|
|
|
|
|
|
10 เรื่องที่ต้องเช็คของเบบี๋เดือนแรก
เมื่อคุณหมออนุญาตให้พาเจ้าตัวเล็กกลับบ้าน ความบอบบางของเบบี๋แรกคลอดก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เริ่มต้นกังวลอีกครั้ง บางคนถึงกับเฝ้าอยู่ข้างๆ จนแทบไม่เป็นอันทำอะไรหรือตาแทบไม่กะพริบเลยล่ะค่ะ เพียงเพราะอยากให้แน่ใจว่าลูกน้อยปลอดภัยและสบายดี
มาเติมความมั่นใจในการดูแลลูกแรกคลอดกับวิธีเช็กร่างกายของเบบี๋ในแบบที่ทำได้ด้วยสองมือพ่อแม่กันนะคะ
ไม่ว่าเสียงร้องการมองเห็น ลมหายใจ ล้วนทำให้คุณกังวลได้ทั้งสิ้น พญ.สุรีย์พร กอบเกื้อชัยพงษ์ กุมารแพทย์ มีคำแนะนำในการเช็คร่างกายลูกในช่วงเดือนแรกค่ะ เพื่อความกังวลจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความมั่นใจให้คุณมากขึ้นๆ ค่ะ 1. ดวงตาบ้องแบ๊ว
เบบี๋แรกคลอดมองเห็นได้ประมาณ 1 ฟุต ถ้าอยากรู้ว่าลูกเห็นหรือเปล่า ก็ลองยื่นหน้าคุณเข้าไปใกล้ๆ แล้วลองขยับตัวไปมาสิคะขณะที่ลูกมองตามคุณ ตาทั้ง 2 ข้างจะเหล่เข้าหากันแต่ถ้าไม่มีอะไรให้เขามองดวงตาลูกก็จะกลับเข้าที่เช่นเดิมค่ะ
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าตาลูกเหล่เข้าหากันและค้างอยู่อย่างนั้น แม้ไม่มีอะไรให้มอง หรือถ้าลูกมีอายุเกิน 4 เดือน แต่ตาลูกยังเหล่เข้าหากันอยู่ ก็แสดงว่าสายตาของลูกผิดปกติค่ะ
2. ภาวะเหลือง
เด็กแรกเกิดทุกคนจะมีโอกาสเป็นภาวะตัวเหลืองได้ แต่ก็ไม่มากนัก ซึ่งเกิดจากการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงส่วนหนึ่ง ทำให้สารเหลืองที่เรียกว่าบิลิรูบินออกมา ตับจึงทำหน้าที่ช่วยขับสารเหลืองออกทางปัสสาวะและอุจจาระ เราจะพบทารกมีหน้าตาเหลืองๆ ได้
พ่อแม่ต้องรู้ - อาจมีบางภาวะที่มีการแตกตัวของเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ เช่น ภาวะที่เลือดแม่กับลูกไม่เข้ากัน ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD ทำให้มีภาวะตัวเหลืองมากกว่าปกติ วิธีสังเกต คือ ถ้าลูกลำตัวและมีหน้าเหลืองถือว่าปกติ แต่ถ้าตัวเหลืองลงไปถึงช่วงขาและเท้าควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอทันทีเพราะสารเหลืองจะเข้าสู่ไขสันหลังและทำให้สมองเกิดความพิการได้
3. จมูกเล็กๆ
เด็กแรกคลอดทุกคนจะถูกใส่สายเพื่อดูดเอาเสมหะออกจากรูจมูก และถ้าใส่สายลงรูจมูกได้ดี ก็แสดงว่ารูจมูกลูกนั้นค่อนข้างปกติดีและในช่วงนี้จะมีน้ำมูกไหลออกมาทุกวัน เพราะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศ ดังนั้นคุณแม่ควรเช็ดจมูกเบาๆ ด้วยก้านสำลีทุกวันหลังการอาบน้ำเช้า เย็น
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าได้ยินเสียงลูกหายใจดังฟี้ดๆ ก็ไม่ต้องตกใจจนนั่งนับลมหายใจกันทั้งคืนนะคะเพราะเป็นเสียงจากน้ำมูกที่เช็ดไม่หมดจนกลายเป็นก้อนสีเขียวติดคาอยู่ในจมูก แค่เช็ดน้ำมูกให้ลูกก็จะหายใจปกติแล้ว และถ้าลูกจามบ่อยๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้แป้งฝุ่นค่ะ
4. ปากจิ๋วๆ
ปากเป็นอวัยวะภายนอกที่เห็นได้ชัดเจนถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ปากแหว่ง ดังนั้นถ้าลูกเกิดมาไม่มีความผิดปกติ สิ่งที่สำคัญจึงอยู่ที่การทำความสะอาดปากให้ลูก ด้วยการใช้ผ้าขาวบาง หรือผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเช็ดปาก เหงือกและลิ้นให้ลูกทุกวัน เวลาเช้าและเย็น
พ่อแม่ต้องรู้ - เบบี๋กินนมแม่จะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องคราบน้ำนมบนลิ้น หรือลิ้นเป็นฝ้าค่ะ แต่ในเด็กที่กินนมผสมจะทำให้ลิ้นเป็นฝ้าได้ ดังนั้นหลังให้นมผสมควรให้ลูกดื่มน้ำตามทุกครั้งด้วยค่ะ
5. ลมหายใจ
ในเด็กแรกเกิดจะหายใจต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที และขณะที่หายใจหน้าอกจะยกขึ้นและลงเป็นธรรมดาค่ะ
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าเห็นลูกหายใจแรง ยกหน้าอกขึ้นลงแรงๆ มีลักษณะที่หอบเหนื่อย กินนมได้ช้าเพราะต้องเว้นพักเพื่อจะหยุดหายใจ แสดงว่าลูกนั้นมีปัญหา เรื่องการหายใจ ต้องพาลูกไปพบคุณหมอค่ะ
6. เสียงร้องอุแว้
เพราะเจ้าตัวเล็กไม่สามารถบอกถึงความต้องการของตัวเองได้ ไม่ว่าจะหิว ร้อน หนาว เปียก ง่วง อยากให้อุ้ม หรือปวดท้อง จึงต้องใช้การร้องนี่ล่ะค่ะ แทนภาษาพูด พ่อแม่จึงต้องเรียนรู้ภาษาของลูกเอาไว้ว่าเสียงร้องแบบนี้คือหิว ปวดฉี่ หรือว่าง่วงนอน และการตอบสนองต่อเสียงร้องของลูกจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น เกิดความมั่นใจ สร้างความไว้วางใจให้กับลูก ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีเมื่อเขาโตขึ้นค่ะ
