คุ้มสมุนไพร "ภูมิปัญญาไทย เพื่อสุขภาพและความงามคุณ" บริการ อยู่ไฟ หลังคลอด ถึงบ้าน และจำหน่ายชุด อยู่ไฟ ด้วยตนเอง
 

ไอเดียใหม่ใช้กะหล่ำปลีประคบ ลดปวดเต้านมตึงหลังคลอด



นางอังสนา วงศ์ศิริ พยาบาลวิชาชีพ 7 โรงพยาบาลบุรีรัมย์ และรศ.ดร.กรรณิการ์ วิจิตรสุคนธ์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “ผลการใช้กะหล่ำปลีต่อการลดอาการปวดคัดตึงเต้านมแม่” ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2550นางอังสนา กล่าวว่า การปวดคัดตึงเต้านม พบได้บ่อยในผู้เป็นแม่หลังคลอด ผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า อาการคัดตึงเต้านมในแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรก จะพบได้มากถึงร้อยละ 40 ใน 72 ชั่งโมงหลังคลอด และจะทวีความปวดมากขึ้นหากไม่แก้ไข ทั้งนี้ แพทย์ส่วนใหญ่ได้แนะนำให้ใช้วิธีนวดประคบร้อนสลับเย็นและบีบน้ำนมออก แต่จะบรรเทาอาการได้ในระยะสั้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ตนเองจึงได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อลดอาการปวดเหล่านี้ ทั้งนี้ พบว่าเมื่อนำกะหล่ำปลีมาแกะแยกกาบใบ และนำไป
ทาบที่เต้านมของแม่ทั้งสองข้างแล้วใช้ผ้าพันทับ เพื่อให้กะหล่ำปลีแนบติดกับเต้านม และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดอาการคัดปวดของเต้านมได้ และได้ทำการทดลองในกลุ่มแม่หลังคลอด ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ จำนวน 40 ราย โดยแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับการประคบด้วยกะหล่ำปลี จำนวน 20 ราย และกลุ่มที่ใช้วิธีการพยาบาลตามปกติ นั่นคือ การนวดประคบ 20 ราย หลังการทดลองพบว่า ในกลุ่มที่ใช้กะหล่ำปลีเพื่อลดอาการปวด สามารถลดอาการปวดคัดตึงได้ดี ทั้งนี้กะหล่ำปลีถือเป็นพืชสมุนไพรชนิดเย็น มีฤทธิ์ดูดซับความร้อนได้ดี ช่วยลดการคั่งของสารน้ำในเนื้อเยื่อบริเวณเต้านม สามารถรองรับและโอบรอบเต้านมขณะประคบได้เป็นอย่างดี“สาเหตุที่ริเริ่มทดลองนำกะหล่ำปลีมารักษานั้น เพราะเห็นว่า ในต่างประเทศได้มีการนำกะหล่ำปลีมาทำเป็นครีม เพื่อลดอาการปวดคัดตึงเต้านมประกอบกับเป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย ซึ่งหาได้ง่ายและยังมีราคาถูกอย่างไรก็ตาม หากมีการนำมาแปรรูปจะต้องเสียเวลาวิจัย มีขั้นตอนที่ยุ่งยากแถมยังมีค่าใช้จ่ายสูง จึงได้ทดลองนำมาใช้แบบธรรมชาติในลักษณะที่เป็นวัตถุดิบ ก็พบว่าได้ผล คือ สามารถลดอาการป ว ด คัด ตึง เ ต้า น ม ไ ด้ดีไม่ต่างกับครีมที่นำเข้าจากต่างประเทศ” นางอังสนา กล่าวและว่า ทั้งนี้ ยังง่ายสำหรับแม่หลังคลอดทั่วไป ที่จะนำมาใช้ในการประคบด้วยตนเองไม่ต้องมาพบแพทย์นางอังสนา กล่าวว่า ในอนาคตจะนำกะหล่ำปลีไปทดลองกับแม่ที่คลอดลูกแล้วลูกเสียชีวิต เนื่องจากแม่เหล่านี้จะมีปัญหาน้ำนมคั่งและมีอาการปวดมากเช่นกัน ทั้งนี้ เป็นการใช้ทดแทนยาแก้ปวด นอกจากนี้ ยังจะนำมาวิจัยถึงสารออกฤทธิ์ว่า เป็นสารชนิดใดบ้าง และสารที่อยู่ภายในแต่ละชนิดมีสรรพคุณใดบ้าง เพื่อประโยชน์ทางการรักษาพยาบาลต่อไปในอนาคต ■


ข้อมูลจาก บางกอกทูเดย์




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2550    
Last Update : 27 ตุลาคม 2550 21:50:57 น.
Counter : 1198 Pageviews.  

