|
แม้นมั่นคำสัญญา บทส่งท้าย
แนะนำ
สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ
++------++
บทส่งท้าย
ลมที่พัดบนเชิงเขาในตอนบ่ายวันส่งท้ายปีทำให้เกิดเสียงยอดไม้เสียดสีเป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็ส่งความเย็นผ่านประตูและหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามาภายในบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ทว่าเมฆบนฟ้ากลับน้อยจนแสงแดดแผดจ้าลงอาบความสว่างไสวให้ทิวทัศน์ภายนอกชวนพร่าตา พรพฤกษ์ปิดปากไอเบาๆ ขณะเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกล่องกระดาษเพื่อเตรียมขนลงไปชั้นล่าง เมื่อเสร็จแล้วก็ปิดฝากล่องและลุกขึ้นยืดหลังเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าจากการทำความสะอาดบ้านและจัดเก็บของมาทั้งวัน
ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปหยุดยืนข้างหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทางเดินหน้าบ้านและโรงรถได้ ในนั้นไม่มีรถจี๊ปสีเขียวที่ควรจะจอดอยู่ในที่จอด เพราะว่าใครอีกคนขับรถของเขาออกไปเพื่อซื้ออาหารกลางวันจากร้านตรงตลาดเชิงเขาให้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน พรพฤกษ์ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ารถจี๊ปสีเขียวคันนั้นจะเลี้ยวเข้ามา จึงเดินลงไปที่ห้องครัวชั้นล่างและชงน้ำชาร้อนๆ มาจิบ
ทำไมจะต้องไม่สบายเอาช่วงที่จะขนย้ายของไปกรุงเทพฯ แบบนี้ด้วยนะ...
พรพฤกษ์บ่นกับตัวเองในใจ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องครัวระหว่างรอตระการกลับมาพร้อมอาหารกลางวัน ที่วันนี้เขาไม่ทำกับข้าวเองก็เพราะว่าไม่ได้ซื้อของสดติดตู้เย็นไว้ และตระการก็เห็นว่าเขาไม่สบาย จึงบอกให้พักและขับรถออกไปซื้อกับข้าวให้แทน ความจริงแล้วอีกฝ่ายบอกเขาว่าให้นอนเฉยๆ และเลิกเก็บของไปเลยด้วยซ้ำ แต่พรพฤกษ์อยากจัดการข้าวของในบ้านให้เรียบร้อย จึงถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่อยู่แอบเก็บของที่เหลือจนเสร็จเกือบหมด
ชายหนุ่มยกถ้วยชาที่วางไว้จนเริ่มคายความร้อนออกไปบ้างแล้วขึ้นจิบ ตอนแรกเขาก็คิดว่าจะลุกไปนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาระหว่างที่ตระการยังไม่กลับ แต่ความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวและอาการมึนหัวเหมือนมีอะไรหนักๆ ถ่วงอยู่ข้างในก็ทำให้คร้านจะลุกจากเก้าอี้ สุดท้ายจึงเลื่อนถ้วยชาไปด้านข้างก่อนจะฟุบหน้าลงบนท่อนแขนที่ประสานกันบนโต๊ะ ชายหนุ่มตะแคงหน้าพลางมองไปทางห้องนั่งเล่น แล้วก็ให้นึกถึงวันคืนก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเริ่มก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา
เมื่อก่อนตอนที่เราไม่สบายแล้วไม่มีแขกมาพักนั่นเราอยู่คนเดียวได้ยังไงกันน่ะ...สงสัยทั้งวันแทบไม่ได้กินอะไร เอาแต่นอนจนไข้หายไปเองละมั้ง...
