Group Blog
 
All blogs
 
แม้นมั่นคำสัญญา บทส่งท้าย

แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ


++------++


บทส่งท้าย


ลมที่พัดบนเชิงเขาในตอนบ่ายวันส่งท้ายปีทำให้เกิดเสียงยอดไม้เสียดสีเป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็ส่งความเย็นผ่านประตูและหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามาภายในบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ทว่าเมฆบนฟ้ากลับน้อยจนแสงแดดแผดจ้าลงอาบความสว่างไสวให้ทิวทัศน์ภายนอกชวนพร่าตา

พรพฤกษ์ปิดปากไอเบาๆ ขณะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกล่องกระดาษเพื่อเตรียมขนลงไปชั้นล่าง เมื่อเสร็จแล้วก็ปิดฝากล่องและลุกขึ้นยืดหลังเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าจากการทำความสะอาดบ้านและจัดเก็บของมาทั้งวัน

ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปหยุดยืนข้างหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทางเดินหน้าบ้านและโรงรถได้ ในนั้นไม่มีรถจี๊ปสีเขียวที่ควรจะจอดอยู่ในที่จอด เพราะว่าใครอีกคนขับรถของเขาออกไปเพื่อซื้ออาหารกลางวันจากร้านตรงตลาดเชิงเขาให้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน พรพฤกษ์ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ารถจี๊ปสีเขียวคันนั้นจะเลี้ยวเข้ามา จึงเดินลงไปที่ห้องครัวชั้นล่างและชงน้ำชาร้อนๆ มาจิบ

ทำไมจะต้องไม่สบายเอาช่วงที่จะขนย้ายของไปกรุงเทพฯ แบบนี้ด้วยนะ...

พรพฤกษ์บ่นกับตัวเองในใจ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องครัวระหว่างรอตระการกลับมาพร้อมอาหารกลางวัน ที่วันนี้เขาไม่ทำกับข้าวเองก็เพราะว่าไม่ได้ซื้อของสดติดตู้เย็นไว้ และตระการก็เห็นว่าเขาไม่สบาย จึงบอกให้พักและขับรถออกไปซื้อกับข้าวให้แทน ความจริงแล้วอีกฝ่ายบอกเขาว่าให้นอนเฉยๆ และเลิกเก็บของไปเลยด้วยซ้ำ แต่พรพฤกษ์อยากจัดการข้าวของในบ้านให้เรียบร้อย จึงถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่อยู่แอบเก็บของที่เหลือจนเสร็จเกือบหมด

ชายหนุ่มยกถ้วยชาที่วางไว้จนเริ่มคายความร้อนออกไปบ้างแล้วขึ้นจิบ ตอนแรกเขาก็คิดว่าจะลุกไปนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาระหว่างที่ตระการยังไม่กลับ แต่ความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและอาการมึนหัวเหมือนมีอะไรหนักๆ ถ่วงอยู่ข้างในก็ทำให้คร้านจะลุกจากเก้าอี้ สุดท้ายจึงเลื่อนถ้วยชาไปด้านข้างก่อนจะฟุบหน้าลงบนท่อนแขนที่ประสานกันบนโต๊ะ ชายหนุ่มตะแคงหน้าพลางมองไปทางห้องนั่งเล่น แล้วก็ให้นึกถึงวันคืนก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเริ่มก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา

เมื่อก่อนตอนที่เราไม่สบายแล้วไม่มีแขกมาพักนั่นเราอยู่คนเดียวได้ยังไงกันน่ะ...สงสัยทั้งวันแทบไม่ได้กินอะไร เอาแต่นอนจนไข้หายไปเองละมั้ง...

พรพฤกษ์คิดท่ามกลางความวิงเวียนในหัว ความจริงแล้วเขาไม่ได้เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่สบายเอาวันนี้ แต่เมื่อสองวันก่อนซึ่งเป็นวันที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่นั้นเขายังไม่ค่อยมีอาการ จึงคิดเอาเองว่าคงไม่เป็นอะไรหนักหนา พอถึงตอนนี้ก็เลยอดจะนึกถึงคำพูดของตฤณก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากบ้านไม่ได้



“ทำไมถึงไม่ให้พวกบริษัทขนย้ายเขาจัดการให้ เสียเวลาขับรถไปกลับเองให้ได้อะไรขึ้นมา ปีใหม่อุบัติเหตุทางถนนเยอะก็รู้ๆ อยู่”

ตฤณเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเพิ่งจะทานมื้อเช้ากันเสร็จ เพราะว่าเขากับตระการตกลงกันว่าจะขับรถออกจากบ้านไปเชียงใหม่ในช่วงสาย ถึงแม้คนพูดจะพูดไปจิบกาแฟไปด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่หางเสียงก็บอกให้รู้ว่าไม่เห็นด้วยกับแผนการในปีใหม่ของพวกเขาสักเท่าไหร่

พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้นสบตากับตระการที่ยิ้มอย่างอ่อนใจเพราะรู้นิสัยของพ่อตัวเองดี จากนั้นก็เป็นเขาเองที่หันไปตอบคำถามของผู้อาวุโส

“ของที่ต้องขนมาส่วนใหญ่ก็ทยอยมาไว้ที่นี่เกือบหมดแล้ว มันก็เลยเหลือไม่เยอะแล้วครับคุณลุง อีกอย่างผมอยากแวะเที่ยวระหว่างทางด้วย แล้วถ้าหากไม่ไปกันช่วงปีใหม่ต้นเขาก็ติดงาน ผมไม่อยากให้ต้นต้องลางานครับ”

ผู้สูงวัยเหลือบตามองเขาผ่านขอบถ้วยกาแฟที่ยกขึ้นจิบ จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่นแล้วส่งเสียงในคออย่างไม่พอใจ แต่พรพฤกษ์ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกแบบนั้นเพราะใจจริงเป็นห่วงพวกเขาทั้งคู่ จึงเพียงแต่ยิ้มแล้วรินกาแฟเพิ่มให้เมื่อเห็นกาแฟในถ้วยของตฤณพร่องลง

หลังจากที่ตอบตกลงว่าจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยเมื่อช่วงต้นปี พรพฤกษ์ก็ไม่ได้ย้ายข้าวของทุกอย่างมาในทันที เนื่องจากเขายังมีแขกที่จองห้องพักไว้ล่วงหน้ายาวหลายเดือน และเขาก็ไม่อยากเสียมารยาทด้วยการแคนเซิลแขกที่คอนเฟิร์มห้องแล้ว จึงใช้วิธีปฏิเสธแขกที่ติดต่อมาทีหลังแทนด้วยเหตุผลว่าจะปิดปรับปรุง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนที่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่จึงกลายเป็นเขาแทนตระการ ทั้งเพราะต้องคอยขึ้นไปดูแลเกสต์เฮ้าส์ในช่วงที่มีแขกเข้าพัก ทั้งเพื่อทยอยเก็บข้าวของส่งมาที่บ้านของตระการที่กรุงเทพฯ ด้วย

นับจากวันที่ตฤณยอมรับให้เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว การวางตัวของพวกเขาจากที่เคยประดักประเดิดก็เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตฤณไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการโอนอ่อนเข้าหาเขากับตระการ แต่พัฒนาการที่พรพฤกษ์สังเกตได้คือผู้สูงวัยสนใจไถ่ถามความเป็นไปของพวกเขามากขึ้น แม้ว่าจะยังติดการใช้น้ำเสียงห้วนๆ แต่ก็ไม่มีคำพูดกระแนะกระแหนหรือเสียดแทงความรู้สึกเหมือนตอนที่ยังไม่ได้ญาติดีกันอย่างเมื่อก่อน