ทำยังไงให้เป็น คุณแม่คนสวย

สาวอย่างเรา ถึงต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นคุณแม่มือใหม่ ต้องรับมือกับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งในการเลี้ยงดูประคบประหงมลูกน้อย แต่ก็ต้องไม่ลืมที่จะดูแล สุขภาพและความสวยความงามของตัวเอง เพราะในระหว่างตั้งครรภ์นั้น
ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งหน้าท้องที่ขยายจากเดิมมากจนแตกลายและหย่อนยาน แคลเซียมที่ถูกดึงไปให้ลูกอาจส่งผลให้บางคนมีผิวหมองคล้ำ ผมร่วง และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ไขมันที่สะสมอยู่ตามช่วงต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และสะโพก

เฮ้อ ฟังดูแล้วมันช่างน่าหนักใจแทนซะจริงๆ เอาเป็นว่า WP ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ทุกท่านด้วยการนำวิธีการดูแลตัวเองหลังคลอดมาฝาก เป็นวิธีง่ายๆ แต่รับรองว่าอาการก้นย้อย หน้าท้องลาย จะหายไปอย่างรวดเร็ว...ทีนี้ละสวยปิ๊งทันใจคุณสามีแน่นอนเลยค่ะ

+ อยู่ไฟ
ถึงแม้ชื่อจะฟังดูเก่าแก่โบราณแต่บรรดาคุณแม่ทั้งหลายก็ยังคงยอมรับผลของการอยู่ไฟอยู่ ซึ่งในปัจจุบันได้มีบริการอยู่ไฟแบบ ‘เดลิเวอรี่’ อีกด้วย ทางการแพทย์แผนไทยประยุกต์ได้อธิบายเอาไว้ว่า การอยู่ไฟจะช่วยปรับระดับความร้อนและความเย็นของร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล ความร้อนจากการอยู่ไฟจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดี ช่วยกระชับมดลูกให้เข้าอู่ น้ำคาวปลาหมดเร็วและปากมดลูกปิดเร็วขึ้น ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง รวมทั้งผิวพรรณก็จะสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย สำหรับคุณแม่ที่คลอดด้วยการผ่าควรอยู่ไฟหลังคลอดประมาณ 1 เดือน เพื่อรอให้แผลผ่าตัด แห้งสนิทเสียก่อน ส่วนคนที่คลอดตามธรรมชาติแค่พักอย่างน้อย 1 อาทิตย์ก็สามารถทำได้แล้ว ระยะเวลาการอยู่ไฟนั้นก็เริ่มตั้งแต่ 3 วัน 7 วัน ไปจนถึง 30 วันเลยก็ยังได้

+ ทานอาหารไขมันต่ำ
ในช่วงแรกๆ หลังการคลอดคุณแม่ยังไม่ควรงดอาหาร ถึงแม้จะทนกับรูปร่างตัวเองไม่ได้ก็ตาม เพราะลูกน้อยต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนจากน้ำนมแม่ ที่สำคัญควรเน้นอาหารที่เสริมแคลเซียมเข้าสู่ร้างกาย อย่างนมสด ถั่ว งา ปลากรอบ ที่เหลือควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย อย่างเนื้อปลา เป็นต้น จนเมื่อหลังคลอดประมาณ 6 เดือนแล้วนั่นละถึงจะเริ่มมาไดเอ็ทกันได้ แต่ก็ยังคงต้องได้รับสารอาหารที่ครบหมู่อยู่ดี เพียงแต่ลดปริมาณแป้งและไขมันให้น้อยที่สุด เพิ่มปริมาณผักสดและผลไม้ให้มากขึ้น ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ก็ควรเน้นที่มีไขมันต่ำ อย่างปลา และไก่ เมนูอาหารที่แนะนำก็เช่น ไข่ต้ม ปลานึ่ง ผัดผัก สลัดจานโตๆ และนมสดไขมันต่ำ ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเวลาที่ยังต้องให้นมลูกอยู่คือ อาหารประเภทหมักดอง อาหารรสจัด รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