พรพฤกษ์คิดท่ามกลางความวิงเวียนในหัว ความจริงแล้วเขาไม่ได้เพิ่งจะรู้ตัวว่าไม่สบายเอาวันนี้ แต่เมื่อสองวันก่อนซึ่งเป็นวันที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่นั้นเขายังไม่ค่อยมีอาการ จึงคิดเอาเองว่าคงไม่เป็นอะไรหนักหนา พอถึงตอนนี้ก็เลยอดจะนึกถึงคำพูดของตฤณก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากบ้านไม่ได้
ทำไมถึงไม่ให้พวกบริษัทขนย้ายเขาจัดการให้ เสียเวลาขับรถไปกลับเองให้ได้อะไรขึ้นมา ปีใหม่อุบัติเหตุทางถนนเยอะก็รู้ๆ อยู่
ตฤณเอ่ยขึ้นขณะที่พวกเขาเพิ่งจะทานมื้อเช้ากันเสร็จ เพราะว่าเขากับตระการตกลงกันว่าจะขับรถออกจากบ้านไปเชียงใหม่ในช่วงสาย ถึงแม้คนพูดจะพูดไปจิบกาแฟไปด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่หางเสียงก็บอกให้รู้ว่าไม่เห็นด้วยกับแผนการในปีใหม่ของพวกเขาสักเท่าไหร่
พรพฤกษ์เหลือบตาขึ้นสบตากับตระการที่ยิ้มอย่างอ่อนใจเพราะรู้นิสัยของพ่อตัวเองดี จากนั้นก็เป็นเขาเองที่หันไปตอบคำถามของผู้อาวุโส
ของที่ต้องขนมาส่วนใหญ่ก็ทยอยมาไว้ที่นี่เกือบหมดแล้ว มันก็เลยเหลือไม่เยอะแล้วครับคุณลุง อีกอย่างผมอยากแวะเที่ยวระหว่างทางด้วย แล้วถ้าหากไม่ไปกันช่วงปีใหม่ต้นเขาก็ติดงาน ผมไม่อยากให้ต้นต้องลางานครับ
ผู้สูงวัยเหลือบตามองเขาผ่านขอบถ้วยกาแฟที่ยกขึ้นจิบ จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่นแล้วส่งเสียงในคออย่างไม่พอใจ แต่พรพฤกษ์ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายแสดงออกแบบนั้นเพราะใจจริงเป็นห่วงพวกเขาทั้งคู่ จึงเพียงแต่ยิ้มแล้วรินกาแฟเพิ่มให้เมื่อเห็นกาแฟในถ้วยของตฤณพร่องลง
หลังจากที่ตอบตกลงว่าจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ด้วยเมื่อช่วงต้นปี พรพฤกษ์ก็ไม่ได้ย้ายข้าวของทุกอย่างมาในทันที เนื่องจากเขายังมีแขกที่จองห้องพักไว้ล่วงหน้ายาวหลายเดือน และเขาก็ไม่อยากเสียมารยาทด้วยการแคนเซิลแขกที่คอนเฟิร์มห้องแล้ว จึงใช้วิธีปฏิเสธแขกที่ติดต่อมาทีหลังแทนด้วยเหตุผลว่าจะปิดปรับปรุง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนที่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่จึงกลายเป็นเขาแทนตระการ ทั้งเพราะต้องคอยขึ้นไปดูแลเกสต์เฮ้าส์ในช่วงที่มีแขกเข้าพัก ทั้งเพื่อทยอยเก็บข้าวของส่งมาที่บ้านของตระการที่กรุงเทพฯ ด้วย
นับจากวันที่ตฤณยอมรับให้เขาเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว การวางตัวของพวกเขาจากที่เคยประดักประเดิดก็เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น ตฤณไม่ได้ถึงกับเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วยการโอนอ่อนเข้าหาเขากับตระการ แต่พัฒนาการที่พรพฤกษ์สังเกตได้คือผู้สูงวัยสนใจไถ่ถามความเป็นไปของพวกเขามากขึ้น แม้ว่าจะยังติดการใช้น้ำเสียงห้วนๆ แต่ก็ไม่มีคำพูดกระแนะกระแหนหรือเสียดแทงความรู้สึกเหมือนตอนที่ยังไม่ได้ญาติดีกันอย่างเมื่อก่อน
