|
|
|
|
|
|
ฝีที่เต้านม
ฝีที่เต้านม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดเป็นถุงหนองที่เต้านม ในแม่ที่ให้นมลูกเกิดจากท่อน้ำนมอุดตันหรือนมคัดตึงแล้วไม่ได้รับการระบาย จนน้ำนมค้างอยู่ในเต้านมเป็นเวลานาน และไม่ได้แก้ไขการอุดตันเสียแต่แรก จึงเกิดการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียขึ้น และเกิดเป็นฝีหนองตามมา บางครั้งฝีที่เต้านมอาจเกิดในผู้ที่ไม่ได้ให้นมลูกก็ได้
อาการ
- เจ็บปวดเต้านม - เต้านมบวม แดง กดเจ็บ - คลำได้ก้อนกดเจ็บที่เต้านม - มีไข้หนาวสั่น
สาเหตุ
ติดเชื้อแบคทีเรียที่เนื้อเยื่อเต้านม หรือต่อมน้ำนม โดยเชื้อโรคสามารถเข้าสู่เต้านมทางหัวนมและลานหัวนมที่แตกของแม่ที่ให้นมลูก
การดูแลตนเอง
- พบแพทย์ทันทีที่เริ่มมีอาการของเต้านมอักเสบหรือฝีที่เต้านม
- ไม่ควรหยุดให้นมลูก หากเจ็บมากจนไม่สามารถให้ลูกดูดนมข้างนั้นได้ ให้ปั๊มน้ำนมออกเพื่อช่วยระบายน้ำนมออกไปจากต่อมน้ำนม และให้ลูกดูดนมข้างที่ไม่อักเสบ
- ประคบเต้านมด้วยความร้อนก่อนและระหว่างให้นมเพื่อลดอาการปวดและช่วยให้น้ำนมไหลดี ประคบเต้านมด้วยความเย็นหลังลูกดูดนม หรือหลังปั๊มน้ำนมออกหมดแล้ว เพื่อลดความเจ็บปวดและลดบวม
- กินยาระงับปวด - พักผ่อนให้เต็มที่ ดื่มน้ำ และกินอาหารให้เพียงพอ
การบำบัดรักษา
ให้ยาต้านจุลชีพขณะที่ฝียังมีขนาดเล็ก ผ่าตัดระบายหนองออกหากฝีมีขนาดใหญ่ การป้องกัน
- รักษาเต้านมให้สะอาดด้วยการล้างด้วยสบู่อ่อนวันละครั้ง เช็ดคราบน้ำนมออกให้หมดแล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง - อย่ารอให้เต้านมเต่งตึง (full breast) เป็นเวลานานจนคัดตึง (breast engorgement) ให้ลูกดูดนมให้หมดเต้าทีละข้างบ่อยๆ อย่าให้น้ำนมเหลือค้างในเต้านมเป็นเวลานาน ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today //www.KUMsamunpai.com
สาระความรู้เพิ่มเติม เพื่อสุขภาพและความงาม
Create Date : 01 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 3 สิงหาคม 2551 20:19:41 น. |
Counter : 868 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หญิงตั้งครรภ์ทานน้อยมีแววได้ลูกสาว
หญิงมีครรภ์ที่เบื่ออาหาร เช่น ไม่อยากรับประทานอาหารเช้า มักจะให้กำเนิดลูกผู้หญิงมากกว่าลูกผู้ชาย
การศึกษาของนางฟิโอน่า แมทธิวส์ จากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ ประเทศอังกฤษ เป็นหลักฐานแรกที่ชี้ว่า เพศของบุตรในครรภ์เกี่ยวข้องกับการกินอาหารของมารดา และการรับประทานอาหารมากๆ นั้นเกี่ยวข้องกับทารกเพศชาย และอาจอธิบายว่า ทำไมในประเทศที่พัฒนาแล้ว หญิงตั้งครรภ์จึงไม่ค่อยรับประทานอาหาร เพราะพบว่า สัดส่วนการเกิดของทารกเพศชายลดลง
ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่า อัตราการเกิดของทารกเพศชายในประเทศพัฒนาแล้วลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่า มลพิษและสารเคมี เช่น สารที่พบในยาฆ่าแมลง อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ที่มา ข่าวสด
Create Date : 01 สิงหาคม 2551 | | |
Last Update : 1 สิงหาคม 2551 15:49:10 น. |
Counter : 843 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