+ กระชับสัดส่วน
สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดควรปล่อยตัวให้สบายในระยะสองสัปดาห์แรก เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนให้มากที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก การยกของหนัก เพราะจะทำให้มดลูกเคลื่อนต่ำได้ ประมาณสัปดาห์ที่ 3-4 จึงค่อยเริ่มออกกำลังกายกระชับสัดส่วน โดยเริ่มจากท่าเบาๆ ก่อน อย่างการ กระชับหน้าท้อง ก็แค่นอนหงายแล้วหายใจเข้าพร้อมกับเกร็งที่หน้าท้องค้างไว้สักครู่แล้วจึงหายใจ ออก แล้วทำซ้ำอีก 5-10 ครั้ง ส่วนการกระชับต้นแขน ก็ให้ยกแขนทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ เอามือประสานกันไว้พร้อมกับเหยียดแขนให้ตรง ค้างไว้สักครู่จึงลด แขนลง ทำซ้ำอีก 5-10 ครั้ง และกระชับสะโพกและก้นด้วยการนอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น แล้วยกสะโพกขึ้นให้ก้นลอยจากพื้น ค้างไว้สักครู่ แล้วค่อยลดลง ทำซ้ำอีก 5-10 ครั้งเช่นกัน จนเมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้วจึงเริ่มการออกกำลังกายหนักๆ ตามปกติได้ อ้อลืมบอกไปว่า ถ้ากลัวว่าช่องคลอดจะไม่กระชับเหมือนเดิมก็แค่พยายามขมิบให้ได้สักวันละ 100 ครั้ง แค่นี้ก็แจ๋วแล้วละ

+ ดูแลผิวและผม
จริงๆ คุณแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะดูแลเรื่องการแตกของผิวหน้าท้องกันมาตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์แล้ว แต่ต้องไม่ลืมที่จะดูแลทาครีมบำรุงให้ผิวชุ่มชื่นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสภาพผิวที่แตกลายจะกลับเป็นปกติ อย่าปล่อยให้ผิวบริเวณที่แตกเกิดการแห้งเป็นอันขาด ส่วนครีมบำรุงก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมาก แค่โลชั่นธรรมดาๆ ก็พอ เรื่องผิวที่คล้ำเป็นบางจุดก็ไม่ต้องตกใจเพราะจะค่อยๆ จางไปเองหลังจากฮอร์โมนปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว รวมทั้งเส้นผมที่เคยร่วงก็จะค่อยๆ ดีขึ้น เพียงแต่ต้องระวังอย่าไปทำสี หรือดัดในช่วงนี้ เพราะรากผมยังอ่อนแออยู่ แค่เล็มๆ ปลายผมออกบ้างถ้ารำคาญ แต่ต้องบำรุงผมให้บ่อย กว่าปกติหน่อยเท่านั้น

เรื่องสุดท้ายที่มองข้ามไม่ได้ เลยคือเรื่องของสภาพจิตใจ เพราะ 60% ของคุณแม่มือใหม่จะมีอาการหงอยเหงา ซึมเศร้า ซึ่งเกิดจากความเครียดสะสมในช่วงตั้งครรภ์ และความเจ็บปวดจากการคลอด อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปเอง เพียงแต่ต้องพยายามทำใจให้สบายเข้าไว้...

เห็นมั้ยว่า เป็นคุณแม่คนสวยไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร Woman Plus




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2550    
Last Update : 26 ตุลาคม 2550 14:03:34 น.
Counter : 695 Pageviews.  

การดูแลผิวพรรณขณะตั้งครรภ์



เมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสรีระ และอารมณ์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนหลายชนิดผิวพรรณที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมักก่อให้เกิดความกังวลใจกับคุณผู้หญิงไม่น้อย ดังนั้นเรามารับรู้ถึงภาวะปกติ และไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณขณะตั้งครรภ์เพื่อจะได้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกังวลกันอีกต่อไปค่ะ
รอยคล้ำ
จะสังเกตได้ว่าบริเวณข้อพับของร่างกายมีสีเข้มขึ้นตั้งแต่รักแร้ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รวมถึงหัวนมและอวัยวะเพศ แต่ที่กลัวกันมากที่สุด คือ มีฝ้าขึ้นที่หน้า โดยเฉพาะคนที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ กระที่เป็นอยู่แล้วก็มักสีเข้มและเพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ รอยคล้ำต่าง ๆ เหล่านี้จะค่อย ๆ จางลงอย่างช้า ๆ ภายหลังคลอดได้ค่ะ


สิว
เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างตั้งครรภ์ มีผลต่อการทำงานของต่อมไขมันทำให้บางคนเกิดเป็นสิวเห่อขึ้นที่หน้าและตัวได้แต่กับบางคนก่อนตั้งครรภ์เป็นสิวง่าย พอตั้งครรภ์แล้วสิวหายหน้าผ่องก็มีนะคะ


รอยแตกลาย
เกิดขึ้นจากการยืดตัวของผิวหนังขณะตั้งครรภ์มักพบบริเวณหน้าท้อง สะโพก ก้น หน้าอกต้นขา อาจเป็นสีชมพู ม่วง หรือดำในคนผิวคล้ำ บางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วยหลังคลอดอาจจางลงได้เล็กน้อย