ส่วนสาเหตุที่เขาเรียกตฤณว่า ลุง นั้น เป็นเรื่องจากความบังเอิญแท้ๆ เพราะว่าวันหนึ่งขณะที่เขานั่งคุยอยู่กับยายแสนหน้าบ้านและตฤณกำลังจะเดินเข้าบ้าน จู่ๆ อีกฝ่ายก็สะดุดขั้นบันไดเพราะหน้ามืดกะทันหัน ดีว่าพรพฤกษ์อยู่ใกล้เลยเข้าไปประคองทันก่อนจะล้มคะมำและเผลอถามว่า คุณลุงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ตอนนั้นดูตฤณจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงและปล่อยให้เขาเรียกว่าลุงไปอย่างนั้น พรพฤกษ์จึงใช้สรรพนามนั้นตลอดเสียเลยเพราะเขารู้สึกว่าการเรียกชื่อนั้นห่างเหินเกินไป แต่เขาไม่อยากเรียกอีกฝ่ายว่า พ่อ เพราะการที่แม่ของเขาเคยมาเป็นแม่เลี้ยงให้ตระการก็ทำให้สถานะของเขาเป็นกึ่งๆ ลูกเลี้ยงของตฤณอยู่แล้ว หากเขายังเรียกอีกฝ่ายด้วยคำนั้นก็คงกระดากปากในเมื่อตอนนี้เขาคบกับตระการซึ่งตามศักดิ์ก็เป็นน้องเลี้ยง ฝ่ายตระการก็ไม่ได้มีปัญหาที่เขาเรียกตฤณว่าคุณลุง เจ้าตัวดูจะชอบเสียด้วยซ้ำตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าเริ่มใช้สรรพนามนี้กับตฤณได้อย่างไร
จะยังไงก็เถอะ เราน่ะไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือไง ออกไปตะลอนๆ เดี๋ยวก็ได้ยิ่งป่วยหนักขึ้นกันพอดี
ตฤณเอ่ยขึ้นอีก พรพฤกษ์จึงกะพริบตาอย่างแปลกใจ เพราะที่โต๊ะอาหารเขาก็เพียงแต่ไอเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ทันคิดว่าตฤณจะจับสังเกตได้
เดี๋ยวผมขับรถเองตลอดทาง แล้วจะดูแลให้ไผ่กินยากับนอนพักครับ พอดีช่วงนี้มันเหมาะจะไปที่สุดเพราะผมได้หยุดยาว ยังไงจัดการเรื่องบ้านโน้นเสร็จแล้วผมจะรีบพาไผ่กลับมา
ตระการช่วยตอบคำถามของบิดาแทนเขา พรพฤกษ์จึงยิ้มและพยักหน้าเพื่อให้ตฤณสบายใจ เขารู้ดีว่าความจริงตระการก็คงไม่ได้อยากพาเขาไประหกระเหินตอนไม่สบายอย่างนี้ แต่อีกฝ่ายก็คงอยากเร่งให้เขาได้มาอยู่กรุงเทพฯ แบบไม่ต้องเทียวไปเทียวมาด้วยเหมือนกัน ถึงได้ตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปช่วยเขาขนข้าวของที่เหลือมาจากบ้านนฤมิตรให้หมดในช่วงวันหยุดปีใหม่นี้ให้ได้
เฮอะ ยังไงก็ขับรถขับราให้มันดีๆ ก็แล้วกัน อย่าให้คนหัวหงอกต้องเป็นคนไปเยี่ยมลูกหลานที่โรงพยาบาล มันบาปกรรม
ยายแสนยิ้มอย่างระอาขณะเดินเข้ามาเก็บสำรับอาหารของทั้งสามที่ทานเสร็จแล้วลงถาด และพรพฤกษ์กับตระการก็เผลออมยิ้มให้กัน เพราะรู้ดีว่านั่นคือวิธีการพูดที่แสดงออกถึงความห่วงใยของตฤณที่อ้อมค้อมน้อยที่สุดแล้ว หลังจากคล้อยหลังหัวหน้าแม่บ้านแล้ว พรพฤกษ์จึงลุกขึ้นแล้วเข้าไปพนมมือไหว้ตฤณตรงหัวไหล่
ไม่ต้องห่วงครับคุณลุง ต้นไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ ครับ
ผู้สูงวัยเพียงแต่ทำเสียงพ่นจมูกอย่างไม่พอใจ แต่ว่าก็ไม่ได้โต้แย้งอีก ตระการจึงทำความเคารพพ่อตัวเองบ้าง จากนั้นพวกเขาก็ขอตัวออกมาจากห้องอาหารเพื่อจะได้ออกเดินทาง หลังจากขึ้นรถแล้วตระการก็หันมายิ้มให้เขา
นี่ถ้าอาวีกับอาหมอได้มาเห็นว่าไผ่ทำให้พ่อเงียบได้ยังไง สงสัยจะตะลึงกันเป็นแถบแน่เลย
ไม่เห็นมีอะไรนี่ ก็แค่พูดความจริงกับคุณลุงเท่านั้นเอง จะเถียงก็เถียงไม่ได้นี่นา
ตระการหัวเราะ ก็นั่นแหละ นี่เพราะคนพูดคือไผ่หรอก ไม่เห็นเหรอว่าขนาดต้นออกปากพ่อเขายังไม่เชื่อเลย
พรพฤกษ์ยิ้มบางๆ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ที่ตระการบอกเขาอย่างนั้นคงเพราะรู้ว่าตัวเองห่างเหินกับพ่อมาตั้งแต่เด็กจึงไม่ถนัดจะอ้อน ต่างกับเขาที่ตอนเด็กและวัยรุ่นก็โตกับตามาตลอด ดังนั้นเมื่อข้ามผ่านความรู้สึกไม่สนิทใจกับตฤณไปได้ เขาก็มองว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ต้องการความสนใจจากลูกหลานไม่ต่างจากคนวัยเดียวกันเท่านั้น
เมื่อไหร่ต้นจะกลับมาเสียทีนะ...ชักเวียนหัวจนลุกไม่ไหวแล้วสิ...