ส่วนสาเหตุที่เขาเรียกตฤณว่า ‘ลุง’ นั้น เป็นเรื่องจากความบังเอิญแท้ๆ เพราะว่าวันหนึ่งขณะที่เขานั่งคุยอยู่กับยายแสนหน้าบ้านและตฤณกำลังจะเดินเข้าบ้าน จู่ๆ อีกฝ่ายก็สะดุดขั้นบันไดเพราะหน้ามืดกะทันหัน ดีว่าพรพฤกษ์อยู่ใกล้เลยเข้าไปประคองทันก่อนจะล้มคะมำและเผลอถามว่า ‘คุณลุงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ’ ตอนนั้นดูตฤณจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงและปล่อยให้เขาเรียกว่าลุงไปอย่างนั้น พรพฤกษ์จึงใช้สรรพนามนั้นตลอดเสียเลยเพราะเขารู้สึกว่าการเรียกชื่อนั้นห่างเหินเกินไป แต่เขาไม่อยากเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พ่อ’ เพราะการที่แม่ของเขาเคยมาเป็นแม่เลี้ยงให้ตระการก็ทำให้สถานะของเขาเป็นกึ่งๆ ลูกเลี้ยงของตฤณอยู่แล้ว หากเขายังเรียกอีกฝ่ายด้วยคำนั้นก็คงกระดากปากในเมื่อตอนนี้เขาคบกับตระการซึ่งตามศักดิ์ก็เป็นน้องเลี้ยง ฝ่ายตระการก็ไม่ได้มีปัญหาที่เขาเรียกตฤณว่าคุณลุง เจ้าตัวดูจะชอบเสียด้วยซ้ำตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าเริ่มใช้สรรพนามนี้กับตฤณได้อย่างไร

“จะยังไงก็เถอะ เราน่ะไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือไง ออกไปตะลอนๆ เดี๋ยวก็ได้ยิ่งป่วยหนักขึ้นกันพอดี”

ตฤณเอ่ยขึ้นอีก พรพฤกษ์จึงกะพริบตาอย่างแปลกใจ เพราะที่โต๊ะอาหารเขาก็เพียงแต่ไอเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ทันคิดว่าตฤณจะจับสังเกตได้

“เดี๋ยวผมขับรถเองตลอดทาง แล้วจะดูแลให้ไผ่กินยากับนอนพักครับ พอดีช่วงนี้มันเหมาะจะไปที่สุดเพราะผมได้หยุดยาว ยังไงจัดการเรื่องบ้านโน้นเสร็จแล้วผมจะรีบพาไผ่กลับมา”

ตระการช่วยตอบคำถามของบิดาแทนเขา พรพฤกษ์จึงยิ้มและพยักหน้าเพื่อให้ตฤณสบายใจ เขารู้ดีว่าความจริงตระการก็คงไม่ได้อยากพาเขาไประหกระเหินตอนไม่สบายอย่างนี้ แต่อีกฝ่ายก็คงอยากเร่งให้เขาได้มาอยู่กรุงเทพฯ แบบไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วยเหมือนกัน ถึงได้ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปช่วยเขาขนข้าวของที่เหลือมาจากบ้านนฤมิตรให้หมดในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ให้ได้

“เฮอะ ยังไงก็ขับรถขับราให้มันดีๆ ก็แล้วกัน อย่าให้คนหัวหงอกต้องเป็นคนไปเยี่ยมลูกหลานที่โรงพยาบาล มันบาปกรรม”

ยายแสนยิ้มอย่างระอาขณะเดินเข้ามาเก็บสำรับอาหารของทั้งสามที่ทานเสร็จแล้วลงถาด และพรพฤกษ์กับตระการก็เผลออมยิ้มให้กัน เพราะรู้ดีว่านั่นคือวิธีการพูดที่แสดงออกถึงความห่วงใยของตฤณที่อ้อมค้อมน้อยที่สุดแล้ว หลังจากคล้อยหลังหัวหน้าแม่บ้านแล้ว พรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วเข้าไปพนมมือไหว้ตฤณตรงหัวไหล่

“ไม่ต้องห่วงครับคุณลุง ต้นไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ ครับ”

ผู้สูงวัยเพียงแต่ทำเสียงพ่นจมูกอย่างไม่พอใจ แต่ว่าก็ไม่ได้โต้แย้งอีก ตระการจึงทำความเคารพพ่อตัวเองบ้าง จากนั้นพวกเขาก็ขอตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อจะได้ออกเดินทาง หลังจากขึ้นรถแล้วตระการก็หันมายิ้มให้เขา

“นี่ถ้าอาวีกับอาหมอได้มาเห็นว่าไผ่ทำให้พ่อเงียบได้ยังไง สงสัยจะตะลึงกันเป็นแถบแน่เลย”

“ไม่เห็นมีอะไรนี่ ก็แค่พูดความจริงกับคุณลุงเท่านั้นเอง จะเถียงก็เถียงไม่ได้นี่นา”

ตระการหัวเราะ “ก็นั่นแหละ นี่เพราะคนพูดคือไผ่หรอก ไม่เห็นเหรอว่าขนาดต้นออกปากพ่อเขายังไม่เชื่อเลย”




พรพฤกษ์ยิ้มบางๆ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ที่ตระการบอกเขาอย่างนั้นคงเพราะรู้ว่าตัวเองห่างเหินกับพ่อมาตั้งแต่เด็กจึงไม่ถนัดจะอ้อน ต่างกับเขาที่ตอนเด็กและวัยรุ่นก็โตกับตามาตลอด ดังนั้นเมื่อข้ามผ่านความรู้สึกไม่สนิทใจกับตฤณไปได้ เขาก็มองว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ต้องการความสนใจจากลูกหลานไม่ต่างจากคนวัยเดียวกันเท่านั้น

เมื่อไหร่ต้นจะกลับมาเสียทีนะ...ชักเวียนหัวจนลุกไม่ไหวแล้วสิ...

ชายหนุ่มคิดในใจพร้อมกับความรู้สึกเวียนหัวมากขึ้น จากนั้นเปลือกตาอันหนักอึ้งก็ปิดลงอย่างง่วงงุน เสียงสุดท้ายที่ลอยเข้าหูอย่างเลือนลางคือเสียงซึ่งฟังแล้วคล้ายล้อรถยนต์กำลังบดลงบนถนนโรยกรวด แต่ตอนนั้นเขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่าตัวเองได้ยินเสียงจริงๆ หรือเพียงแค่หูเฝื่อนไปเท่านั้น


++------++


เมื่อพรพฤกษ์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนเริ่มเป็นสีส้มอ่อนแล้ว เมื่อเหลือบตามองไปทางนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าล่วงเข้าสี่โมงกว่า สมองที่ยังไม่แจ่มใสนักจึงคำนวณอย่างเชื่องช้าว่าเขาคงจะหลับไปไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง

ไออุ่นที่มาจากด้านซ้ายและจากลำแขนที่โอบอยู่รอบเอวดึงให้พรพฤกษ์ค่อยๆ เอียงหน้าไปหา และพบว่าตระการนอนหลับอยู่ข้างเขาบนเตียง ชายหนุ่มยกยิ้มบางๆ เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายคงจะอุ้มเขาขึ้นมานอนบนห้องหลังจากที่พบว่าเขาฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะในครัวอย่างไม่ต้องสงสัย

ดูเหมือนการขยับตัวเล็กน้อยของพรพฤกษ์จะทำให้ตระการรู้สึกตัวตื่น ร่างสูงใหญ่ที่เมื่อครู่ยังหลับตาสนิทจึงขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้นข้างหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าพรพฤกษ์ตื่นแล้วและกำลังมองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบบ้าง

“ตื่นแล้วเหรอ? ตอนกลับมาเห็นไผ่หลับอยู่ต้นเลยอุ้มขึ้นมานอนบนนี้ หิวข้าวมั้ยจะได้ไปอุ่นให้?”

