คุ้มสมุนไพร "ภูมิปัญญาไทย เพื่อสุขภาพและความงามคุณ" บริการ อยู่ไฟ หลังคลอด ถึงบ้าน และจำหน่ายชุด อยู่ไฟ ด้วยตนเอง
 

6 วิธีบรรเทาอาการแพ้ท้อง

เพิ่งดีใจเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ได้ไม่นาน คุณแม่ก็ต้องมาเจอกับมรสุมแห่งการตั้งครรภ์ซะแล้ว นั่นก็คือ การแพ้ท้อง บางคนอยากกินของเปรี้ยว หรือรู้สึกพะอืดพะอม อยากจะอาเจียน



อาการแพ้ท้องเหล่านี้นับเป็นความรู้สึกที่ทรมานทั้งกายและใจของคุณแม่ เรามี 5 วิธีการง่ายๆ ที่ช่วยทุเลาอาการแพ้ท้องให้ลองนำไปใช้กันค่ะ ได้แก่

รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 6 ได้แก่ ถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวสาลี มันฝรั่ง เพื่อป้องกันและลดอาการแพ้ท้อง แถมยังช่วยดูแลสุขภาพลูกน้องในครรภ์ได้อีกด้วย
กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เพราะระหว่างตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่สูงขึ้นจะมีผลทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง อาหารย่อยยาก และทำให้มีอาการอืดแน่นท้องได้ง่าย ซึ่งก็ง่ายต่อการคลื่นไส้อาเจียน
หลังกินอาหารอิ่มแล้วควรเดินช้าๆ ประมาณ 15-30 นาที เพื่อให้อาหารย่อย และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หากมีอาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียนให้นั่งพัก หลับตาพร้อมกับหายใจยาวๆ ลึกๆ
ควรหาลูกอม ขนมหวาน น้ำผลไม้ หากคุณรู้สึกแพ้มากชนิดที่เรียกว่ากินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด เพื่อให้ร่างกายรับพลังงานเพียงพอ และป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ควรดื่มน้ำอุ่นๆ ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนลงได้ นอกจากนั้น หลังจากอาเจียนใหม่ๆ ควรดื่มน้ำอุ่นสักแก้ว เพื่อกลั้วคอและล้างกลิ่นที่อาจเป็นสาเหตุให้คุณแม่พะอืดพะอมขึ้นมาอีก
หากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบ ทำให้รู้สึกเพลินๆ เพื่อให้ลืมความรู้สึกที่อยากจะอาเจียน
ที่สำคัญ อย่าลืมพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ร่างกายของคุณแม่ก็จะได้สดชื่นมีแรงพอที่จะสู้กับอาการแพ้ท้องได้ต่อไปค่ะ



ที่มา ชีวจิต




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2551 16:57:02 น.
Counter : 812 Pageviews.  

ปัสสาวะบ๊อย บ่อย



คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จะสังเกตได้ว่า เมื่อท้องยิ่งใหญ่ขึ้น ความถี่ของการเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะของคุณนั้นก็จะถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน เพราะเมื่อเด็กในท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น มดลูกโตขึ้น จึงมีการเบียดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปริมาณความจุของกระเพาะปัสสาวะน้อยลง เป็นสาเหตุทำให้มีการปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหญิงตั้งครรภ์ หากไม่มีอาการแสบ ขัด หรือมีไข้ ไม่ควรวิตกกังวล

และเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 12 สัปดาห์ขึ้นไป มดลูกที่เคยอยู่ในกระเพาะปัสสาวะจะเริ่มลอยโพล่พ้นเชิงกรานไป ความถี่ของการปัสสาวะก็จะน้อยลง และจะกลับมาเป็นอีกในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์เนื่องจากท้องมีการลดต่ำลง

ขอขอบคุณ นิตยสาร บันทึกคุณแม่




 

Create Date : 26 มีนาคม 2551    
Last Update : 26 มีนาคม 2551 13:15:17 น.
Counter : 750 Pageviews.  

ปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์ทำยังไงดี

ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนแล้ว ทำงานบ้านเองจนปวดหลังและเอวมาก กลางคืนก็นอนไม่หลับ เวลาเปลี่ยนอิริยาบถทุกครั้งจะเจ็บมาก รักษาอย่างไรคะ
อัสมา พิมพ์ประพันธ์/นครศรีธรรมราช



การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อที่คุณหมอสูติฯ จัดให้จะช่วยบรรเทาอาการปวดในระยะแรกเท่านั้น แต่ที่สำคัญต้องหยุดทำงานบ้าน เพราะอาการปวดหลังและเอวเกิดจากการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ (spasm) ซึ่งต้องรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นถึง 5-8 กิโลกรัม ในช่วง 5 เดือน และจากแรงเหวี่ยงกระแทกขณะทำงานบ้านที่ต้องก้มเงยหรือนั่งยองๆ ทำให้ถึงจุดที่กล้ามเนื้อรับน้ำหนักไม่ไหว เกิดการหดเกร็งตัว เจ็บยอกคล้ายตะคริวแต่รุนแรงน้อยกว่า และเจ็บมากขึ้นเมื่อเกิดแรงกระทบขณะเปลี่ยนอิริยาบถ แม้แต่เวลานอน ถ้านอนหงาย น้ำหนักครรภ์ก็จะกดทับหลัง ทำให้เจ็บจนนอนไม่ได้ และถ้าที่นอนนุ่มจนยวบ กล้ามเนื้อจะต้องเกร็งเพื่อพยุงกระดูกและเส้นเอ็นไม่ให้ยวบตามลงไป ก็จะปวดรุนแรงขึ้นได้ จึงควรนอนบนที่นอนใยมะพร้าวหรือบนพื้น ซึ่งอาจปวดเมื่อยใน 2-3 วันแรก และควรนอนตะแคง มีหมอนหนุนครรภ์และหมอนข้างไว้หว่างขาเพื่อช่วยรองรับน้ำหนักครรภ์หลีกเลี่ยงอิริยาบถที่ต้องใช้หลัง เช่น นั่งหรือยืนนานเกิน 30 นาที การก้มเก็บของในลักษณะหลังงอ การนั่งบนพื้นหรือนั่งยองๆ ข้อควรระวังเหล่านี้ถ้ายึดถือปฏิบัติไปจนกระทั่งคลอดก็จะช่วยป้องกันอาการปวดหลังซึ่งจะรุนแรงมากขึ้นตามอายุครรภ์ค่ะ

รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ

[ที่มา..นิตยสารดวงใจพ่อแม่




 

Create Date : 23 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มีนาคม 2551 15:20:55 น.
Counter : 1057 Pageviews.  

เคล็ดลับ...กันแท้ง



ขอเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการ " แท้งบุตร" ซึ่งนับเป็นฝันร้ายของผู้หญิงทุกคนที่อยากจะเป็น "แม่" สักหน่อยเถิดครับ แต่ไม่ใช่การทำแท้งนะครับ เพราะคอลัมน์ของเราตั้งใจว่าจะเสนอเฉพาะเรื่องราวที่ดีงามและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้น ซึ่งก็คือการป้องกันการแท้งบุตรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เรื่องนี้มีคำถามมากมาย...ที่รอคำตอบที่ถูกต้องอยู่ อย่าปล่อยให้ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจผิดๆ รวมทั้งข่าวลือต่างๆ มาทำให้ชีวิตของคุณและคนที่คุณรักต้องจมปลักอยู่กับความผิดหวัง มาเตรียมตัวป้องกันการแท้งบุตรกันเถิด เ