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าหากลูกกินนมผสม อาจร้องไห้เพราะปวดท้องได้ค่ะ เนื่องจากเด็กบางคนอาจเกิดอาการแพ้นมวัวแงะอาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วยถ้าไม่แน่ใจก็ควรพาลูกไปพบคุณหมอค่ะ
7. พี่จู๊ดจู๋กับหนูจุ๋มจิ๋ม
เด็กผู้ชายจะมีลูกอัณฑะ 2 ใบ อยู่ในถุงส่วนการจะทำความสะอาดเพราะตรงปลายอวัยวะจะมีไขสีขาวเกิดจากเซลล์ที่ตายแล้วอุดตันอยู่บริเวณรอบๆ
ส่วนเด็กผู้หญิงจะเห็นว่าอวัยวะเพศยังบวมเป่งมีตกขาวและมีเลือดคล้ายประจำเดือนไหลออกมาซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ได้รับจากแม่ตอนอยู่ในท้องยังไม่หมด แต่ก็จะค่อยๆ หมดไปเมื่อลูกมีอายุได้ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงควรทำความสะอาดให้ลูกตามปกติ ด้วยสำลีชุบน้ำเปล่าเช็ดหลังอาบน้ำช่วงเช้าเย็นทุกวันค่ะ
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าเกิดคลำดูแล้วไม่พบลูกอัณฑะก็แสดงว่ายังไม่ลงมาในถุง ซึ่งกรณีนี้พบได้ในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เพราะลูกอัณฑะลงมาช้ากว่าปกติขณะที่ทำความสะอาดควรดูว่าปลายอวัยวะเพศลูกมีรูเปิดของท่อปัสสาวะหรือเปล่า ถ้าไม่มีหรือมีแต่ไม่ได้อยู่ตรงปลายควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ
สำหลับลูกสาว ควรทำความสะอาดไขสีขาวซึ่งเป็นเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อยู่บริเวณซอกเนื้อระหว่างแคมในและแคมนอกด้วยค่ะ โดยล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วใช้สำลีเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังและเปลี่ยนสำลีก้อนใหม่ทุกครั้งที่เช็ดค่ะ
8. สะดือบอบบาง
อวัยวะส่วนนี้บอบบางและติดเชื้อได้ง่ายที่สุดค่ะ ดังนั้นการทำความสะอาดจึงต้องทำอย่างเบามือ ด้วยการเช็ดให้แห้งอยู่เสมอหลังจากอาบน้ำเช้าเย็น โดยเริ่มเช็ดจากผิวหนังรอบๆ สะดือและโคนสะดือ ประมาณ 7-10 วัน สะดือก็จะแห้งและหลุดไปเอง กลายเป็นเนื้อเดียวกับผิวหนัง
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าเห็นสะดือมีสีแดง บวม และร้อนหรือมีหนองไหลออกมา แสดงว่าเกิดการอักเสบค่ะควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ เพราะถ้าหากช้าเชื้ออักเสบค่ะควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ เพราะถ้าหากช้าเชื้ออาจกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้
9. การขับถ่าย
ถ้าลูกกินนมแม่อุจจาระจะเป็นสีเหลืองเละเหมือนนมแม่ ประมาณวันละ 6-7 ครั้ง แต่ถ้าลูกกินนมผสมอาจทำให้ลูกถ่ายแข็งและเป็นสีเขียวคล้ำ เพราะในนมผสมจะผสมธาตุเหล็กไว้เยอะส่วนที่ไม่ได้นำไปใช้จึงถูกขับออกมาด้วย และจำนวนครั้งในการถ่ายจะน้อยกว่าเด็กที่กินนมแม่ด้วยค่ะส่วนปัสสาวะของลูกคนแรกคลอดจะมีลักษณะเหลืองใสโดยช่วงเช้าจะมีสีเข้มนิดหน่อยซึ่งถือว่าปกติค่ะ
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าหากลูกถ่ายอุจจาระเป็นสีขาวซีดเหมือนกระดาษ แสดงว่าไม่มีน้ำดีออกมาในลำไส้จึงต้องระวังภาวะท่อน้ำดีอุดตัน ซึ่งเป็นที่มาของการเกิดภาวะตับอักเสบหรือตับแข็ง
10. หูของหนูได้ยินนะ
พ่อแม่ส่วนใหญ่จะทำการทดสอบการได้ยินของลูกด้วยการทำเสียงให้ลูกได้ยินและหันตามเสียง แต่วิธีนี้ได้ผลไม่แน่นอนเพราะบางครั้งเสียงต้องเสียงดังมากลูกจึงจะได้ยินหรือบางครั้งทำเสียงเบาลูกก็ได้ยินแต่มีอย่างอื่นที่น่าสนใจมากกว่าจึงไม่หันมา พ่อแม่เลยไม่แน่ใจว่าลูกไม่ได้ยินหรือได้ยินแต่กำลังสนใจสิ่งอื่นกันแน่
ดังนั้นใช่ช่วงลูกอายุ 0-6 เดือน คุณหมอจะใช้เครื่องวัดระดับการได้ยินของทารกแรกเกิด (New Born Screen Test) ซึ่งเครื่องนี้จะตรวจการสะท้อนการได้ยินของแก้วหูออกมา จึงทำให้ได้ค่าการได้ยินที่แน่นอนมากขึ้น
พ่อแม่ต้องรู้ - ถ้าไม่มั่นใจว่ากลิ่นเหม็นที่หูของลูกเป็นกลิ่นขี้หูหรือเกิดจากความผิดปกติของหู ควรให้คุณหมอตรวจให้ค่ะ เพราะกลิ่นนั้นอาจเป็นที่มาของเยื่อแก้วหู หรือหูชั้นนอกอักเสบ
รู้ข้อมูลและวิธีปฏิบัติอย่างลึกซึ้งแล้ว คงช่วยให้คุณพ่อและคุณแม่คลายความกังวลลงได้บ้างนะคะเชื่อว่าด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่ในตัวคุณบวกกับความรักที่คุณมีให้เจ้าตัวเล็กอย่างเปี่ยมล้นจะเป็นฐานช่วยให้คุณเลี้ยงลูกได้อย่างมั่นใจและทำให้ลูกเติบโตแข็งแรงแน่นอนค่ะ.