พรพฤกษ์ทำท่าคิดขณะที่ตระการยันตัวขึ้นนั่งและเอามือขยี้ผมตัวเองเบาๆ จากนั้นคนป่วยก็พยักหน้าและลุกขึ้นบ้าง

“ก็หิวหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน เดี๋ยวลงไปกินข้างล่างก็ได้ จะได้ไม่เลอะเทอะบนนี้”

ตระการหันกลับมามองแล้วมุ่นหัวคิ้ว “ไผ่ลุกไหวนะ?”

“ไหวสิ มีไข้นิดเดียวเอง ไม่ได้เหมือนตอนโดนรถชนที่ใส่เฝือกทั้งแขนทั้งขาซะหน่อย”

พรพฤกษ์ย่นจมูกแล้วก็ลุกจากเตียง แต่คงเพราะเขาลุกเร็วเกินไปเพราะอยากให้ตระการเห็นว่าเขาไม่เป็นไร จึงหน้ามืดจนเกือบล้มลงบนพื้นถ้าไม่ใช่เพราะถูกคว้าเอวไว้ก่อน ร่างสูงใหญ่ใช้มืออีกข้างวางทาบบนหน้าผากพรพฤกษ์ที่ยืนเอาหลังพิงอกตัวเองแล้วก็ทำหน้ายุ่ง

“ว่าแล้ว ไข้นิดเดียวเสียที่ไหน เย็นนี้ต้นว่าอย่าไปถนนคนเดินเลย ขืนไปเจอทั้งคนเยอะๆ ทั้งอากาศเย็นๆ เดี๋ยวยิ่งอาการแย่เข้าไปใหญ่”

คนที่แทบไม่มีแรงยืนเองรีบส่ายหน้าและพยายามจะยืนตรง “ไม่เป็นไร สงสัยจะหน้ามืดเพราะรีบลุกกับไม่ได้กินข้าวมากกว่า เดี๋ยวได้กินอะไรหน่อยแล้วนั่งพักสักแป๊บก็หายแล้ว ต้นอย่าลืมสิว่าหลังจากนี้เราคงไม่ได้ขึ้นมาเชียงใหม่กันอีกนานเลยนะ”

พรพฤกษ์แย้งขึ้นพร้อมกับดึงเสื้ออีกฝ่ายไว้ ตระการเองเมื่อได้เห็นนัยน์ตาเว้าวอนเช่นนั้นก็ทนใจแข็งไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าคนที่เร่งให้พรพฤกษ์รีบไปอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ ก็คือตัวเอง สุดท้ายจึงยอมถอนหายใจแล้วก็พยักหน้า

“เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าต้นเห็นไผ่อาการไม่ดีเมื่อไหร่จะพากลับทันทีนะ”

ตระการเอ่ยพลางพยุงเจ้าของบ้านออกจากห้องนอน พรพฤกษ์จึงยิ้มและพยักหน้า เขารู้ดีว่าตระการเป็นห่วง แต่ก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่กล้าขัดใจเขาเพราะนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ได้มาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ต่อจากนี้กว่าจะได้กลับมาอีกก็คงต้องรอวันที่ทั้งเขาและตระการได้หยุดยาวพร้อมกันอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจจะนานหลายเดือนเพราะตระการกำลังยุ่งกับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่

นับจากวันที่ตกลงใจได้ว่าจะไปอยู่กรุงเทพฯ แน่นอน พรพฤกษ์ก็เริ่มติดต่อเอกวิชช์ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำงานเก่าเพื่อให้รู้ว่าจะกลับไปทำงานด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มเคลียร์ตารางได้และกำหนดวันแน่นอนแล้วว่าจะปิดบ้านนฤมิตรตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป จึงตกลงกับตระการว่าจะมาย้ายของล็อตสุดท้ายด้วยกัน โดยทิ้งไว้แค่เครื่องใช้บางอย่างสำหรับเวลาที่ทั้งคู่ว่างและจะกลับมาพักผ่อนวันหยุดยาวด้วยกันเท่านั้น

เมื่อลงมาถึงห้องครัว ตระการก็ให้พรพฤกษ์นั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะเอากับข้าวที่ซื้อมาอุ่นในเตาไมโครเวฟโดยเทใส่ทีละจาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เอาจานข้าวผัดไก่อุ่นๆ มาวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้วน้ำ พรพฤกษ์เลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายหยิบถุงพลาสติกออกจากตู้เก็บของด้านบนแล้วเอามาวางบนโต๊ะ

“ที่ต้นกลับมาช้าเพราะไปร้านขายยามาเหรอ?”

“อืม พอดีร้านขายยาตรงเชิงเขาปิดก็เลยต้องเข้าไปในเมือง แล้วบังเอิญเจอพี่ย่ามกับปาล์มก็เลยคุยกันนิดหน่อย พี่ย่ามก็บอกให้พาไผ่ไปหาก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ด้วย”

พรพฤกษ์ยิ้ม “พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปก็แล้วกัน นอโทรมาบอกเมื่อเช้าว่าคืนนี้ที่ร้านจะมีปาร์ตี้ปีใหม่ สงสัยจะยุ่งน่าดู ถึงเข้าไปหาก็คงไม่ได้คุยกันเท่าไหร่…”

ชายหนุ่มเอ่ยออกไปแล้วก็ใจหายวูบขึ้นมา หลังจากย้ายไปกรุงเทพฯ แล้วเขาคงไม่ได้เจอเพื่อนฝูงบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนอีก แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นทางเดินชีวิตที่เขาเลือกแล้ว...และก็คงไม่มีทางจะถอนคำพูดที่เคยให้ตระการกับตฤณไปแล้วได้อีก

“ไผ่ตกลงว่าจะไปอยู่กับต้นแล้ว...ห้ามเปลี่ยนใจตอนนี้นะ”

ดูเหมือนตระการจะดูออกว่าพรพฤกษ์กำลังคิดถึงเพื่อนๆ ขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้น เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีนิลเหลือบตาขึ้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายแกล้งทำหน้าดุอยู่ สีหน้าที่ได้เห็นทำให้เขาหัวเราะ

“ถึงจะเปลี่ยนใจก็คงช้าไปแล้วมั้ง เพราะนอกจากต้นแล้วสงสัยคุณลุงก็คงไม่ยอมแหงๆ อุตส่าห์ยอมรับพวกเราได้แล้วทั้งที ขืนตอนนี้มาบอกว่าเปลี่ยนใจคงโดนเกลียดแหงเลย”

ตระการยิ้มออกบ้างเมื่อเห็นสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นของอีกฝ่าย ที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือกลัวว่าพรพฤกษ์จะเหงาที่ต้องจากบ้านและเพื่อนๆ ที่นี่ไป ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาเองก็งานยุ่งเพราะธุรกิจที่กำลังขยับขยายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะเจียดเวลาว่างเท่าที่มีพาพรพฤกษ์กลับมาเยี่ยมบ้านที่นี่ให้บ่อยที่สุด และจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พรพฤกษ์เสียใจที่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเขา

“ป่านนี้พ่อเขาเกลียดไผ่ไม่ลงแล้วล่ะ ต่อให้ไผ่เปลี่ยนใจจริงๆ พ่อเขาก็คงบอกว่าไม่ว่าใช้วิธีไหนต้นก็ต้องพาไผ่ไปอยู่ด้วยกันให้ได้มากกว่า”

พรพฤกษ์หัวเราะอีกพลางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มทานข้าวผัดที่ตระการอุ่นให้ โชคดีที่แม้เขาจะมีไข้แต่ความอยากอาหารไม่ได้ลดลง ชายหนุ่มจึงทานข้าวหมดทั้งจานแทบจะพร้อมๆ กับที่ตระการทานของตัวเองหมด พอเห็นเขาวางช้อนลงและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ตระการก็หยิบยาที่ซื้อมาออกจากถุงแล้วยื่นให้

“งั้นเดี๋ยวไผ่กินยานี่ก่อน เภสัชที่ร้านบอกว่าให้ทานหลังอาหารแล้วดื่มน้ำตามมากๆ เสร็จแล้วค่อยไปถนนคนเดินกัน เดี๋ยวต้นล้างจานให้เอง”

ตระการเอ่ยแล้วก็หยิบจานของพรพฤกษ์ไปซ้อนกับจานของตัวเองและลุกขึ้นนำไปวางที่อ่าง พรพฤกษ์มองตามแผ่นหลังกว้างและแข็งแรงของคนที่กำลังล้างจาน แล้วความเต็มตื้นในอกก็ทำให้เขาวางยาลงบนโต๊ะตามเดิมและลุกเดินเข้าไปหา

ตระการชะงักมือที่กำลังใช้ฟองน้ำถูจานเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบรอบเอว รวมทั้งไออุ่นจัดจากร่างที่กำลังมีไข้ซึ่งแนบแก้มลงบนแผ่นหลัง ร่างสูงจึงเอี้ยวคอไปถาม

“มีอะไรเหรอไผ่?”