ชายหนุ่มคิดในใจพร้อมกับความรู้สึกเวียนหัวมากขึ้น จากนั้นเปลือกตาอันหนักอึ้งก็ปิดลงอย่างง่วงงุน เสียงสุดท้ายที่ลอยเข้าหูอย่างเลือนลางคือเสียงซึ่งฟังแล้วคล้ายล้อรถยนต์กำลังบดลงบนถนนโรยกรวด แต่ตอนนั้นเขาไม่แน่ใจอีกแล้วว่าตัวเองได้ยินเสียงจริงๆ หรือเพียงแค่หูเฝื่อนไปเท่านั้น
++------++
เมื่อพรพฤกษ์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนเริ่มเป็นสีส้มอ่อนแล้ว เมื่อเหลือบตามองไปทางนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าล่วงเข้าสี่โมงกว่า สมองที่ยังไม่แจ่มใสนักจึงคำนวณอย่างเชื่องช้าว่าเขาคงจะหลับไปไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง
ไออุ่นที่มาจากด้านซ้ายและจากลำแขนที่โอบอยู่รอบเอวดึงให้พรพฤกษ์ค่อยๆ เอียงหน้าไปหา และพบว่าตระการนอนหลับอยู่ข้างเขาบนเตียง ชายหนุ่มยกยิ้มบางๆ เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายคงจะอุ้มเขาขึ้นมานอนบนห้องหลังจากที่พบว่าเขาฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะในครัวอย่างไม่ต้องสงสัย
ดูเหมือนการขยับตัวเล็กน้อยของพรพฤกษ์จะทำให้ตระการรู้สึกตัวตื่น ร่างสูงใหญ่ที่เมื่อครู่ยังหลับตาสนิทจึงขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้นข้างหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าพรพฤกษ์ตื่นแล้วและกำลังมองเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบบ้าง
ตื่นแล้วเหรอ? ตอนกลับมาเห็นไผ่หลับอยู่ต้นเลยอุ้มขึ้นมานอนบนนี้ หิวข้าวมั้ยจะได้ไปอุ่นให้?
พรพฤกษ์ทำท่าคิดขณะที่ตระการยันตัวขึ้นนั่งและเอามือขยี้ผมตัวเองเบาๆ จากนั้นคนป่วยก็พยักหน้าและลุกขึ้นบ้าง
ก็หิวหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน เดี๋ยวลงไปกินข้างล่างก็ได้ จะได้ไม่เลอะเทอะบนนี้
ตระการหันกลับมามองแล้วมุ่นหัวคิ้ว ไผ่ลุกไหวนะ?
ไหวสิ มีไข้นิดเดียวเอง ไม่ได้เหมือนตอนโดนรถชนที่ใส่เฝือกทั้งแขนทั้งขาซะหน่อย
พรพฤกษ์ย่นจมูกแล้วก็ลุกจากเตียง แต่คงเพราะเขาลุกเร็วเกินไปเพราะอยากให้ตระการเห็นว่าเขาไม่เป็นไร จึงหน้ามืดจนเกือบล้มลงบนพื้นถ้าไม่ใช่เพราะถูกคว้าเอวไว้ก่อน ร่างสูงใหญ่ใช้มืออีกข้างวางทาบบนหน้าผากพรพฤกษ์ที่ยืนเอาหลังพิงอกตัวเองแล้วก็ทำหน้ายุ่ง
ว่าแล้ว ไข้นิดเดียวเสียที่ไหน เย็นนี้ต้นว่าอย่าไปถนนคนเดินเลย ขืนไปเจอทั้งคนเยอะๆ ทั้งอากาศเย็นๆ เดี๋ยวยิ่งอาการแย่เข้าไปใหญ่
คนที่แทบไม่มีแรงยืนเองรีบส่ายหน้าและพยายามจะยืนตรง ไม่เป็นไร สงสัยจะหน้ามืดเพราะรีบลุกกับไม่ได้กินข้าวมากกว่า เดี๋ยวได้กินอะไรหน่อยแล้วนั่งพักสักแป๊บก็หายแล้ว ต้นอย่าลืมสิว่าหลังจากนี้เราคงไม่ได้ขึ้นมาเชียงใหม่กันอีกนานเลยนะ
พรพฤกษ์แย้งขึ้นพร้อมกับดึงเสื้ออีกฝ่ายไว้ ตระการเองเมื่อได้เห็นนัยน์ตาเว้าวอนเช่นนั้นก็ทนใจแข็งไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าคนที่เร่งให้พรพฤกษ์รีบไปอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ ก็คือตัวเอง สุดท้ายจึงยอมถอนหายใจแล้วก็พยักหน้า
เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าต้นเห็นไผ่อาการไม่ดีเมื่อไหร่จะพากลับทันทีนะ
ตระการเอ่ยพลางพยุงเจ้าของบ้านออกจากห้องนอน พรพฤกษ์จึงยิ้มและพยักหน้า เขารู้ดีว่าตระการเป็นห่วง แต่ก็รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายไม่กล้าขัดใจเขาเพราะนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ได้มาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ต่อจากนี้กว่าจะได้กลับมาอีกก็คงต้องรอวันที่ทั้งเขาและตระการได้หยุดยาวพร้อมกันอีกครั้ง ซึ่งนั่นอาจจะนานหลายเดือนเพราะตระการกำลังยุ่งกับโครงการบ้านจัดสรรแห่งใหม่
นับจากวันที่ตกลงใจได้ว่าจะไปอยู่กรุงเทพฯ แน่นอน พรพฤกษ์ก็เริ่มติดต่อเอกวิชช์ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำงานเก่าเพื่อให้รู้ว่าจะกลับไปทำงานด้วย จนกระทั่งเขาเริ่มเคลียร์ตารางได้และกำหนดวันแน่นอนแล้วว่าจะปิดบ้านนฤมิตรตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป จึงตกลงกับตระการว่าจะมาย้ายของล็อตสุดท้ายด้วยกัน โดยทิ้งไว้แค่เครื่องใช้บางอย่างสำหรับเวลาที่ทั้งคู่ว่างและจะกลับมาพักผ่อนวันหยุดยาวด้วยกันเท่านั้น
เมื่อลงมาถึงห้องครัว ตระการก็ให้พรพฤกษ์นั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะเอากับข้าวที่ซื้อมาอุ่นในเตาไมโครเวฟโดยเทใส่ทีละจาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เอาจานข้าวผัดไก่อุ่นๆ มาวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้วน้ำ พรพฤกษ์เลิกคิ้วเมื่ออีกฝ่ายหยิบถุงพลาสติกออกจากตู้เก็บของด้านบนแล้วเอามาวางบนโต๊ะ
ที่ต้นกลับมาช้าเพราะไปร้านขายยามาเหรอ?