ตรียมพร้อมก่อนสมรส... เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์

การไปตรวจสุขภาพร่างกายทั้งชายและหญิงก่อนจะใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน มีความสำคัญมาก เพราะสามารถที่จะเตรียมความพร้อมของสภาพร่างกายก่อนตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ เพื่อตรวจดูว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีโรคร้ายที่จะถ่ายทอดทางการมีเพศสัมพันธ์จนอาจจะเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ไหม ถ้าเกิดการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนขึ้นมา โรคที่เกิดจากแบคทีเรียบางชนิดและโรคที่เกิดจากไวรัสหลายชนิด มีผลทำให้การพัฒนาต่างๆ ของทารกในช่วง 3 เดือนแรกที่กำลังสร้างอวัยวะได้รับความกระทบกระเทือน จนสภาพร่างกายของทารกไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะเจริญเติบโตต่อไป จึงเกิดการเสียชีวิตไป เกิดภาวะครรภ์ไข่ฝ่อ หรือเกิดการแท้งบุตรในช่วงการตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์แรกได้ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะถ้าตรวจพบก่อนเกิดการตั้งครรภ์ก็จะสามารถดูแลแก้ไขและรักษาให้หายได้ จนไม่เป็นภัยต่อการตั้งครรภ์ และไม่เป็นสาเหตุที่ป้องกันได้ของการแท้งบุตรอีกต่อไป

ยังครับ ยังไม่หมด ข้อดีของการเตรียมตัวก่อนสมรส และการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ เพราะคุณหมอยังสามารถตรวจหาภูมิต้านทานต่อโรค ที่เกิดจากหัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบบี และสามารถให้ภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีนให้ ในกรณีที่ไม่มีภูมิคุ้มกันมาก่อน การตรวจร่างกายฝ่ายหญิง ก็สามารถทราบได้ว่ามดลูกปกติไหม มีเนื้องอกอยู่หรือไม่ รวมทั้งมีการอักเสบในอุ้งเชิงกราน มีพังผืด หรือมีถุงน้ำของรังไข่หรือเปล่า ถ้าตรวจพบก่อน ก็สามารถรักษาให้หายก่อนการตั้งครรภ์ จนไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเกิดพยานรักของคู่ชีวิตทั้งสอง

สุขภาพของมารดา... สำคัญที่สุด

การมีสุขภาพดี หมายถึง การมีร่างกายที่สมบูรณ์ จิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน และสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สุขภาพที่ดี เริ่มต้นที่บ้าน...ไม่ใช่โรงพยาบาล สุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากตัวเอง...ไม่ใช่ให้หมอสั่ง สุขภาพที่ดี ต้องแสวงหา... ไม่ใช่ลอยมาเอง เรามาเริ่มต้นเตรียมตัวเป็นคุณแม่ ด้วยการเตรียมสุขภาพรับการตั้งครรภ์จะดีไหม เริ่มจากมีความรักให้แก่ตัวเองก่อน ให้ความรักแก่กันและกันในระหว่างสามีภรรยา เพราะความรักไม่ใช่หรือที่เป็นต้นตอของกำเนิดแห่งมนุษยชาติ มอบความรักให้แก่กัน มองโลกในแง่ดี คิดในทางบวก เพราะพลังอำนาจของความคิดสร้างสรรค์หรือการคิดในแง่ดีนั้น มีมากมายกว่าที่คุณคิดมากนัก โดยเฉพาะในเรื่องของการมีบุตร และการป้องกันการแท้งบุตร

รับประทานอาหารให้ครบถ้วนทุกหมวดหมู่ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ พยายามให้ได้แร่ธาตุและสารอาหารให้ครบถ้วน โดยเฉพาะแร่ธาตุโฟเลตที่มีมากในนมและผักสีเขียวเข้ม ซึ่งพบว่าช่วยป้องกันภาวะสมองและไขสันหลังพิการแต่กำเนิด รวมทั้งอาจช่วยลดโอกาสการแท้งบุตรลงได้

นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง การเข้านอนแต่หัวค่ำจะทำให้ระบบการเจริญพันธุ์และฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์สามารถทำงานได้เต็มที่ จนเกิดการตกไข่ที่สมบูรณ์ และฝ่ายชายมีการผลิตตัวอสุจิที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะเกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่ของฝ่ายหญิงและตัวอสุจิของฝ่ายชาย จนเป็นตัวอ่อนที่มีสภาพสมบูรณ์มากพอที่จะไม่เกิดการแท้งบุตรขึ้น