พรพฤกษ์ส่ายหน้ากับแผ่นหลังกว้าง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยแขนที่โอบเอวอีกฝ่ายไว้ “อืม...ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากกอดเฉยๆ”

ตระการฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า ร่างสูงเปิดน้ำเพื่อล้างฟองจากจานทั้งสองใบและวางลงบนตะแกรงข้างอ่าง จากนั้นจึงเช็ดมือกับผ้าที่แขวนอยู่แล้วหันกลับไปหาคนข้างหลังทั้งตัว พอเห็นนัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขา ชายหนุ่มก็ยิ้ม

ก็ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตาคู่นี้หรือ...ที่ทำให้เขาหลงรักมาตั้งแต่ก่อนจะได้พบกัน จนกระทั่งความรู้สึกนั้นฝังรากจนถอนตัวไม่ขึ้นนับจนวันนี้

ตระการใช้แขนข้างหนึ่งโอบพรพฤกษ์กลับบ้าง ส่วนมืออีกข้างเชยคางอีกฝ่ายขึ้นและจูบลงไปเร็วๆ แต่ดูเหมือนจูบสั้นๆ เพียงแค่นั้นจะไม่สมกับความรู้สึกมันเขี้ยวของเขา ร่างสูงจึงกดริมฝีปากลงย้ำอีกครั้ง และคราวนี้จูบที่ตอนแรกเป็นเพียงการหยอกล้อก็แปรเปลี่ยนเป็นจูบอ่อนหวานที่ทำให้พรพฤกษ์ต้องละมือที่กอดเอวอีกฝ่ายแล้วเลื่อนขึ้นไปกำเสื้อบนบ่าแทน

จวบจนรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนเริ่มหายใจผิดจังหวะ ตระการจึงค่อยยืดตัวขึ้นและยิ้มตาเป็นมันให้คนที่โหนกแก้มเรื่อสีเลือดฝาดจนสุกปลั่ง จากนั้นก็ยกปลายนิ้วขึ้นลูบริมฝีปากบางเบาๆ

“ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากจูบเฉยๆ เหมือนกัน”

นัยน์ตาเจ้าเล่ห์สีน้ำตาลเข้มทำให้ใบหน้าที่ปกติดูเคร่งขรึมอ่อนเยาว์ลงราวกับเป็นหนุ่มวัยรุ่น และแม้ว่าจะหมั่นไส้ แต่พรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นด้านนี้ของตระการ จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะใช้คำพูดตอกกลับสักที สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำและดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ แทน

“อยากไปถนนคนเดินแล้วล่ะ รีบไปกันก่อนฟ้าจะมืดดีกว่าต้น เดี๋ยวหาที่จอดรถลำบากแล้วได้เดินแป๊บเดียว”

ตระการหัวเราะเมื่อเห็นพรพฤกษ์ทำเป็นเฉไฉ แต่ก็ยอมปล่อยแขนที่โอบอีกฝ่ายไว้แล้วจูงมือไปที่ห้องนั่งเล่นแต่โดยดี “งั้นเดี๋ยวต้นไปเอาแจ๊คเกตตัวที่หนากว่านี้มาให้ก่อน ตอนกลางคืนอากาศมันเย็น ไผ่นั่งรอแป๊บนึง”

พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาและมองตามหลังอีกฝ่ายที่เดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นหนุนคอบนโซฟาแล้วก็หลับตาลงทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบนริมฝีปาก

ตา...ตาไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ไผ่มีความสุขมากเลย แล้วไผ่จะกลับมาบ้านนี้บ่อยๆ เท่าที่ทำได้นะ...

ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นและนั่งตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินลงมา จากนั้นก็ลุกขึ้นและรับแจ๊คเก็ตตัวหนานุ่มที่อีกฝ่ายยื่นให้มาเปลี่ยนแทนตัวที่ใส่อยู่ก่อน เมื่อเสร็จแล้วก็เดินออกจากบ้านด้วยกัน พรพฤกษ์ล็อคประตูบ้านแล้วก็เดินตามตระการไปที่รถ แต่จู่ๆ ก็ชะงักแล้วหันกลับไปมองบ้านอีกครั้ง

“ไผ่?”

ตระการชะงักบ้างเมื่อเห็นพรพฤกษ์หยุดเดิน พอหันหลังไปก็เห็นอีกฝ่ายยืนเอามือซุกกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตแล้วแหงนหน้ามองบ้านอยู่ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาแล้วโอบอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง

“มีอะไรเหรอ หรือว่าไม่อยากเข้าเมืองแล้ว?”

ร่างสูงเอ่ยพลางกระซิบข้างหู พรพฤกษ์จึงเอี้ยวหน้าไปหาแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองบ้านตามเดิม แต่คราวนี้เขาเอนตัวลงพิงอกตระการไว้ด้วย

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพียงแต่กำลังคิดว่าเคยเห็นภาพนี้จนติดตามาจนอายุสามสิบ แต่จากนี้ไปจะไม่ได้เห็นที่นี่บ่อยๆ แล้วก็อดใจหายไม่ได้”

ตระการกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงบนขมับของคนตรงหน้า เขารู้ดีว่าสำหรับพรพฤกษ์แล้วบ้านนฤมิตรมีความหมายแค่ไหน การที่อีกฝ่ายยอมตัดใจไปอยู่กับเขานั้นอาจถือเป็นการเสียสละที่เจ้าตัวไม่เคยทำให้ใครมาก่อนเลยก็เป็นได้

“จากนี้บ้านของต้นก็คือบ้านของไผ่เหมือนกันนะ”

ร่างสูงเอ่ยเสียงต่ำ พรพฤกษ์จึงยิ้มและหมุนตัวกลับไปหา จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าคมคายที่เย็นเพราะลมซึ่งพัดโชยบนเชิงเขาเอาไว้ พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขาไปทางด้านหลังบ้านแล้ว แต่เขาก็หวังว่าความสลัวรอบตัวจะยังไม่มากพอจะบดบังรอยยิ้มที่ส่งให้คนตรงหน้า

คำสัญญาของตระการทำให้พวกเขาสองคนมาถึงจุดนี้ เพื่อตอบแทนความรู้สึกนั้น เขาก็จะไม่เสียใจในการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน

“สำหรับไผ่ ถ้าต้นอยู่ที่ไหน ที่นั่นแหละคือบ้านของไผ่”

คำพูดนั้นทำให้ตระการทำตาโต เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มกว้างและดึงตัวพรพฤกษ์ไปกอดแน่น และพรพฤกษ์เองก็สอดแขนกอดอีกฝ่ายตอบราวจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาได้พูดออกไปนั้นคือสิ่งที่คิดจริงๆ ครู่ใหญ่กว่าที่ตระการจะถอยออกและโอบไหล่พรพฤกษ์พลางพาเดินไปที่รถ