อืม พอดีร้านขายยาตรงเชิงเขาปิดก็เลยต้องเข้าไปในเมือง แล้วบังเอิญเจอพี่ย่ามกับปาล์มก็เลยคุยกันนิดหน่อย พี่ย่ามก็บอกให้พาไผ่ไปหาก่อนจะกลับกรุงเทพฯ ด้วย
พรพฤกษ์ยิ้ม พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปก็แล้วกัน นอโทรมาบอกเมื่อเช้าว่าคืนนี้ที่ร้านจะมีปาร์ตี้ปีใหม่ สงสัยจะยุ่งน่าดู ถึงเข้าไปหาก็คงไม่ได้คุยกันเท่าไหร่
ชายหนุ่มเอ่ยออกไปแล้วก็ใจหายวูบขึ้นมา หลังจากย้ายไปกรุงเทพฯ แล้วเขาคงไม่ได้เจอเพื่อนฝูงบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อนอีก แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นทางเดินชีวิตที่เขาเลือกแล้ว...และก็คงไม่มีทางจะถอนคำพูดที่เคยให้ตระการกับตฤณไปแล้วได้อีก
ไผ่ตกลงว่าจะไปอยู่กับต้นแล้ว...ห้ามเปลี่ยนใจตอนนี้นะ ดูเหมือนตระการจะดูออกว่าพรพฤกษ์กำลังคิดถึงเพื่อนๆ ขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้น เมื่อเจ้าของนัยน์ตาสีนิลเหลือบตาขึ้นก็เห็นว่าอีกฝ่ายแกล้งทำหน้าดุอยู่ สีหน้าที่ได้เห็นทำให้เขาหัวเราะ
ถึงจะเปลี่ยนใจก็คงช้าไปแล้วมั้ง เพราะนอกจากต้นแล้วสงสัยคุณลุงก็คงไม่ยอมแหงๆ อุตส่าห์ยอมรับพวกเราได้แล้วทั้งที ขืนตอนนี้มาบอกว่าเปลี่ยนใจคงโดนเกลียดแหงเลย
ตระการยิ้มออกบ้างเมื่อเห็นสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นของอีกฝ่าย ที่เขาเป็นห่วงที่สุดก็คือกลัวว่าพรพฤกษ์จะเหงาที่ต้องจากบ้านและเพื่อนๆ ที่นี่ไป ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาเองก็งานยุ่งเพราะธุรกิจที่กำลังขยับขยายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะเจียดเวลาว่างเท่าที่มีพาพรพฤกษ์กลับมาเยี่ยมบ้านที่นี่ให้บ่อยที่สุด และจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พรพฤกษ์เสียใจที่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเขา
ป่านนี้พ่อเขาเกลียดไผ่ไม่ลงแล้วล่ะ ต่อให้ไผ่เปลี่ยนใจจริงๆ พ่อเขาก็คงบอกว่าไม่ว่าใช้วิธีไหนต้นก็ต้องพาไผ่ไปอยู่ด้วยกันให้ได้มากกว่า
พรพฤกษ์หัวเราะอีกพลางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มทานข้าวผัดที่ตระการอุ่นให้ โชคดีที่แม้เขาจะมีไข้แต่ความอยากอาหารไม่ได้ลดลง ชายหนุ่มจึงทานข้าวหมดทั้งจานแทบจะพร้อมๆ กับที่ตระการทานของตัวเองหมด พอเห็นเขาวางช้อนลงและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ตระการก็หยิบยาที่ซื้อมาออกจากถุงแล้วยื่นให้
งั้นเดี๋ยวไผ่กินยานี่ก่อน เภสัชที่ร้านบอกว่าให้ทานหลังอาหารแล้วดื่มน้ำตามมากๆ เสร็จแล้วค่อยไปถนนคนเดินกัน เดี๋ยวต้นล้างจานให้เอง
ตระการเอ่ยแล้วก็หยิบจานของพรพฤกษ์ไปซ้อนกับจานของตัวเองและลุกขึ้นนำไปวางที่อ่าง พรพฤกษ์มองตามแผ่นหลังกว้างและแข็งแรงของคนที่กำลังล้างจาน แล้วความเต็มตื้นในอกก็ทำให้เขาวางยาลงบนโต๊ะตามเดิมและลุกเดินเข้าไปหา
ตระการชะงักมือที่กำลังใช้ฟองน้ำถูจานเมื่อรู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบรอบเอว รวมทั้งไออุ่นจัดจากร่างที่กำลังมีไข้ซึ่งแนบแก้มลงบนแผ่นหลัง ร่างสูงจึงเอี้ยวคอไปถาม
มีอะไรเหรอไผ่?