พยายามมีบุตรในช่วงเวลาที่สภาพร่างกายพร้อมที่สุด ผู้หญิงนั้น ในช่วงอายุ 25-30 ปี จะเป็นช่วงเวลาที่เมื่อเกิดการตั้งครรภ์แล้ว จะได้บุตรที่มีสภาพสมบูรณ์และโอกาสเกิดการแท้งบุตรได้น้อยที่สุด หลีกเลี่ยงจากสภาพการทำงานที่หนักเกินควร โดยเฉพาะงานที่เคร่งเครียด เร่งรัดจนไม่มีเวลาพักผ่อน จริงอยู่ การทำงานหมายถึงการมีเงินทองมาจับจ่ายใช้สอย แต่อย่าให้เวลาที่มีคุณค่าในการมีบุตรต้องจากไป เพราะถ้าช่วงเวลานั้นผ่านพ้นไปแล้ว เงินทองเท่าใดก็ไม่อาจเรียกเวลานาทีทองที่จะมีบุตรกลับมาได้

ขจัดความเข้าใจผิด... ให้หมด ......

" อย่ามีอะไรกับแฟนเวลาตั้งท้องอ่อนๆ นะเธอ เดี๋ยวแท้ง ?" ไม่จริงหรอกครับ ถ้ากระทำด้วยความนุ่มนวล จนเกิดความสุขสมด้วยกันทั้งสองฝ่าย อาจจะช่วยผ่อนคลายให้หายเครียด และลดโอกาสการแท้งบุตรจากสาเหตุบางชนิดลงไปด้วยก็ได้... ใครจะรู้ ที่จริง ถ้าไม่เคยมีประวัติการแท้งบุตรมาก่อน ไม่ได้มีข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธในระหว่างการตั้งครรภ์เลย ......

" แพ้ท้องมากๆ ระวังนะเธอ จะทำให้แท้งบุตร ? " แท้จริงแล้ว พบว่า การแพ้ท้องและอาเจียนส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากระดับของฮอร์โมนจากเนื้อรกที่เรียกว่า "เบต้าเอชซีจี" มีระดับสูง การที่ฮอร์โมนดังกล่าวมีระดับสูง จะช่วยให้รกเกาะมดลูกได้ดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตโรนจากเนื้อรกมากขึ้น ช่วยป้องกันการแท้งบุตรที่เกิดจากการที่รกฝังตัวไม่แน่นเสียอีก เชื่อไหมครับว่า ส่วนใหญ่แล้ว มารดาตั้งครรภ์ที่แพ้ท้องมากๆ ไม่ค่อยแท้งบุตรหรอกครับ ถ้าได้รับการดูแลอย่างดี และได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ มีแต่มารดาตั้งครรภ์มีอาการแพ้ท้องหายไปดื้อๆ ซิครับ อาจจะน่ากลัวกว่า ......

" ท้องที่แล้ว แท้งไป เพราะมดลูกไม่ดี เห็นเขาบอกกันว่า มดลูกคว่ำหลัง ที่ทำให้แท้งบุตรได้ง่าย ? " การที่มดลูกคว่ำ ไม่ว่าจะคว่ำหน้าหรือคว่ำหลัง หรือจะอยู่ตรงกลาง ก็เป็นตำแหน่งที่มดลูกสามารถที่จะอยู่ได้ โดยไม่ไปรบกวนต่อการตั้งครรภ์ จนเป็นสาเหตุของการแท้งบุตรแต่อย่างใดเลย เข้าใจนะครับ ......