“เราไปกันเถอะไผ่”

“อื้ม”

พรพฤกษ์ตอบรับและสอดแขนข้างหนึ่งโอบเอวอีกฝ่าย ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองบ้านนฤมิตรอีก เพราะเขารู้ดีว่าแม้จะรักบ้านหลังนี้แค่ไหน แต่ชีวิตของเขาก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ตามลำพังเพราะว่าเขาจะมีตระการคอยอยู่เคียงข้างในทุกก้าวของชีวิต

คำว่า ‘เราไปกันเถอะ’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อครู่ไม่ได้สื่อถึงแค่การเดินทางในค่ำคืนนี้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงชีวิตในทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือนและทุกปีต่อจากนี้ไปของทั้งคู่ด้วย

พวกเขาใช้เวลาอันยาวนานกว่าจะก้าวผ่านมาถึงจุดนี้ด้วยกัน ต้องผ่านบทพิสูจน์ทั้งความอดทนและเชื่อใจในกันและกันอย่างมากมาย และจากนี้จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้พวกเขาทั้งสองพรากจากกันได้อีก

นั่นคือคำสัญญา...


++--- End ---++


A/N: อ๊า ในที่สุดก็มาถึงบทส่งท้ายจนได้ รู้สึกโล่งอกพอๆ กับที่ใจหายเลยค่ะ ถ้าหากนับเวลาที่ต้นเริ่มเจอไผ่ครั้งแรกจนถึงตอนจบก็ร่วมสามปี พอๆ กับที่คนเขียนใช้ในการเขียนเรื่องนี้จริงๆ เลยล่ะ (เขียนกลางปี 2008 มาจบต้นปี 2011) ถือว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ดีใจจริงๆ ที่ส่งต้นกับไผ่มาถึงตรงนี้ได้ และยิ่งรู้สึกขอบคุณทุกกำลังใจและคอมเม้นต์ที่มีให้กันมาตลอด ทั้งในบล็อกนี้ ในบอร์ดอื่นๆ และใน facebook ค่ะ รู้สึกประทับใจจริงๆ ที่ได้เขียนเรื่องนี้ออกมาและได้มีประสบการณ์ดีๆ ขนาดนี้

สำหรับเรื่องราวในบทส่งท้ายนี้จะตามหลังเรื่องในตอนที่ 30 อยู่หลายเดือน เรียกว่าเกือบๆ ปีเพราะเวลาในตอนที่ 30 จะเป็นช่วงต้นปี ส่วนเรื่องในตอนนี้จะเป็นวันสิ้นปีเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าคนที่ได้อุดหนุนลำนำรักสีรุ้งไปแล้วและเคยได้อ่านตอนโบนัสของเป้กับวิวจะจำกันได้ไหม แต่นี่ก็คือคืนวันที่สองคู่นี้ได้เจอกันที่ศูนย์อาหารในวัดนั่นละค่ะ อิอิอิ รู้สึกว่านิยายของเราจะชอบมีจุดที่แต่ละเรื่องมาบรรจบกันได้อยู่นะ

แล้วก็สำหรับใครที่อ่านมาถึงตอนนี้และเริ่มสนใจอยากอ่านแบบทีเดียวยาวๆ ในฉบับรูปเล่ม ตอนนี้เปิดจอง ต้น-ไผ่ ในเวอร์ชันนิยายแล้วนะคะ ตามไปอ่านรายละเอียดกันได้ที่นี่เลย //www.bloggang.com/viewblog.php?id=bellbomb&date=25-01-2011&group=13&gblog=3

หลังจากนี้จะเริ่มกลับไปเขียนคุณเชษฐ์กับภัทรต่อแล้วล่ะ แต่คงไม่ใช่สัปดาห์หน้าทันทีนะคะ เอาไว้จะประกาศใน facebook อีกที แต่ถ้าใครไม่เล่น facebook รบกวนเช็คเข้ามาบ่อยๆ แล้วกันค่า

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามให้กำลังใจกันมาตลอด ทั้งพี่พีท พี่เอิง พี่แอ๋ว พี่ยู พี่ลี คุณมด คุณเชอร์รี น้องนุ่น ตาล น้องmaio2000 และท่านอื่นๆ ที่อาจติดตามแต่ไม่ได้คอมเมนต์ไว้ อยากบอกว่าเราอ่านทวนคอมเม้นต์ของทุกคนหลายรอบมากเลยค่ะ ดีใจมากที่เรื่องที่เราเขียนทำให้ทุกคนอ่านแล้วมีความสุขและมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวเหล่านั้นได้ แล้วพบกันในผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะคะ


Create Date : 25 มกราคม 2554
Last Update : 28 มกราคม 2554 23:52:04 น. 22 comments
Counter : 1016 Pageviews.

 
อยากจะบอกว่า..ไม่ใช่แต่คุณรินที่อ่านทวนคอมเมนต์ของคนอ่านฝ่ายเดียวนะคะ

เชื่อว่าแฟนานุแฟน (อย่างน้อยก็ข้าพเจ้าคนนึงละ ^^) ที่อ่านแต่ละตอนไม่ซ้ำกว่าหนึ่งรอบ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่สนุกและชวนติดตามในทุกๆตอน ในนิยายทุกเรื่องของคุณรินค่ะ

มิตรภาพที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน..หวังให้มันคงอยู่ตลอดไปนะคะ :))

เจอกัน เมื่อเจอกันค่ะ !!


โดย: sherry IP: 223.204.240.81 วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:23:18:23 น.  

 
คุณเชอร์รี อ่านคอมเม้นต์คุณเชอร์รีกี่ครั้งก็ชื่นใจค่ะ ^^ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจและข้อความน่ารักๆ ที่มาลงให้อย่างสม่ำเสมอนะคะ แล้วเจอกันเมื่อเจอกันค่า


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:23:55:31 น.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ แบบนี้นะคะพี่ริน ถึงจะเพิ่งได้มาตามอ่านงานของพี่รินได้ไม่นาน กล้าพูดเต็มปากเลยว่า

นิยายของพี่รินนั้น ภาษาสวยและสนุกทุกเรื่องจริงๆ ค่ะ

ยังไงก็จะตามอ่านตอนพิเศษในรวมเล่มนะคะ

อย่าเพิ่งลืมน้องบอยของแนนนะคะ อยากรู้เรื่องอีกหน่อยนึง อิอิ

ต้นผ่ไปเดินถนนคนเดินแล้วจะไปเจอเป้วิวใช่ไหมคะ จำได้ๆ ^0^


โดย: NannY IP: 182.52.196.194 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:1:27:20 น.  

 
ใช่จะแค่ 'ไผ่' เท่านั้นใจหาย ที่ต้องจากเชึยงใหม่ จากบ้านนฤมิตร จากเพื่อนๆ แต่พี่เอิงเองก็อดใจหายไม่ได้ ที่จะไม่ได้เจอ 'ต้น' และ 'ไผ่' อีก // อ่านเรื่องนี้จบแล้วแอบตาร้อน 'ไผ่' หน่อยๆ ค่ะ เพราะ 'ต้น' รัก ห่วงใย และดูแลเอาใจใส่ 'ไผ่' มากๆ เลย แล้ว 'ไผ่' เองก็ช่างขี้อ้อนเหลือเกิน วิธีการอ้อนของ 'ไผ่' ก็คือการดึงชายเสื้อ และส่งสายตาเว้าวอน น่ารักจริงๆ แล้ว 'ต้น' จะห้ามใจไม่ให้จูบเด็กอ้อนได้ไง ชิมิ ชิมิ // มีความสุขมากๆ กับการอ่านเรื่องนี้ค่ะ ขอบคุณนู๋รินมากๆ ค่ะ สำหรับความสุขที่นำมาแบ่งปันผ่านชีวิตของ 'ต้น' กับ 'ไผ่' ขอบคุณค่ะที่ทำให้พี่เอิงได้มารู้จักน้องสาวที่น่ารักคนนี้ พี่เอิงก็มีความรัก ความห่วงใย และกำลังใจให้นู๋รินไม่น้อยกว่าที่ 'ต้น' มีให้กับ 'ไผ่' นะจ๊ะ แล้วเราจะรักกันตลอดไปค่ะ นั่นคือคำสัญญา (แอบมีเหมือนกันนะเนี่ย)


โดย: เอิงเอย IP: 118.172.93.185 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:7:18:31 น.  