พรพฤกษ์ส่ายหน้ากับแผ่นหลังกว้าง แต่ก็ไม่ได้ปล่อยแขนที่โอบเอวอีกฝ่ายไว้ อืม...ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากกอดเฉยๆ
ตระการฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า ร่างสูงเปิดน้ำเพื่อล้างฟองจากจานทั้งสองใบและวางลงบนตะแกรงข้างอ่าง จากนั้นจึงเช็ดมือกับผ้าที่แขวนอยู่แล้วหันกลับไปหาคนข้างหลังทั้งตัว พอเห็นนัยน์ตาสีนิลที่เหลือบขึ้นมองเขา ชายหนุ่มก็ยิ้ม
ก็ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตาคู่นี้หรือ...ที่ทำให้เขาหลงรักมาตั้งแต่ก่อนจะได้พบกัน จนกระทั่งความรู้สึกนั้นฝังรากจนถอนตัวไม่ขึ้นนับจนวันนี้
ตระการใช้แขนข้างหนึ่งโอบพรพฤกษ์กลับบ้าง ส่วนมืออีกข้างเชยคางอีกฝ่ายขึ้นและจูบลงไปเร็วๆ แต่ดูเหมือนจูบสั้นๆ เพียงแค่นั้นจะไม่สมกับความรู้สึกมันเขี้ยวของเขา ร่างสูงจึงกดริมฝีปากลงย้ำอีกครั้ง และคราวนี้จูบที่ตอนแรกเป็นเพียงการหยอกล้อก็แปรเปลี่ยนเป็นจูบอ่อนหวานที่ทำให้พรพฤกษ์ต้องละมือที่กอดเอวอีกฝ่ายแล้วเลื่อนขึ้นไปกำเสื้อบนบ่าแทน
จวบจนรู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนเริ่มหายใจผิดจังหวะ ตระการจึงค่อยยืดตัวขึ้นและยิ้มตาเป็นมันให้คนที่โหนกแก้มเรื่อสีเลือดฝาดจนสุกปลั่ง จากนั้นก็ยกปลายนิ้วขึ้นลูบริมฝีปากบางเบาๆ
ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆ ก็อยากจูบเฉยๆ เหมือนกัน
นัยน์ตาเจ้าเล่ห์สีน้ำตาลเข้มทำให้ใบหน้าที่ปกติดูเคร่งขรึมอ่อนเยาว์ลงราวกับเป็นหนุ่มวัยรุ่น และแม้ว่าจะหมั่นไส้ แต่พรพฤกษ์ก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นด้านนี้ของตระการ จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะใช้คำพูดตอกกลับสักที สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำและดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเบาๆ แทน
อยากไปถนนคนเดินแล้วล่ะ รีบไปกันก่อนฟ้าจะมืดดีกว่าต้น เดี๋ยวหาที่จอดรถลำบากแล้วได้เดินแป๊บเดียว
ตระการหัวเราะเมื่อเห็นพรพฤกษ์ทำเป็นเฉไฉ แต่ก็ยอมปล่อยแขนที่โอบอีกฝ่ายไว้แล้วจูงมือไปที่ห้องนั่งเล่นแต่โดยดี งั้นเดี๋ยวต้นไปเอาแจ๊คเกตตัวที่หนากว่านี้มาให้ก่อน ตอนกลางคืนอากาศมันเย็น ไผ่นั่งรอแป๊บนึง
พรพฤกษ์พยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาและมองตามหลังอีกฝ่ายที่เดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นหนุนคอบนโซฟาแล้วก็หลับตาลงทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบนริมฝีปาก
ตา...ตาไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้ไผ่มีความสุขมากเลย แล้วไผ่จะกลับมาบ้านนี้บ่อยๆ เท่าที่ทำได้นะ...
ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นและนั่งตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินลงมา จากนั้นก็ลุกขึ้นและรับแจ๊คเก็ตตัวหนานุ่มที่อีกฝ่ายยื่นให้มาเปลี่ยนแทนตัวที่ใส่อยู่ก่อน เมื่อเสร็จแล้วก็เดินออกจากบ้านด้วยกัน พรพฤกษ์ล็อคประตูบ้านแล้วก็เดินตามตระการไปที่รถ แต่จู่ๆ ก็ชะงักแล้วหันกลับไปมองบ้านอีกครั้ง
ไผ่?
