ง ที่ได้บอกกล่าวไปแล้ว เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญของการกระทำที่ถูกต้องและเห็นถึงผลที่จะตามมา ที่สำคัญพ่อแม่ต้องลงโทษลูกด้วยความรัก ความห่วงใย ไม่ควรลงโทษด้วยความโกรธหรือใช้อารมณ์ในการลงโทษ มีความคงเส้นคงวาในการลงโทษ

สิ่งสำคัญที่สุดเหนือการลงโทษคือการให้คำชมเชยหรือรางวัลเมื่อลูกทำในสิ่งที่ดี การให้คำชมเมื่อลูกทำในสิ่งที่ถูกต้องจะทำให้ลูกตอบสนองในการทำดีมากกว่าการบังคับด้วยการลงโทษเพราะหากเราลงโทษอย่างเดียว ลูกจะหวาดกลัว ขาดความมั่นคงทางจิตใจ

การลงโทษลูกหากทำไปด้วยความรักและด้วยวิธีการอันเหมาะสม ก็จะเป็นการสอนลูกให้รู้จักถูกรู้จักผิด ทำให้ลูกเติบโตเป็นคนมีเหตุมีผล รู้จักผิดชอบชั่วดี และมีระเบียบวินัย

ที่มา ข่าวสด




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2552 17:02:35 น.
Counter : 637 Pageviews.  

ผู้หญิงมีครรภ์ควรดื่ม ชา กาแฟ และโค้ก ให้น้อยที่สุด

ผู้หญิงมีครรภ์ควรดื่ม ชา กาแฟ และโค้ก ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผลการศึกษาพบว่า เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่มีส่วนเชื่อมโยงกับการทำให้เด็กที่คลอดออกมามีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน



โดยนักวิจัยจากสำนักงานมาตรฐานอาหารของอังกฤษ ได้ศึกษาเรื่องนี้กับผู้หญิงตั้งครรภ์กว่า 2,600 คน ซึ่งแต่ละคนมีอายุครรภ์ระหว่าง 8-12 สัปดาห์ นักวิจัยได้ซักถามพวกเธอเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหาร และได้ตรวจวัดปริมาณคาเฟอีนในน้ำลายของคุณแม่เหล่านี้ด้วย

ผลวิจัยพบว่า หญิงมีครรภ์ที่ได้รับคาเฟอีนวันละ 100-199 มิลลิกรัม มีความเสี่ยงมากขึ้นถึงร้อยละ 20 ที่จะคลอดบุตรน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐาน เมื่อเทียบกับหญิงมีครรภ์ที่ได้รับคาเฟอีนน้อยกว่า 100 มิลลิกรัม/วัน

ส่วนผู้ที่ได้รับคาเฟอีนวันละ 200-299 มิลลิกรัม ความเสี่ยงที่จะคลอดบุตรน้ำหนักตัวน้อยจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 และพวกที่รับคาเฟอีนเกินวันละ 300 มิลลิกรัมขึ้นไป ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 ที่จะคลอดบุตรน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งน้ำหนักตัวของเด็กแรกเกิดเป็นปัจจัยชี้วัดได้ถึงสุขภาพร่างกายของเด็ก รวมถึงการป่วยเป็นเบาหวานและโรคหัวใจ


ตามปกติ กาแฟ 1 ถ้วย จะมีคาเฟอีนผสมอยู่ 100 มิลลิกรัม ส่วนชาจะมีคาเฟอีนผสมอยู่ 50 มิลลิกรัม คาเฟอีนยังพบได้ในโค้ก ช็อกโกแลต ต้นโคคา และยาบางชนิด ซึ่งนักวิจัยก็แนะนำว่า หญิงมีครรภ์ควรบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อความสมบูรณ์ของเด็กในท้อง



ที่มา : สำนักข่าวไทย




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2551 13:01:49 น.
Counter : 1483 Pageviews.  

ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์กินผลไม้ ... แก้ท้องผูก

ในช่วงตั้งท้อง คุณแม่มักมีอาการท้องผูก การกินผักผลไม้และดื่มน้ำมากๆ จะช่วยลดอาการท้องผูกได้ ซึ่งผลไม้แต่ละชนิดล้วนมีกากใยช่วยในการขับถ่าย เช่น มะละกอ มะขาม ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง กล้วยน้ำว้า ลูกพรุน องุ่น เป็นต้น


แต่หากคุณแม่ท่านใดที่ถ่ายง่าย และถ่ายออกเร็ว ก็ไม่ควรกินผลไม้ที่ช่วยให้ขับถ่ายง่าย อย่างลูกพรุน มะขาม หรือมะละกอ มากเกินไป เพราะจะทําให้คุณแม่ถ่ายเยอะและส่งผลให้มดลูกบีบตัว กระตุ้นให้ลูกน้อยคลอดเร็วกว่ากําหนดได้ หากเบื่อการกินผลไม้สด คุณแม่อาจหันมาดื่มน้ำผลไม้ หรือกินโยเกิร์ตแทน ก็จะช่วยให้ถ่ายได้ง่ายเช่นกันค่ะ แต่คุณแม่ต้องเลือกชนิดที่มีน้ำตาลน้อย เพราะจะทําให้อ้วนได้ง่ายค่ะ

กินผลไม้ ... ได้อะไร

.. .. วิตามินซี มีอยู่ในผลไม้แทบทุกชนิด ซึ่งวิตามินซี จะช่วยในการสร้างกระดูกและฟันของลูกน้อย ช่วยในการเผาผลาญอาหารและซ่อมแซมเนื้อเยื่อให้คุณแม่ ทั้งยังทําให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งด้วย

.. .. กรดโฟลิก เป็นวิตามินบีที่ละลายน้ำได้ พบในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม ซึ่งกรดโฟลิกเป็นสารที่จําเป็นต่อการเจริญเติบโต การเจริญพันธ์ุ และป้องกันความผิดปกติของเลือด

.. .. วิตามินเอ เช่น สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารจําเป็นที่ใช้ในการเจริญเติบโตของเซลล์ร่างกาย ความสมบูรณ์ของเซลล์ผิวหนัง กระดูกและตา พบได้ในผักและผลไม้สีเหลือง เช่น แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ ฟักทอง เป็นต้น


นอกจากนี้ ในผลไม้ยังมีสารอาหารประเภทอื่นๆ เช่น แคลเซียมที่พบได้ในฝรั่ง ธาตุเหล็ก แคลเซียมสูงและฟอสฟอรัสที่พบในมะละกอ เป็นต้น

ผลไม้ที่แม่ท้องไม่ควรกิน

การเลือกกินผลไม้ แม่ท้องจะต้องเลือกผลไม้ที่สด ล้างให้สะอาดและปอกเปลือกทุกครั้ง ไม่ควรกินผลไม้ดองหรือตากแห้ง เพราะคุณค่าทางอาหารจะลดลงไปมาก โดยเฉพาะวิตามินเอ บีและซี อีกทั้งในผลไม้ดองยังมีการใส่สารบอแรกซ์ มีรสชาติเปรี้ยวหรือเผ็ดมาก หากคุณแม่กินเข้าไปจะทําให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร อาเจียน หรือท้องเดิน ดังนั้น คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงการกินผลไม้เหล่านี้เด็ดขาด


นอกจากนี้ ผลไม้ที่มีรสหวานจัด อย่างทุเรียน ลําไย น้อยหน่า มะม่วงสุก เป็นต้น คุณแม่ก็ควรกินในปริมาณน้อย เพราะน้ำตาลในผลไม้เหล่านี้จะทําให้อ้วนได้ง่ายและเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานด้วยค่ะ

ที่มา : mom2kids






 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2551    
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2551 16:20:04 น.
Counter : 924 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Healthy Service
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุ้มสมุนไพรบริการอยู่ไฟ คุณแม่หลังคลอด
จำหน่าย ชุดอยู่ไฟ และสมุนไพร
สายด่วน 08-5426-7578 (24 ชม. ทุกวัน)http://www.KUMsamunpai.com/


จำนวนผู้เข้าเว็บ Best Free Hit Counters
Maternity Wear
Maternity Wear 234x60 70% off on over 3,000 designer fragrances SkinStore Special Offers Free Shipping
[Add Healthy Service's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com