01-05-64 | จิตตภาวนามี 2 อย่าง คือสมาธิภาวนากับปัญญาภาวนา หรือสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา |
02-05-64 | นิวรณ์ตัวกั้นไม่ให้เกิดสมาธิ ได้แก่ ความพอใจในกาม ความโกรธแค้น ความง่วง ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความเคลือบแคลงสงสัย |
03-05-64 | เมื่อใจผ่องใส ทั้งการพูด การทำ ย่อมดีงามตามไปด้วย และสุขย่อมเกิดขึ้น |
04-05-64 | บารมี คือ ความดีที่เก็บสะสม ช่วยให้จิตใจเกิดความเห็น และดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่ถูกต้อง |
05-05-64 | สุขหรือทุกข์ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อไม่ยินดียินร้ายด้วย ความสงบในจิตจึงจะเกิดขึ้น |
06-05-64 | อยู่กันอย่างเป็นสุข ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พูดจาสุภาพอ่อนโยน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ถือตัวดูหมิ่นผู้อื่น |
07-05-64 | บารมี คือ คุณความดีที่สั่งสมมา มี 10 อย่าง ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา |
08-05-64 | เบญจธรรม ทำแล้วดี เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ สติสัมปชัญญะ |
09-05-64 | บุญ คือ ความดี ความถูกต้อง ความสะอาด ทำแล้วใจสบาย มีความสุข เจริญก้าวหน้า และหมดสิ้นบาปกรรม กิเลสได้ |
น10-05-64 | นิพพาน หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ |
11-05-64 | อุตริมนุสธรรม คุณวิเศษที่คนธรรมดาไม่อาจมีได้ ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค ผล |
12-05-64 | นิพพานแปลว่าเย็น ไม่ได้แปลว่าตาย กายเย็นเพราะไม่เป็นทาสของกิเลส จิตเย็นเพราะระงับกิเลสให้สงบได้ |
13-05-64 | ชั่วรบกวนให้ยุ่งยาก ดีทำให้รัก หลง มัวเมา และลำพองได้ เหนือดีเหนือชั่วคือนิพพาน |
14-05-64 | สูงสุดนิพพานเรียกอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ สิ้นกิเลสแล้ว จิตไม่รู้สึกต่อเวทนาใด ๆ |
15-05-64 | การมีธรรมะในใจ จะช่วยให้เผชิญหน้ากับปัญหาแล้วทุกข์ลดลงหรือหมดไปได้รวดเร็วขึ้น |
16-05-64 | กามาวจรจิต จิตที่หมกมุ่นลุ่มหลงในกามารมณ์ ความกำหนัดยินดี ลืมความสงบร่มเย็น |
17-05-64 | รูปาวจรจิต จิตไม่ยินดีในกาม แต่ลุ่มหลงในรูปธรรม วัตถุ สิ่งซึ่งให้ความสุขความพอใจ |
18-05-64 | อรูปวจรจิต จิตที่ลุ่มหลงกำหนัดในสิ่งที่ไม่มีรูป เกียรติยศ ชื่อเสียง บุญกุศล ความสุขจากอรูปฌาน |
19-05-64 | ธรรมะ คือ หน้าที่ที่ทำเพื่อเอาตัวให้รอดทั้งกายและใจ และทำอย่างถูกต้อง |
20-05-64 | มนุษย์คือคนที่มีคุณธรรม มโนธรรม และจะสมบูรณ์ด้วยหลักอนัตตา สุญญตา ตถตาอิทัป |
21-05-64 | ปัญญา รู้จริงในสิ่งที่ควรรู้ รู้หนังสือเพื่อสร้างปัญญา รู้อาชีพเพื่อดำรงชีพ รู้ธรรมเพื่อดับทุกข์ทางวิญญาณ |
22-05-64 | มีสติ รู้สึกตัวก่อนเสมอที่จะคิด พูด ทำ จะไม่ทำอะไรผลุนผลัน |
23-05-64 | ธรรมชาติที่เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม คือ เมื่อได้เหตุ ได้ปัจจัย แล้วมันก็เกิดขึ้น เมื่อตามองเห็น ย่อมเกิดความรู้สึก และเกิดอารมณ์ตามมา |
24-05-64 | อานาปานสติ จะมีสติผูกพันกับลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา |
25-05-64 | เวทนาคือความรู้สึก เมื่อสุขเรียกสุขเวทนา ทุกข์เรียกทุกขเวทนา เฉย ๆ เรียกอุเบกขาเวทนา |
26-05-64 | วิปัสสนาเป็นเรื่องราวของการคิดค้น เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นอยู่จริง ๆ |
27-05-64 | เมื่อคิดถึงสิ่งสวยงาม พอใจหลงใหลมัวเมา เกิดกามฉันทะ ที่สร้างความเสียหาย เกิดทุกข์เกิดโทษได้ |
28-05-64 | วิมังสา การไตร่ตรองค้นคว้าหาเหตุผลประกอบในทุกกิจกรรม งานจึงจะเดินหน้าไปด้วยดี |
29-05-64 | ฟุ้งซ่าน จิตไม่หยุดนิ่ง คิดแต่ละเรื่องไม่เป็นสาระ ไม่มีประโยชน์ รำคาญ หงุดหงิดไม่พอใจเรื่องที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย |
30-05-64 | โลภ อยากได้ของ ๆ คนอื่นที่ตนไม่มีสิทธิ์ อยากได้ของตนแต่มากกว่าสิทธิ์ที่พึงได้ อยากได้ของ ๆ ตน แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะได้ |
31-05-64 | คนใดมัวแต่วิตกกังวลไปเสียทุกเรื่อง ระวังโรคประสาทถามหา ให้หัดปล่อยวาง หัดเฉย ๆ เสียบ้าง และหัดใช้ปัญญามาครุ่นคิด |