" ถ้ามีเลือดออกทางช่องคลอด เป็นอาการว่าจะแท้งบุตรแน่นอน และถึงแม้ว่าจะรักษาได้ ลูกก็อาจจะพิการ ? " ที่จริงแล้ว การมีเลือดออกทางช่องคลอดนั้น เป็นอาการทางการแพทย์ ที่เรียกว่า แท้งคุกคาม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแท้งบุตรเสมอไป และเลือดที่ออกเป็นเลือดของมารดาครับ ไม่ใช่เลือดของลูกน้อยในครรภ์... จึงไม่ควรตกใจมากเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะการแท้งบุตรในช่วง 12 สัปดาห์แรกนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของทารกในครรภ์ที่อาจจะมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์พอที่จะเจริญเติบโตไปเป็นทารกที่สมบูรณ์ได้ ในระหว่าง 12 สัปดาห์แรก เป็นช่วงระยะเวลาในการสร้างอวัยวะต่างๆ ของลูกน้อย ซึ่งถ้าร่างกายตรวจจับพบว่าไม่สมบูรณ์ ก็จะเกิดการขับทิ้งออกมา เป็นการแท้งบุตร ในขณะที่สาเหตุของการแท้งบุตร ส่วนใหญ่พอจะช่วยเหลือได้ แต่ประมาณ 1 ใน 3 อาจเกิดจากการไม่สมบูรณ์ของทารกในครรภ์ก็เป็นได้ ดังนั้นคงจะต้องเรียนว่า ถ้ามีอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดแล้ว ขอให้รีบไปพบแพทย์ ทำใจอย่าตกใจเกินกว่าเหตุ การเกิดความเครียดจนเกินไปไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ถ้าแพทย์สามารถรักษาให้ตั้งครรภ์ต่อไปได้ แสดงว่าทารกในครรภ์มีความสมบูรณ์พอที่จะเจริญเติบโตต่อไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะไม่สมบูรณ์ แต่ถ้ารักษาไปแล้ว ลูกในครรภ์ฝ่อไปหรือแท้งไป ก็แสดงว่าลูกในครรภ์น่าจะมีความสมบูรณ์ไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจจะไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ แบบนี้ก็คิดว่า เขาบุญน้อย...ก็แล้วกัน

จำไว้ว่า การมองโลกในแง่ดี การคิดในทางที่ดีต่อลูกน้อยในครรภ์ การคิดถึงเขาด้วยความรักความเข้าใจ ตั้งแต่เป็นลูกน้อยในครรภ์จะสามารถช่วยให้โอกาสการแท้งบุตรลดลงได้ไม่มากก็น้อย... นอกจากการปฏิบัติตัวและการเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์แล้ว ดูแลสุขภาพกายและใจของคุณให้ดีนะครับ... เตรียมตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่คุณภาพกันในอนาคต

[ ที่มา...เนชั่นสุดสัปดาห์




 

Create Date : 23 มีนาคม 2551    
Last Update : 23 มีนาคม 2551 15:13:13 น.
Counter : 1351 Pageviews.  

รอบรู้เรื่อง "นอน" ของเจ้าตัวเล็ก



เด็กแต่ละคนมีระยะเวลา ชั่วโมงการนอน หลับพักผ่อนแตกต่างกัน ตามนาฬิกาในสมอง (Biological clock) ตามธรรมชาติของแต่ละคน ในแต่ละวัยจะกำหนด

.เจ้าตัวเล็กแรกเกิดใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน แต่พออายุเดือนมากขึ้นก็จะนอนน้อยลงเรื่อย ๆ อาจทำให้คุณคิดว่าเจ้าตัวเล็กนอนยากขึ้นหรือนอนไม่ได้นานเหมือนก่อน ซึ่งพฤติกรรมการนอนของเจ้าตัวเล็กที่เกิดขึ้น ทำให้คุณรู้สึกไม่เข้าใจจนเกิดความหงุดหงิดใจขึ้นได้ แต่ถ้าเราได้รู้จักธรรมชาติของพฤติกรรมการนอนของเจ้าตัวเล็ก ก็จะช่วยทำให้คุณเลี้ยงเขาอย่างเข้าใจมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะชวนคุณไปทำความเข้าใจ พฤติกรรมการนอนของเจ้าตัวเล็กกันค่ะ

ความสำคัญของการนอนของเจ้าตัวเล็กนั้น มีผลต่อการเติบโตต่อร่างกาย เพราะการนอนหลับจะมีฮอร์โมนเรียกว่า โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมากระตุ้นให้ร่างกายเติบโต ใยประสาทจะเชื่อมโยงกับเซลล์ จึงทำให้สมองเติบโตด้วย ฉะนั้นเจ้าตัวเล็กที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก็จะเป็นเด็กที่อารมณ์ดี เรียนรู้ได้มากแต่การนอนหลับของเจ้าตัวเล็กตามธรรมชาตินั้น ไม่ได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง อย่างที่เราเห็นนาฬิกาในสมอง จะกำหนดให้เจ้าตัวเล็กได้พักผ่อนตลอดเวลาของการนอนจริง ๆ ก็ต่อเมื่อได้หลับรวดเดียวประมาณเดือนที่ 6 ขึ้นไปแล้ว