กินยาอย่างไร ขณะให้นม
โดย กองบรรณาธิการนิตยสารรักลูก คุณแม่หลายท่านคงรู้สึกกังวลใจกับอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นขณะให้นม ยิ่งถ้าต้องกินยาก็กลัวว่าจะส่งผลต่อลูกด้วย ...แล้วจะทำอย่างไร นมแม่...ระบบรักษาความปลอดภัย
อันที่จริงกระบวนการผลิตน้ำนมของแม่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูงมากค่ะ เพราะกว่าที่น้ำนมจะออกมาได้จะต้องผ่านการกลั่นกรองจากผนังถึง 2 ชั้น คือ ผนังหลอดเลือดฝอย และผนังต่อมน้ำนม ปริมาณยาที่จะผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้จึงน้อยกว่า 1% เท่านั้นค่ะ
นอกจากนี้ร่างกายของลูกเองก็จะมีกระบวนการป้องกันพื้นฐาน เช่น น้ำลาย น้ำย่อย หรือเนื้อเยื่อคัดกรองต่างๆ ที่คอยป้องกันไว้อีกระดับหนึ่ง
ดังนั้นถ้าคุณแม่เจ็บป่วยธรรมดา ก็สามารถกินยาได้อย่างปลอดภัย ยกเว้นหากมีอาการเจ็บป่วยรุนแรง ที่ต้องได้รับยาเฉพาะทาง ก็อาจจะต้องหยุดให้นมลูกในขณะใช้ยาค่ะ
ข้อระวัง เมื่อต้องใช้ยา
แม้ว่ายาจะผ่านเข้าสู่ร่างกายทารกได้ในปริมาณน้อยมากก็จริง แต่หากคุณแม่ใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ปล่อยให้ยาผ่านเข้าไปได้เลย จะยิ่งดีกว่า จริงไหมคะ
>> หากเป็นหวัด คัดจมูก ควรบรรเทาด้วยตัวเองก่อน เช่น กินอาหารที่มีวิตามินซีสูง ดื่มน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
>>ถ้าต้องไปพบคุณหมอ แจ้งให้ทราบว่ากำลังให้นมลูกอยู่ คุณหมอจะได้เลือกยาที่มีผลต่อการให้นมน้อยที่สุด
>> ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เช่น ยาบางตัวต้องกินติดต่อกันจนหมด บางตัวต้องกินหลังอาหาร ขณะเดียวกันคุณแม่ก็ควรสังเกตอาการของลูกด้วย
>> ควรกินยาหลังจากให้ลูกกินนมเสร็จทันที หรือเลือกช่วงที่ลูกหลับนานที่สุด เพื่อช่วยลดโอกาสที่ยาจะผ่านน้ำนมไปสู่ลูก เพราะปกติยาจะมีปริมาณสูงสุดในกระแสเลือดหลังจากกินไปแล้วประมาณ 1-3 ชั่วโมง
>> ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อจะช่วยขับยาออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
>> ถ้ามีอาการข้ออักเสบ เคล็ด ขัดยอก ควรใช้ยาทาภายนอกแทนยากิน
>> หากต้องใช้ยาที่ห้ามใช้ขณะให้นมลูก คุณแม่ควรบีบหรือปั้มน้ำนมแช่แข็งเก็บไว้ให้ลูกล่วงหน้า ให้พอดีกับช่วงเวลาที่รักษานะคะ และระหว่างการการรักษาตัวด้วยการกินยา (หยุดให้นมชั่วคราว) ก็ควรบีบหรือปั้มน้ำนมในขณะนั้นทิ้ง เพื่อให้เต้านมผลิตน้ำนมต่อไปได้อีก
>> ถ้าจำเป็นต้องรักษาระยะยาว พูดคุยกับคุณหมอในรายละเอียดว่าจะหยุดให้นมแม่ชั่วคราวก่อน เพื่อกลับมาให้นมลูกอีกครั้ง หรือเลื่อนการรักษาไปก่อนแล้วรอให้ลูกหย่านม (ในกรณีที่สามารถเลื่อนการรักษาได้) หรือต้องหยุดตลอดไป
ยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย
++ ยาแก้ปวด ลดไข้ พวก Paracetamol NSAID Ibuprofen Diclofenac
++ ยาแก้อักเสบธรรมดา ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก เช่น Antihistamine หรือ CPM
++ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
++ ยาฉีดรักษาเบาหวาน (Insulin)
++ ยาขยายหลอดลม
++ ยาฉีดคุมกำเนิด DPMA หรือ Depo-Provera ยาคุมกำเนิดชนิด โปรเจสเตอโรน เช่น Minipill