ที่มา.. นิตยสารรักลูก
Create Date : 31 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 31 ตุลาคม 2550 15:47:55 น. |
Counter : 1193 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เตรียมของใช้ไว้ให้ลูก
คุณแม่หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดกันว่า อย่าเตรียมของใช้ไว้รอรับเด็ก เพราะอาจจะทำให้ผิดหวัง แต่สมัยนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเครียมตัวล่วงหน้าไม่มีใครถือสาอีกแล้ว ยิ่งยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ การเตรียมของใช้ให้ลูกอย่างมีระบบ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ประหยัดมากกว่าการที่รอให้ลูกคลอดแล้วค่อยไปหาซื้ออย่างสะเปะสะปะไม่มีเวลาไตร่ตรองให้ดี ซึ่งอาจทำให้สิ้นเปลืองหนักยิ่งขึ้น
ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันว่าควรจะเตรียมสิ่งของอะไรไว้ให้ลูกบ้าง หมอจะรวบรวมเท่าที่จำเป็น เมื่อคุณได้อ่านดูแล้วก็คิดกลั่นกรองอีกทีว่าหากงบประมาณไม่พอจะตัดสิ่งไหนที่จำเป็นน้อยที่สุดออกก่อน ค่อยๆ คิดแล้วจะได้รายการซื้อของใช้ที่เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองมากที่สุด
ผ้าอ้อมเด็ก
เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้จริงๆสมัยนี้มีผ้าอ้อมชนิดผ้าที่ตัดเย็บมาให้เรียบร้อยแล้ว วางขายมากมายมีให้เลือกหลายขนาด แต่ทางที่ดีควรเลือกแบบสำหรับเด็กโต ซึ่งจะทำให้เราประหยัดเพราะใช้ได้จนลูกอายุถึง 2 ขวบ และถ้าต้องการประหยัดกว่านั้นก็สามารถหาซื้อผ้าฝ้ายหรือผ้าลินินนุ่มๆ มาตัดเย็บเองก็ได้ สำหรับจำนวนผ้าอ้อมที่เหมาะสมจากประสบการณ์หมอว่าควรมีไว้ 2 โหล ยิ่งถ้าเด็กคลอดในหน้าฝนจะยิ่งต้องใช้เป็นจำนวนมาก เพราะอาจตากแห้งไม่ทัน
สบู่
เด็กที่คลอดใหม่จำเป็นต้องใช้สบู่เฉพาะของเด็กอ่อนซึ่งตามท้องตลาดมีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ ทั้งชนิดเป็นก้อนและสบู่เหลว ข้อสำคัญคือ ให้แน่ใจว่าเป็นสบู่ที่อ่อนไม่ระคายเคืองผิวของทารก
แป้งเด็ก
ถ้าพูดกันถึงความจำเป็นแล้ว แป้งเด็กแทบจะไม่มีความจำเป็นแป้งเด็กช่วยได้นิดหน่อยในการป้องกันการหลุดลอกแตกของผิวหนัง อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า เป็นความนิยมอย่างยิ่งที่หลังอาบน้ำให้เด็กแล้วคุณแม่มักจะทาแป้งให้เพราะดูว่าสะอาดหอมชื่นใจ ก็สามารถให้ได้ค่ะ แต่ให้เป็นแป้งเด็ก และควรระมัดระวังเรื่องการฟุ้งกระจายของแป้ง อย่าใช้วิธีเทแป้งโรยบนตัวเด็กจนฟุ้งไปทั้งห้อง[ในแป้งประกอบด้วยสารที่อาจระคายเคืองต่อระบบการหายใจ ไม่ควรให้เด็กสูดเข้าไป) ควรใช้วิธีเทแป้งเบาๆ ลงบนมือของคุณเอง แล้วจึงค่อยทาเบาๆ ลงบนตัวเด็ก
ออยล์ (น้ำมัน) สำหรับเด็ก
ใช้ในกรณีที่เด็กผิวแห้งมาก หรือในฤดูหนาว หรือทาบริเวณผื่นแดงที่ก้นซึ่งเกิดจากการแพ้ปัสสาวะได้
อ่างอาบน้ำสำหรับเด็ก
เป็นของที่ถือได้ว่าจำเป็นค่ะ การอาบน้ำให้เด็กอ่อนนั้นถ้าอาบในอ่างอาบน้ำพลาสติกซึ่งมีที่วางสบู่ให้เรียบร้อยนี้ดูจะสะดวกที่สุดเพราะหาซื้อง่ายและทนทานดี
เข็มกลัด
บางครั้งเราแทบนึกไม่ถึงว่าต้องใช้เข็มกลัดด้วย เข็มกลัดนี้เวลาใส่ผ้าอ้อมให้ลูกจำเป็นมากค่ะ เราจะใช้เป็นเข็มกลัดกลัดผ้าอ้อมโดยเฉพาะ ขนาดจะค่อนข้างโตและทำหัวที่ซ่อนปลายเป็นพลาสติก ทำให้ซ่อนปลายได้อย่างปลอดภัย
ผ้ายาง
เอาไว้รองก้นปัสสาวะของลูกซึมลงสู่ที่นอน ที่นิยมกันคือปูผ้ายางแล้วปูทับด้วยผ้าอ้อมอีกทีก่อนจะให้ลูกนอน
โต๊ะแต่งตัวสำหรับเด็ก
ถ้าเคยเลี้ยงลูกมาก่อนจะทราบว่าจำเป็นมากอีกเรื่องหนึ่งจริงๆ ค่ะ การแต่งตัวใส่ผ้าอ้อม ใส่เสื้อผ้าให้ลูกเราอาจทำบนเตียงนอนก็ได้ แต่เราจะต้องก้มหลังทำให้ไม่สะดวก หากมีโต๊ะสักตัวที่ความสูงระดับเอวของคุณแม่จะทำให้สะดวกมากขึ้น คุณแม่สามารถยื่นแต่งตัวให้ลูกเลยโดยไม่ต้องก้ม แต่โต๊ะนี้ควรหาจุดที่ตั้งที่ชิดฝาห้องหลายด้านเข้าไว้ (กันลูกตก) บนโต๊ะสามารถวางพวกแป้ง ผ้าอ้อม เครื่องใช้ต่างๆ ได้ หยิบจับสะดวกคุณจะได้ไม่ต้องหันไปหยิบของทางโน้นทีทางนี้ที
สำลี
เอาไว้เช็ดก้นลูกโดยชุบน้ำ เช็ดให้หลังจากลูกอุจจาระ ปัสสาวะ
เก้าอี้เด็ก
บางครั้งดูว่าไม่น่าจะจำเป็น แต่เมื่อได้ใช้จะรู้ว่าจำเป็นค่ะ ถ้าพอมีกำลังหาซื้อได้ เก้าอี้นี้คุณคงเคยเห็นเป็นเก้าอี้ผ้าบุนวมเอียงประมาณ 45 องศา ฐานจะทำเป็นแนวโค้งให้โยกได้ เก้าอี้นี้จะใช้เมื่อให้นมลูกเสร็จโดยให้ลูกนั่งพัก เพราะถ้าทานนมอิ่มๆ แล้วให้เด็กนอนราบเขามักจะแหวะนมเก้าอี้นี้จึงแก้ปัญหาได้