ติ่งเนื้อสีน้ำตาล – ดำ มักเกิดขึ้นที่คอ รักแร้ อันนี้หลังคลอดก็ไม่ยอมหายไปไหนคะ


การติดเชื้อรา
ที่ผิวหนังบริเวณที่มีการอับชื้น เนื่องจากคนท้องมักขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย จึงเกิดจุดอับชื้นบริเวณซอกพับที่สรีระมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใต้ราวนมรักแร้ขาหนีบเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราแคนดิดาได้ง่าย


โรคผื่นคันในคนท้อง
มีลักษณะเป็นผื่นลมพิษตุ่มแดง คัน ที่ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมีมักเป็นเมื่อครรภ์แก่ (3 เดือนก่อนคลอด) ผื่นคันนี้อาจลามกระจายทั้งตัวได้ แต่หลังคลอดผื่นก็จะค่อย ๆ จางหายไป


แนวทางการดูแลรักษาผิวพรรณขณะตั้งครรภ์
รอยคล้ำที่หน้า กระ ฝ้า
สามารถดูแลได้โดยการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด การใช้ Whitening บางชนิดก็พอช่วยได้บ้าง เช่น ยาในกลุ่ม Vitamin C หรือ AHA แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดรอยดำที่มีกรด Vitamin A เป็นส่วนประกอบ ส่วนรอยคล้ำที่ผิวตัว อย่าพยายามไปขัดหรือถูแรง ๆ เลยค่ะ ไม่ออกแน่ ๆ ซ้ำยังมีโอกาสเกิดผื่นแพ้จากสมุนไพรที่ใช้พอกด้วย


สิว
เมื่อมีสิวเห่อที่หน้า ปรึกษาคุณหมอผิวหนังดูแลดีกว่าค่ะ ซึ่งคุณหมอนิยมให้แต่ยาทา ไม่ค่อยจ่ายยารับประทาน และงดยาทาสิวบางชนิด รวมถึงการทำไอออนโตโฟโน หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่สำคัญเมื่อมีสิวขึ้น อย่าแกะหรือบีบสิวนะคะ เพราะเมื่อสิวหายแล้วจะทิ้งรอยดำ หรือรอยแผลเป็นไว้อีกนาน


รอยแตกลาย
สามารถดูแลด้วยการใช้ครีมบำรุงให้ความชุ่มชื้นกับผิวเป็นประจำ ไม่เกาและเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ โปรตีน ส่วนแป้งของหวานและไขมัน ควรทานแต่พอประมาณ ดูแลน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นให้เป็นไปตามมาตรฐานที่คุณหมอแนะนำ


ติ่งเนื้อ
ยังไม่ต้องไปทำอะไรนะคะ หลังคลอดค่อยให้คุณหมอตัดออก หรือจี้ออกด้วยเลเซอร์ก็ได้ค่ะ


เชื้อรา
ควรดูแลรักษาความสะอาด อย่าให้เกิดการอับชื้นและหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองต่อผิวหนัง เมื่อเกิดผื่นคันควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยาทา หรือยารับประทานเองค่ะ


ถ้าปฏิบัติตามที่หมอแนะนำแล้ว แต่ฝ้าก็ยังคงขึ้น รอยแตกก็ยังเกิด ผิวก็ยังคล้ำไขมันก็ขยันมาเกาะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ก็อย่าเพิ่มวิตกกันไป มันเป็นไปตามธรรมชาติเดี๋ยวหลังคลอดฮอร์โมนลดลง ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ก็ค่อย ๆ ลดลงเอง คุณควรจะดูแลสุขภาพกายใจของคุณ และลูกน้อยในครรภ์อย่างดีที่สุดจะดีกว่า
ปัจจุบันวิวัฒนาการของยาและเครื่องมือต่าง ๆ สามารถลดรอยหมองคล้ำ รอยแตก และเซลลูไลท์อย่างได้ผลเดี๋ยวหลังคลอดค่อยมาสวยกันใหม่ก็ยังไม่สายค่ะ


ข้อมูลโดย
โรงพยาบาลยันฮี




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2550    
Last Update : 26 ตุลาคม 2550 13:42:10 น.
Counter : 1063 Pageviews.  