ตระการชะงักบ้างเมื่อเห็นพรพฤกษ์หยุดเดิน พอหันหลังไปก็เห็นอีกฝ่ายยืนเอามือซุกกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตแล้วแหงนหน้ามองบ้านอยู่ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาแล้วโอบอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง
มีอะไรเหรอ หรือว่าไม่อยากเข้าเมืองแล้ว?
ร่างสูงเอ่ยพลางกระซิบข้างหู พรพฤกษ์จึงเอี้ยวหน้าไปหาแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองบ้านตามเดิม แต่คราวนี้เขาเอนตัวลงพิงอกตระการไว้ด้วย
ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เพียงแต่กำลังคิดว่าเคยเห็นภาพนี้จนติดตามาจนอายุสามสิบ แต่จากนี้ไปจะไม่ได้เห็นที่นี่บ่อยๆ แล้วก็อดใจหายไม่ได้
ตระการกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงบนขมับของคนตรงหน้า เขารู้ดีว่าสำหรับพรพฤกษ์แล้วบ้านนฤมิตรมีความหมายแค่ไหน การที่อีกฝ่ายยอมตัดใจไปอยู่กับเขานั้นอาจถือเป็นการเสียสละที่เจ้าตัวไม่เคยทำให้ใครมาก่อนเลยก็เป็นได้
จากนี้บ้านของต้นก็คือบ้านของไผ่เหมือนกันนะ
ร่างสูงเอ่ยเสียงต่ำ พรพฤกษ์จึงยิ้มและหมุนตัวกลับไปหา จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าคมคายที่เย็นเพราะลมซึ่งพัดโชยบนเชิงเขาเอาไว้ พระอาทิตย์เริ่มลับเหลี่ยมเขาไปทางด้านหลังบ้านแล้ว แต่เขาก็หวังว่าความสลัวรอบตัวจะยังไม่มากพอจะบดบังรอยยิ้มที่ส่งให้คนตรงหน้า
คำสัญญาของตระการทำให้พวกเขาสองคนมาถึงจุดนี้ เพื่อตอบแทนความรู้สึกนั้น เขาก็จะไม่เสียใจในการตัดสินใจของตัวเองเช่นกัน
สำหรับไผ่ ถ้าต้นอยู่ที่ไหน ที่นั่นแหละคือบ้านของไผ่
คำพูดนั้นทำให้ตระการทำตาโต เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มกว้างและดึงตัวพรพฤกษ์ไปกอดแน่น และพรพฤกษ์เองก็สอดแขนกอดอีกฝ่ายตอบราวจะตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาได้พูดออกไปนั้นคือสิ่งที่คิดจริงๆ ครู่ใหญ่กว่าที่ตระการจะถอยออกและโอบไหล่พรพฤกษ์พลางพาเดินไปที่รถ
เราไปกันเถอะไผ่
อื้ม
พรพฤกษ์ตอบรับและสอดแขนข้างหนึ่งโอบเอวอีกฝ่าย ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมองบ้านนฤมิตรอีก เพราะเขารู้ดีว่าแม้จะรักบ้านหลังนี้แค่ไหน แต่ชีวิตของเขาก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ตามลำพังเพราะว่าเขาจะมีตระการคอยอยู่เคียงข้างในทุกก้าวของชีวิต
คำว่า เราไปกันเถอะ ที่อีกฝ่ายเอ่ยเมื่อครู่ไม่ได้สื่อถึงแค่การเดินทางในค่ำคืนนี้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงชีวิตในทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือนและทุกปีต่อจากนี้ไปของทั้งคู่ด้วย
พวกเขาใช้เวลาอันยาวนานกว่าจะก้าวผ่านมาถึงจุดนี้ด้วยกัน ต้องผ่านบทพิสูจน์ทั้งความอดทนและเชื่อใจในกันและกันอย่างมากมาย และจากนี้จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้พวกเขาทั้งสองพรากจากกันได้อีก
นั่นคือคำสัญญา...