เก้าอี้หัดเดิน
ใช้เมื่อเด็กเริ่มโตที่กำลังหัดยื่น แกจะชอบนั่งมาก นั่งปุ๊บเป็นต้องเดินพาเก้าอี้ไปไหนๆ ด้วย แต่ต้องระมัดระวังดูแลเป็นพิเศษเพราะมีเด็กหลายรายที่เกิดอุบัติเหตุบนเก้าอี้หัดเดินนี้ถ้าไม่มีความจำเป็นจึงไม่สมควรซื้อเพราะมีราคาค่อนข้างแพง
รถเข็นเด็ก
ใช้เข็นพาลูกไปไหนๆ เช่น เช้าๆ เย็นๆ พาออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ ราคาค่อนข้างแพงเช่นกันให้พิจารณาตามความจำเป็นของแต่ละบ้านว่าจะซื้อหรือไม่
เตียงนอนของเด็ก
ก่อนซื้อหมออยากให้พิจารณาให้ดีว่าจำเป็นแค่ไหน มีเด็กมากมายที่เติบโตมาได้โดยไม่ต้องนอนเตียงแยก แต่ถ้าจะซื้อแนะนำว่า ควรซื้อแบบที่ค่อนข้างใหญ่สามารถใช้ได้จนเด็กโต โดยมีขอบที่กั้นโดยรอบ ถ้าจะให้สะดวกขอบกั้นด้านหนึ่งควรปรับขึ้นลงได้เวลาเราอุ้มลูกเอาลงเตียงหรือขึ้นจากเตียงจะได้สะดวกไม่ต้องยกสูง
ที่นอนที่ใช้ไม่ควรนุ่มจนเกินไป นอนแล้วที่นอนบุ๋มลงมากไป หากเด็กนอนคว่ำจะหายใจไม่สะดวก ส่วนหมอนนั้นยังไม่จำเป็นต้องใช้เลยค่ะ
เสื้อผ้าเด็ก
พิจารณาตามฤดูกาลที่ลูกคลอดว่าควรใช้หนา-บาง อย่างไรตามสภาพอากาศ
ผ้ากันเปื้อนแบบผูกคอ
เด็กจะมีน้ำลายไหลยืด ถ้ามีผ้ากันเปื้อนจะสะดวกมาก โดยเฉพาะเวลาป้อนอาหารเสื้อผ้าจะได้ไม่เลอะเทอะ
ถุงมือ
ถุงมือเด็กมักนิยมใส่เมื่อเด็กคลอดใหม่ๆ เนื่องจากเกรงว่าลูกจะเอามือและนิ้วไปจิ้มเข้าตา ใส่ให้เฉพาะช่วงเด็กเล็กมากๆ เท่านั้น
ขวดนม
สำหรับคุณแม่ที่คิดว่า จะเลี้ยงลูกด้วยนมผสมต้องเตรียมขวดนมไว้ประมาณ 9-12 ขวดควรเป็นขวดขนาด 8 ออนซ์ หัวนมควรเตรียมเท่าจำนวนขวด ถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เตรียมแค่ 3 ขวดก็พอสำหรับใส่น้ำ น้ำส้ม และนมผสมในบางโอกาสที่จำเป็นต้องใช้
หม้อนึ่งขวดนม
ใช้นึ่งขวดนมก่อนที่จะนำมาชงให้ลูก เพื่อฆ่าเชื้อโรคอันอาจเป็นสาเหตุ ให้ลูกติดเชื้อจากเชื้อโรคในขวดนมและจุกนมได้
แปรงล้างขวดนม
ควรมีทั้งชนิดแปรงใหญ่ที่ใช้ล้างขวดนม และแปรงเล็กใช้ล้างจุกนม การล้างขวดนมให้สะอาดเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมากค่ะ
เขียนมาถึงตรงนี้หมอจึงได้ข้อสรุปว่า ของใช้ที่ต้องเตรียมไว้ให้ลูกนั้นมากมาย
จิปาถะจริงๆ ที่จริงยังมีของกระจุกระจิกอีกบ้าง แต่ขอยกเว้นไม่กล่าวถึง ให้คุณพิจารณากันดูเองว่าสิ่งไหนสำคัญและจำเป็นก็หาซื้อเพิ่มเติมกันได้ แต่หลักใหญ่ก็มีเท่าที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้นค่ะ
ที่มา...นิตยสารแม่และเด็ก
Create Date : 30 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 30 ตุลาคม 2550 15:51:52 น. |
Counter : 1144 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สบายยามท้องด้วย 7 วิธี
เป็นที่รู้กันดีนะคะว่า ยามท้อง คุณแม่เกือบทุกคนจะมีอาการหงุดหงิด เครียด ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเป็นว่าเล่น จนต้องหาวิธีผ่อนคลายประจำตัวขึ้นมา เรียกว่าถ้ามีอาการเมื่อไหร่ ใช้วิธีนี้แล้วได้ผล สบายทันทีเชียวล่ะค่ะ
ว่าแต่ว่า
มีวิธีอะไรบ้าง เราลองมาฟังคุณแม่ท้องหลายๆ ท่านที่แอบกระซิบบอกมาสิค่ะ คุณแม่ท่านใดจะลองหยิบยกเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้กันก็ไม่สงวนสิทธิ์แต่อย่างใดค่ะ
1. สบาย
ด้วยเสียงหัวเราะ
การหัวเราะ
ช่วยให้อารมณ์ดีค่ะ เพราะเวลาที่เราหัวเราะ ระดับฮอร์โมนความเครียดจะลดลง ส่งผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกายและจิตใจ และส่งผลต่อลูกในท้องด้วยค่ะ แม่ท้องที่หัวเราะบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินหายใจทั้งต่อตัวแม่เองและลูกน้อยในท้อง แถมยังทำให้ลูกน้อยในท้องอารมณ์ดีอีกด้วยค่ะ
ช่วงท้องมักจะมีเรื่องให้กังวลตลอด จึงพยายามทำตัวเองให้อารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ จะได้ไม่เครียดง่าย พยายามทำให้ตัวเองหัวเราะเยอะๆ เช่น พอนึกถึงว่าลูกเราจะเป็นอย่างไร จะเป็นเด็กแข็งแรงสมบูรณ์มั้ย ก็จะทำให้เปลี่ยนมุมมองเป็นลูกเราต้องสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว จะพยายามปรับเปลี่ยนมุมมองโดยการทำเรื่องเครียดให้เป็นเรื่องสนุกสนาน สบาย แต่นี้ก็ทำให้เราหัวเราะได้แล้วค่ะ
2. สบาย
ด้วยโยคะ