พ.ญ. เชิดชู อริยศรีวัฒนา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่าเด็กทารกมีการนอนหลับไม่สนิทโดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ของชีวิต ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวของนัยตาอย่างรวดเร็วว่า Rapid eye movement สลับกับการหลับเงียบสนิทที่เรียกว่า Quiet sleep หรือ Non-rapid-eye-drop movement จึงทำให้บางครั้งนอนดิ้น ส่งเสียงครวญครางแต่ยังตื่นไม่เต็มที่ คุณไม่ควรเข้าไปอุ้มหรือให้กินนม เพราะจะเป็นการไปปลุกให้เด็กซึ่งกำลังหลับในช่วงหลับไม่สนิทให้ตื่นขึ้น แทนที่จะหลับต่อไปได้อีก

ข้อมูลจากหน่วยกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า พฤติกรรมการนอนของเจ้าตัวเล็กแต่ละวัยมีความแตกต่างกัน โดยสามารถแจกแจงให้เห็นชัดเจนดังต่อไปนี้

* 0 - 3 เดือน การหลับและตื่นของทารกแรกเกิดมักจะเฉลี่ยเท่า ๆ กันทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน เจ้าตัวเล็กจะนอนหลับวันละประมาณ 20 ชม. ต่อวัน แต่ในช่วงแรกมักจะนอนกลางวันมากกว่ากลางคืน มีเวลาตื่นที่ไม่แน่นอน การนอนอาจเปลี่ยนไปทุกสัปดาห์และ จะปรับตัวมานอนตอนกลางคืนมากกว่าได้เองในไม่ช้า

* 3 - 6 เดือน เจ้าตัวเล็กจะหลับกลางวันน้อยลง นอนกลางคืนมากขึ้น โดยจะหลับรวดเดียวไปจนถึงเช้า ไม่ตื่นมากินนมตอนกลางคืนเหมือนก่อน คุณก็ไม่จำเป็นต้องปลุก ให้เจ้าตัวเล็กตื่นขึ้นมาดูดนมหรือกลัวว่าจะหิว เพราะเขาได้กินนมไว้เต็มที่แล้วค่ะ ความต้องการนอนในช่วงนี้จะลดลงเป็น 15-16 ชม.

* 6 - 12 เดือน ส่วนใหญ่จะสามารถนอนหลับได้นานรวดเดียวในเวลากลางคืน โดยจะไม่ตื่นมาดูดนมกลางคืนอีก ส่วนกลางวันก็จะหลับเป็นช่วงสั้น ๆ วันละ 2 ครั้ง รวมเวลาหรือความต้องการนอน 13-14 ชม.

เมื่อเด็กโตขึ้นระยะเวลาของการหลับสนิทก็จะเพิ่มขึ้นจาก 50% ไปจนถึง 70-80% ของระยะเวลาการนอนหลับทั้งหมด ทำให้รอบของการหลับมีความคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่คือ หลับได้นานขึ้นแต่ระยะเวลาของการหลับสนิทก็ยังสั้นกว่าผู้ใหญ่อยู่ดี ซึ่งถ้ามีอะไรมาทำให้เด็กตื่นระหว่างการนอน ก็จะทำให้เด็กกลับไปหลับต่อเนื่องจากเดิมได้ยาก ทำให้เกิดปัญหา เช่น พอเจ้าตัวเล็กตื่นกลางดึกแล้วจะไม่ยอมนอนต่อ จะลุกขึ้นมาเล่นบางรายเมื่อถึงเวลานอนแล้วจะไม่ยอมนอน เป็นต้น

การหาสาเหตุหรือที่มา ของปัญหาเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจเจ้าตัวเล็กและ หาวิธีแก้ไขได้อย่างถูกต้อง เพราะการที่เจ้าตัวเล็กนอนยากหรือ นอนไม่ได้นานส่วนใหญ่ เกิดขึ้นจากสภาพกาย และสภาพจิตของเจ้าตัวเล็ก ดังนี้