4 ท่า 4 สเต็ป เฟิร์มหุ่นหลังคลอด

คุณแม่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่หรือไม่... ไขมันสะสมหน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หลังคลอดเจ้าตัวน้อย และถึงแม้ว่าใครต่อใครจะให้กำลังใจว่า “ไม่เป็นไร ไม่อ้วนหรอก” หรือ “เดี๋ยวให้นมลูก ไขมันก็หายไป
เอง” แต่เรารู้ค่ะ ลึกๆ แล้ว คุณแม่ก็กังวลกับรูปร่างของตัวเองไม่
เอาล่ะค่ะ ก่อนที่คุณแม่จะไปเข้าคอร์สหรือฟิตเนสที่ไหนเพื่อเฟิร์มหุ่นให้กลับมากระชับดังเดิม มาลองวิธีออกกำลังกายง่าย ๆ ที่ทำได้ในบ้าน หรือทุกที่ ทุกเวลากันค่ะ

ท่ายกขา ประโยชน์ ลดหน้าท้องด้านบน
1. นั่งบนเก้าอี้ที่มีความสูงพอดี เมื่อขาแตะพื้นแล้ว ขาท่อนบนจะขนานพื้น หัวเข่าตั้งฉาก
2. นั่งหลังตรง มือทิ้งลงข้าง ๆ เก้าอี้ หรือไขว้กันไว้ที่พนักพิง ขาทั้งสองข้างชิดกัน
3. ยกขาทั้งสองข้างช้า ๆ ให้พ้นพื้นให้สูงที่สุด จะรู้สึกเกร็งที่หน้าท้องด้านบน
4. ยกสลับขึ้น-ลง 20 ครั้ง พัก 1 นาที ทำต่อให้ครบ 3 เซ็ต

Tips ท่านี้ทำไม่ยากค่ะ สามารถทำได้ในขณะดูทีวี หรือแม้แต่เวลาเข้าห้องน้ำ และสามารถเพิ่มจำนวนครั้งได้ตามต้องการ


ท่าย่อขา ประโยชน์ ช่วยลดช่วงต้นขา
1. ยืนหลังตรง เท้าห่างกันเล็กน้อยระดับไหล่
2. ย่อตัวลง หัวเข่าห้ามเลยปลายเท้าทิ้งก้นไปทางด้านหลัง หลังตรง จะรู้สึกตึงที่บริเวณต้นขา
3. ย่อตัวลงมา ได้มากที่สุด จนหัวเข่าตั้งฉาก
4. ยืดตัวขึ้น สลับขึ้น-ลง 10 - 12 ครั้ง พัก 1 นาที ทำต่อให้ครบ 3 เซ็ต

Tips ท่านี้อาจจะยากสำหรับมือใหม่ ให้คุณพ่อจับมือคุณแม่ไว้ แล้วคุณแม่หลับตาจินตนาการว่ากำลังจะนั่งเก้าอี้ ลองทำดูสนุกๆ ค่ะ


ท่ายกแขน ประโยชน์ ลดต้นแขนด้านหลัง
1. หาอุปกรณ์เสริม อย่างเช่นขวดแชมพูขนาดใหญ่ ประมาณ 500 มิลลิตร
2. ถือไว้ด้วยมือข้างที่ถนัด แล้วยกขึ้นตรง ๆ เหนือศีรษะ
3. พับข้อศอกลง จนศอกตั้งฉากกัน ปลายศอกจะชี้ไปด้านหน้า
4. สลับขึ้น-ลง 10 - 12 ครั้ง พัก 1 นาที ทำต่อให้ครบ 3 เซ็ต แล้วสลับข้างมือค่ะ

Tips มืออีกข้างแตะไว้ที่ปลายข้อศอก เพื่อเป็นการ Support ข้อศอก ท่านี้สามารถใช้ 2 มือจับขวดแล้วทำพร้อมๆ กันเลยก็ได้ค่ะ


ท่าโยคี ประโยชน์ ลดหลังส่วนบน เพิ่มกล้ามเนื้อสะบัก
1. นั่งขัดสมาธิ
2. ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปข้าง ๆ งอข้อศอกเล็กน้อย
3. บิดลำตัวไปทางด้านขวา จนสุด สะโพกตรง ไม่บิดตาม
4. หมุนตัวกลับมาทางด้านซ้าย สลับซ้ายขวาให้ครบ 10 - 12 ครั้ง พัก 1 นาที ทำต่อให้ครบ 3 เซ็ต

Tips ท่านี้คล้ายๆ ท่าของโยคะค่ะ นอกจากช่วยให้ไขมันบริเวณหลังลดลงแล้ว ยังช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อหน้าท้อง และลดสะโพกด้วยค่ะ

การออกกำลังกายง่ายๆ อย่างที่ได้แนะนำไปนี้ คุณแม่สามารถปรับจำนวนครั้งให้เหมาะสมกับความสามารถของตัวเอง หาเวลาเพียงเล็กน้อย อย่างเช่นก่อนอาบน้ำ หรือตอนแปรงฟัน จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี นอกจากนี้การที่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาด ก็จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้น จำไว้นะคะว่า สุขภาพดี เงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้ค่ะ

ขอขอบคุณ นิตยสารแม่และเด็ก




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2550    
Last Update : 26 ตุลาคม 2550 13:19:49 น.
Counter : 584 Pageviews.  