โยคะเป็นการออกกำลังกายเพื่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ รวมทั้งลมหายใจด้วยค่ะ ช่วยให้เกิดความสมดุลได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้โยคะยังทำให้ระบบย่อยอาหารและการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น การฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ และช่วยให้มีสมาธิ แต่ก็ต้องเป็นท่าที่เหมาะสมกับแม่ท้องนะคะ
ตอนท้องจะออกกำลังกายด้วยการทำโยคะ จะทำหลังจากอายุครรภ์ 4 เดือนไปแล้ว ทำตลอดจนถึงคลอดค่ะ เพราะปกติจะเป็นคนปวดเมื่อยบ่อย แขนขาไม่ค่อยมีแรง หลังจากทำโยคะอาการปวดเมื่อยต่างๆ หายหมดเลยค่ะ ขาไม่ตึง ไม่ปวดเมื่อย ไม่ปวดหน่วงๆ ด้วยเลือดลมก็ไหลเวียนดีขึ้นมาก กำลังแขนขาดีขึ้น รู้สึกผ่อนคลายและแข็งแรงขึ้น โดยจะเลือกทำเฉพาะท่าที่เหมาะกับแม่ท้องเท่านั้นค่ะ
ขณะที่ทำจะมีสมาธิมาก เพราะต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยและเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงสำหรับแม่ท้อง ที่สำคัญแม่ท้องที่จะทำโยคะ จะต้องมีพื้นบานมาก่อนนะคะ
3. สบาย
ด้วยสามี
คนที่จะทำให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลายและสบายได้อีกคนหนึ่งเห็นจะเป็นคนใกล้ตัวอย่างคุณพ่อหรือสามีนี่ล่ะค่ะ
เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยจากขนาดท้องที่โตขึ้นเรื่อยๆ มีวิธีคลายเครียดที่ได้ผลชะงัดคือ ให้สามีนวดทุกคืนก่อนนอนประมาณ 30 นาที การนวดจะช่วยให้ไม่เป็นตะคริวในช่วงที่นอนหลับด้วยค่ะ นอกจากนี้ก็จะมีการฟังเพลง อ่านหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ดูซีดีตลก หรือดูซีดีหนังตลก
นี่แหละ
เคล็ดลับที่ไม่ทำให้เครียดเลยตลอดการตั้งครรภ์จนคลอดแต่สามีอาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องนวดให้ทุกคืน
ฮิฮิ
4. สบาย
กับตัวเอง
ความรู้สึกสบายและผ่อนคลายนั้นไม่จำเป็นจะต้องพึ่งคนอื่นเสมอไปนะ เพราะการอยู่กับตัวเอง เช่น ทำงานบ้าน งานอดิเรก หรือการได้ทบทวนสิ่งต่างๆ คิดแต่สิ่งดีๆ ก็ทำให้รู้สึกสบายได้ค่ะ
ช่วงท้องไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองเครียดค่ะ เพราะจะพยายามอยู่กับตัวเอง ไม่ว่าจะตอนทำงานหรืออยู่บ้าน ถ้ารู้สึกว่ากำลังจะเครียดก็จะหยุดการทำงานนั้นๆ และเปลี่ยนกิจกรรมจากที่ทำอยู่เป็นลุกขึ้นเดินมองโน่นมองนี่ ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ พักผ่อนสายตา ถ้าอยู่ที่บ้านก็จะยืนหน้ากระจกส่องดูตัวเอง ดูขนาดของท้องที่โตขึ้น ลูบท้องคุยกับลูกเบาๆ เพลินดี แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกสบายได้แล้วค่ะ
5. สบาย
ด้วยเสียงเพลง
อย่างที่บอกน่ะค่ะ ว่าการทำให้แม่ท้องรู้สึกสบายและรู้สึกผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดต่างๆ ได้นั้นมีหลายวิธี การฟังเพลงที่คุณแม่ชอบ หรือการพูดคุยกับลูกน้อยในท้องก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณแม่มีความสุข
ฟังเพลงเบาๆ พร้อมคุยกับลูกในท้อง ด้วยการนำเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้เขาฟังช่วย ให้เราเพลิดเพลินและลืมเรื่องเจ็บปวดต่างๆ ได้เยอะเลยค่ะ ที่สำคัญแม่ฟังแล้วก็สลับให้ลูกฟังด้วย ทั้งแม่ลูกก็อารมณ์ดีไปพร้อมกันตอนตกเย็นก็ออกไปเดินเล่นในสนามหรือสวนสาธารณะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ชมธรรมชาติไปด้วย ทำให้สดชื่นขึ้นและช่วยให้จิตใจเราผ่อนคลาย ไม่เครียดด้วยค่ะ
6. สบาย
ที่ทะเล
การเดินเล่นที่ชายทะเล ไม่ฟังเสียงคลื่นซัดสาด เท้าเหยียบทรายและสัมผัสสายน้ำ ปล่อยตาปล่อยใจไปกับขอบฟ้ากว้างก็ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจผ่อนคลายจากความเหน็ดเหนื่อย
ทุกครั้งที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ปวดเมื่อยจากการทำงาน จะนึกถึงทะเลเป็นอันดับแรกค่ะ ซึ่งปกติทุกคนจะชอบไปเที่ยวหรือไปพักผ่อนหย่อนใจชายทะเลกันอยู่แล้ว
แต่ตอนท้องจะเลือกที่ทะเลใกล้ๆ จะได้ไม่ต้องนั่งรถนาน เช่น บางแสน พัทยา การได้ไปเล่นชายทะเล พาลูกน้อยไปฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง จะช่วยผ่อนคลายร่างกายและจิตใจได้ดีทั้งแม่และลูกค่ะ
7. สบาย
ตามใจชอบ
ทำอะไรก็ได้ตามที่ใจคุณชอบ และทำให้คุณมีความสุขค่ะ