1. นอนกลางวันมากเกินไป เจ้าตัวเล็กที่นอนกลางวันมาก ๆ กลางคืนก็จะตาสว่าง เพราะไม่ง่วงจึงไม่ยอมนอน

2. ไม่สบาย บางทีเป็นสัญญาณเตือนว่าเจ้าตัวเล็กอาจเริ่มเป็นไข้หวัด ตัวร้อน หรืออาจเกิดจากความไม่สบายตัว เช่น อากาศร้อนหรือหนาวเกินไปหรือแน่นท้อง เป็นต้น

3. ไม่ได้ออกกำลัง ครอบครัวที่ทะนุถนอมเจ้าตัวเล็กมากจนเกินไป ไม่ค่อยปล่อยให้เด็กได้เล่น โดยเกรงว่าจะได้รับอันตรายทำให้เจ้าตัวเล็กไม่ค่อยได้ใช้พลังงาน จึงหลับยากกว่าเจ้าตัวเล็กที่ได้เล่นสนุกจนเหนื่อย จึงหลับได้ง่ายและทำให้หลับได้สนิทกว่า

4. ชดเชยเวลา คุณพ่อคุณแม่ที่ทำงานนอกบ้าน ทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก จึงพยายามชดเชยให้กับเขาในเวลาที่กลับมาบ้านตอนค่ำ ทำให้เลยเวลานอนจนเจ้าตัวเล็กตาแข็งนอนไม่หลับ

5. มีสิ่งรบกวน เช่น ผู้ใหญ่ในบ้านดูโทรทัศน์หรือฟังวิทยุในห้องนอน แสงและเสียง จะทำให้เจ้าตัวเล็กนอนไม่หลับได้

6. กังวลหรือหวาดกลัว เจ้าตัวเล็กที่ถูกขู่ว่าจะถูกทิ้ง เช่น มีน้องใหม่ ขู่ว่าตุ๊กแกจะมากินตับหรือถ้าไม่ยอมนอนจะให้ผีมาหลอก ฯลฯ การดูทีวีที่โลดโผนก่อนนอนอาจทำให้เขาฝันร้ายและสะดุ้งตื่นบ่อย ๆ

7. แปลกที่ การย้ายที่นอน เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่นอนไม่หลับเวลานอนแปลกที่ พ่อแม่พาไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้ว พักที่โรงแรมเจ้าตัวเล็กบางคนไม่ยอมนอนร้องกลับบ้าน จนพ่อแม่บางคนต้องยอมขับรถพาลูกกลับบ้านก็มี แต่ที่ถูกต้องควรปลอบโยนให้กำลังใจ ให้เขาปรับตัวได้ในที่สุด

ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขกันไม่ได้ถ้าคุณมีความรักและ ความเข้าใจเป็นสายใยในครอบครัว การรู้จักธรรมชาติของภาวะการปรับตัวของทารก โดยเฉพาะพฤติกรรมของเจ้าตัวเล็กแต่ละขวบวัย การรู้ที่มาของการนอนน้อยลง การนอนไม่หลับ หลับยากขึ้น จะช่วยให้คุณแก้ปัญหาอย่างถูกวิธีอย่างมีสติและ เชื่อว่าสามารถลดความเครียดทั้งของเจ้าตัวเล็กและของคุณได้ค่ะ

ที่มา นิตยสาร BABY’S DIGEST




 

Create Date : 22 มีนาคม 2551    
Last Update : 22 มีนาคม 2551 13:03:32 น.
Counter : 794 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  
 
 

Healthy Service
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุ้มสมุนไพรบริการอยู่ไฟ คุณแม่หลังคลอด
จำหน่าย ชุดอยู่ไฟ และสมุนไพร
สายด่วน 08-5426-7578 (24 ชม. ทุกวัน)http://www.KUMsamunpai.com/


จำนวนผู้เข้าเว็บ Best Free Hit Counters
Maternity Wear
Maternity Wear 234x60 70% off on over 3,000 designer fragrances SkinStore Special Offers Free Shipping
[Add Healthy Service's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com