ตัดไขมันหน้าท้อง และแก้ไขหน้าท้องลาย

มีคนไข้มาหาหมอพร้อมกับหน้าท้องห้อยย้อย แถมแตกลายอีกต่างหาก เธอมาให้ดูไขมันครับ และมีอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย มาพร้อมกับพุงอันมหึมาหากางเกงใส่ยากมาก มาให้หมอดูดไขมันเช่นกัน
หมอเห็นแล้วก็ถึงกับอึ้ง และค่อย ๆ อธิบายให้เค้าเข้าใจว่า อย่างนี้ดูดไขมันอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับต้องใช้วิธีผ่าตัดไขมันหน้าท้อง
ทำไมถึงกับต้องตัดไขมันหน้าท้องเชียวหรือหมอ?
ใช่ครับ ต้องตัด แต่ก่อนตัดหมอจะอธิบายให้คุณเข้าใจก่อนนะครับคือ ลักษณะของผู้ที่มีหน้าท้องยื่น หย่อนยาน หรือห้อยย้อยนั้น เนื่องจากส่วนไขมันใต้ผิวหนัง และพังผืดระหว่างกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนยาน และที่สำคัญ ไขมันใต้ผิวหนังและพังผืดระหว่างกล้ามเนื้อนี้ จะไม่มีการหดตัว และไม่มีการสูญหายไปไหน ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ ก็จะมีสภาพหย่อนอยู่นั่นเอง ดังนั้นวิธีผ่าตัดไขมันหน้าท้องจงเป็นวิธีที่ดีที่จะจัดการปัญหานี้ได้
นอกจากนี้ การผ่าตัดเอาไขมันหน้าท้องออกจะช่วยให้ทรวดทรงกระชับขึ้นมาอีกครั้ง และแก้ปัญหาหน้าท้องลาย หรือผิวแตกลายสำหรับผู้ที่เคยตั้งครรภ์ และยังแก้ไขแผลเป็นสำหรับผู้ที่มีแผลผ่าตัดเดิมที่อยู่ต่ำกว่าสะดือให้ดูดีขึ้นได้ด้วยครับ สำหรับผู้ที่ผ่านการลดความอ้วนมา แล้วมีปัญหาหน้าท้องหย่อนมาก ๆ ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน

ทีนี้เรามาดูกันว่า ลักษณะของผู้ที่มีปัญหาเรื่องหน้าท้องเป็นแบบใดกันบ้าง เป็นรูปแบบต่าง ๆ ของลักษณะหน้าท้องที่มักมาปรึกษาแพทย์เพื่อผ่าตัดแก้ไข

แบบ A หน้าท้องแบนราบ มักพบในผู้ที่ออกกำลังกายอย่างดี ไม่อ้วนแต่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังหย่อนหรือแตกลาย

แบบ B ไม่ค่อยมีไขมันแต่มีลักษณะท้องป่องเวลายืนและแบนราบเวลานอน เนื่องจากผนังหน้าท้องหย่อน พังผืดระหว่างกล้ามเนื้อยานจนเสียรูป

แบบ C ไขมันสะสมมาก อาจต้องดูดไขมันร่วมด้วย

แบบ D หย่อนยาน ห้อยย่อยมาก มักเกิดจากการลดน้ำหนัก หรือเมื่อมีอายุมากขึ้น แล้วเนื้อเยื่อหย่อนยาน

ลักษณะต่าง ๆ เป็นลักษณะที่ต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดหน้าทอง และก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัดหมอขอบอกก่อนนะว่า จุดประสงค์ของการผ่าตัดอยู่ที่การตัดผิวหนังส่วนเกิน หรือแตกลาย, ตัดไขมันส่วนที่อยู่ใต้สะดือ กระชับพังผืดระหว่างกล้ามเนื้อหน้าท้องที่ยืดหย่อนยาน

สำหรับผู้ที่ผนังหน้าท้องมีไขมันสะสมมาก บริเวณเหนือสะดือ สะโพก เอว อาจต้องมีการดูดไขมันร่วมด้วย ซึ่งอาจทำไปพร้อม ๆ หรืออาจเว้นระยะ 3 - 6 เดือน ขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ว่ามีความเหมาะสมต่อการผ่าตัดหรือไม่

ในผู้ที่อ้วนมาก ๆ การลดน้ำหนักก่อนผ่าตัดมีประโยชน์ทั้งช่วยให้กระชับได้มากขึ้น และลดโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนทั่วไปที่มักเกิดกับคนอ้วนได้ด้วย