วิธีผ่อนคลายตัวเองในช่วงท้องที่ทำแล้วได้ผลดีทุกครั้งก็มีอยู่หลายอย่างมากค่ะ ทั้งอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน แต่งตัวสวยๆ (ห้ามปล่อยตัวให้โทรมเด็ดขาด) เสร็จแล้วก็ออกไปช้อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้าทั้งของแม่และของลูก ไปทำสปาบ้าง กินข้าวกับเพื่อนๆ บ้าง ทำอะไรก็ได้ที่เราชอบค่ะ เมื่อทำแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่เครียด ตรงกันข้ามทำให้เรามีความสุข เพราะความสุขเหล่านี้จะส่งผ่านไปถึงลูกด้วยค่ะ
ชื่นชอบวิธีไหน เชิญเลือกได้ตามสบายเลยนะคะ และถ้าคุณแม่มีวิธีอื่นๆ ที่อยากแบ่งปัน ส่งมาได้เลยค่ะ
ที่มา..นิตยสารรักลูก
Create Date : 30 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 30 ตุลาคม 2550 15:46:38 น. |
Counter : 558 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ขจัดความเครียดขณะตั้งครรภ์
อาจด้วยวัยกระมัง..พักนี้เพื่อนวัยเดียวกันที่เพิ่งแต่งงานไม่นานอยากมีลูกกันเหลือหลาย แต่ทำอย่างไรก็ไม่มีสักที ก็เลยต้องหันมาใช้วิธีพึ่งหมอสูตินรีแพทย์กันยกใหญ่
บางทีเห็นข่าวคนที่ไม่อยากมีลูกก็ท้องกันเกลื่อน แต่คนที่อยากมีลูกก็ไม่มีสักที ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่านี่แหละความเป็นจริงของสังคมไทยยุคปัจจุบัน..!!
ปัญหาของเด็กสาวที่ท้องก่อนวัยอันควรเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศที่เผชิญกันมาทุกยุคสมัย เราถึงได้เห็นการรณรงค์เรื่องการมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกวิธีเป็นระลอกๆ เพราะปัญหาที่ว่านี้ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง หรือปัญหาของหญิงสาวคนนั้นๆ แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาสังคมระดับภาพใหญ่ เพราะเมื่อมีเด็กที่เกิดมาหนึ่งคน โดยครอบครัวนั้นๆ ยังไม่พร้อมในทุกด้าน ภาระก็ต้องตกที่สังคม
และปัญหาก็อยู่ที่ตัวเด็กเต็มๆ เขาหรือเธอจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
ในขณะที่หญิงสาวอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เพราะอยากมีลูกมาก แต่มียากเหลือเกิน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางด้านร่างกาย หรือเหตุผลทางด้านวัยที่เลยวัยเจริญพันธ์ไปพอสมควร
เหตุผลข้อหลังเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว เหตุปัจจัยเพราะผู้หญิงยุคใหม่มีค่านิยมในการใช้ชีวิตคู่เปลี่ยนไป และคิดว่าหากไม่เจอคนที่ใช่ก็ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน อยู่คนเดียวได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่พอคิดจะแต่งงานก็กลับมาประสบเรื่องวัยที่เพิ่มขึ้น โอกาสการตั้งครรภ์ก็ลดลง
ปัจจัยทางด้านร่างกายและวัยเป็นปัจจัยสำคัญก็จริงอยู่ แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่ง และกลายเป็นปัญหาของคนเมืองยิ่งนัก ก็คือภาวะจิตใจของหญิงสาวที่เตรียมตัวตั้งครรภ์ ที่ควรจะมีความสุขและมีความพร้อมในการตั้งครรภ์คุณภาพ
จริงอยู่คนเป็นแม่ทุกคนก็ต้องการตั้งครรภ์คุณภาพ ต้องการได้ลูกที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ในสภาพสังคมยุคปัจจุบันปัญหาเรื่องภาวะความเครียดขณะตั้งครรภ์เป็นปัจจัยเสี่ยงสูงที่สุดสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ มีทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในภาวะความเครียด
เพราะวิถีชีวิตในปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมเมืองต่างหล่อหลอมให้ผู้คนตกอยู่ในสภาวะความเครียดได้ทุกเวลา โดยที่รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง
ลองสำรวจตัวเองดูสิคะ วิถีชีวิตปกติในหนึ่งวันคุณมีรอยยิ้มบ้างหรือเปล่า ได้เหลียวมองดูต้นไม้สีสวยข้างทางบ้างไหม หรือแม้แต่พักสายตาเอนหลังเมื่อล้าจากการทำงานหรือไม่
วิถีชีวิตที่รีบเร่งอยู่ทุกวี่วัน การเผชิญกับการจราจรที่ไม่มีทางเลือก หรือการกินอาหารแบบรวดเร็วเพื่อต้องรีบกลับเข้าไปทำงานต่อ และต้องรีบกลับบ้านเพื่อเตรียมงานสำหรับวันต่อไป
ขนาดผู้คนปกติทั่วไปยังเครียดเลย นับประสาอะไรกับคนท้อง
แม้คนท้องจะพยายามทำจิตใจให้เบิกบาน ร่าเริง เพราะต้องการดูแลลูกในท้องให้ดีที่สุด แต่จริงหรือไม่ก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เพราะสภาพแวดล้อมไม่ได้เอื้อ