++--- End ---++
A/N: อ๊า ในที่สุดก็มาถึงบทส่งท้ายจนได้ รู้สึกโล่งอกพอๆ กับที่ใจหายเลยค่ะ ถ้าหากนับเวลาที่ต้นเริ่มเจอไผ่ครั้งแรกจนถึงตอนจบก็ร่วมสามปี พอๆ กับที่คนเขียนใช้ในการเขียนเรื่องนี้จริงๆ เลยล่ะ (เขียนกลางปี 2008 มาจบต้นปี 2011) ถือว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก ดีใจจริงๆ ที่ส่งต้นกับไผ่มาถึงตรงนี้ได้ และยิ่งรู้สึกขอบคุณทุกกำลังใจและคอมเม้นต์ที่มีให้กันมาตลอด ทั้งในบล็อกนี้ ในบอร์ดอื่นๆ และใน facebook ค่ะ รู้สึกประทับใจจริงๆ ที่ได้เขียนเรื่องนี้ออกมาและได้มีประสบการณ์ดีๆ ขนาดนี้
สำหรับเรื่องราวในบทส่งท้ายนี้จะตามหลังเรื่องในตอนที่ 30 อยู่หลายเดือน เรียกว่าเกือบๆ ปีเพราะเวลาในตอนที่ 30 จะเป็นช่วงต้นปี ส่วนเรื่องในตอนนี้จะเป็นวันสิ้นปีเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าคนที่ได้อุดหนุนลำนำรักสีรุ้งไปแล้วและเคยได้อ่านตอนโบนัสของเป้กับวิวจะจำกันได้ไหม แต่นี่ก็คือคืนวันที่สองคู่นี้ได้เจอกันที่ศูนย์อาหารในวัดนั่นละค่ะ อิอิอิ รู้สึกว่านิยายของเราจะชอบมีจุดที่แต่ละเรื่องมาบรรจบกันได้อยู่นะ
แล้วก็สำหรับใครที่อ่านมาถึงตอนนี้และเริ่มสนใจอยากอ่านแบบทีเดียวยาวๆ ในฉบับรูปเล่ม ตอนนี้เปิดจอง ต้น-ไผ่ ในเวอร์ชันนิยายแล้วนะคะ ตามไปอ่านรายละเอียดกันได้ที่นี่เลย //www.bloggang.com/viewblog.php?id=bellbomb&date=25-01-2011&group=13&gblog=3
หลังจากนี้จะเริ่มกลับไปเขียนคุณเชษฐ์กับภัทรต่อแล้วล่ะ แต่คงไม่ใช่สัปดาห์หน้าทันทีนะคะ เอาไว้จะประกาศใน facebook อีกที แต่ถ้าใครไม่เล่น facebook รบกวนเช็คเข้ามาบ่อยๆ แล้วกันค่า
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามให้กำลังใจกันมาตลอด ทั้งพี่พีท พี่เอิง พี่แอ๋ว พี่ยู พี่ลี คุณมด คุณเชอร์รี น้องนุ่น ตาล น้องmaio2000 และท่านอื่นๆ ที่อาจติดตามแต่ไม่ได้คอมเมนต์ไว้ อยากบอกว่าเราอ่านทวนคอมเม้นต์ของทุกคนหลายรอบมากเลยค่ะ ดีใจมากที่เรื่องที่เราเขียนทำให้ทุกคนอ่านแล้วมีความสุขและมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวเหล่านั้นได้ แล้วพบกันในผลงานเรื่องต่อๆ ไปนะคะ
Create Date : 25 มกราคม 2554 |
Last Update : 28 มกราคม 2554 23:52:04 น. |
|
22 comments
|
Counter : 1016 Pageviews. |
|
|
|
โดย: sherry IP: 223.204.240.81 วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:23:18:23 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:23:55:31 น. |
|
|
|
โดย: NannY IP: 182.52.196.194 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:1:27:20 น. |
|
|
|
โดย: เอิงเอย IP: 118.172.93.185 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:7:18:31 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:11:44:28 น. |
|
|
|
โดย: aew IP: 125.27.92.116 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:16:27:43 น. |
|
|
|
โดย: เอิงเอย IP: 118.172.96.182 วันที่: 26 มกราคม 2554 เวลา:19:31:15 น. |
|
|
|
โดย: aew IP: 125.27.97.190 วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:16:04:14 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:16:59:54 น. |
|
|
|
โดย: เอิงเอย IP: 118.172.102.204 วันที่: 27 มกราคม 2554 เวลา:22:23:25 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 มกราคม 2554 เวลา:1:16:30 น. |
|
|
|
โดย: aew IP: 125.27.95.7 วันที่: 28 มกราคม 2554 เวลา:9:58:07 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 28 มกราคม 2554 เวลา:22:11:50 น. |
|
|
|
โดย: เอิงเอย IP: 118.172.92.81 วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:14:39:48 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:19:02:20 น. |
|
|
|
โดย: sherry IP: 223.205.30.112 วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:21:23:47 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 29 มกราคม 2554 เวลา:23:05:54 น. |
|
|
|
โดย: both^^ IP: 125.24.163.188 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:17:13:23 น. |
|
|
|
โดย: Phueng IP: 110.168.69.167 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:21:40:01 น. |
|
|
|
โดย: bellbomb (Applebee ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:9:24:48 น. |
|
|
|
โดย: Aikiiz IP: 125.24.111.102 วันที่: 26 มิถุนายน 2554 เวลา:1:27:25 น. |
|
|
|
โดย: khun only IP: 49.49.166.116 วันที่: 26 กรกฎาคม 2556 เวลา:14:01:50 น. |
|
|
|
| |
|
|
เชื่อว่าแฟนานุแฟน (อย่างน้อยก็ข้าพเจ้าคนนึงละ ^^) ที่อ่านแต่ละตอนไม่ซ้ำกว่าหนึ่งรอบ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่สนุกและชวนติดตามในทุกๆตอน ในนิยายทุกเรื่องของคุณรินค่ะ
มิตรภาพที่เกิดขึ้นแม้ว่าจะไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน..หวังให้มันคงอยู่ตลอดไปนะคะ :))
เจอกัน เมื่อเจอกันค่ะ !!