 
น้องแนน ขอบคุณมากค่ะน้องแนน คงเพราะพี่ก็ชอบอ่านนิยายภาษาสวยๆ เลยอยากให้เรื่องของตัวเองถูกถ่ายทอดออกมาแบบนั้นบ้าง ยังมีจุดต้องพัฒนาอีกเยอะ แต่จะพยายามให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

ส่วนน้องบอยได้อ่านในตอนพิเศษแน่นอน เห็นแม่ยกหลายคนทั้งที่ออกมาจิ๊ดเดียว เดี๋ยวจะให้ได้อ่านน้องบอยในตอนพิเศษจนหายคิดถึงเลยค่ะ

ส่วนเป้วิว ใช่แล้น เดี๋ยวไปเจอกันที่ถนนคนเดินคืนนี้นั่นและ


พี่เอิง การที่ไผ่โตมากับตาก็มีข้อดีนะคะเนี่ย คือทำให้รู้วิธีอ้อนไปด้วย อิอิ ต้นก็เลยกำไรไปเต็มๆ เลย ได้สุดยอดคนรักมาไว้ก็ต้องถนอมกันหน่อยละ // ขอบคุณคอมเม้นต์ของพี่เอิงที่อ่านทีไรก็ทำให้ใจฟูๆ ทุกครั้งเหมือนกันค่ะ ยินดีมากที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมาแล้วทำให้มีความสุขได้ รู้สึกว่าคิดถูกจริงๆ ที่เอาเรื่องนี้กลับมาเขียนใหม่จนจบได้แบบนี้ และรินก็จะมีความรัก ความห่วงใยและกำลังใจให้พี่เอิงเสมอไปเหมือนกัน สัญญาค่ะ (ขอยืมธีมหน่อยนะจ๊ะ ไผ่-ต้น)


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:11:44:28 น.  

 
" ครอบครัวสุขสันต์ " ใช้คำนี้ได้แล้วใช่มั้ยเนี่ย ทำไมยิ่งใกล้จบคุณป๋าถึงได้น่ารักวันน่ารักคืนน้า อิมเมจคุณป๋าตอนนี้ของพี่กลายเป็นเด็กตัวน้อยขี้อายไปแล้วค่ะ เหอๆๆ น่ารักได้อีกจ้า....

ฉากในครัวเนี่ยเซอร์วิสแฟนๆเต็มๆเลยน้า หนุงหนิงกันซะจนคนแถวนี้อิจฉาแล้วเนี่ย น่ารักมากมาย ทั้งตาต้น ทั้งน้องไผ่เลย

“อืม...ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากกอดเฉยๆ”

“ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากจูบเฉยๆ เหมือนกัน”

โอ๊ย... ไม่ไหวจะเคลียร์ค่ะ ขอบอก เด็กสองคนนี้ทำให้พี่นึกถึงวันแรกที่ต้นโทรหาไผ่ นึกถึงตอนที่ต้นโทรไปปรึกษาไผ่ ภาพตอนนั้นมันออกมาเลยค่ะ " เด็กน้อยที่น่ารักทั้งสองคนของพี่เติบโตขึ้นแล้วจริงๆน้า " อ่านแล้วคิดถึงวันวานค่ะจากเด็กตัวน้อยเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ ความรัก ความผูกพัน ยึดมั่นในสัญญา ฝ่าฟันปัญหาต่างๆนาๆ จนก้าวข้ามผ่านทุกสิ่ง ทั้งทุกข์และสุข จนสุดท้ายได้อยู่คู่กัน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์ ซาบซึ้งใจจริงๆค่ะ โดยเฉพาะประโยคเด็ดประโยคโดนของวันนี้

“สำหรับไผ่ ถ้าต้นอยู่ที่ไหน ที่นั่นแหละคือบ้านของไผ่”

ไม่ใช่แค่ตาต้นเท่านั้นที่ตาโต และยิ้มกว้างแต่เป็นพี่ด้วยที่ ตาโต+ยิ้มกว้าง+หัวใจพองฟู ไม่แพ้กันค่ะ แต่จะแพ้ก็ตรงที่พี่ไม่สามารถดึงน้องไผ่เข้าไปกอดได้เหมือนใครบางคน ( เชอะ... )

พูดถึงตา พี่นึกถึงตอนน้องไผ่ขูดมะพร้าวเลย พี่ชอบฉากนั้นค่ะ มันทำให้นึกถึงเมื่อก่อนตอนเรายังเด็ก ได้ช่วยแม่ทำกับข้าว นั่งขูดมะพร้าวจนเหงื่อตก ช่วยแม่คั้นน้ำกะทิจนโดนบ่นว่า " คั้นยังไงเนี่ย มันไม่มีมันออกมาเลยนะ " ตอนนั้นมีความสุขจริงๆน้า ช่วยงานแม่ในครัว ได้พูดจาหยอกล้อกัน ได้ใกล้ชิดกันอย่างที่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถทำได้ อ่านแล้วรู้สึกถึงบรรยากาศอบอุ่นหมุนวนรอบตัวค่ะ ทุกๆอย่างที่น้องไผ่ทำ ทุกๆคำพูดที่น้องไผ่พูด ทุกๆความคิดที่น้องไผ่คิด มันทำให้พี่รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารัก พี่ถึงได้หลงรักไง แล้วก็ดีใจที่ตาต้นได้เจอน้องไผ่และได้รักกัน เพราะพี่รู้ว่า ต้นจะโชคดีเพียงใดที่มีไผ่อยู่ข้างๆ และ รินก็ทำให้พี่ได้รู้อีกอย่างว่า ไผ่ก็โชคดีมากเพียงใดที่มีผู้ชายที่แสนดี ที่ชื่อ ต้น อยู่เคียงข้าง ผู้ชายที่มีความรักให้ได้มากมายเหลือเกิน ผู้ชายที่มั่นคงต่อคำสัญญาที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าใดเค้าก็จะยังยึดมั่นและมั่นคง

ขออวยพรให้น้องทั้งสองคนมีความสุขในทุกๆที่ และ ทุกๆ ทางที่เลือกเดินค่ะ

ถึงแม้เรื่องนี้จะดำเนินมาถึงจุดสุดท้ายของปลายทางแล้ว และพี่จะเสียดายเพียงใดที่ต่อไปนี้จะไม่ได้อ่านต้น-ไผ่ตอนใหม่ๆอีกแล้วก็ตาม แต่เรื่องนี้จะยังอยู่ในใจและความทรงจำของพี่ไปอีกนานๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ คงไม่สัญญาว่าจะไม่ลืมเลือนชั่วนิรันดร์ เพราะพี่เชื่อแน่ว่า ริน จะทำให้พี่ประทับใจกับเรื่องราวต่อๆไป ที่รินจะเรียงร้อยให้พี่ได้อ่านในอนาคตข้างหน้า จนสมองส่วนความทรงจำเรื่องราวประทับใจอันน้อยนิดของพี่รับไม่ไหวแน่ๆ

รอคอยค่ะ....