++ ยาปฏิชีวนะ พวก Amoxicillin Pennicillin Erythromycin คุณหมอมักสั่งให้เวลามีการอักเสบติดเชื้อ เช่น เวลาเป็นปวดบวม ท้องร่วง
++ ยาใช้เฉพาะที่ เช่น Ketokonazole, Miconazole, Clotrimazole ซึ่งต้องกินตามขนาดที่แพทย์สั่ง
นอกจากเรื่องยาแล้ว การดูแลตัวเองเรื่องอาหารการกินขณะให้นมแม่ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยค่ะ และที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือถ้ารู้สึกไม่สบายอย่าลืมปรึกษาคุณหมอนะคะ.. เอาใจช่วยคุณแม่ทุกท่านให้มีสุขภาพแข็งแรง ไร้ซึ่งโรคภัย จะได้ไม่ต้องกินยาค่ะ
ข้อมูลจาก : นิตยสาร รักลูก ฉบับที่ 291 เดือนเมษายน พ.ศ. 2550
Create Date : 29 กรกฎาคม 2551 | | |
Last Update : 31 กรกฎาคม 2551 19:18:06 น. |
Counter : 7958 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หลังคลอด...จำเป็นต้องอยู่ไฟไหม
โดยทั่วไปการอยู่ไฟในสมัยก่อนจะให้หญิงนอนบนแคร่แคบๆ หรือนอนบนกระดานไม้แผ่นเดียว ภายในห้องนอนจะสุมไฟหรือเอาเตาไฟร้อนๆไปวางไว้ อาหารก็จะกินแต่ข้าวกับเกลือหรือปลาเค็ม
เรื่องนี้จะว่าไปต้องนับเป็นความชาญฉลาดของคนยุคก่อนนะคะ เพราะในสมัยก่อนคลอดแล้วไม่มีการเย็บฝีเย็บ ไม่มีการรับประทานยาฆ่าเชื้อ(เพราะยังไม่มี) การนอนบนไม้กระดานหรือแคร่แคบๆทำให้ต้องนอนหนีบขาไว้เพื่อกันไม่ให้ตกเตียง ซึ่งช่วยให้แผลฝีเย็บติดกันเร็วขึ้น การอยู่ไฟซึ่งในห้องมีอุณหภูมิสูงก็ช่วยยับยั้งเชื้อโรค ช่วยป้องกันแผลไม่ให้ติดเชื้อหรืออักเสบได้
เมื่ออยู่ไฟเสียเหงื่อไปมาก การกินเกลือและปลาเค็มก็จะเป็นการชดเชยเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับเหงี่อ เห็นไหมคะคนสมัยก่อนมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลและภูมิปัญญาที่น่าทึ่งขนาดไหน
สำหรับชาวจีนก็จะมีข้อห้ามที่หนักหน่วงมากขึ้นในช่วงอยู่เดือน เช่น ห้ามอาบน้ำสระผมตลอดเดือนแรกหลังคลอด ให้เอาผ้าเช็ดตัวก็พอแล้ว และให้กินยาดองเหล้า หรืออาหารที่ผัดใส่เหล้า
ทั้งนี้เพราะคุณแม่หลังคลอดต้องเสียเลือดจากการคลอดเป็นจำนวนมาก ทำให้ซีดเซียว ขณะที่ประเทศจีนอากาศหนาวเย็นมาก ถ้าอาบน้ำสระผมกันตามปกติเห็นทีจะต้องจับไข้ ปอดบวมเป็นแน่ และเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นยิ่งขึ้นก็เลยให้กินยาดองหรืออาหารที่ผัดใส่เหล้า เลือดลมจะได้สูบฉีดดียิ่งขึ้นเพื่อสู้กับความหนาวเย็นได้
แล้วลองมาดูอากาศของไทยเราสิคะ มีแต่หน้าร้อนกับหน้าร้อนมาก และการคลอดในปัจจุบันก็จะมีการเย็บแผลให้รับประทานยาฆ่าเชื้ออยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอยู่ไฟให้ร้อนยิ่งขึ้น
สำหรับยาดองเหล้าตามตำรับไทย หรืออาหารบำรุงผัดใส่เหล้าตามตำรับจีน หากแม่หลังคลอดรับประทานเข้าไปก็จะทำให้เหล้าผ่านมากับน้ำนม ทำให้ลูกได้รับเหล้าจากนมแม่เข้าไปด้วย แม้ว่าจะทำให้ลูกเลี้ยงง่ายเมาหลับสบายตั้งแต่แรกเกิด แต่ก็ทำให้สมองลูกมีพัฒนาการช้าไปด้วย และตับของเด็กอ่อนยังไม่แข็งแรง หากได้รับแอลกอฮอล์ในปริมาณสูงมาก ก็อาจจะทำลายตับ ทำให้ไม่สามารถสร้างสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดได้ตามปกติ จนอาจมีเลือดออกภานในอวัยวะต่างๆ ทำให้เสียชีวิตได้