คุณหมอสูตินรีแพทย์ท่านหนึ่งเคยบอกว่าผู้หญิงวัยทำงานยุคนี้ที่มีลูกยาก ส่วนหนึ่งมาจากวัยก็จริง แต่ส่วนสำคัญมาจากภาวะความเครียดในชีวิตประจำวัน ที่เป็นภัยสำคัญและเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตั้งครรภ์ได้ยากด้วย ส่วนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทั้งหลาย ต่างก็ตกอยู่ในภาวะเครียดกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก
ประเด็นสำคัญก็คือเด็กในท้องได้รับภาวะความเครียดจากแม่ไปด้วยนี่สิ....ที่น่าหนักใจ
คุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลายรู้ไหมว่าลูกในท้องสามารถรับรู้อาการเครียดของคุณได้ตั้งแต่มีอายุครรภ์ได้เพียง 17 สัปดาห์เท่านั้น
ศาสตราจารย์ วีแวตต์ โกลฟเวอร์ จากอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน แห่งประเทศอังกฤษ ได้เก็บตัวอย่างเลือดและตัวอย่างน้ำคร่ำในครรภ์ของคุณแม่ตั้งครรภ์จำนวน 267 รายไปศึกษา ผลปรากฏว่า ตรวจพบความสัมพันธ์ระหว่างระดับฮอร์โมนความเครียดหรือฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในตัวอย่างน้ำคร่ำและตัวอย่างเลือดเมื่อมีอายุครรภ์ได้ 17 เดือนขึ้นไป
อาจารย์โกลฟเวอร์ พบว่าทารกในครรภ์จะได้รับฮอร์โมนคอร์ติซอลผ่านทางเลือดของแม่นั่นเอง โดยระดับฮออร์โมนในน้ำคร่ำจะมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนในเลือดของแม่ สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 17 สัปดาห์ขึ้นไป และความสัมพันธ์นี้จะมีมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือหากแม่มีระดับฮอร์โมนความเครียดสูง ระดับฮอร์โมนดังกล่าวในน้ำคร่ำก็จะสูงด้วยเช่นกัน
เจ้าฮอร์โมนความเครียดนี้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่ออาการกระวนกระวายที่เกิดขึ้น หากเกิดเพียงช่วงเวลาสั้นๆ จะมีประโยชน์เพราะจะช่วยให้ร่างกายรู้วิธีจัดการกับความเครียด แต่ถ้าเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานๆ ฮอร์โมนนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ โดยทำให้เหนื่อย เศร้า ซึมและล้มป่วยลง
ที่ผ่านมา เราพอจะทราบถึงผลเสียจากความเครียดระหว่างตั้งครรภ์จากงานวิจัยต่างๆ ในอดีตแล้วว่าอาจทำให้ลูกมีปัญหาทางด้านพัฒนาการสมองและพฤติกรรมในอนาคตได้ ดังนั้นแม่ตั้งท้องจึงควรหลีกหนีให้ไกลจากเจ้าความเครียด
พูดเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ ลองชวนดูเทคนิคคลายเครียดของแม่ท้องดูหน่อยละกันค่ะ
กรณีที่คุณรู้ตัวว่าเครียดย่อมดีกว่าไม่รู้ตัวแน่ เพราะรู้แล้วก็จะพยายามจัดการกับความเครียดได้ ที่สำคัญต้องบอกตัวเองว่าอย่าพยายามไม่เครียด เพราะยิ่งพยายามไม่เครียดก็จะยิ่งเครียด ปล่อยให้เครียดได้ เพียงแต่จัดการให้เราควบคุมความเครียดได้ก็สิ้นเรื่อง
วิธีแรก พยายามหาทางผ่อนคลายในแบบที่ตัวเองชอบ เช่น บางคนชอบฟังเพลง ก็ฟังเพลงที่ตัวเองชอบ บางคนชอบกินไอศกรีม ก็หาไอศกรีมกิน ฯลฯ เริ่มจากกิจกรรมที่ตัวเองชอบจะทำให้จิตใจสบายและผ่อนคลาย ลูกในท้องก็จะรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย
วิธีที่สอง ถ้าต้องตกอยู่ในสภาวะความเครียดอย่างยากที่จะเลี่ยง เช่น เป็นงานที่คุณต้องรับผิดชอบ ก็เผชิญกับมันไปเลย อย่าไปกังวล เพียงแต่วิธีเลือกวิธีการเผชิญในรูปแบบที่คุณสามารถผ่อนคลายได้ เช่น ต้องประชุมก็ขออนุญาตกินไอศกรีมไปด้วย (อ้างว่าลูกในท้องอยากกินก็ได้ หัวหน้าคุณไม่ใจจืดใจดำกับคนท้องหรอกค่ะ) หรืออาจจะเปิดอกคุยกับหัวหน้าก็ได้ว่าโปรเจ็กค์นี้ขอเป็นแค่ผู้ช่วยละกัน เพราะบางทีร่างกายก็ไม่อำนวย กลัวทำได้ไม่เต็มที่ แล้วค่อยขออาสารับโปรเจ็กค์หลังคลอดก็ไม่เลวค่ะ
วิธีที่สาม ท่องคาถาไว้ในใจเสมอว่า เพื่อลูก เวลาเกิดสภาวะกดดัน หรือเครียด ก็ให้นึกถึงคำว่าเพื่อลูก เพื่อลูก รับประกันว่าคุณจะลดอาการเครียดลงในบัดดลค่ะ
วิธีสุดท้าย พยายามฝึกร่างกายและจิตใจให้ผ่อนคลายอย่างสม่ำเสมอ เช่น ออกกำลังกายแต่ต้องเหมาะกับคนท้องด้วยนะ หรือจะนั่งสมาธิ ก็จะช่วยได้ค่ะ
ปัญหาในยุคนี้ ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะความเครียด
หิวก็เครียด อิ่มก็เครียด ไม่มีเงินก็เครียด รถติดก็เครียด ใครมองหน้าก็เครียด ป่วยก็เพราะเครียด ฯลฯ
ฉะนั้น ต้องแก้ความเครียดจากใจเราเอง อย่าลืมว่าผลกระทบไม่ได้ตกอยู่ที่เรา แต่ตกอยู่ที่ลูกในท้อง
แล้วเราจะยอมทำร้ายลูกเราตั้งแต่ในครรภ์เลยหรือ...!!