ปล. พี่เคยอ่านแล้วค่ะเรื่องของคุณเชษฐ์ กับ คุณภัทร และตอนนี้ก็กำลังรอความประทับใจใหม่ๆที่รินจะมีให้พี่ผ่านสายตา และ ปากคำของคุณเชษฐ์ และ คุณภัทรค่ะ


โดย: aew IP: 125.27.92.116 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:16:27:43 น.  

 
ไม่ใช่แต่นู๋รินเท่านั้นที่จะชอบอ่านเม้นท์ของคุณแอ๋ว เอิงก็ชอบอ่านเม้นท์ของคุณแอ๋วเหมือนกัน เอิงสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่คุณแอ๋วมีให้กับ 'ต้น-ไผ่' และยังสัมผัสได้ถึงความสุขของคุณแอ๋วเมื่อได้อ่านเรื่องราวของทั้งสอง // น้องจากจะขอเป็นพี่สาวของนู๋รินแล้ว ขออนุญาตเป็นเพื่อนกับคุณแอ๋วได้มั๊ยค่ะ


โดย: เอิงเอย IP: 118.172.96.182 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:19:31:15 น.  

 
ตอบคุณเอิงค่ะ ดีใจและยินดีมากมายค่ะ เราเป็นเพื่อนกันแล้วน้า... ห้ามเบี้ยวด้วยไม่งั้นเค้างอนนา สัญญาแล้วน้า แง๊บๆๆๆ ขออนุญาติเกี่ยวก้อยด้วยคนได้ป่าวหนูริน+เอิง


โดย: aew IP: 125.27.97.190 วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:16:04:14 น.  

 
พี่แอ๋ว ตอนนี้ก็น่าจะเรียกว่า "ครอบครัวสุขสันต์" ได้เต็มปากแล้วละค่ะ อิอิ ป๊ะป๋าเรานี่มีพัฒนาการขึ้นเยอะเลยเนอะ ปลื้มจริงๆ ที่พี่แอ๋วจำรายละเอียดได้ทุกเม็ดและยังนึกถึงขนาดนี้ รินก็ชอบตอนไผ่ยังเด็กๆ แล้วช่วยตาทำโน่นทำนี่เหมือนกัน ดูมันเป็นบรรยากาศที่สมัยนี้หายากมากเลย (ส่วนมากครอบครัวยุคใหม่เป็นครอบครัวเดี่ยว) เรียกได้ว่าบุคลิก + นิสัยของไผ่ถูกหล่อหลอมมาให้เป็นแบบนี้เพราะได้ตาเป็นคนเลี้ยงนี่ละ (ขอกราบขอบคุณคุณตางามๆ ค่า)

ตอนเริ่มเขียนเรื่องนี้ รินก็อยากถ่ายทอดธีมของครอบครัวและความรักที่มีทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องที่อาจทำให้ท้อหรือเสียใจบ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะจบลงด้วยดีถ้าพื้นฐานจิตใจของตัวละครดี ดีใจมากที่ถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาให้คนอ่านสัมผัสได้ค่ะ อาจเรียกว่านี่เป็นธีมที่รินใช้กับทุกเรื่องเลยก็ได้มั้ง เพราะอยากให้คนอ่านทุกคนมองโลกในแง่ดีไว้แม้ทุกอย่างในชีวิตใช่จะราบรื่นไปเสียหมด แต่ถ้าเรามีกำลังใจที่ดี ต่อให้มีอุปสรรคแค่ไหนเราก็จะผ่านมันไปได้ อาจจะมองโลกในแง่ดีไป แต่รินก็คิดแบบนี้จริงๆ นะ

ถึงแม้หลังจากนี้จะไม่ได้มาลงตอนใหม่ที่บล็อกอีก (จริงรึ?) แต่ก็จะพยายามเขียนตอนพิเศษสำหรับรวมเล่มให้คนที่อุดหนุนไปได้รู้สึกคุ้มค่าและอิ่มเอมกับเรื่องของต้นกับไผ่อย่างเต็มที่ค่ะ และสำหรับเรื่องราวของคุณเชษฐ์กับภัทรที่จะไปเขียนต่อก็จะพยายามทำให้ดีเหมือนกัน สำหรับเรทความประทับใจนี่คงต่างไปสำหรับคนอ่านแต่ละคน แต่ก็จะพยายามเขียนให้อ่านแล้วรู้สึกอยากติดตามและเอาใจช่วยไม่แพ้คู่ของต้นกับไผ่ เป้กับวิว และอ๊อฟกับน้องนะเลยค่ะ


พี่เอิง เห็นคอมเม้นต์พี่เอิงแล้วต้องรีบไปสะกิดพี่แอ๋วให้มาอ่านทันที ชื่นใจค่ะที่แฟนนิยายของรินน่ารักกันทั้งนั้นเลย แถมจากนี้ก็จะทำให้ได้เพื่อนน่ารักๆ เพิ่มขึ้นกันอีกด้วยเน้อ


พี่แอ๋ว (อีกที) ไม่มีปัญหาค่า พวกเรามาเกี่ยวก้อยเป็นครอบครัวสุขสันต์แข่งกับต้นไผ่แล้วก็ป๊ะป๋ากันเนอะ อิอิอิ (คุณเชอร์รีถ้ายังแวะมาอ่านอยู่ก็มาแจมกันได้นะคะ)


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:16:59:54 น.  

 
เย้.....คุณแอ๋วยอมเป็นเพื่อนกับเราแล้ว ห้ามทิ้งเราด้วยไม่งั้นเราก็จะงอนเหมือนกัน // แต่เดี๋ยวนะ ด้วยอายุอานามที่ไม่ใช่น้อยของเรา สงสัยเป็นเราจะเป็นเจ้เอิงของน้องๆ แน่ๆ เลย งั้นตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะจ๊ะ ครอบครัวเราไม่มีป๊ะป๋า มีตั่งเจ้ก็แล้วกัน อิอิอิ เนียนๆ ไปกับเค้า


โดย: เอิงเอย IP: 118.172.102.204 วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:22:23:25 น.  

 
พี่เอิง ครอบครัวอบอุ่นสุขสันต์ค่า เย่ๆๆ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 มกราคม 2554 เวลา:1:16:30 น.  

 
ครอบครัวสุขสันต์ด้วยอีกคนค้า เย้.....

ปล. บางทีเอิงอาจจะตกใจถ้ารู้อายุแอ๋ว เหอๆๆๆๆ

ปล.อีกรอบ น้องริน พี่เชื่อแน่ว่าสำหรับคุณเชษฐ์และคุณภัทร น้องต้องถ่ายทอดได้ดีไม่แพ้เป้-วิว,นายอ๊อฟ-น้องนะ,ตาต้น-น้องไผ่ แน่นอนจ้า เรื่องนี้พี่เชื่อมั่นจากใจเลย เพราะงั้นมั่นใจและเต็มที่ได้เลยค้า


โดย: aew IP: 125.27.95.7 วันที่: 28 มกราคม 2554 เวลา:9:58:07 น.  

 
พี่แอ๋ว อ่า เหมือนเล่นนับเลขกันเลย ^^"

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่าพี่แอ๋ว จะสู้เต็มที่เลยค่ะ ฮึบๆๆ!!


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 มกราคม 2554 เวลา:22:11:50 น.  

 
มาให้กำลังใจและสร้างความมั่นใจให้นู๋รินด้วยคนคร่า // สู้สู้ อยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเสมอ

คุณแอ๋วจ๋า เราน่าจะวัยเดียวกัน ดีใจนะค่ะที่ได้รู้จัก และได้เป็นเพื่อนกัน


โดย: เอิงเอย IP: 118.172.92.81 วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:14:39:48 น.  