หลังผ่าตัดไม่มีข้อห้ามในการตั้งครรภ์อีก แต่ควรจะทอดเวลาให้รอยแผลหายเต็มที่ น่าจะ 1 – 2 ปี แต่ผลของการตั้งครรภ์อีกก็จะทำให้เกิดหย่อนหรือแตกลายอีกตามธรรมชาติ และต้องเสียเวลามาผ่าตัดใหม่ และบางครั้งก็ตัดแต่งหน้าท้องได้ไม่ดีเท่ากับการผ่าตัดครั้งแรก จึงอยากแนะนำให้ผ่าตัดเมื่อมีบุตรเพียงพอแล้ว และในปัจจุบันเราสามารถผ่าตัดไปพร้อม ๆ กับการคลอดบุตรได้ ถ้าการคลอดไม่มีปัญหา ซึ่งขึ้นกับดุจลยพินิจและความพร้อมของทีมแพทย์ด้วยครับ

รอยผ่าตัดมักจะเป็นที่ยอมรับได้ เมื่อเทียบกับความหย่อนยาน และผิวที่แตกลายที่มีอยู่โดยแผลผ่าตัดจะวางไว้ต่ำที่สุดที่จะเป็นไปได้ เพื่อซ่อนไว้ใต้ขอบกางเกงในโค้งตามแนวธรรมชาติของลายผิว ซึ่งระยะแรกอาจมีสีชมพูอมม่วง 3 - 6 เดือน ตามธรรมชาติของแผลใหม่ และจะค่อย ๆ จางลงไปใน 1 - 2 ปี

หมอต้องบอกไว้ก่อนนะว่า การผ่าตัดนี้จะไม่ได้ผลกับผู้ที่มีความอ้วนมาจากอวัยวะภายใน เช่น ไขมันที่สะสมอยู่ตามลำไส้ เป็นต้น ซึ่งมักเป็นกับผู้ชาย เนื่องจากการผ่าตัดนี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับอวัยวะภายใน

ทีนี้เรามาดูวิธีผ่าตัดกัน

ผิวหนังส่วนเกิน (ส่วนใหญ่จะแตกลายด้วยที่อยู่ใต้สะดือ รวมทั้งไขมันใต้ผิวหนัง จะถูกตัดออก


ผิวหนังส่วนที่เหลือจะถูกดึงมาชนกัน โดยให้รอยแผลผ่าตัดอยู่ต่ำที่สุด ความหย่อนของผิวหนังเนื่องจากเคยตั้งครรภ์ หรืออ้วนมาก ๆ มาก่อน จะทำให้สามารถดึงผิวหนังมาชนกันได้แทบจะทุกราย ส่วนสะดือที่ถูกปกคลุมจะได้รับการเจาะรูที่ผิวที่มาคลุมทำให้ได้สะดือในตำแหน่งเดิม และตกแต่งเล็กน้อยให้ดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งมักจะเรียกกันว่า “ทำสะดือใหม่”


ผนังหน้าท้องที่ยืด หย่อนยาน เนื่องจากการตั้งครรภ์ ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องที่เป็นมัดคู่กันด้านหน้ายื่นห่างจากกันพังผืดที่เชื่อมกล้ามเนื้อนี้ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สามารถฟิตตัวได้เหมือนกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่มีทางใดเลยนอกจากการผ่าตัดที่จะกระชับพังผืดส่วนนี้ได้ และเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สตรีที่มีครรภ์แล้วไม่สามารถกลับไปมีหุ่นเพรียว ๆ ได้อีก


ภายหลังจากการกระชับกล้ามเนื้อที่แยกห่างจากการตั้งครรภ์เข้าด้วยกันทำให้เอวกระชับอีกครั้งหนึ่ง

หมอเคยบอกข้างต้นว่าวิธีการผ่าตัดมี 2 วิธี คือ แบบย่อ (minilipectomy) และแบบเต็ม (Total lipectomy) ซึ่งอาจร่วมกับการดูดไขมันหรือไม่ก็ได้ เรามาดูว่าแพทย์เขาทำกันอย่างไร

การผ่าตัดแบบย่อ
คุณอาจไม่ต้องนอนพักฟืนในโรงพยาบาลก็ได โดยแพทย์อาจใช้ยาชาเฉพาะที่ ซึ่งการผ่าตัดนี้อาจเป็นการผ่าตัดเน้นกระชับเฉพาะส่วนล่าง ต่ำกว่าสะดือ ใช้ได้ดีในผู้ที่ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน หรือหย่อนเนื่องจากการลดความอ้วน
มีเฉพาะผิวหนัง และไขมันที่ต้องตัดออก รอยแผลผ่าตัดจะสั้นกว่าแบบเต็ม ไม่ต้องตกแต่งสะดือให้ใหม่ ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง

วิธีนี้ถ้าใช้กับผู้ที่มีพังผืดระหว่างกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดยานจะทำให้กระชับได้ เฉพาะส่วนล่างของท้อง ส่วนบนบริเวณลิ้นปี่จะยังป่อง ๆ อยู่ ทำให้ได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร หลังผ่าตัดไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ สามารถยืดตัวตรงได้