นอกจากนี้คุณแม่บางท่านอาจจะได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ว่าหลังคลอดห้ามกินน้ำแข็งและดื่มน้ำเย็น ให้ดื่มแต่น้ำอุ่น ให้อยู่กระโจมอบไอน้ำ
แพทย์สมัยใหม่เองนอกจากจะแนะนำให้แม่หลังคลอดรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว ก็มักแนะนำให้ดื่มน้ำก่อนและหลังให้นมลูก เพื่อช่วยในการสร้างน้ำนม ยิ่งเป็นน้ำอุ่นก็ยิ่งดีค่ะเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ช่วยทำให้น้ำนมแม่ไหลสะดวก ส่วนน้ำเย็นก็ไว้ดื่มช่วงที่จะอดนมลูกเพื่อให้การสร้างน้ำนมลดลง
การอยู่กระโจมอบไอน้ำก็ช่วยให้คุณแม่หลังคลอดรู้สึกเบาสบายตัว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้แผลฝีเย็บแฉะหรือติดเชื้อนะคะ เพราะปกติหลังคลอดจะมีน้ำคาวปลาออกมาอยู่ตลอดเวลาแผลก็แฉะอยู่แล้ว และการที่แผลจะติดเชื้อหรือไม่ สำคัญอยู่ที่การทำความสะอาดหลังขับถ่ายมากกว่าค่ะ
แต่ที่ต้องระวังในการอบไอน้ำหลังคลอดใหม่ๆคือไม่ควรนานเกินกว่า 10 นาที เพราะช่วงหลังคลอดใหม่ๆ ร่างกายยังอ่อนเพลีย วิงเวียนจากการที่ร่างกายเสียเลือดไป การอบไอน้ำทำให้เลือดไปที่บริเวณส่วนปลายของร่างกาย(สังเกตว่าปลายมือปลายเท้าจะแดง) และไปเลี้ยงอวัยวะภายใน รวมทั้งไปที่สมองและหัวใจลดลง หากอบไอน้ำนานเกินไปจึงอาจทำให้หน้ามืดเป็นลมได้ค่ะ
เชื่อโบราณไม่บานบุรีแน่ค่ะ ถ้าเราเลือกโดยพิจารณาจากเหตุผล และปรับใช้ให้เหมาะกับปัจจัยแวดล้อมของยุคสมัย
ที่มา ชีวจิต
Create Date : 12 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2551 17:18:08 น. |
Counter : 951 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เคล็ดวิธีเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดี
สุขภาพดีถือเป็นกำไรชีวิต พ่อแม่ทุกคนก็อยากจะให้กำไรนี้กับลูก แต่เอ...ไหงยิ่งแนะยิ่งสอนนอกจากลูกจะไม่ปฏิบัติตามแล้วยังจะต่อต้านอีกด้วย ถ้าอย่างนั้นลองใช้วิธีเหล่านี้ค่ะ
1.สอนลูกถึงอาหารที่ควรรับประทานในแต่ละมื้อว่าควรจะประกอบด้วย แป้ง เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ด้วยผักหรือผลไม้ และด้วยโปรตีน เช่น เต้าหู้ ปลา กุ้ง และแนะนำถึงอาหารที่ไม่ควรกินบ่อยนัก เช่น อาหารทอด ลูกอมหรือขนมหวาน ขนมกรุบกรอบสำเร็จรูป และน้ำอัดลม
2.ยึดกฎเกณฑ์แต่เพียงพอดี เฉพาะเรื่องความถี่หรือเวลาในการกินก็พอแล้ว จะได้หลีกเลี่ยงการสร้างสิ่งต้องห้ามหรือจุดของความขัดแย้ง
3.เด็กอายุ 10-12 ปีมองพ่อแม่เป็นแบบอย่างในเรื่องต่างๆ ฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกรักษ์สุขภาพ พ่อแม่และคนใกล้ชิด จะต้องดูแลสุขภาพตัวเองเสียก่อน
4.เตรียมอาหารที่เป็นประโยชน์และประหยัดเวลาไว้เป็นอาหารเช้าที่เด็กหยิบติดตัวไป กินได้สะดวก เช่น ผลไม้ ธัญพืช น้ำนมถั่วเหลือง หรือขนมปังโฮลวีทไส้ทูน่าและผัก 5.พาลูกไปตลาดให้เขาได้เลือกผักและผลไม้ที่เขาชอบด้วยตัวเอง 6.จัดเตรียมผลไม้ไว้ในบ้านให้พร้อมหยิบฉวยมารับประทานได้ง่าย ถ้าทำได้ตามนี้รับรองสุขภาพดียกครัวค่ะ
ที่มา ชีวจิต
Create Date : 12 พฤษภาคม 2551 | | |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2551 17:06:46 น. |
Counter : 709 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|