ข้อมูลข่าว ผู้จัดการออนไลน์
Create Date : 30 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 30 ตุลาคม 2550 15:31:29 น. |
Counter : 1424 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ท้อง
เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
หมดจากช่วงสาวรุ่นมา ร่างกายก็ไม่ค่อยได้ผจญกับความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ แต่พอมีใครมาอยู่ในท้องนี้สิ อะไรชักไม่เหมือนเดิมซะแล้ว ไปดูหน่อยค่ะ ว่าใน 9 เดือน (40 สัปดาห์) นี้มีอะไรในตัวที่เปลี่ยนไปบ้าง
4 สัปดาห์ - (นับจากวันปฏิสนธิหรือ 6 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์) ช่วงนี้เต้นมคัดตึงเหมือนตอนใกล้จะเป็นประจำเดือน จะสังเกตเห็นเส้นเลือดดำเป็นริ้วสีเขียวๆ ตรงผิวเนื้อแถวเต้านม ปวดปัสสาวะบ่อยเพราะมดลูกขยายตัวไปกดทับกระเพาะปัสสาวะเลยต้องเรียกหาห้องน้ำกันถี่หน่อย โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกและจะกลับมามีภาวะนี้อีกครั้งตอนช่วงใกล้คลอด
8 สัปดาห์ - คลื่นไส้ อาเจียน เพลียเหมือนจะเป็นลม ยิ่งช่วงตื่นนอนใหม่ๆ ด้วยแล้วแทบไม่อยากลุกจากที่นอนเลยล่ะ จะเป็นอยู่จนถึงปลายเดือนที่ 3 ก็จะหายไป แต่บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาแพ้ไปจนเดือนที่ 4 ที่ 5 ส่วนหน้าอกหน้าใจและบานของหัวนมขยายใหญ่ขึ้น จะมัวใช้บราตัวจิ๋วอย่างเคยไม่ได้แล้ว ต้องหาสำหรับแม่ท้องมาใส่ และเลือกขนาดที่เกี่ยวตะขออันในสุดได้พอดี จะได้ใช้ตลอดช่วงการท้องค่ะ
12 สัปดาห์ - น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ในบางคนน้ำหนักจะลดลงเพราะอาการแพ้ท้องปลายแขนขาจะบวมและรู้สึกเหมือนอุ่นขึ้นเล็กน้องเพราะหลอดเลือดขยายตัว
16 สัปดาห์ - น้ำหนักยังเพิ่มขึ้นไม่มาก หัวนมเริ่มดำคล้ำและรู้สึกเจ็บถ้าถูกสัมผัส ริ้วสีเขียวที่เต้านมจะชัดขึ้น มีเส้นดำจากสะดือถึงหัวหน่าวมาทักทายที่หน้าท้อง
20 สัปดาห์ - มองดูชักจะเริ่มอ้วนขึ้นนิดๆ เอวเริ่มหาย ได้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าล็อตใหม่ที่ใส่สบายตัวไม่อึดอัดบางคนมีอาการขี้ร้อน เหงื่อออกง่ายจนอาจทำให้เกิดผื่นตามขาหนีบ ข้อพับ รักแร้ แทนที่จะเกาให้เสี่ยงกับผื่นผิวหนังติดเชื้อก็หันมาเลือกเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือเส้นใยธรรมชาติ อาบน้ำบ่อยๆ และซับตัวให้แห้ง โดยเฉพาะจุดอับชื้นขึ้นจะดีกว่าค่ะ
24 สัปดาห์ - อาจรู้สึกแสบร้อนตั้งแต่บริเวณลิ้นปี่มาถึงลำคอ เพราะท้องขยายขนาดขึ้นไปเบียดกระเพาะอาหาร ดันให้น้ำย่อยขึ้นมาบ่อยๆ วิธีรับมือคือไม่ควรนอนราบแต่นอนให้ศีรษะและลำตัวสูงกว่าเท้าเล็กน้อย รวมทั้งหลีกเลี่ยงของทอดมันๆ อาหารรสเผ็ด พยายามงดมื้อดึกๆ และถ้ามีอาการนี้ช่วงกลางดึก นมสักแก้วช่วยได้ค่ะ
28 สัปดาห์ - ช่วง 3 เดือนต่อจากนี้น้ำหนักจะขึ้นมาสัปดาห์ละประมาณ 1/2 กก. ทีนี้ล่ะอาการปวดหลังจะเริ่มถามหา ช่วงนี้เก้าอี้หรือเตียงที่นุ่มเกินไปถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง นั่งหลังตรง จะลงนั่งหรือหยิบของให้งอเข่านั่งลงก่อน ไม่ยกของหนักและใส่รองเท้าส้นเตี้ย แล้วถ้าเริ่มรู้สึกอึดอัดเวลานอน ลองนอนตะแคงเหมือนนอนกอดหมอนข้างดูสิคะ
32 สัปดาห์ - ใกล้คลอดเข้าทุกที มดลูกจะซ้อมหดรัดตัว เพื่อเตรียมคลอด เลยรู้สึกเจ็บท้องเตือนอยู่เป็นระยะๆ สังเกตได้ว่ามดลูกจะนูนแข็งขึ้นเป็นครั้งคราวนานไม่เกิน 30 วินาที รู้สึกปวดหน่วงที่เชิงกรานอยู่บ่อยๆ เวลาเดินจะจุกเสียดเจ็บชายโครง เพราะมดลูกขยายตัวไปดันยอดอก สะดือจะตื้นขึ้น เส้นดำกลางลำตัวจะเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
38 สัปดาห์ - เริ่มมีอาการหลังแอ่นเพราะน้ำหนักท้องมากขึ้น จะนอนท่าไหนก็ไม่สบายตัว หลับยากขึ้น อย่างนี้ต้องอาศัยงีบหลับช่วงสั้นๆ ค่ะ และถ้าจะให้สบายก็หาหมอนหนุนให้เท้าสูงกว่าลำตัวอีกนิด พอจะช่วยให้สบายตัวได้บ้าง
40 สัปดาห์ - โค้งสุดท้ายก่อนคลอด เตรียมตัวเตรียมใจลืมความเครียด ปล่อยความกังวล รอรับรอยยิ้มของเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะเกิดมาดีกว่าค่ะ
รู้อย่างนี้แล้วก็ปรับตัวปรับใจเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างหน้าชื้นตาบานได้แล้วนะคะ
ที่มา..นิตยสารดวงใจพ่อแม่
Create Date : 27 ตุลาคม 2550 | | |
Last Update : 27 ตุลาคม 2550 21:57:13 น. |
Counter : 567 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|