การผ่าตัดแบบเต็ม
คุณต้องพักในโรงพยาบาล 2 - 3 วัน อาจเป็นการดมยาสลบหรือการใช้ยาชาครึ่งตัวก็ได้ เป็นการแก้ปัญหาทั้งหมด ผู้ที่เคยตั้งครรภ์มักต้องใช้วิธีนี้จึงจะได้ผลดี รอยแผลผ่าตัดเหนือหัวเหน่าจะยาวกว่าแบบย่อ และต้องตกแต่งสะดือให้ เนื่องจากผิวหนังเดิมที่อยู่เหนือสะดือจะถูกดึงข้ามสะดือมาที่หัวเหน่า ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง หลังผ่าตัดต้องเดินตัวงอ ๆ ประมาณ 7 วัน ค่อย ๆ ยืดตัวตรงวันละหน่อยจนยืดตรงได้หลังสัปดาห์แรก การยืดตัวที่ ช้าเกินไปอาจด้วยความกลัวว่าแผลยังไม่หาย จะทำให้มีอาการปวดหลังได้ เนื่องจากอยู่ในอิริยาบถที่ผิดธรรมชาติ

ดังนั้นแพทย์จะให้คุณพยายามยืดตัวให้ได้ หลังจากยืดตัวตรงได้แล้วก็ตัดไหมได้ และกลับไปทำงานตามปกติ สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้หลัง 2 – 3 สัปดาห์ และออกกำลังได้เต็มที่ประมาณ 2 – 3 เดือน อาจมีอาการชาบริเวณท้องส่วนล่างได้ ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 6 เดือน ครับ


การผ่าตัดไขมันหน้าท้องเป็นการผ่าตัดเพื่อกระชับรูปร่างที่นิยมทำกันทั่วไป เนื่องจากได้ผลแน่นอน คาดคะเนผลได้ ผลข้างเคียงที่พบได้ก็ไม่บ่อยนัก และมักจะแก้ไขได้ เช่น บาดแผลติดเชื้อ แผลแยก เป็นต้น และการผ่าตัดไขมันหน้าท้องสามารถทำร่วมกับการดูดไขมันบริเวณลิ้นปี่, เอว, สะโพก เพื่อช่วยให้รูปร่างกระชับกับหน้าท้องที่แฟบลงได้ดีขึ้น ได้ผลทั้งในผู้ที่มีท้องลาย, ท้องป่อง, ท้องหย่อนที่เกิดจากการตั้งครรภ์หรือลดความอ้วน ในผู้ชายก็สามารถทำได้นะครับ

แต่มีข้อเสียที่ต้องทำความเข้าใจก่อนอย่างเดียวคือ รอยแผลผ่าตัด ซึ่งถึงแม้ว่าจะซ่อนไว้ต่ำที่สุด ต่ำกว่าขอบกางเกงใน เป็นแนวโค้งตามธรรมชาติ และจะจางลงไปเรื่อย ๆ จนจางเต็มที่ในระยะ 1-2 ปี แต่ก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้ คุณคงต้องชั่งน้ำหนักในใจว่า การมีรอยผ่าตัดใต้ขอบกางเกงใน แต่หน้าท้องเรียบ กับการไม่มีแผลผ่าตัด แต่หน้าท้องห้อยย้อยหรือแตกลาย คุณจะพอใจอย่างไหนมากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่ที่คุณจะพิจารณาเลือกละครับ

การตัดไขมันหน้าท้อง และแก้ไขหน้าท้องลายเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังผ่าตัดนานพอสมควร ดังนั้น หากคุณเลือกที่จะผ่าตัดเอาไขมันหน้าท้องออก คุณต้องวางแผนลางานบ้าน และงานออฟฟิศไว้ล่วงหน้าเสียก่อน และคุณควรเลือกโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ทันสมัย มีศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผลการผ่าตัดก็จะออกมาเป็นที่พอใจครับ

ข้อมูลโดย
โรงพยาบาลยันฮี





 

Create Date : 14 ตุลาคม 2550    
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 14:57:57 น.
Counter : 1075 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Healthy Service
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุ้มสมุนไพรบริการอยู่ไฟ คุณแม่หลังคลอด
จำหน่าย ชุดอยู่ไฟ และสมุนไพร
สายด่วน 08-5426-7578 (24 ชม. ทุกวัน)http://www.KUMsamunpai.com/


จำนวนผู้เข้าเว็บ Best Free Hit Counters
Maternity Wear
Maternity Wear 234x60 70% off on over 3,000 designer fragrances SkinStore Special Offers Free Shipping
[Add Healthy Service's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com