 
พี่เอิง ขอบคุณพี่เอิงด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังใจเต็มสูบมาก มีแรงทำต่อเต็มที่เลย

ปล. อาจจะเขียนตอนพิเศษของต้นกับไผ่มาให้อ่านกันสักตอนแก้คิดถึงระหว่างที่ยังรวมเล่มไม่เสร็จ แต่อาจเป็นตอนสั้นๆ นะคะ ส่วนตอนอื่นที่เหลือก็รอติดตามในรวมเล่มค่ะ ;)


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:19:02:20 น.  

 
วันนี้รู้สึกเหมือนว่ามีใครพาดพิงถึง..
พอแวะเข้ามาเยี่ยมชมในบล็อคนี้ ก็เจอจริง ๆ ^^

คุณรินส่งข่าวดีมาแบบนี้ ว่าจะมีตอนสั้นพิเศษบ้าง ไรบ้าง แควนๆก็แอบยิ้มกันไปน่ะสิคะ ฮี่ ฮี่ ฮี่

แต่จะว่าไป พอนึกว่าเราไม่ได้มีนัดกันทุกวันจันทร์แล้ว ก็ใจหายเหมือนกันนะคะ หรือคุณรินว่าไง :D


โดย: sherry IP: 223.205.30.112 วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:21:23:47 น.  

 
คุณเชอร์รี เซนส์ดีมากๆ ค่า อยากส่งตอนพิเศษมาให้เพราะกลัวจะคิดถึงกันนี่ละค่ะ แต่เดี๋ยวจันทร์หน้าจะเอาผลงานที่แฟนๆ ของต้น-ไผ่เขียนทริบิวท์ให้มาลงไปก่อน ประมาณเป็นแฟนฟิคสั้นๆ รินอ่านแล้วต้องรีบขออนุญาตเอามาลงที่บล็อกด้วย ทนปลื้ม + ขำคนเดียวไม่ไหว XD

จริงๆ ก็อยากให้มีนัดสม่ำเสมอทุกวันจันทร์ค่ะคุณเชอร์รี แต่ถ้ามีตอนนี้คงต้องเป็นคิวของคุณเชษฐ์กับภัทรมั่งแล้ว แต่ไม่ชัวร์เลยว่าจะได้ทุกสัปดาห์นี่สิ ยังไงจะพยายามให้ได้ถี่ๆ + สลับอัพเรื่องสัพเพเหระไปด้วย ยังไงคุณเชอร์รีอย่าเพิ่งทิ้งกันนะคะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:23:05:54 น.  

 
จบแล้วใจหายเล็กๆ เหมือนเราโตตามตัวละครเลยอ่ะ ยังไงจะติดตามอ่านเรื่องต่อๆไปเรื่อยนะคะ รินสู้ๆ

คุรพ่อของต้นเปลี่ยนไปเยอะเลย ท่านน่ารักขึ้น ไผ่เองก็ดูรักและเคารพท่านมากๆ ไม่เกร็งแล้วด้วย
ในที่สุดก็ได้ไปอยู่ด้วยกันโดยสมบูรณ์ซะทีเนอะ


โดย: both^^ IP: 125.24.163.188 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:17:13:23 น.  

 
ในที่สุดก็มาถึงวันนี้เสียที ไม่ง่ายจริง ๆ กว่าจะถึงวันนี้ วันที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

รู้สึกประทับใจและอิ่มเอมกับเส้นทางความรักของต้นและไผ่มากค่ะ

ประทับใจในตัวไผ่ ที่ถึงแม้จะเติบโตกับตาเพียงแค่สองคน จนถึงวันที่ต้องอยู่โดยลำพัง ไผ่ก็เป็นคนดีและน่ารักมาก ที่สำคัญคือประทับใจที่ไผ่เสียสละโลกของตัวเองมาอยู่โลกอีกใบหนึ่งร่วมกับคนรัก (มันเหมือนง่าย แต่ทำยากนะ)

ประทับใจในตัวต้นที่มั่นคง อดทน ประคับประคอง และทำทุกอย่างให้รักของเขา "เป็นไปได้" จริง ๆ

ขอบคุณคุณรินมากนะคะ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่แสนประทับใจให้เกิดขึ้นในหัวใจได้อีกครั้ง

ขอบคุณมากค่ะ



โดย: Phueng IP: 110.168.69.167 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:40:01 น.  

 
ตาล ตอนเขียนจบก็ใจหายเหมือนกันจ้า แต่ก็ดีใจที่ต้นกับไผ่ได้มีความสุขด้วยกันเสียที ส่วนพัฒนาการของป๊ะป๊านี่เหนือความคาดหมายอย่างแรง ในที่สุดก็ได้มีความสุขเป็นครอบครัวร่วมกันซะทีเนอะ


คุณผึ้ง จริงด้วยค่ะ ไม่ง่ายเลยกว่าที่สองคนนี้จะมีความสุขร่วมกันได้ ต่างคนต่างก็ต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่างเพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน ดีใจที่ถ่ายทอดเรื่องราวตรงนี้รวมทั้งบุคลิกและความตั้งใจของทั้งสองคนให้สัมผัสได้ค่ะ

ขอบคุณคุณผึ้งสำหรับคอมเมนต์น่ารักๆ และที่ติดตามเรื่องนี้ด้วยนะคะ


โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:9:24:48 น.  

 
พาร์ทนี้พ่อตฤณน่ารักจริงๆเลย พูดจาเป็นห่วงด้วย ดีใจแทนไผ่จังค่ะ

แต่ไผ่น่าจะเรียกพ่อตฤณว่าคุณพ่อนา ไม่น่าเรียกว่าคุณลุงเลย ถ้ารู้สึกกระดากปากอย่างที่ว่า ก็เปลี่ยนจากเรียก”คุณพ่อ”เป็น”คุณพ่อสามี”ดีมั้ย แต่แบบนี้คาดว่านอกจากไผ่จะกระดากปากแล้วคงเขินน่าดู แต่คงถูกใจต้นนักแหละ หุๆ ยังไงซะถึงจะเรียกว่าคุณลุงแต่ก็พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นมาได้ค่อนข้างดีเลยนะคะ ไว้รอพ่อตฤณสะดุดขั้นบันไดอีกรอบแล้วค่อยเรียก”คุณพ่อสามี”แทนแล้วกันนะไผ่ อิอิ

บทส่งท้ายหวานมากค่ะพี่ริน อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจจังค่ะ แต่ก็แอบใจหายแทนไผ่เหมือนกันนะ ต้องจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เล็กแบบนี้ แต่แนนว่าถึงจะห่างบ้านมา แต่ความสุขของไผ่จะต้องมากขึ้นแน่นอน เพราะมีต้นนี่นา

แอบช็อกอีกอย่างกับอายุไผ่ค่ะ ตอนนั้นอ่านยังเลข2อยู่เลย นี่เลข3แล้วเหรอเนี่ย อึ้งไปเหมือนกันค่ะ แหะๆ แต่ก็นะผ่านมาตั้ง3ปีแล้วนี่นะ

ในที่สุดต้นไผ่ก็จะได้อยู่ด้วยกัน(ตลอดไป)แล้ว น่ายินดีสุดๆ

รักต้นจังเลย(เพ้ออีกและ- -)


โดย: Aikiiz IP: 125.24.111.102 วันที่: 26 มิถุนายน 2554 เวลา:1:27:25 น.  

 
ขอบคุณคุณริน ที่จบบทสรุปความรักที่สวยงามมาให้ได้ติดตามกันนะคะ จะเห็นได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับความรัก นอกจากความมั่นคง ยังมีความห่วงหา เอื้ออาทรห่วงใย และพร้อมที่จะเสียสละให้แก่กันอีกด้วย หนทางและระยะเวลาพิสูจน์ความรักของคนทั้งคู่ให้ได้เห็นและเป็นที่ยอมรับ หวังเพียงว่ารักครั้งนี้จะไม่มีคำว่าเสียใจ


โดย: khun only IP: 49.49.166.116 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:14:01:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.